 |
ขอแชร์ด้วยคนครับ เนื่องจากเคยทั้งเป็น ผู้โดยสารและเป็นคนขับมาก่อน
เอาง่ายๆ เลยครับ Taxi ในบ้านเรานี่รับรู้มา จะมี 2 แบบ
1. วิ่งควงทั้งวัน (ค่าเช่าต่อวันประมาณ 1,000 +/- 200 บาท) 2. วิ่งเป็นกะ กะละ 12 ชั่วโมง (ค่าเช่าต่อกะประมาณ 600+/- 150 บาท)
ค่าเชื่อเพลิงต่อกะประมาณ 250 +/- 100 บาท ถ้าเป็นรถ NGV จะตกประมาณ 0.80 บาทต่อ กม. รถ LPG จะอยู่ที่ประมาณ 1.50 บาทต่อ กม.
ต้นทุนต่อวันจะอยู่ที่ประมาณ (กรณีควงทั้งวัน = 1,300-1,600) (กรณีวิ่งกะละ 12 ชั่วโมง = 800-900)
ดังนั้น ถ้าเราหารเป็นชั่วโมง ต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 60-80 บาทต่อชั่วโมง
ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่คิดรวมค่ากิน ค่าแรงและค่าเดินทางมาขับรถนะครับ
ถ้าคนขับ Taxi จะอยู่ให้ได้ ต้องมีรายได้ต่อชั่วโมงอยู่ที่ 100 บาทขึ้นไป นี่นับแบบขับมาราธอนนะครับ คือ ขับเต็มชั่วโมงไม่มีหยุดพัก
คนขับกะ จึงจะมีได้รายได้ที่ ประมาณ 1,200 ต่อกะ คนขับควงทั้งวันจึงจะมีรายได้ที่ 1,800 ต่อกะ (หายไป 600 = 6 ชั่วโมงเพราะคิดเป็นเวลานอน)
จากที่แสดงให้ดูจะเห็นได้ว่า เมื่อคิดเป็นรายได้แล้วจะอยู่ที่ประมาณ 300 บาทต่อวัน (เท่ากับค่าแรงขั้นต่ำ แต่แรงงานในระบบทำงาน 8 ชั่วโมง)
ซึ่งจะเห็นว่า ไม่ได้มากมายเลยครับ การเป็นคนขับ Taxi นี่ ....
แต่เดี๋ยวก่อนครับ ที่ผมว่ามายาวๆ นี่ คือขั้นต่ำนะครับ....อย่าลืม!!!
คนขับ Taxi ที่เก่งๆ เค้าสามารถหาได้ชั่วโมงละ 150 หรือมากกว่า กะนึงก็จะได้ประมาณ 1,500 ถ้าควงก็จะได้วันละ 2,000 ขึ้นไป
จะเห็นว่า ส่วนต่างเริ่มมากขึ้น เป็นวันละ 600-800 บาท ซึ่งก็นับว่าไม่น้อยเลยนะครับ เดือนนึงก็ตก เกือบ 2 หมื่น
แต่กว่าจะขับได้แบบนี้ มันต้องอาศัยหลายๆ ปัจจัย (และมันก็ไม่ได้แบบนี้ทุกครั้งทุกวัน)
เรามาลองคิดดูครับ
1 ชั่วโมง ต้องได้เงิน 150 บาท
ค่าโดยสาร เริ่มต้น 35 บาท และขึ้นประมาณ 5-6 บาท ต่อ กม. ถ้ารถติด คิดนาทีละ 1.50 บาท (รถติดอยู่กับที่ไม่ขยับเลย ค่าโดยสารจะขึ้นมา 90 บาท)
จะเห็นว่า ถ้ารถติด คนขับมีแนวโน้มว่าจะขาดทุนแล้ว แม้ว่าจะมีผู้โดยสารนั่งอยู่ด้วย ถ้าไม่มีผู้โดยสารอันนี้ ขาดทุนเห็นๆ
นี่เป็นสาเหตุนึงที่ Taxi ส่วนใหญ่ ไม่ชอบขับเข้าไปยังพื้นที่ที่การจราจรติดขัด
คราวนี้ ถ้ารถไม่ติด ชั่วโมงนึง Taxi จะวิ่งได้ระยะทางประมาณ 20-30 กม. ใน พื้นที่ กทม. ดังนั้นถ้ามีผู้โดยสาร 1 คน ก็จะได้เงินประมาณ 200 บาทในชั่วโมงนั้น
แต่ถ้ามีผู้โดยสาร สัก 3 ราย ใน 1 ชั่วโมง เค้าก็จะได้ ค่าโดยสาร = (35*3) = 105 บาท รวมกับระยะทางที่วิ่งได้อีกประมาณ คนละ 7 กม. คิดที่ กม.ละ 5 บาท (7*5*3) = 105 บาท รวมแล้ว ได้ 210 บาท จะเห็นได้ว่า รายได้ไม่แตกต่างจากแบบแรกมากนัก
กับแบบสุดท้าย รับผู้โดยสารแล้ว วิ่งไกลๆ รถไม่ติด เช่น เรียกจาก รังสิตไปพุทธมณฑล ใน 1 ชม. คุณอาจจะได้ทางถึง 30-40 กม. คิดเป็นเงินก็ประมาณ 300-400 บาท แต่คนขับส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบเพราะ มักจะต้องตีรถเปล่า กลับมาในเขตที่ตัวเองขับอยู่เป็นประจำ
นี่คิดแบบมีคนเรียกขึ้นตลอดนะครับ
ดังนั้น อย่าคิดมากกันเลยครับ ดูความเหมาะสมเอา ถ้าเห็นว่า คนขับปฏิเสธแบบไร้เหตุผลก็ช่วยแจ้งขนส่งเลยครับ ให้เค้าจัดการให้
แต่ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็อย่าคิดมากเลยครับ โบกเรียกคันใหม่ คิดเยอะ หน้าแก่กันเปล่าๆ
เพราะบ้านเรา มันถูกวางเงื่อนไขให้มันไม่เป็นระบบกันมาแบบนี้ ถ้าเป็นเหมือนเมืองนอก ก็คงจะดีกว่านี้ครับ และผู้โดยสารเองส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยอยากเสียเงินเพิ่มกรณีเรียกรถจากศูนย์ครับ
ชอบมาโบกเรียกกันเองมากกว่า
มันเร็วและมันลุ้นดี.....
สรุปจากคำถามของ จขกท. จะเห็นได้ว่า การที่ taxi เลือกผู้โดยสารมีแนวโน้มว่าจะได้รายได้ดีกว่าแบบไม่เลือกครับ
เพราะ คนขับสามารถจัดการระยะทางและเวลาที่จะใช้ได้ครับ ว่า เค้าจะมีรายรับเท่าไหร่
เนื่องจากที่ยกตัวอย่างมา คือมีผู้โดยสารอยู่บนรถตลอดนะครับ
ส่วนของผมเองตอนที่เคยขับ รายได้จะอยู่ที่ประมาณ 100-150 ต่อชั่วโมงครับ แบบไม่เลือกผู้โดยสารไปไหนไปกัน แต่จะเหนื่อยครับ เพราะผมจะขับแบบไม่พัก ผมขับแค่ประมาณ 9-10 ชั่วโมงนะครับ
จากคุณ |
:
Kupt
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ต.ค. 55 17:51:00
|
|
|
|
 |