ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อรู้จักหน้าที่ของอวัยวะที่สำคัญ และเราหวงแหนกันนักหนาอย่างผิวหนังแล้ว เราไปลงรายละเอียดกันหน่อย ว่าเมื่อมองลึกๆแล้วผิวหนังของเราเป็นยังไง ถ้าแบ่งง่ายๆผิวหนังของเราแบ่งออกเป็น 2 ชั้นด้วยกันคือ หนังกำพร้า(Epidermis) และหนังแท้ (Dermis) ซึ่งมีหน้าที่และองค์ประกอบแตกต่างกันออกไป 1. ชั้นหนังกำพร้า Epidermis เป็นชั้นที่ประกอบด้วย cell เรียงตัวกัน โดยทั่วไป แบ่งเป็นชั้นย่อยได้ทั้งหมด 4 ชั้น ยกเว้นฝ่ามือฝ่าเท้าจะมีชั้นเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ชั้น เป็น 5 ชั้น ไม่มีระบบเส้นเลิอดและระบบประสาท หน้าที่หลักคือกักเก็บความชื้นและเป็นกำแพงปกป้องอันตรายต่างๆจากเชื้อโรค รังสี ความร้อนเป็นต้น 2. ชั้นหนังแท้ Dermis ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) ระบบประสาทเส้นเลือด ต่อมเหงื่อต่อมไขมัน จึงมีหน้าที่หลักในการรับความรู้สึก ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ยืดหยุ่น สร้างเหงื่อและไขมัน จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:16:46

ความคิดเห็นที่ 2 มาลงรายละเอียดกันเยอะหน่อยกับชั้นหนังกำพร้านะครับ เพราะชั้นหนังกำพร้านี่แหละครับ ที่มีหน้าที่หลักในการปกป้องร่างกายเราจากอันตรายต่างๆ ทั้ง เชื้อโรค สารเคมี และคลื่นความร้อนความเย็น ชั้นหนังกำพร้าประกอบด้วย cell ที่เรียงกันอยู่เป็น 4 ชั้น ในผิวหนังทั่วไป และ 5 ชั้นสำหรับฝ่ามือฝ่าเท้าครับ โดยเริ่มจากชั้นล่างสุด คือ 1.stratum basale เป็นชั้นที่ที่ติดกับชั้นหนังแท้ dermis จะสร้าง cell ผิวหนังใหม่ๆที่อ่อนเยาว์ เนื่องจากได้รับ blood supply อย่างใกล้ชิด จึงเป็นชั้นหนังกำพร้าที่มี cell ที่แข็งแรงที่สุด จากนั้นจึงส่งcell ผ่านชั้นต่อๆไป นอกจากนั้นที่ชั้นล่างสุดหรือ stratum basale นี้ยังมี cell ชนิดพิเศษคือ melanocyte ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสี melanin อีกด้วย 2.stratum spinosum เป็นชั้นที่เริ่มมีการสร้าง keratin และสะสม keratin เนื่องจากชั้นนี้อยู่ห่างจากระบบเลือดในชั้น dermis พอสมควร cell ผิวหนังในชั้นนี้จะไม่มีการแบ่ง cell เพิ่มจำนวนอีก   *Keratin คือ ร่างแหโปรตีนที่แข็งแรงชนิดหนึ่งมีคุณสมบัติในการกันน้ำได้เป็นอย่างดี 3.stratum granulosum มีการยึดเกาะของ keratin ให้แน่นหนาขึ้น cell ผิวหนังในชั้นนี้จะเป็น cell ที่ตายแล้ว เนื่องจากอยู่ห่างจากระบบเลือดในชั้นหนังแท้มาก 4.Stratum lucidum เป็นชั้นของ cell ที่เพิ่มขึ้นมาในบริเวณที่มีผิวหนังหนาได้แก่ ฝ่ามือฝ่าเท้า cell ชั้นนี้เป็นชั้นบางๆของ cell ผิวหนังที่ตายแล้วสะสม keratin 4.Stratum corneum เป็นชั้นที่อยู่นอกสุดหรือบนสุดจากในรูปนะครับ ชั้นนี้จะประกอบด้วย cell ที่ตายทับถมกันมากมาย มีการสะสม keratin จำนวนมากใน cell เพื่อทำหน้าที่ปกป้องผิวและเก็บกักความชื้นและจะหลุดลอกออกมาเป็นขี้ไคลนั่นเอง แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 55 15:32:41 จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:38:31

ความคิดเห็นที่ 3 แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 55 11:45:25 จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:41:57

ความคิดเห็นที่ 4 ผ่านจากชั้นหนังกำพร้า ลึกลงไปก็คือชั้นหนังแท้ หรือ dermis ครับ ซึ่งเป็นชั้นที่มีความหนามากถึง 90% ของชั้นผิวหนังทั้งหมด เป็นชั้นที่มีส่วนประกอบสำคัญๆมากมาย ผิวชั้นหนังแท้ประกอบไปด้วยปลายประสาทรับความรู้สึก ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ รากขน เส้นเลือด ต่อมเหงื่อและต่อมไขมันที่อยู่ในชั้นหนังแท้จะทำหน้าที่ในการผลิตน้ำมันและเหงื่ออกไปเคลือบผิวหนังชั้นนอกไว้บางๆ น้ำมันและเหงื่อดังกล่าวมีประโยชน์ในการช่วยรักษาน้ำให้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นที่เหมาหสม และมีฤทธิ๋ในการป้องกันเชื้อโรค แบคทีเรีย และเชื้อรา นอกจากนี้ผิวชั้นหนังแท้ยังประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันพวก คอลลาเจน ( Collagen ) อีลาสติน ( Elasitn ) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความยืดหยุ่นของผิวคอลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ในการเสริมสร้างความแข็งแรง และความแน่นหนาให้แก่ผิวทำให้ผิวกระชับเต่งตึง ช่วยซ่อมแซมผิวที่เป็นแผลด้วยการสร้างเนื้อเยื่อบางๆ มาปกคลุมไว้เส้นใยอีลาสติน มีหน้าที่ในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ทำให้ผิวหนังคืนรูปหลังจากการเคลื่อนไหว หากชั้นหนังแท้มีคอลาเจนหรือ เส้นใยอีลาสติน น้อยจะนำไปสู่การมีริ้วรอยการหย่อนคล้อยและการเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:51:04

ความคิดเห็นที่ 5 โดยปกติผิวหนังของเราจะมีการสร้างเซลล์ขึ้นใหม่เพื่อทดแทนของเก่าอยู่ตลอดเวลา และเซลล์ผิวที่ตายแล้วก็จะหลุกลอกออกไปเป็นขี้ไคล เรียกว่า skin turnover หรือการผลัดผิว ซึ่งวงจรนี้จะเกิดขึ้นประมาณทุก 28 วัน แต่เมื่อเจอกับแสงแดด มลภาวะ หรือสารเคมีต่างๆ และเมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ผิวก็จะทำงานผิดปกติ วงจรการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลง เช่นในคนอายุ 70 อาจจะผลัด cell ผิวทุก 7 สัปดาห์ เป็นต้น เซลล์ผิวที่ตายแล้วหรือขี้ไคลก็จะสะสมหนาผิดปกติ ทำให้ผิวหมองคล้ำ   และชั้นขี้ไคลที่สะสมอาจจะอุดตันรูขุมขนไม่ให้ไขมันที่ผลิตออกมาไหลออกมาได้จึงเกิดเป็นสิวอุดตันได้ รูปนี้จะแสดงให้เห็นขี้ไคลสีน้ำตาลทับถมกันอยู่ที่ชั้น stratum corneum ครับ หยึยๆเชียว จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:52:24

ความคิดเห็นที่ 6 จะเห็นได้ว่าผิวหนังของคนเราแม้จะดูเรียบง่ายแต่ก็มีโครงสร้างที่ซับซ้อน และช่วยดูแลปกป้องอันตรายต่างๆให้เรามาตลอด แต่ความเสื่อมเป็นธรรมชาติ ไม่มีอะไรจะคงทนตลอดไป ผิวหนังของเราก็เหมือนกันครับ ยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่มลพิษมากมาย ทั้งแสงแดด ความร้อน ที่เมื่อกระทบผิวหนังเรามากๆเข้าก็ทำให้เดิดความเสื่อม ความแก่ หรือ skin aging นั่นเอง นอกจากนี้ความเครียดก็มีผลทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ผิดปกติไป ก็มีผลต่อ skin aging ด้วยเช่นกัน สิ่งต่างๆที่พร้อมจะรุมทำร้ายผิวเราได้ทุกเมื่อนั้นสามารถส่งผลกระทบได้กับผิวทุกชั้นตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้าจนถึงชั้นหนังแท้ ลองมาดูทีละอย่างครับ 1. อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้าว่าผิวชั้นนอกสุด Stratum corneum จะมีการผลัดผิวทุก 28 วัน เซลล์ผิวที่ตายแล้วก็จะหลุกลอกออกไปเป็นขี้ไคล แต่เมื่อเจอกับแสงแดด มลภาวะ หรือสารเคมีต่างๆ และเมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ผิวก็จะทำงานผิดปกติ วงจรการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลง เซลล์ผิวที่ตายแล้วหรือขี้ไคลก็จะสะสมหนาผิดปกติ ทำให้ผิวหมองคล้ำ  และชั้นขี้ไคลที่สะสมอาจจะอุดตันรูขุมขนไม่ให้ไขมันที่ผลิตออกมาไหลออกมาได้จึงเกิดเป็นสิวอุดตันได้ และทำให้ความชุ่มชื้นของผิวหนังลดลง เกิดผิวแห้งกร้านผิวไม่เรียบเนียน จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:54:11

ความคิดเห็นที่ 7 2. ลึกลงมาในชั้น strarum basale ของ epidermis หรือหนังกำพร้า ที่มี cell ชนิดพิเศษ คือ melanocyt ทำหน้าที่ผลิตเม็ดสี melanin การเจอแสงแดด การถูกรังสี UV อย่างสมำเสมอไดยไม่ปกป้อง จะทำให้มีการสร้างเม็ดสีมากขึ้น ผิวคล้ำสะสม สีผิวไม่สม่ำเสมอ เกิดกระ และฝ้า จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:55:28

ความคิดเห็นที่ 8 3.ผลจากมลพิษและสิ่งแวดล้อมที่ทำร้ายผิวเราทุกวัน ลึกลงไปในชั้น dermis หรือชั้นหนังแท้ ที่ประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน พวก collagen elastin ทำให้มีการเสื่อมสลายของร่างแห collagen และ elastin เหล่านั้น ทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอยร่องลึก จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:56:16

ความคิดเห็นที่ 9 ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจึงได้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้เราสามารถดูแล บำรุงและปกป้องผิวหนังของเรา จากการทำร้าย ของสิ่งแวดล้อมภายนอก และเนื่องจากผิวหนังมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและแตกต่างกันในแต่ละชั้น การเลือกใช้ skin care หากดูให้ลึกๆคงต้องคำนึงถึงโครงสร้างของผิวหนัง ร่วมด้วย ว่าผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวหนังอย่างไร และสามารถซึมเข้าสู้ชั้นผิวหนัง หรือ cell ผิวหนังได้หรือไม่ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น collagen ที่มีการโหมโฆษณากันทุกวันนี้ว่าทาแล้วจะสามารถไปเสริมสร้างไปเติม collagen ในผิวได้ ซึ่งไม่ถูกต้อง ขนาดของ Molecule collagen นั้นใหญ่เกินกว่าที่จะแทรกช่องว่างระหว่าง cell ผิวลงไปถึงชั้น dermis ได้ collagen ที่เติมมาใน skin care จึงทำหน้าที่เป็นแค่ตัว moisturizer เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวเท่านั้น ไม่ได้ไปเพิ่ม collagen ได้เลย ขออนุญาตยืมภาพประกอบจากกระทู้คุณลูกเป็ดขี้เกียจนะครับ http://www.pantip.com/cafe/woman/topic/Q12761717/Q12761717.html จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:57:14

ความคิดเห็นที่ 10 การสร้าง collagen นั้นมันไม่ได้ง่ายเหมือนที่โฆษณากัน ไม่ใช่ทาครีมที่บอกว่ามี collagen เป็นส่วนผสม = เติม collagen ให้ผิว Collagen เป็นโปรตีนชนิดนึงที่ร่างกายเราสร้างขึ้น ที่เป็นส่วนสำคัญในการคงรูปของผิวหนังให้ยืดหยุ่นไม่เหี่ยวย่น เมื่ออายุมากขึ้นการสร้างโปรตีนของร่างกายก็ลดลงรวมทั้ง collagen ด้วย ประกอบกับการโดนสิ่งแวดล้อมทำลาย ทำให้เกิดการเสื่อมสลายของ collagen ดังนั้นการกระตุ้นการสร้าง collagen โดย active ingredient บางชนิดใน skin care จึงเป็นวิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่การทาครีม collagen Active ingredient ที่ผมกำลังพูดถึงนั้นคือ AHA พวก glycolic acid หรือ lactic acid โดยมากเราจะรู้ว่า AHA ช่วยในการผลัด cell ผิว แต่ความสำคัญอีกอย่างของ AHA คือในความเข้มข้นที่เหมาะสม AHA จะซึมลงไปในผิวชั้น dermis สามารถกระตุ้น fibroblast ในผิวซึ่งเป็น cell ที่ทำหน้าที่สร้าง collagen จึงทำให้มีการสร้าง collagen ให้มากขึ้นด้วยนั่นเอง จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:57:46

ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อกี้เราพูดถึง AHA กันไปนะครับ ลองมาดูเรื่อง  AHA กันต่ออีกนิดนึงละกัน อย่างที่บอกไปแล้วว่าเมื่อผิวเจอกับแสงแดด มลภาวะ หรือสารเคมีต่างๆ และเมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ผิวก็จะทำงานผิดปกติ วงจรการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลง เซลล์ผิวที่ตายแล้วหรือขี้ไคลก็จะสะสมหนาผิดปกติ ทำให้ผิวหมองคล้ำ  และชั้นขี้ไคลที่สะสมอาจจะอุดตันรูขุมขนไม่ให้ไขมันที่ผลิตออกมาไหลออกมาได้จึงเกิดเป็นสิวอุดตันได้ และทำให้ความชุ่มชื้นของผิวหนังลดลง เกิดผิวแห้งกร้านผิวไม่เรียบเนียน ดังนั้นจึงต้องมีตัวช่วยในการผลัดผิวซึ่งเจ้า AHA ก็มามีบทบาทในตรงนี้ การใช้  AHA (alpha hydroxy acid) เป็นกรดธรรมชาติจากผลไม้ เช่น Glycolic, Lactic, Malic, Citric, Mandelic และ Tartaric acid หรือ BHA (beta hydroxy acid) คือ Salicylic เป็นกรดที่สังเคราะห์ขึ้น เป็นวิธีการเบื้องต้นในการผลัดเซลล์ผิวจากภายนอก สิ่งที่ AHA และ BHA ทำหน้าที่เหมือนกันก็คือ ทำให้เซลล์ผิวเก่าที่อยู่ชั้นนอกสุดของผิวแยกออกจากการเกาะตัวกันแล้วหลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่มีสุขภาพดีกว่าได้ขึ้นมาอยู่ที่ชั้นบนสุดแทน การขจัดเซลล์ผิวเก่าออกไปได้นั้นจะทำให้สภาพผิวแลดูดีขึ้นทั้งโครงสร้างและสีผิว ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน ช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมลงผิวได้ดียิ่งขึ้น ถ้าเราไม่กระตุ้นการผลัดผิวอย่างสม่ำเสมอเวลาเราทาครีมบำรุงลงไปก็จะเหมือนการทาทับซาก cell ตายที่ทับถมกันหนาๆนั่นเอง ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย นี่เป็นสาเหตุนึงที่หลายๆคนใช้ครีมบำรุงแล้วไม่เห็นผลความแตกต่าง จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:58:15

ความคิดเห็นที่ 12 ประเด็นถัดมาที่จะพูดถึงจะเป็นเรื่องของครีมกันแดดครับ เราจะเห็นแล้วว่าเจ้าแสงแดดตัวร้ายนี่ทำร้ายผิวเรายังไงได้บ้าง ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดจึงเป็นขั้นตอนการดูแลผิวที่สำคัญที่สุดขั้นตอนนึงเลย ไปดูรายละเอียดเรื่องครีมกันแดดที่ผมเคยตั้งกระทู้ไว้ตาม link ได้นะครับ http://www.pantip.com/cafe/woman/topic/Q12778843/Q12778843.html UVA กับ UVB ซึ่งจะส่งผลกับผิวหนังเรา แตกต่างกันยังไง ไปดูครับ ??? ก็คือ UVB  เนื่องจากความยาวคลื่นน้อยกว่า ผลกระทบจาก UVB จึงเกิดที่ผิวหนังชั้นบนๆ เช่น จะทำให้เกิด sunburn และเป็นสาเหตุหลักของเกิดการ มะเร็งผิวหนังชนิด Basal cell และ Squamous cell carcinoma และ Melanoma ส่วนเจ้า UVA ก็ร้ายไม่ใช่น้อย เนื่องจากมีความยาวคลื่นมากกว่าสามารถทะลุทะลวงลงไปในผิวหนังชั้นลึกกว่าครับ เป็นสาเหตุในการทำให้เกิดริ้วรอยย่นยับในใบหน้า (photoaging) และยังช่วยกันส่งเสริมให้เกิดมะเร็งผิวหนังร่วมกับ UVB ได้ด้วย จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 12:01:30

ความคิดเห็นที่ 13 จบแล้วล่ะครับ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับผิวหนังของเรา ก็หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ในการได้รับความรู้ เพิ่มเติมของเพื่อนๆเรื่องผิวหนัง และการดูแลผิวหนังเบื้องต้น เพื่อให้ผิวหนังที่มีสุขภาพดี ปกป้องเราไปได้นานๆ แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 55 12:26:32 จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 12:05:49

ความคิดเห็นที่ 14 เยี่ยมไปเลย ทุกคืนผมทา BHA ของป้าพอลล่าอันโด่งดังของห้องแป้ง ทามันย่องเลย T T จากคุณ : อิฐมอญ เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 13:03:08

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้า Collagen ไม่ค่อยเห็นผลในการทา แล้วในการกินล่ะ มันเป็นเหมือนกันหรือป่าว?? จากคุณ : SpinZyLe เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 13:21:04

ความคิดเห็นที่ 16 แหล่ม จากคุณ : icheerbank เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 13:31:01

ความคิดเห็นที่ 17 สำหรับคำถามเรื่องการกิน collagen เสริม แล้วจะมีผลอะไรกับผิวหนังหรือเปล่าสามารถเพิ่มการสร้าง collagen ใน ชั้น dermis ได้หรือไม่และชะลอ skin aging ได้รึป่าว ??? เท่าที่หาข้อมูลยังมีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มากเท่าไหร่ครับ มีงานวิจัยอยู่อันนึงแต่ก็เป็นของบริษัท ไม่ใช่งานวิจัยอิสระ และจำนวนตัวอย่างค่อนข้างน้อย ผลความน่าเชื่อถือจึงต้องชั่งหน่อยครับสำหรับการทดลองนี้เป็น การทดลองแบบ double blind control ทำการทดลอง 2 ที่ คือที่ ญี่ปุ่น กับฝรั่งเศส โดยแบ่งกลุ่ม กลุ่มนึง ให้กิน hydrolized collagen ยี่ห้อนี้ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ และ 84 วันตามลำดับ อีกกลุ่มให้กินยาหลอก โดยทั้ง 2 กลุ่ม ไม่รู้ว่าตัวเองกินอะไร ผลการทดลองนี้ออกมาว่ากลุ่มที่กิน hydrolized collagen ยี่ห้อนี้เห็นความเปลี่ยนแปลงของผิว มีความรู้สึกว่าริ้วรอยตื้นลง ผิวยืดหยุ่นมากขึ้น แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับกลุ่มที่กินยาหลอก แต่อย่างที่บอกครับ เป็นการทดลองที่ใช้กลุ่มตัวอย่างน้อย และเป็นของบริษัท ต้องชั่งใจดีๆ อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ http://www.parmentier.de/gelatine/peptan4skin.pdf จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 14:16:49

ความคิดเห็นที่ 18 จังซี่มันต้องโหวต จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 14:21:59

ความคิดเห็นที่ 19 สำหรับกลไกว่า Hydrolyzed collagen นั้นทำให้เกิดผลตามการศึกษาได้อย่างไร มีการให้เหตุผลว่า 1. Hydrolyzed collagen ที่ได้รับเสริมโดยการกินเข้าไปนั้นจะถูกย่อยแล้วกลายเป็น peptide สายสั้นๆที่มีความสามารถไปกระตุ้น fibroblast ในการสร้างและการเรียงตัวของ collagen ในผิวหนัง 2. Hydrolyzed collagen ทำให้ fibroblast ที่มีหน้าที่สร้าง collagen มีความหนาแน่นสูงขึ้น และเพิ่มขนาดเส้นผ่านศุนย์กลางของ เส้นใย collagen ในชั้นผิวหนีง จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 14:39:13

ความคิดเห็นที่ 20 ผิวพม่า นัยต์ตาแหก.. ทำไมต้องผิวพม่าครับ? ผิวจีน ผิวญี่ปุ่นหรือผิวซูดาน สู้ผิวพม่าไม่ได้ตรงไหน? จากคุณ : Obram เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 15:51:40

ความคิดเห็นที่ 21 โห ความรู้ทั้งนั้นเลย คอนเฟิมว่า BHAและAHAใช้แล้วหน้าใส่จริง ใช้อยู่และสิวอุดตันก็ไม่มีด้วย จากคุณ : เป็นเกย์รึเปล่า เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 16:10:10

ความคิดเห็นที่ 22 คุณ Obram น่าจะเป็นผิวพม่านัยน์ตาแขก มากกว่าแหกนะครับ 555+ ก็เป็นเรื่องของความนิยม ชื่นชมผู้หญิงสวยตามยุคสมัยละครับ คนไทยสมัยก่อนจะนิยมผิวเหลืองทองแบบพม่า จะมองว่าเป็นผิวที่สวยมีสุขภาพดีครับ จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 16:17:50

ความคิดเห็นที่ 23 สุดยอด จากคุณ : Good Times Good Days เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 16:18:54

ความคิดเห็นที่ 24 แล้วถ้าเป็นโรคผิวหนังละครับ มันเป็นเพราะสาเหตุอะไร พวกกลาก เกลื้อน แล้วมีวิธีรักษาที่ได้ผลแบบชัดเจนมั้ยครับ จากคุณ : เก็บดอกไม้ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 00:30:57

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณครับ  พูดถึงเรื่องคอลลาเจนแบบกิน ในรูป hydrolized collagen  อันนี้เห็นเถียงกันมานานเกี่ยวกับการนำไปใช้ประโยชน์ของร่างกายว่าตกลงได้หรือไม่ได้ คงต้องรองานวิจัยอย่างที่จขกท.พูดจริงๆ แต่เท่าที่เคยอ่านมา เคยมีงานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับการให้ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม รับประทาน hydrolized collagen วันละ 6-10 กรัมนี่ครับ แต่ผมจำไม่ได้ว่าให้ทานนานกี่สัปดาห์  เพราะนอกจากเป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวหนังแล้ว มันยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันตามข้อต่อร่างกายด้วย ผลการวิจัยคือผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นนะครับ แต่ผมว่าผมทำวิจัยด้วยตัวเองมาพักนึงแล้วล่ะครับ ทานคอลลาเจน แบบ hydrolized วันละ 4-6 กรัม ตอนท้องว่างทุกวัน วันละครั้ง มานานเกือบๆ 8 สัปดาห์ (2 เดือน) แล้ว โดยขั้นตอนการดูแลผิวทุกอย่าง เช่น ทำความสะอาดหรือบำรุง ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ไม่มีการดูแลอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ นอกจากกินคอลลาเจน ผลคือ ผิวดีขึ้นครับ  ยืดหยุ่น ละเอียดขึ้นครับ  ตัวเองสังเกตได้ และคนรอบข้างก็เห็นความเปลี่ยนแปลงนะ แก่ได้นะ แต่ให้ช้าหน่อยดีกว่า ผมไม่รีบ 555+ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 04:59:09

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณ จขกท มากๆ กิ๊ฟหมดแล้วอ่ะค่ะ พรุ่งนี้จะเข้ามาให้กิ๊ฟใหม่นะคะ ชอบอะ แต่จบเร็วจัง อยากอ่านอีก -*- คห 21 คุณ  เป็นเกย์รึเปล่า ยี่ห้ออะไร บอกได้ป่าวคะ อยากลองๆ รู้สึกหน้าเป็นสิวอดตันบ่อยค่ะ ขอบคุณค่า จากคุณ : Choco-Mix เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 08:56:40

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ เก็บดอกไม้ครับ โรคผิวหนังมีหลายสาเหตุมากๆเลยครับ 1.ได้ตั้งแต่การติดเชื้อทุกชนิด ทั้ง แบคทีเรีย ไวรัส หรือกลากเกลื้อนที่คุณถามก็เป็นการติดเชื้อราที่ผิวหนัง 2. ภูมิแพ้ผิวหนัง กลายเป็นผื่นแดงคันหรือเป็นตุ่ม 3. ความผิดปกติของโปรตีนหรือโครงสร้างของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังลอกเป็นแผ่นเป็นตุ่มน้ำ ยังมีอีกหลายสาเหตุมากครับ ส่วนเรื่องเชื้อราทั้งกลากและเกลื้อนจะรักษาให้หายขาดต้องตรวจให้แน่ใจก่อนว่าเป็นเชื้อราจริง โดยการขูดเอาผิวบริเวณที่เป็นผื่นไปตรวจดูเพื่อหาเชื้อรา จากนั้นก็กิน+ทายาฆ่าเชื้อรา ซึ่งพวกนี้ใช้เวลารักษาค่อนข้างนาน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นบริเวณไหนด้วย ส่วนมากใช้เวลารักษาอย่างน้อย 1 เดือน + ต้องหลีกเลี่ยงความอับชื้นต่างๆด้วย อย่างถ้าเป็นเชื้อราที่เล็บอาจต้องใช้เวลารักษานาน ถึง 6 เดือน ครับ จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 09:23:47

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ pinspin สำหรับการศึกษาเรื่อง Collagen กับข้อเข่าเสื่อมมีอยู่พอสมควร ล่าสุดก็ปีนี้องตีพิมพ์ลง  J Agric Food Chem ฉบับ 2012 Apr 25;60(16):4096-101. Epub 2012 Apr 16. ในหัวข้อ Effect of the novel low molecular weight hydrolyzed chicken sternal cartilage extract, BioCell Collagen, on improving osteoarthritis-related symptoms: a randomized, double-blind, placebo-controlled trial. โดยเปรียบเทียบกลุ่มคนไข้ข้อเข่าเสื่อม 80 คน ที่ได้รับ Collagen วันละ 2 g กับกลุ่มที่ได้ยาหลอก ในเวลา 35 และ 70 วัน โดยดูผลจาก 1.VAS คือคะแนนความเจ็บปวด นะครับ มี 1- 10 โดยให้คนไข้เป็นคนบอกคะแนนเอง พบว่ากลุ่มที่ได้รับ collagen มีคะแนนความเจ็บปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยาหลอก ในวันที่ 70 2. WOMAC score ง่ายๆก็คือเป็นคะแนนที่ใช้ประเมินคนไข้ข้อเสื่อมอะนะครับ เป็นคำถามเรื่องความเจ็บปวด การจำกัดของกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น เดิน ขึ้นบันได ไปช้อปปิ้งอะไรพวกนี้ ก็พบว่ากลุ่มที่ได้รับ collagen มี WOMAC score ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในวันที่ 35 และวันที่ 70 จากการศึกษานี้สรุปได้ว่า collagen ช่วยให้อาการข้อเข่าเสื่อมดีขึ้นได้และใช้เป็นการรักษาเสริมได้ครับ ป.ล.กำลังคิดว่าจะลองทดลอง hydrolyzed collagen ด้วยตัวเองอยู่เหมือนกันครับ ผมก็ไม่รีบนะ แก่ได้ แต่รอได้ไม่ต้องรีบมา 55 จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 09:43:16

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ จากคุณ : ชื่อคุณยังไม่ได้ลงทะเบียน เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 12:42:43

ความคิดเห็นที่ 30 [SKIN] เรารู้จักผิวหนังของเราดีแค่ไหน       -ความหนาโดยเฉลี่ย 1- 2 มิลลิเมตร ผิวหนังบางที่สุด คือที่หนังตา หนาประมาณ 0.5 มิลลิเมตร หนาที่สุดที่ส้นเท้าประมาณ 4 มิลลิเมตร จากคุณ : megamovie ส้นเท้า - ที่หนานั้น คือ หนังกำพร้า (epidermis) หนังกำพร้า เอาไปฟอกไม่ได้ หนังแท้ (dermis) หนาที่สุดที่หลังครับ หนังแท้ เอาไปฟอกแล้วนำมาทำ รองเท้า ฯลฯ สมัยก่อน เขาใช้หนังวัว (หลังวัว) ทำพื้นรองเท้า หนังที่ท้องวัวทำส่วนบนของรองเท้า จากคุณ : มะม่วงกะล่อน เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 15:56:45

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณมากค่ะ มีประโยชน์มากมาย แอบตกใจกับภาพขยายของผิวหนังเล็กๆค่ะ (น่ากลัวแท้ >.<) /me อยากรีบบึ่งไปถอยป้าพอลล่ามายกเซต ว่าแต่ AHA/BHA ควรเลือกใช้แค่ตัวใดตัวนึง หรือควรจัดทั้งคู่เลยคะ? จากคุณ : ข้าวปั้นตัวอ้วนกลม เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 21:53:46

ความคิดเห็นที่ 32 คุณข้าวปั้นตัวอ้วนกลมครับ AHA/BHA ต่างกันที่คุณสมบัติในการละลายครับ AHA ละลายในน้ำ BHA ละลายในไขมัน ดังนั้นคนที่เป็นสิวอุดตัน สิวหัวดำ ใช้ BHA เพราะจะสามารถลงไปในรูขุมขนที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบเยอะได้ดี ส่วน AHA เหมาะกับคนทั่วไปที่ไม่มีสิวอักเสบ แต่มีผิวหนังที่อาจจะหยาบ ไม่สม่ำเสมอ จำไว้ว่าถ้ามีสิวอักเสบอย่าใช้ AHA ครับ จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 22:36:00

ความคิดเห็นที่ 33 ถ้าไม่อยากเสียตังค์ จะสามารถหา AHA  BHA ได้จากอาหารหรือผลไม้ ชนิดไหนค่ะ แบบว่า จน จากคุณ : สักวันเราคงจะรู้จักกัน เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 00:23:34

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : enduresexy เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 03:00:14

ความคิดเห็นที่ 35 คุณ สักวันเราคงจะรู้จักกัน ครับ AHA เป็นสารสกัดครับ มีกรดหลายชนิดสะกัดมาจากพืช ผลไม้หลายชนิด เช่น กรดไกลโคลิก ซึ่งได้มาจากอ้อย กรดแล็กติกได้จากนมเปรี้ยว กรดมาลิก ได้จากแอปเปิ้ล กรดทาร์ทาริก ได้จากมะขามหรือไวน์ที่บ่มนานๆ กรดซิตริกได้จากผลไม้จำพวกส้มชนิดต่างๆ แต่สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ AHA จะมีผลอย่างที่บอกคือกระตุ้นการผลัด cell ผิวได้ต้องมีความเข้มข้น 4-15% และในช่วง pH หรือภาวะความเป็นกรดด่างที่เหมาะสม ที่ pH เป็นกรดระหว่าง 3-5 ซึ่งเกรงว่าผลไม้ที่จะเอามาใช้สดๆ คงไม่มีความเข้มข้นของกรด และ pH ที่เหมาะสมครับ จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 09:38:51

ความคิดเห็นที่ 36 ได้ความรู้มากเลยค่ะ เป็นคุณหมอderm หรือเปล่าคะเนี่ย จากคุณ : v two o five เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 11:05:14

ความคิดเห็นที่ 37 เพิ่มเติมสำนวนใน # 22 ครับ เชื้อไทย ใจญี่ปุ่น หุ่นยิว ผิวพม่า นัยน์ตาแขก เชื้อไทย = คนไทยเหมือนกัน ใจญี่ปุ่น = แม่บ้านแม่เรือน ปรนนิบัติสามีดี หุ่นยิว = ส่วนเว้า ส่วนโค้งแสนเซ็กซี่ ผิวพม่า = ผิวขาว เนียน นัยน์ตาแขก = ดวงตาสวย ปล. ผมได้ยินสำนวนนี้มาก่อน ขาว สวย หมวย เอ๊กซ์ เสียอีก จากคุณ : alisia13th เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 12:08:10

ความคิดเห็นที่ 38 จดๆ เราเหมาะกับ BHA สินะ อุดตันๆๆๆๆ จากคุณ : Choco-Mix เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 12:25:52

ความคิดเห็นที่ 39 คุณ V two O five ยังเป็นหมอเฉยๆครับ ยังไม่ derm แต่สนใจเรื่องผิวหนัง เอาไว้ดูแลตัวเอง+ให้คำแนะนำครับ คุณ alisoa13th แหร่มเลย ขอบคุณครับ เชื้อไทย ใจญี่ปุ่น หุ่นยิวนี่เพิ่งเคยได้ยินเลยนะครับ คุณ Choco-mix ใช้ใหิเหมาะกับปัญหาผิวนะครับ ถ้าช่วงไหนที่สิวอุดตันดีขึ้นไม่มีสิวอักเสบแล้วก็กลับมาใช้ AHA ครับ จากคุณ : megamovie เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 12:35:19

ความคิดเห็นที่ 40 ที่ต้นกระทู้ข้อ 2 น่าจะพิมพ์ผิดนะครับ อากาศร้อนเส้นเลือดฝอยจะขยายเพื่อระบายความร้อน จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 12:41:59

ความคิดเห็นที่ 41 คุณmegamovie พอดีอ่านแล้วนึกถึงเพื่อน เรามีเพื่อนรักเป็นคุณหมอdermอ้ะค่ะ จากคุณ : v two o five เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 12:53:05

ความคิดเห็นที่ 42 ต้องอาบน้ำบ่อยๆและขัดขี้ใคลบ่อยๆแล้วละเรา จากคุณ : june_ju เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 13:44:56

ความคิดเห็นที่ 43 ผมสนใจ Kojic Acid กับ Kojic acid dipalmitate ครับ ใช้เป็น Whitening agent  เท่าที่หาข้อมูลมาพบว่า Kojic acid dipalmitate มี stability ที่ดีกว่า แต่ยังไม่สามารถหา regiment เกี่ยวกับ dose ทั้ง 2 รูปแบบ และยังหาผลการวิจัยทาง clinic ไม่ได้ พบแต่ผลวิจัยใน lab แบบ in-vitro ครับ เลยมาขอความรู้จากคุณหมอ megamovie ในเรื่อง Kojic หน่อยครับ จากคุณ : as580 (as580) เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 14:31:31

ความคิดเห็นที่ 44 ขอติดตาม คห. 43 ด้วยอีกคนค่ะ  แอบสนใจเรื่อง Kojic Acid ด้วยค่ะ  เพราะเคยอ่านเจอว่าช่วยเรื่องการรักษาฝ้ากระได้ค่ะ หรืออยากได้คำแนะนำเรื่องการรักษาฝ้ากระให้จางลง  โดยไม่ต้องเลเซอร์ค่ะ   เพราะเคยไปทำเลเซอร์แล้ว  ก็ยังกลับมาอยู่บนใบหน้าอีกเช่นเดิม  แถมพาลูกหลานมาอีกเพียบเล๊ยยย...   คืออยากให้จางลงให้ดีใจบ้าง  แบบประมาณหนีไปเที่ยวแว๊บๆ จากใบหน้าก็ยังดีค่ะ   จากคุณ : sailyacht เขียนเมื่อ : 2 พ.ย. 55 02:32:13

ความคิดเห็นที่ 45 อ่านกระทู้แล้วเลยเกิดสงสัย ไปเจอเอา Gold peptan ส่วนผสมมันคือ Water(น้ำ...ถ้าเราดื่ม 2-4 ลิตรและออกกำลังกายช่วยขับของเสียและขับเคลื่อนอาหารของร่างกายให้อาหารใหม่เข้าสู่ร่างกายทุกวัน ทั้งนี้ทั้งนั้น รับประทานอาหารที่พิษน้อยเท่าที่ทำได้) Hydrolysed Collagen(ร่างกายผลิตได้เรื่อยๆ แต่หากร่างกายเสื่อมก็ทำงานได้น้อยลง หากแต่เรายังยึดหลักข้อที่แล้ว ก็น่าจะเป็นการกระตุ้นด้วยเหมือนกันแต่ต้องใช้เวลาใช่หรือไม่คะ) Glucose-Fructose Syrup(ดื่มน้ำผลไม้ หรือทานผลไม้สด บางชนิดทานเปลือกด้วยได้วิตามินตัวอื่นเสริมด้วย ดีกว่าทานสำเร็จรูปตัวนี้มั๊ยคะ) Acidity regulator: Citric Acid(ดื่มน้ำเยอะๆหรือน้ำผลไม้ ยังไม่เพียงพอหรือคะ จำเป็นต้องปรับค่าด้วยตัวนี้หรือคะ ซดน้ำมะนาวทดแทนตัวนี้ดีไหมคะ) Soybean Polysaccharide(ดื่มนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้ หรือเต้าหู้ อาหารหรือของขบเคี้ยวประเภทถั่วทั้งหลายผสมกันจะดีกว่าหรือไม่คะ) Acidity regulator: Malic Acid(ทานแอปเปิ้ลเชอร์รี่ก็ได้ ถ้ามันแพง ซื้อเอาเป็นผงกิโลละ 240 บาทผสมน้ำดื่มดีมั๊ยคะ) Antioxydant: Asorbic Acid (Vitamin C)(วิตามินนี้อีกแล้ว ตั้งแต่เห็นส่วนผสมมาก็มีแต่พวกนี้ อยากรณรงค์ให้ทานมะนาว เพื่อเพิ่มความต้องการตลาดมะนาวในประเทศจริงๆ) Flavouring substances(ทานผลไม้มันก็ได้อารมณ์ของตัวนี้นะ) Hyaluronic Acid(ร่างกายผลิตได้เองอยู่ใช่หรือไม่คะ) Borage Oil (Borago Officinalis) (Solvent: Glycerol, Emulsifier: Soy Lecithin) D-á-tocopherol (vitamin E),(คล้ายน้ำมันอิฟนิ่งพริมโรสหรือเปล่าคะ หาทดแทนกันได้ในปลาน้ำลึก น้ำต้ืนที่หนังหนาๆมันๆได้ไหมคะ) N-acetylglucosamine(ตัวนี้ดูจะช่วยให้หายปวดข้อต่อ หาตัวนี้ทานเสริมได้ไหมคะ หรือต้องทานคู่กับสารตัวไหน) Sweetener: Sucralose(ถ้าชอบหวานก็จำเป็นต้องใช้ "รสหวานทานง่าย" 55555) Pyridoxine Hydrochloride (vitamin B6)(วิตามินสังเคราะห์ ความสามารถและการคงอยู่ในร่างกายน้อยกว่าวิตามินจากธรรมชาติตั้งเกือบครึ่ง ต้องกินเกินปริมาณที่ต้องการเพื่อจะได้ครบตามที่ร่างกายต้องการ...เสร็จแล้วก็ทานอาหาร เอ๊า...เกินเข้าไปใหญ่ ซื้อวิตามินมาย้อมสีปัสสาวะกันทำไมเนี่ยะ) Extract of Black Pepper (Piper Nigrum)(กินพริกไทยดำก็จะดีกว่ามั๊ยคะ) ที่กล่าวมาทั้งหมดขอถามผู้เชี่ยวชาญทางนี้ อยากทราบคำตอบที่เป็นจริง มากกว่าข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตหรือว่าเอกสารบางอย่างบอกมา และอีกเจตนา....ประชดค่ะ....ประชดคนที่ไม่จำเป็น แต่ยังเสียเงินไปซื้อ ตัวอย่างของส่วนผสมข้างต้นมาจากผลิตภัณฑ์หนึ่งที่มีราคาแพงมาก ขวดนึงหลายร้อย ขายแพคละ 10 ขวด ถามว่าจำเป็นไหม บางคนอาจจะจำเป็น แต่ถ้าลองอ่านฉลากก่อนซื้อและหาความรู้ แม้จะงูๆปลาๆ เราก็มีห้องหว้ากอให้มาถามคนที่มีความรู้ไม่ใช่หรือคะ จะได้ไม่ต้องเสียเงินอย่างไร้ประโยชน์ เรื่องของเรื่องคือ ดิฉันทำงานเกี่ยวกับสุขภาพความสวยความงาม มนุษย์ปกติ(ดิฉันผิดปกติค่ะ 55555)มักจะมาถามว่า ทำยังงัยให้หน้าใส ให้ไม่มีสิว ให้ดูเด็ก ทานอะไรดี ทาอะไรดี พอบอกก็ขี้เกียจกัน "ทานอาหารปกติผักเยอะๆ เอาเหงื่อทาหน้า" !!!! ดิฉันไม่ได้ต่อต้านอาหารเสริม ส่วนตัวพอเข้าหน้าหนาวต้องทานเยอะมาก มากจนลืมความอร่อยของอาหารไทยไปเลย เพราะหาซื้อยากและไม่สด ต้องพึ่งพาอาหารเสริม ไม่เช่นนั้นเกาตัวลาย ขนาดทานข้าวแดงก็แล้ว พืชผักผลไม้ ปลาน้ำลึกก็แล้ว เพราะความที่ได้กรรมพันธุ์ผิวแห้งจัดมากมาจากฝั่งพ่อเต็มๆ แต่ไม่ตะบี้ตะบันทาน เพราะถ้ามันเหลือก็ขับลำบากเพราะหน้าหนาวไม่มีเหงื่อให้ออกเลย เห็นสาวๆหลายคนอยากผอมแต่ทานวิตามินบีสังเคราะห์เสริม ก็อยากอาหารแต่ก็อดกันตาลายคล้ายจะเป็นลม ฮ่าๆๆๆ....ดื้อแท้น๊อคนเรา บางคนอดอาหาร ทานยา สารพัด แต่ไม่ออกกำลังกายให้ตัวกระชับ ก็มาบ่น ทำไมพุงออก ทำไมอ้วน ผิวดูคล้ำ ดูหมอง บลาๆๆๆ......แหมๆๆๆๆๆ.....พอละ เดี๋ยวจะดราม่าปล่าวๆ แหะๆ จากคุณ : นั่นน่ะซิ เขียนเมื่อ : 2 พ.ย. 55 03:45:01

ความคิดเห็นที่ 46 กระทู้หว้ากอที่ห้องแป้งต้องอ่าน ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ ครับ จากคุณ : Lucky Man. เขียนเมื่อ : 2 พ.ย. 55 07:17:12

ความคิดเห็นที่ 47 สรุปว่า สิ่งสำคัญคือการให้ผิวหนังผลัดเซลล์ที่ตายแล้ว และให้ผิวใหม่เกิดขึ้นมาแทนที่ เข้าใจถูกรึเปล่าค่ะ ถ้าผิดช่วยแก้ด้วยนะค่ะ. ในห้องแป้ง มีหลายสูตรที่ทำหน้าใส เช่น ใช้ครีมมะขาม หรือสูตรสมุนไพรต่าง ๆ พวกขมิ้นอะไรเหล่านี้ ช่วยในการผลัดผิวได้มากน้อยแค่ไหนค่ะ อีกอันคือการใช้ยีสต์และนม น้ำผึ้ง พวกนี้ เป็นสูตรที่เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนตามหลักวิชาการค่ะ จากคุณ : this is jenni เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 03:53:58

ความคิดเห็นที่ 48 เข้ามาดูหนัง จากคุณ : โควี เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 10:45:28

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณมากครับ ขออนุญาตเอา ไปแปะในเพจ เพื่อการเรียน อนาโตมี่ ของผม หน่อยนะครับ -/|\- ถ้าจะตามไปอ่าน ขอที่อยู่ หลังไมค์ได้นะครับ แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 55 08:58:37 จากคุณ : dip kid เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 19:20:44