เข้ามาให้ข้อมูล เรื่องการได้พบเห็นลูกไฟแม่น้ำโขงโผล่ขึ้นที่ริ่มตลิ่งฝั่งไทยอย่างใกล้ชิดกันอีกสักหน เรื่องเกิดขึ้นในวันออกพรรษา (ประมาณปีพ.ศ. 2549)
ขอยืนยัน ว่าผมเคยได้เห็นมากับตา ว่าลูกไฟดังกล่าวเป็นสิ่งที่พุ่งขึ้นมาจากใต้น้ำจริงๆ
โดยเป็นการได้เห็นมันพุ่งขึ้นมาจากจุดเดียวกันอย่างต่อเนื่องถึง 4 ลูก
ตำแหน่งที่ได้เห็น
คือริมตลิ่งของท่าน้ำวัดไทย (วัดชื่อ "วัดไทย") อ.โพนพิสัย หนองคาย โดยจุดที่มันผุดพุ่งขึ้นนั้นอยู่ห่างจากชายตลิ่งออกไปแค่ 2, 3 เมตรเท่านั้น ต่อหน้าต่อตาผู้คนนับพันที่มาจากทั่วสารทิศเพื่อรอเฝ้าชมปรากฏการณ์ลูกไฟแม่น้ำโขงนี้
ซึ่งจุดที่ๆตัวผมดูอยู่ จะห่างจากจุดเกิดลูกไฟดังกล่าวออกมาประมาณ 15 เมตร
โดยอยู่บนพื้นที่ริมตลิ่งที่มีความชันขึ้นมาอย่างไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป กับทั้งไม่มีอะไรมาบดบังทัศนวิสัย ทำให้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวได้ชัดเจน (แน่นอนว่าผมได้มองเห็นกลุ่มคนที่เขาลงไปปักหลักนั่งกันอยู่ชิดริมน้ำ กำลังแตกตื่นตกใจพากันถอยกรูดออกมาขณะเกิดเหตุด้วยเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าลูกไฟจะไปโผล่ขึ้นต่อหน้าพวกเค้าอย่างนั้น)
สภาพแสงสว่างในพื้นที่ขณะนั้น
มีแสงสว่างอย่างเพียงพอจากหลอดฟลูออเรสเซนแบบยาว ซึ่งทางวัดได้นำไปบริการติดตั้งอำนวยความสะดวกไว้ประชิดชายริมตลิ่ง ห่างจากจุดที่มีลูกไฟพุ่งขึ้นมาราว 2 เมตรกว่าๆ จึงทำให้มีแสงสว่างอย่างเพียงพอที่จะสังเกตรายละเอียดของปรากฏการณ์นี้ได้อย่างชัดเจน ครอบคลุมทั้งบริเวณผิวน้ำ และส่วนที่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำได้อีกพอสมควร หากจะมีใครหรือมีอะไรซ่อนหรือดำผุดดำว่ายอยู่ข้างใต้ผิวน้ำตรงนั้น
ลักษณะการปรากฏของลูกไฟแม่น้ำโขง
มันเป็นอะไรบางอย่างที่พุ่งผ่านน้ำขึ้นมาอย่างแรง ได้ยินเสียงดัง พุ่บ!
พร้อมกับน้ำที่ระเบิดกระเซ็นตัว กระจายตามขึ้นมาได้สูงถึง 2, 3 เมตร
(ก่อนจะตกตกกลับลงไปกระทบกับผิวน้ำ เป็นเสียงน้ำสาดกระทบกัน)
ซึ่งในช่วงแรกนี้จะยังมองไม่เห็นว่ามีดวงไฟหรืออะไรอยู่ตรงนั้น
แต่จะเริ่มมองเห็นเป็นดวงไฟปรากฏขึ้น เมื่อพ้นจากระยะยอดของน้ำกระจายตัวขึ้นไปแล้วเล็กน้อย โดยจะเห็นเป็นดวงสว่างสีแดงอมชมพู พุ่งต่อขึ้นไปด้านบนนั้นอย่างเร็ว โดยเป็นดวงไฟที่พุ่งขึ้นไปโดยไม่ให้สุ้มเสียงอื่นแม้แต่เสียงแหวกอากาศ ไม่ทิ้งแนวควัน และสะเก็ดไฟอะไรไว้ โดยขึ้นไปสูงราว 30 เมตร หรือมากกว่านั้น ก่อนจะหายไปเฉยๆ ไม่มีอะไรตกลงมา ปราศจากสิ่งใดหล่นกลับลงมาตกกระทบผิวน้ำอีก
ขณะเกิดเหตุ มีสายตาผู้คนนับพันช่วยกันมองดูตรงนั้น
ทั้งช่วงที่กำลังเกิด และหลังจากนั้น ก็ไม่พบว่ามีใคร หรือมีตัวอะไร หรือมีเครื่องไม้เครื่องมืออะไร ที่อาจจะเป็นสิ่งสร้างลูกไฟดังกล่าวให้ปรากฏขึ้น ทั้งส่วนที่อยู่บนผิวน้ำกับใต้น้ำ หรือส่วนที่อยู่ในพื้นที่บริเวณนั้นเลย
เสียดายว่าผมไม่รู้จักว่าคนนับพันในคืนนั้นเป็นใครอยู่ที่ไหนกันบ้าง รู้แต่เพียงว่าโฆษกริมตลิ่งในคืนนั้นก็ได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วย เพราะเขายังนำเรื่องนี้ไปพูดออกไมค์ชวนคนให้หันไปดูกันอยู่ขณะที่มีลูกไฟกำลังทยอยพุ่งขึ้นมาในจุดนั้น ซึ่งเชื่อแน่ว่าคืนนั้นไม่มีใครหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปได้ทันเพราะไม่คาดคิดว่าจะมีลูกไฟพุ่งขึ้นประชิดขอบตลิ่งขนาดนี้ อีกทั้งปี 49 กล้องดิจิตอลก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลายขนาดนี้ด้วย
-----------------------------------
- สำหรับลูกไฟชุดที่ได้พบเห็นอย่างใกล้ชิดตามที่เล่ามาทั้ง 4 ลูกนี้
เป็นการพุ่งขึ้นไปที่ค่อนข้างตรง เรียกว่าทำแนวเกือบจะ 90 องศากับผิวน้ำ
จึงยืนยันตัวมันเองได้ ว่าไม่ใช่การที่มีใครมายิงอะไรให้ไปกระทบผิวน้ำแล้วสะท้อนกลับขึ้นไปอย่างแน่นอน
- การที่ลูกไฟแม่น้ำโขง ไม่ใช่สิ่งที่จะเริ่มส่องแสงสว่างในทันที แต่จะเริ่มสว่างขึ้นมาเมื่อพ้นระยะจากผิวน้ำขึ้นไปแล้วพอสมควร จะทำให้ผู้ถ่ายรูปลูกไฟที่เกิดขึ้นดังกล่าวจากระยะที่ไกลออกไป เกิดความไขว้เขวถึงจุดกำเนิดได้ง่ายมาก เพราะอาจมองไปได้ว่าดวงไฟดังกล่าวมีจุดเริ้มต้นอยู่บนบก เพราะดุจากในภาพแล้วจะเริ่มมองเห็นแสงได้ตั้งแต่แนวยอดไม้ขึ้นไป
- ความเข้าใจว่าลูกไฟแม่น้ำโขง จะลอยช้าๆ และลอยไปในแนวนอนเท่านั้น
นี่เป็นความเข้าใจที่ไม่ตรง ผิดกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
เพราะลูกไฟดังกล่าวคือดวงสีแดงอมชมพู ที่พุ่งสูงขึ้นไปอย่างมีความเร็วและแรง
ซึ่งโดยมาก็คือดวงไฟตามถ่ายรูปที่ไปถ่ายกันมาได้นั่นแหละ
เพียงแต่คนก็มีอาวุธยุทโธปกรณ์บางอย่างที่ให้ภาพออกมาได้ใกล้เคียงเช่นกัน เป็นกระสุนส่องวิถีอะไรนั่นเท่านั้นเอง
ดังนั้นการที่จะออกมาสรุปว่า
"เพราะคนทำได้ ฉะนั้นดวงไฟที่เห็นทั้งหมด จึงมาจากการกระทำขึ้นของคน"
ใครด่วนสรุปออกมาอย่างนี้ก็เป็นทรรศนะที่คับแคบ
เพราะเป็นการว่าไปตามข้อมูลยังไม่ครอบคลุม และไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงเช่นกันครับ
-----------------------
วิธีการที่อยากจะเสนอแนะ และไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรงที่คนๆหนึ่งจะรู้ตามได้
เนื่องจากโอกาสที่จะไปประจวบเหมาะ ได้เห็นดวงไฟมาปรากฏอยู่ริมตลิ่งในพื้นที่ๆแสงสว่างพอเพียง อย่างที่ผมเคยได้เห็นมาแล้วนี้ หา%ประจวบเหมาะให้เกิดขึ้นได้ยากมาก ...ดังนั้น
- ควรลองไปสังเกตจากฝั่งลาว แยกกระจายกันไปตามพื้นที่ต่างๆจะได้เพิ่มโอกาสพบเห็นดวงไฟ โดยให้มองกลับเข้ามาที่ฝั่งไทย หรืออย่างน้อยก็ออกเรือไปทอดสมออยู่บนแม่น้ำโขงเพื่อเฝ้าดู
เพื่อจะได้มีข้อมูลชัดเจนขึ้นมาเอง ว่าดวงไฟดังกล่าวเกิดจากในน้ำ หรือเกิดแต่บนแผ่นดินกันแน่