ความคิดเห็นที่ 1 ผมว่ามันรวมอยู่ใน สัมประสิทธิ์แรงเสียดทานไปแล้วครับ แต่ว่าตามหลักสูตรที่เรียนมาจนถึงม.6 ผมไม่เคยเรียนว่า สัมประสิทธิ์แรงเสียดทานนั้นขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง เจอแต่โจทย์ที่บอกว่า กำหนดให้สัมประสิทธิ์แรงเสียดทานสถิตย์เท่ากับ... แรงเสียดทานจลย์เท่ากับ...ตลอด จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 12:51:01

ความคิดเห็นที่ 2 ผมว่าถ้าจะเอาโดยละเอียด แล้วขึ้นกับขนาดผิวสมัผัสด้วยนะ แต่ถ้าเอาแบบหยาบ ๆ หรือเอาแบบผิวสัมผัสคู่เดียวกัน มันค่อนข้าแปรผันเป็นเชิงเส้น กันแรงกด แล้วมันขึ้นกับชนิดของผิวสัมผัส ซึ่งต้องหา สัมประสิทธิ์อีก เลยไม่รู้จะกำหนดตัวแปรซับซ้อนไปทำไมมากมาย ค่าสัมประสิทธิ์เพี้ยนนิดเดียว อย่างอื่นแทบไม่มีผล(ทางการคำนวณ) ทีนี้เวลาสอนชั้นมัธยม เลยสรุปใช้ไปก่อน จะเอาลึกกว่านี้ก็ต้องวิจัยกันไป จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 12:52:30

ความคิดเห็นที่ 3 ยางชนิดหนึ่งหน้าแคบ ถนนเดียวกัน รถเดียวกัน สปส แรงเสียดทาน1 ยางชนิดที่สอง หน้ากว้าง ถนนเดียวกัน รถเดียวกัน สปส แรงเสียดทาน2 ยางทำจากวัสดุเดียวกัน ไม่มีลาย สปส แรงเสียดทาน1 เท่ากับ สปส แรงเสียดทาน2 หรือไม่?? ผมว่าไม่ ท่านอื่นว่าไง แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 55 12:56:34 จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 12:55:50

ความคิดเห็นที่ 4 ^ ^ สปส. แรงเสียดทานเท่ากันครับ  เพราะ สปส. แรงเสียดทาน (Coefficient of Friction) คล้ายๆ กับคุณสมบัติของวัสดุ เพราะฉะนั้น ยางชนิดเดียวกัน ถนนเดียวกัน ค่า u น่าจะเท่ากัน แต่แรงเสียดทาน (Friction Force) นี่อาจจะไม่เท่ากันก็ได้มั้ง  จำไม่ค่อยได้ละ ต้องไปดูก่อน ปล. แต่ Friction มันมีหลายแบบ คิดว่าที่เรียนๆ ตอน ม.ปลาย จะเป็น static friction มากกว่า ดังนั้นขนาดพื้นที่เลยไม่น่าเกี่ยว แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 55 13:35:58 จากคุณ : EITHER เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 13:33:16

ความคิดเห็นที่ 5 สับสน ไปเอาคำตอบที่ผิด มาเป็นคำตอบที่ถูกละมั้ง ? อันนี้ ป.ตรีพระจอมเกล้า  ข้อ 1 ผิด 2, 3, 4   ถูกต้องทั้งหมด   ดังนั้น " ขนาดของแรงเสียดทานขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของผิวสัมผัส " จึงถูกต้องแล้ว จากคุณ : Autha เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 13:41:41

ความคิดเห็นที่ 6 แต่ในหนังสือเรียนทุกวันนี้ของประเทศไทยเขาเขียนไว้เลยครับว่า "แรงเสียดทานไม่ขึ้นอยู่กับขนาดหรือพื้นที่ของผิวสัมผัส" แล้วจะอธิบายนร.อย่างไรครับ? ปล. เอามาจากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม. ต้น ครับ จากคุณ : ekgapoomj เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 13:42:19

ความคิดเห็นที่ 7 เพิ่มเติมครับว่าข้อความที่ผมโพสบอกข้างบน เอามาจาก หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของ สสวท. ครับ จากคุณ : ekgapoomj เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 13:45:17

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าเอามาจากหนังสือเรียน จขกท. ถ้าหากอยู่ในวงการศึกษาก็อยากจะให้ ไปแจ้งแก้ไขก็จะดี  เพราะเท่าที่เคยเห็นมาก็มีการปรับปรุงและแก้ไขกันมาตลอด เหมือนกัน เคยแย้งเรื่องการเรียนการสอนคณิตของเด็ก ม.ต้น  แต่กว่าจะแก้ไข เวลาก็ผ่านไปนาน กว่าหนังสือเรียนใหม่จะออกมา เด็กก็โตไปสองสามชั้นแล้ว จากคุณ : Autha เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 14:22:32

ความคิดเห็นที่ 9 จริงๆมันเกี่ยวครับแต่สมการมันตัดกันเองจนหายไป เพราะพื้นผิวสัมผัสที่มากขึ้น แรงกดต่อพื้นที่มันก็น้อยลงครับ ยกตัวอย่างสมมุติรถยนต์ 2 คัน แต่ล่ะคันหนัก 100 นิวตัน คันหนึ่งหน้ายางสัมผัสถนน 1 ตร.ม. อีกคัน สัมผัส 10 ตร.ม. สัมประสิทธ์แรงเสียดทาน ของยางต่อถนน เหมือนกันคือ 1 ถ้าคิดเป็น ตร.ม. แล้วจะได้ว่า คันแรก มีแรงกด 100N ต่อ ตร.ม. มีแรงเสียดทานทั้งหมด 100N ทีนี้มาคิดคันที่สอง จะได้ว่า คันที่สอง มีแรงกด 100N ต่อ 10 ตร.ม. เพราะฉนั้น 1 ตร.ม. มีแรงกด 100/10 มีแรงเสียดทานต่อ 1 ตร.ม. เท่ากับ 10N แต่คันนี้มีพื้นผิวสัมผัสอยู่ทั้งหมด 10 ตร.ม. จึงมีแรงเสียดทานทั้งหมด 10x10 = 100N เท่ากันพอดีครับ ปล.ผมสมมุติเลขให้ลงตัวเข้าใจง่ายเฉยๆนะครับ อย่างขำความไม่สมจริงของตัวอย่างล่ะ แหะ แหะ จากคุณ : TITAN11 เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 14:24:58 A:110.164.127.190 X: TicketID:309862

ความคิดเห็นที่ 10 "ทำไมขนาดของแรงเสียดทานจึงไม่ขึ้นกับขนาดของพิ้นผิวสัมผัสของวัตถุ -- Ff = coefficient of friction x N coefficient of friction = Ff/N coefficient of friction = (Pf X A) / (Pn X A)---- A พท.เดียวกัน coefficient of friction = dimensionless scalar จากคุณ : Hongse_c เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 14:29:08

ความคิดเห็นที่ 11 ผมเคยเรียนมาวาามันไม่ขึ้นนะ เพราะแรงกดมันก้อกระจายไง งงป่าว จากคุณ : เทส เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 14:34:10 A:27.55.156.104 X: TicketID:378274

ความคิดเห็นที่ 12 ขึ้นสิ รถยางชนิดเดียวกัน หน้ากว้างต่างกัน แรงเสียดทานก็ต่างกันอย่างแน่นอน ผมว่าตาม ความคิดเห็นที่ 2 จากคุณ : puylogin เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 14:50:33

ความคิดเห็นที่ 13 เอาจริงๆมันขึ้นครับ แต่ในระดับทั่วไปโดยที่... พื้นผิวสัมผัสเรียบและสัมผัสสนิทเต็มพื้นผิว วัสดุเป็นเนื้อเดียวกับหมดทั้งพื้นสัมผัส รวมถึงความเร็วในการเคลื่อนที่ไม่สูงนัก (รวมถึงสถิตด้วย) แรงเสียดทานจะขึ้นอยู่กับแค่ "น้ำหนัก" ล้วนๆเลย เพราะว่าแรงเสียดทานเกิดจากแรงทางไฟฟ้าที่อะตอมของผิวสัมผัสครับ แรงกดจากน้ำหนักจะเพิ่มๆลดๆตามน้ำหนัก ต่อให้พื้นที่เปลี่ยนไป ขนาดหน้าตัดที่เปลี่ยนก็จะสัมพันธ์กับแรงกดเฉลี่ยต่อพื้นผิวแบบเชิงเส้นอยู่ดี เราเรียกสิ่งนี้ว่า Coulomb approximation ครับ แต่ถ้าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ว่า แรงเสียดทานจะขึ้นกับผิวสัมผัส และขึ้นกับความเร็วอีกด้วย จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 15:39:59

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่ขึ้นกับพื้นที่ครับตามที่อธิบายด้านบน ไอ้หน้ายางกว้างนั่นมันเพื่อกระจายแรงที่กระทำต่อหน้ายางและผิวถนนเพื่อให้ แรงกระทำต่อพื้นที่มันลดลง เพื่อไม่ให้ หน้ายางฉีกขาดติดแป็นคราบดำๆที่ถนนหรือหน้าดินตระกุยขึ้นมาต่างหาก อันนั้นเค้าทำให้กว้างเพื่อให้มันใช้แรงเสียดทานได้เต็มที่ใกล้เคียงค่าที่คำนวณได้ ยกตัวอย่างจากด้านบนใน#9 จะเห็นได้ว่าทั้งสองคันมีแรงเสียดทานรวมเท่ากันนะครับ สมมุติให้รถสองคันนั้นใช้ยางที่มี treadwear ต่ำมาก เนื้อยางนิ่มมากสามารถทนมอลดูลัสเฉือนได้ 90N/m2 ก่อนหน้ายางจะฉีกขาดหลุดติดถนนไป จะเห็นได้ว่าคันแรกมีมอดูลัสเฉือนที่หน้ายางเท่ากับ 100 N/m2 แต่ยางรับได้แค่ 90N/m2 ผลคือ หน้ายางหลุดออกติดถนนเป็นรอยเบรคดำๆที่เห็นกันนั่นแหละครับ แล้วแรงเสียดทานที่เบรครถจะลดเหลือแค่ 90N เพราะหน้ายางหลุดที่ 90N แล้ว แต่คันที่สองที่มีหน้ายางกว้างกว่าจะมีมอดูลัสเฉือนที่หน้ายางเท่ากับ 10 N/m2 เท่านั้น ซึ่งไม่เกิน 90N/m2 ทำให้หน้ายางไม่หลุดออกที่แรงเบรค 100N จึงสามารถเบรคได้เต็มที่ ที่ 100N เลย จากคุณ : TITAN11 เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 15:46:44 A:110.164.127.190 X: TicketID:309862

ความคิดเห็นที่ 15 ....         แรงเสียดทาน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับขนาดความกว้างของผิวสัมผัสครับ และที่มาของ สปส. แรงเสียดทาน ก็ไม่มีขนาดของพื้นที่สัมผัสเกี่ยวข้องใดๆครับ จาก สมการ F=μN  นั้น ไม่มีพื้นที่สัมผัสครับ  สำหรับยางหน้ากว้างนั้น แรงเสียดทานลดลงครับ เพราะแรงกดลงพื้นลดลง แต่ที่ยางหน้ากว้างเกาะถนนกว่าเมื่อตอนเข้าโค้งก็เพราะ จุด CG ต่ำลงครับ                                                                                                          ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 18:02:49

ความคิดเห็นที่ 16 จาก  F  =  mN   เมื่อ N คงที่ หากพื้นที่ผิวสัมผัสต่างจากเดิม (ย่อมเกิด pressure ที่ผิวสัมผัสต่างจากเดิม)  แล้วเกิดแรงเสียดทานแตกต่างจากเดิม แสดงว่า  m นั้นเปลี่ยนไปตาม pressure หากพื้นที่ผิวสัมผัสต่างจากเดิม (ย่อมเกิด pressure ที่ผิวสัมผัสต่างจากเดิม)  แล้วแรงเสียดทานยังคงเดิม แสดงว่า  m ไม่เปลี่ยนไปตาม pressure ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไร ให้ท่านไปถกกันเอาเอง จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 19:08:23

ความคิดเห็นที่ 17 มันเป็นจริงเมื่อใช้กับพื้นผิวในอุดมคติครับ พื้นผิวของจริงที่ใกล้เคียงที่สุด ก็คือพื้นผิวที่แข็งและเรียบ สำหรับยาง มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพราะยางมันเป็นวัสดุที่ยืดหยุ่น ที่เข้าสอนเด็กแบบนั้น  เพราะว่าถ้าจะเอาให้มันลึกและจริง  เด็กคงงงตายชัก จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 21:05:53

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นด้วย 17 จริง  ๆ แล้ว ขนาดมีผล แต่ มันยากไป และผลมันน้อยกว่าแรง เอาความรู้หยาบ ๆ ไปก่อน แล้วค่อยปรับละเอียด เมืองไทยไม่ค่อยพูดถึงบริบทของความรู้เท่าใหร่ แบบว่าถ้าเรื่องนี้จริงมันจะจริงทุกกรณี ความจริงความรู้มันมีขอบข่ายทั้งนั้นนอกขอบข่ายมันก็ใช้ไม่ได้ จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 22:42:44

ความคิดเห็นที่ 19 ^ ผมว่าปัญหาของการสอนเมืองไทยที่ผมเจออยู่ตอนนี้มันคือ... ไม่มีใครบอกนี่แหละครับว่า แรงเสียดทานซึ่งไม่ขึ้นกับพื้นที่เนี่ยเป็นแค่การประมาณในกรณีจำเพาะแบบนึง (ซึ่งเวลาผมสอนผมก็จะบอกเด็กไว้เสมอ และบอกด้วยว่ากรณีอื่นมันยากเกินไป ไว้ค่อยไปเจออีกที) และผมว่ามันทำคนเข้าใจผิดไปหลายคนว่าแรงเสียดทานทุกชนิดไม่ขึ้นกับพื้นที่ผิวจริงๆ เพราะดันไม่ยอมบอกเลยนี่แหละ จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 23:35:18

ความคิดเห็นที่ 20 ขอสุตรที่ว่าขึ้นหน่อยครับ จากคุณ : เทส เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 03:02:22 A:27.55.144.186 X: TicketID:378274

ความคิดเห็นที่ 21 อยากเห็นการออกแบบการทดลองครับ ยังมองไม่เห็นภาพ เรื่องแรงเสียดทานสถิตย์ก็ได้ครับ ลองทำของ 2 ชิ้นที่น้ำหนักเท่ากันแต่พื้นที่ผิวต่างกัน วางบนพื้นผิวเดียวกัน แล้วออกแรงดันให้มันเลื่อนไป ถ้าแรงที่ใช้เพื่อให้ของทั้ง 2 ชิ้นเลื่อนไปมันเท่ากัน แปลว่าไม่ขึ้นกับขนาดผิว ถ้าแรงที่ใช้มันต่างกัน แปลว่าขึ้นกับขนาดผิวสัมผัส ใครมีอุปกรณ์วัด และบันทึกแรงดึงบ้างครับ ช่วยทำการทดลองแล้วรีวิวหน่อยครับ จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 09:06:09

ความคิดเห็นที่ 22 ....          ดูที่คลิปนี้ครับ นาทีที่ 3.04 เอกสารประกอบ สำหรับเว็บต่างประเทศ http://www.codecogs.com/reference/engineering/mechanics/laws_of_friction.php สำหรับภาษาไทย http://www.maceducation.com/e-knowledge/2432209100/16.htm http://www.school.net.th/library/snet3/move/law_newton/machanic.htm สำหรับคณิตศาสตร์ เนื่องจาก พื้นที่มันตัดกันหมดแล้วครับ ถ้าเอาพื้นที่มาคิด มันก็มีค่าเท่ากับ 1 ตลอด ไม่ว่าจะเพิ่มพื้นที่ขึ้นไปเท่าไร มันก็ค่าเท่ากับ 1 ครับ สำหรับฟิสิกส์ ยิ่งเพิ่มพื้นที่หน้าตัด แรงกดจะลดลงครับ จาก P=F/A ถ้ายิ่งเพิ่ม A ขึ้นไป P จะน้อยลงจนเป็น 0 ครับ เพราะฉนั้น ไม่ว่าจะเพิ่มพื้นที่ขึ้นไปเท่าไร แรงเสียดทานจะคงที่ครับ การจะเพิ่มแรงเสียดทาน มีเพียง 2 กรณีเท่านั้นก็คือ 1.เปลี่ยน สปส. แรงเสียดทาน 2. เพิ่มแรงกดลงให้มากขึ้น แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 55 14:34:16 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 55 14:16:31 จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 14:15:32

ความคิดเห็นที่ 23 ... http://www.maceducation.com/e-knowledge/2432209100/16.htm จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 14:19:52

ความคิดเห็นที่ 24 ... http://www.school.net.th/library/snet3/move/law_newton/machanic.htm จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 14:24:49

ความคิดเห็นที่ 25 แต่ที่ยางหน้ากว้างเกาะถนนกว่าเมื่อตอนเข้าโค้งก็เพราะ จุด CG ต่ำลงครับ ไม่ใช่แน่ครับ ถึงความสูงเท่าเดิม รถยางหน้ากว้างก็เกาะกว่าครับ cg นั่นก็อีกเรื่องครับ จากคุณ : puylogin เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 15:29:01

ความคิดเห็นที่ 26 ดู จากสมการ และรูป #10  และ #22 ยังมีใครคิดว่า พท.เกี่ยวอีกไหมครับ กลศาสตร์ อย่าไปอธิบายเยอะแยะ หลักสำคัญอยู่ที่สมการ ให้ทำความเข้าใจกับสมการ รู้ที่มาที่ไป ก็เข้าใจกลศาสตร์ .. จากคุณ : Hongse_c เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 15:56:14

ความคิดเห็นที่ 27 ว้าหาข้อมูลแย้งไม่ได้แฮะ  เชื่อแล้วครับ จากคุณ : puylogin เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 16:09:43

ความคิดเห็นที่ 28 ...          มาต่อเรื่อง CG กันครับ ยางหน้ากว้าง ทำให้ฐานกว้างขึ้นครับ เมื่อฐานกว้างขึ้น CG จะต่ำลงครับ ยิ่งทำให้ฐานกว้างกว่ายอดมากเท่าไหร  CG ก็จะยิ่งต่ำลงมาเรื่อยๆครับ ดูรูป 1 กับ 2 ครับ จะเห็นได้ว่า รูป 2 ฐานกว้างกว่ายอด CG จึงอยู่ต่ำกว่า ดังนั้นยางหน้ากว้าง จะทำให้ฐานรถกว้างขึ้นครับ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 55 17:59:09 จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 17:58:21

ความคิดเห็นที่ 29 ....       เรื่องยางรถยนต์ ผมเห็นหลายๆเว็บ อธิบายผิดเยอะเลยครับ แม้แต่กระทั้ง ใน Wiki เองก็ตาม ลองตามไปอ่านได้ครับ        ยางหน้ากว้าง อย่าเข้าใจผิดคิดว่าดีกว่ายางหน้าแคบนะครับ เมื่อฝนตก ยางหน้ากว้างจะเปรียบเสมือนเรือท้องแบนนะครับ มีสภาพเผินน้ำ ส่วนยางหน้า แคบ จะจิกลงกับถนนและรีดน้ำได้ดีกว่าครับ และแน่นอนก็คือ ยางหน้าแคบ เบรดได้ดีกว่าครับ         ส่วนยาง F1 ที่ไม่มีดอกก็เพราะ ดอกมันหักพับ ขณะเข้าโค้งครับ เพราะ แรงหนีศูนย์มหาศาล ดอกยางเล็กๆ มันหักพับครับ มันทนแรงไม่ได้ จึงต้องยกเลิก ยางมีดอก เพื่อให้หน้ายางถ่ายแรงกระแทกจากด้านข้างเข้ามาด้านในครับโดย ยางไม่เสียรูป อย่าเข้าใจผิดคิดว่า ยางหน้าเรียบไปเพิ่มพื้นทีสัมผัสนะครับ เพราะ อธิบายแล้วว่า การเพิ่มพื้นที่สัมผัส ไม่ได้เป็นการเพิ่มแรงเสียดทานนะครับ                                                                                                            ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 18:05:18

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าเอาตาม 29 ว่า ผมว่ามันไม่แน่นอนเช่นนั้น เพราะพวกรถแข่ง พื้นถนนแห้ง พวกใช้ยางไม่มีดอก แต่กำลังแข่งอยู่ พอฝนตก พวกเข้าพิท เปลี่ยนใส่ยางมีดอกทันที ดังนั้น ดอกยางจึงใช้คุณสมบัติเป็นร่องน้ำให้ผิวสัมผัสครับ เหมือนที่เค้าโฆษณา ไม่ใช่เรื่องถ่ายแรง รถคันไหนกลัวเสียเวลาเข้าพิทเปลี่ยนยาง พวกขับยางโล้นๆไปยังงั้นบนพื้นเปียก เดี๋ยวก็เห็นหมุนลงข้างทาง ส่วนเรื่อง ยางกว้างเกาะกว่ายางแคบยังไง นอกจาก CG ที่ได้ฐานกว้างขี้นหน่อยแล้ว ก็เป็นอัตราการแยกตัวเป็นชั้นจากแรงต้านการเคลื่อนที่ มันต้องใช้แรงมากกว่าครับ เพราะมันมีพื้นผิวที่ต้องใช้แรงในการแยกเป็นชั้นตามที่สัมผัสกับถนนมากกว่า เกิดขึ้นได้ตอนเบรคจนถึงหรือเลยจุดแรงเสียดทานสถิตย์ครับ มันคือรอยหน้ายางดำๆบนถนนนั่นแหล่ะตามที่ 14 ว่ามา จากคุณ : อิๆ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 01:28:19 A:58.9.152.38 X: TicketID:365239

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้าตำรายังอธิบายผิดแบบนี้  ผมรู้แล้วว่าทำไมความสามารถของเด็กรุ่นหลังๆลดลง เรื่องทางวิทยาศาสตร์ มันใช้สามัญสำนึกอธิบายได้ ถ้าคุณเข้าถึงแก่นของมัน จากคุณ : cpbu เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 13:29:59

ความคิดเห็นที่ 32 ....         กลับมาอ่าน เจอความเห็นของท่านที่ 30 อืมม์....พูดไม่ออกเลย เอาล่ะ วันนี้จะลง Detail การออกแบบยางให้นะครับ ถ้าไม่เข้าใจเรื่องยาง F1 ถามมาจะดีกว่านะครับ อย่าใช้สามัญสำนึก มาอธิบายเหมือนอย่างที่ท่าน คห.31 กล่าวไว้ครับ แถมเรื่องยางตอนฝนตกอีก เขาไม่ได้ใช้ยางมีดอกครับ (tread tyre) แต่ตอนฝนตกนั้นเขาใช้ grooved tyres ครับ ถ้าเอายางแบบ tread tyre ไปใช้ ตอนฝนตกล่ะก็ แหกโค้งหมดครับ เพราะยางแบบ tread tyre นั้น รีดน้ำได้ไม่เกิน 10 ลิตร/วินาทีครับ รถวิ่งความเร็วสูงกว่า 300 กม./วิ ต้องรีดน้ำอย่างน้อย 60 ลิตร/ วินาทีครับ         กลับมาเรื่อง Racing slick tyre อีกที เอาอย่างนี้ครับ อย่างแรกเลย ไปเปิดตำรา  Strength of materials เรื่อง Elastic deformation ครับ และเปิดเรื่อง tire designation ในตำรา Mechanic of vehicle หวังว่าประเทศไทย คงมีการเรียนการสอนกันนะครับ        เอาแบบหมัดเดียวจอดเลย ท่านรู้จัก　Stress concentrator ไหมครับ หรือที่เขาเรียกกันว่า Fillet  แปลเป็นไทยก็คือ จุดศูนย์รวมความเค้นครับ ที่เขาออกแบบ ให้ยางมีผิวเรียบ ก็เพื่อหนี fillet เพื่อไม่ให้ยาง เสียรูป (deform)  ทั้งเข้าโค้งและออกตัว ถ้ายางมีดอก หน้าดอกยางเท่านั้น ที่จะสัมผัสกับพื้น ทำให้คอของดอกยางเกิด จุดรวมความเค้น และเสียรูปเมื่อรับแรงมากๆ     แต่ยางผิวเรียบนั้น ไม่มี Fillet เกิดขึ้นครับ เพราะยางกระจายแรงออกทั่วทั้งหน้าสัมผัส รถ quarter mile ก็เช่นกัน ตอนออกตัว ถ้ายางมีดอกล่ะก็ ดอกยางล้มครับ เพราะเกินจุด Elastic deformation และก็ไหม้ในที่สุด      เอาอย่างนี้ครับ ถ้านึกไม่ออก เปลี่ยนเอายางหน้าแคบ หรือง่ายๆก็คือ เอายางจักรยานไปใส่ กับรถ quarter mile ดูสิครับ ยางหน้าแคบ กระจายแรงไม่ได้ เกิด จุดรวมความเค้นลงที่ หน้ายาง น้ำหนักทั้งหมดจิกลงที่เดียว ยางไหม้ครับ ดังนั้น ค่าสปส.แรงเสียดทานเปลี่ยนไป เมื่อยางไหม้ครับ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 55 14:35:04 จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 14:33:38

ความคิดเห็นที่ 33 ...           ดูรูปครับ วงกลมสีแดงนั้นคือ จุดที่เมื่อดึงยางมาถึงแล้ว ยางยังอยู่ ในรูปแบบของ Elastic ครับ คือสามารถกลับคืนตัวได้ แต่ถ้าเลยจุด Yield ไปแล้ว ยางจะเข้าสู่สภาพเป็น Plastic ครับ คือไม่สามารถกลับมาคืนตัวได้ ที่ตำแหน่งเดิม จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 14:45:04

ความคิดเห็นที่ 34 ...      เอาล่ะครับ ไม่อยากจับผิด วิกี้ (ไทย) ลองอ่านดูครับ ที่นี่ เขาบอกว่า การเพิ่มพื้นที่สัมผัสทำให้เพิ่มค่าแรงเสียดทาน แต่ท่านย้อนขึ้นที่ คห.22 ครับ เขาบอกชัดเจนว่า พื้นที่สัมผัสไม่เกี่ยวกับค่าแรงเสียดทาน ลองพิสูจน์ในคห.ถัดไปครับ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 55 15:08:42 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 55 15:08:17 จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 15:05:10

ความคิดเห็นที่ 35 ... ลองพิสูจน์แบบแทนค่านะครับ วัตถุ A มีพท.หน้าตัด 1x1m2 หนัก 10 N วัตถุ B มีพท.หน้าตัด 2x2m2  หนัก 10 N เมื่อคิดแรงกระทำต่อพิ้นที่ จาก P=F/A วัตถุ A มีค่าเท่ากับ 10N/m2 วัตถุ B มีค่าเท่ากับ 2.5N/m2 จาก f = μN ดังนั้น วัตถุ A จะมีค่า N = 10N/m2 ส่วนวัตถุ B จะมีค่า N = 2.5N/m2 เท่านั้นครับ นี่คือการคิดต่อ1หน่วยพื้นที่นะครับ ถ้าให้ค่า μ = 1 วัตถุ A จะมีค่า แรงเสียดทานเท่ากับ 10N/m2 วัตถุ B จะมีค่า แรงเสียดทานเท่ากับ 2.5N/m2 เท่านั้นครับ เมื่อคิดรวมพื้นที่ทั้งหมด ก็คือเอา พื้นทีคูณกลับเข้าไป ทั้งวัตถุ A และ B จะมีค่าแรงเสียดทานเท่ากันคือ 10N ครับ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 55 15:10:06 จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 15:07:37

ความคิดเห็นที่ 36 ตำราเป้นค่าในอุดมคตินะครับ วัสดุที่ไม่สึก แรงเสียดทานไม่ก่อให้เกิดความร้อน ไม่มีอยู่จริงครับ ยกตัวอย่างยางรถยนต์ ถ้ายางไม่สึก ถนนไม่สึก เรียบสะอาดไม่มีอะไรมากั่นกลางระหว่างยางกับถนน ไม่เกิดการสูญเสียพลังงานไดๆ เช่น ไม่เกิดความร้อนจากการเสียดสี ไม่เกิดเสียง ยางไม่เปลี่ยนรูปทรง ฯลฯ ยางหน้ากว้างหรือแคบให้ผลไม่แตกต่างนะครับ จริงๆเป็นไปได้หรือครับ จากคุณ : ekv เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 09:49:12

ความคิดเห็นที่ 37 ....       ท่าน ekv ความคิดเห็นที่ 36 กล่าวมาถูกต้องครับ ไม่ผิดแต่ประการใด ยางหน้า กว้างจึงออกแบบมาเพื่อรับปัญหาที่ท่านกล่าวมาครับ ถ้าเราพิจารณาที่ คห.35  จะเห็น ว่า ยางหน้ากว้างจะรับแรงต่อหน่วยพื้นที่น้อยกว่ายางหน้าแคบครับ เพราะวัตถุ B รับแรงต่อ 1 หน่วยพื้นแค่ 2.5 N เท่านั้นครับ ทำให้หน้ายางแข็งแรงและไม่เปลี่ยนรูป ทรงได้ง่าย แน่นอนครับ เป็นปัจจัยให้เกาะถนนมากกว่าครับ เพราะในขณะที่ยางหน้า แคบแรงกระทำต่อหน่วยพื้นที่นั้นมากย่อมเสียรูปได้ง่ายกว่าครับ ดังนั้น ในสามัญสำนึก เรา ก็เลยคิดว่ายางหน้ากว้างนั้นมีแรงเสียดทานมากกว่า แต่ที่จริงแล้วยางหน้ากว้าง นั้นเสียรูป (Deform) ได้ยากกว่าเท่านั้นครับ ไม่ได้มีแรงเสียดทานมากกว่าครับ                                                                                                              ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 13:49:33