ความคิดเห็นที่ 1 ถ่ายจากกล้องผมว่ามันต่างกันได้นะ (หรืออาจจะไม่ต่างก็ได้) ต่อให้ตั้ง ถ้าจะเอาให้แน่ๆวัดสัญญาณที่ออกมาจากสายเทียบกันเลยดีกว่าว่าเหมือนหรือไม่เหมือน หรือมันอาจจะเป็นคนละเฟรมกันก็ได้ สาเหตุมีหลายอย่างอ่ะ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 11:09:33

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ทราบว่าใช้จอเดียวกันรึเปล่าครับ จากคุณ : bipocomp เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 11:18:08 A:58.9.214.115 X: TicketID:332219

ความคิดเห็นที่ 3 โดยพื้นฐานมันเป็นระบบดิจิตอล ที่ไม่ยอมให้มีข้อมูลผิดพลาด (มีการเช็คคุณภาพสัญญาณก่อนเชื่อมต่อ ถ้าไม่ถึงเกณฑ์จอจะมืด) และถึงจะมีการส่งสัญญาณผิดพลาด ก็จะไม่เกิดการผิดเพี้ยนของสี สดไม่สด อิ่มไม่อิ่ม แต่จะผิดเพี้ยนเป็นจุดๆ หรือถ้ามีการบีบอัดก็จะยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ถ้ามันเ้กิดลักษณะแบบเดียวกับ อนาล็อก... ก็ต้องดูว่า TV กับ เครื่องเล่น ระบบของมันทำงานยังไง ถึงได้ออกแบบนั้น ล่ะครับ (เป็นผม จะเลี่ยงยี่ห้อนั้นไปเลย) จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 11:20:59

ความคิดเห็นที่ 4 source รูปเป็น JPEG? แถมprocess รูปจากคนละโปรแกรม อย่างรูปcar อันนึงเป็นpicasa อีกอันเป็น Adobe CS ซะงั้น ส่วนรูปอื่นบางรูปก็picasaเหมือนกัน บางรูปก็CS เหมือนกัน งงว่าทำไมต้องใช้โปรแกรมอื่นอีก แทนที่จะนำfile จากกล้องมาโดยตรง หรือprocessผ่านraw เป็นlossless format มาเลย ไม่ใช่แปลงเป็น JPEG ที่เป็น lossy แบบนี้ อันนี้จากรูป car แต่ถ้าดูด้วยตา อันนีเห็นว่าcontrast จากสองภาพมันต่างกันหน่อย แต่จะต่างกันเพราะสาย หรือเพราะอย่างอื่นต้องดูต่อ(มีข้อสงสัยเรื่องsourceภาพหนึ่งละ) และทีวีที่ใช้เปิดโหมดอะไร ได้ใช้featureพวก noise reduction หรือ DCR อะไรพวกนี้ไหม เพราะไม่งั้นก็จะมีการปรับแต่งภาพจากตัวทีวีอีกที ซึ่งอาจให้ผลไม่เท่าเดิมได้เช่นกัน(คือแม้จะตั้งค่าเหมือนกัน แต่ผลแสดงอาจไม่เท่ากัน ขึ้นกับalgorithm ของโปรแกรมปรับแต่งภาพ) ถ้าให้ชัวร์ ต้องcapture bit ที่ส่งไปทีวี แล้วเปรียบเทียบกัน จากคุณ : IHAYO เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 11:26:08

ความคิดเห็นที่ 5 ตาม #4 ครับ การ Save เป็น JPG แต่ละโปรแกรม ใช้ Algorithm ต่างกันผลที่ได้ก็ต่างกัน เอาแค่ย่อภาพ 2 โปรแกรมก็ให้ผลไม่ตรงกันแล้วครับ จากคุณ : ginosty เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 11:33:44

ความคิดเห็นที่ 6 รู้ได้ยังไงว่า สายเป็น1.4 ทั้งคู่ ไม่เห็นส่งภาพ3d ทดสอบเลย อัตราข้อมูลก็ไม่ใช่จุดที่1.4 รองรับ การที่บอกว่าสายยี่ห้อ1.3 ทำเผื่อ1.4 ก็เป็นเท็จ เพราะผู้กำหนดมาตรฐานคือ hdmi forum ไม่ใช่ผู้ผลิต เป็นการพูดที่ไม่มีหลักฐานรองรับ ไฟล์ที่ทดสอบก็ผิดประเภทการใช้ จำนวนสายไฟย่อย1.3 กับ1.4 ต่างกัน คือ15 กับ19 เส้น แรงดันไฟต่างกัน ถ้าสายผลิตได้มาตรฐาน 1.4 จะมีคุณสมบัติเท่ากัน มีอุปกรณ์ทดสอบเฉพาะ แต่เทียบกับ 1.3 ที่จำนวนสายไฟน้อยกว่า แรงดันไฟ ต่ำกว่า ความสว่างของภาพจะน้อยกว่า เพราะ1.4ต้องส่ง2ภาพพร้อมๆกัน โดยที่ความสว่างต้องสูง เพื่อมาชดเชยแว่นแบบเอคทีพ ในระบบ3d จึงทำให้ภาพแลดูมีรายละเอียดดีกว่า ถ้า1.3ตั้งชดเชยก็คล้ายกัน ดังนั้นสาย1.4ในเรื่องภาพ จะมีความสว่างของภาพมากกว่า1.3 เล็กน้อย ข้อมมูลมีแต่ ส่งได้ หรือ ส่งไม่ได้ ถ้าสายขาดในจะมีน๊อยสีชมพูขึ้น เป็นครั้งคราว หรือภาพกระพริบ เพราะจำนวนสายภาพมีมากกว่าหนึ่งเส้น ถ้าสายไม่ใช้1.3 จะตั้งคำสั่ง hi speed หรือ เพิ่มการเกลี่ยสี เป็น12-16บิต ในเครื่องบางยี่ห้อไม่ได้ ถ้าสายไม่ใช่1.4 จะแสดงผลแบบ3d บนแผ่นบลูเรย์ 50gb ไม่ได้ เรื่องเสียง ไม่มีการระบุ ประเภทการถอดรหัส ถ้าส่งpcm มีผล เพราะampitude จะไม่สัมพันธ์กับกลุ่มข้อมูล0,1 โดยทั้งหมด เพราะเป็นการส่งแบบเก่า แต่ถ้าส่งแบบ mpcm หรือ bitstream จะมีผลที่ฟังออกได้ยาก เพราะที่คำสั่งควบคุมความเที่ยงตรงของข้อมูลกำกับ เพื่อให้สัมพันธ์กับข้อมูลภาพที่ส่งมาพร้อมๆกัน เช่นเดียวกับ bwf พูดง่ายๆเสียงต่างกันเล็กน้อย ไม่คุ้มกับสายที่เปลี่ยนเวอร์ชั่นบ่อยๆ และมาตรฐานการผลิตก็ไม่ต่างกันมาก แต่บวกกำไรเกินจริง มียี่ห้อถูกๆเข้าหัวแบบสายแลน ไม่บัดกรีราคาร้อยกว่าก็มี ไม่ต้องไปซื้อเป็นพันก็ได้ มีประกัน7วัน เสียเปลี่ยนเส้น เวลาก็ลองให้เรียบร้อยกว่าไม่เสีย แต่ซื้อavr แพงๆที่โครงสร้างดีทุกระบบ เห็นผลมากกว่าเยอะ แต่ชิปdac 1-2 ตัว ต่อ 1 ช่องเสียง ให้เสียงดีกว่า ชิปdac 1 ตัว ต่อ 7ช่องเสียง ไหนจะภาคปรี เพาเวอร์อีก ที่คุณภาพอุปกรณ์ต่างกัน จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 11:33:58

ความคิดเห็นที่ 7 ดูจาก #4 สรุปได้ว่า ภาพที่ถ่ายจากสายแพง edit ด้วย Photo shop ภาพที่ถ่ายจากสายถูก   edit ด้วย Picasa แบบนี้มันผิดหลักการทดลองนะครับ จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 11:34:39

ความคิดเห็นที่ 8 ผมลืมเรื่อง Post Processing ไปได้ยังไงเนี่ย เพราะมันมีผลเยอะนะ ดังนั้นถ้าจะทดลองจริงๆต้องวัดสัญญาณที่ออกมาจากปลายทางโดยตรงเลยจะแม่นยำกว่า จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 11:52:31

ความคิดเห็นที่ 9 จากที่เคยใช้ ลองเอาสายหัวชุบทอง ราคาเส้นละ 600กะ 90 แทบจะมองไม่เห็นความต่างเลยครับ ใช้กับจอ 40 นิ้วของ singer จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 12:17:07

ความคิดเห็นที่ 10 จอนั้น น่าจะอันเดียวกันน่ะแน่นอน แต่มันน่าจะเพียงพอนะ ถ้าเห็นความต่าง อย่างคห.3 ใช้จอเดียวกันแต่เห็นความต่างนี่ต้องเปลี่ยนจอเลยรึท่าน คือเปลี่ยนให้มันไม่เห็นความต่างว่างั้น -..- เอ๊ะยังไง ในตัวจอไม่น่ามี detect นะ ว่าอันไหนสายถูกสายแพง -___-" โอ๊ะ แต่ คห.4 น่าสนใจแฮะ โปรเซสคนละโปรแกรมรึนี่?? อันนี้น่าจะเป็นประเด็น เพราะผมเปิดดู exif แล้ว shutter เหมือนกันเลยนึกว่าจบ จากคุณ : Archi เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 12:40:03

ความคิดเห็นที่ 11 ส่วนท่าน คห.6 ตกลงมันไม่ใช่แค่ 1010101100 เหรอครับ มันมีเรื่องแรงดันไฟในสายด้วยเหรอครับที่ส่งผลถึงภาพ จำไม่ได้แฮะ ว่าในกระทู้ก่อนโน้นนน มีพูดถึงปัจจัยนี้ด้วยอะ จากคุณ : Archi เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 12:42:04

ความคิดเห็นที่ 12 ไฟล์เดียวกัน คอมเดียวกัน เปิดพร้อมกัน คนละโปรแกรม จากคุณ : ทุ่มเท เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 12:58:17

ความคิดเห็นที่ 13 ผมใช้ hdmi 1.3 ยาว 10 เมตร ราคาไม่ถึงพันดูกับโปรเจ็คเตอร์ 100 นิ้ว HD ก็ชัดดีนิ เรื่องสีมืด สว่าง สดมั้ย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตั้งค่าชดเชยจากเครื่องเล่นหรือโปรเจอเตอร์เอาก็ได้ การจูนเครื่องและ calibrate เห็นผลกว่าเยอะ มีอาการง่อยๆ บ้างก็จอกระพริบหรือเป็น noise แว่บๆ เท่านั้น นานๆ ครั้ง แต่ก็ไม่รู้เพราะ source หรือเครื่องเล่นหรือสาย เพราะมันเกี่ยวกันไปหมด จากคุณ : แฟนสวย เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 13:00:51

ความคิดเห็นที่ 14 #11 สาย1.3 ,1.4 แรงดันต่างกัน แบนวิดต่างกัน แต่มีผลกับภาพแค่เรื่องความสว่างเพียงเล็กน้อย เนื่องจาก1.4 ต้องส่งแบบ 3d หรือ4k 30p ไม่ใช่ดีกว่า1.3 มากซึ่งก็สามารถปรับให้ภาพสว่างจากเครื่องเล่นก็ได้ พูดง่ายๆดูไม่ออกนั่นแหละ เพราะต่างกันแค่เพิ่ม brightness ต่อไปถ้าออก 2.0 4k 60p ก็ต้องมีคนมาโม้อีก เพราะมีพวกพูดจริงครึ่งเดียวมาหลอกขายของอยู่มาก แล้วตั้งตัวเป็นเกจิ เจ้าลัทธิ พอมีคนพิสูจน์ก็พยายามกลบเกลื่อนพูดเป็นไสยศาสตร์ไป แถมบัญญัติศัพท์วิบัติ ค่านิยมผิดๆ เพื่อส่งเสริมการขายที่รับของมา ทั้งที่คนในวงการดิจิตอลไม่เคยกล่าวถึงแบบนั้น จะพูดแบบศัพท์ทางเทคนิคเท่านั้น เพื่อป้องกันความคลาดคลื่อน รูปแบบการส่งข้อมูลภาพ และเสียง ใช้เลขฐานสองเหมือนกัน แต่โครงสร้างกระบวนการส่ง มีรายละเอียดต่างกัน ระบบรุ่นเก่า กับรุ่นใหม่มีความเสถียรต่างกัน แต่อุปกรณ์ภายนอกมีผลน้อยลงเรื่อยๆ เพราะได้รับการพัฒนาจากการประชุมกำหนดมาตรฐานทางวิศกรรม มาโดยตลอด มีหน่วยงานระหว่างประเทศรองรับ ไม่ใช้อุปโลคตั้งกันเอง เป็นศาลเตี้ย ชี้เป็นชี้ตายในวงการ hdmi ออกแบบให้มีรูปแบบเสมือน rf เพื่อความสะดวกของคนทุกกลุ่ม ไม่ใช่เพื่อสนองคนกลุ่มเล็ก เพราะคนทั่วไปไม่ต้องการ การต่อที่ยุ่งยาก จึงรวมทุกอย่างไว้ในเส้นเดียว ซึ่งอนาคตอาจแทนที่ด้วยlight peak ทั้งหมด จะสิ้นสุดเรื่องอุปโลคเสียที ขนาดในโรงหนังบางแห่ง ยังใช้สายแลน เชื่อมต่อกับเครื่องฉาย หลายโรง เวลาฉายรอบเดียวกัน ไม่เห็นคนดูว่า โรงนั้นภาพเสียงชัดกว่าโรงนี้เลย สายแลนคงไม่เมตรละหมื่น เพราะระบบการเข้ารหัส พัฒนาไปมากแล้ว คติอดีตดีกว่าปัจจุบัน จึงเป็นมายาคติ ไว้หลอกขายของเท่านั้น รุ่นใหม่ย่อมดีกว่า รุ่นเก่า ระบบใหม่ย่อมดีกว่าระบบเก่า ไม่งั้นผู้พัฒนาก็เจ็ง ไม่มีคนซื้อใหม่สิ แต่ราคารุ่นใหม่ก็ไม่ถูก แบบรุ่นเก่ามือสอง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน ไม่เห็นใครบอก สาย1.2 ดีกว่า 1.4 ล่ะ ตอนโฆษณาบอกใช้ได้อีกนาน ส่งได้เกินมาตรฐานที่กำหนด ทำเผื่ออนาคต แล้วออกรุ่นใหม่ทำไม จนhdmi forum ห้ามโฆษณาเช่นนั้นอีก อนุญาตใช้บอกประเภทการใช้สายเท่านั้น เพื่อป้องกันการโฆษณาเกินจริง Major Updates to Trademark and Logo Guidelines—January 2012 No Use of HDMI Version Numbers Effective Immediately Effective January 1, 2012, all HDMI products cannot make any reference to HDMI version numbers. Please refer to updated Adopted Trademark and Logo Guidelines (ATLUG) for further guidance. There is no grace period for this requirement. Cable Labeling Requirements The HDMI Specification now identifies five distinct cable types, each with specific performance characteristics. To help ensure that retailers, installers, and consumers can easily identify the right cable for their needs, all HDMI cables must be clearly marked with the appropriate cable type name, as shown here: http://www.hdmi.org/learningcenter/trademark_logo_pub.aspx จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 13:09:30

ความคิดเห็นที่ 15 การทดลองถือว่ารัดกุมค่อนข้างดีครับ กลบจุดอ่อนที่โดนโจมตีว่าเป็นเพราะควบคุมตัวแปรไม่ได้ไปได้เยอะ แต่..... จุดอ่อนเรื่องตัวแปรก็ยังไม่หมดครับ โดยเฉพาะ Post Process 1. ไม่ได้ Capture Frame เดียวกันเป๊ะๆมา (คิดว่าคงใช้คำสั่ง Seek ไปที่วินาทีนั้นๆ) ซึ่ง Frame มันเหลื่อมกันได้นิดหน่อย ตัวอย่างเช่นช๊อตที่ 6 (มีหมายเหตุไว้ว่าภาพเหลื่อมกัน 1 วินาที) อันนี้ใครเคยดูคอนเสิร์ทหรืองานแสงสีเสียงจะพอเดาออกครับว่าแสงมันเปลียนตลอดเวลา เหลื่อมระดับวินาทีนี่เอามาใช้อ้างอิงไม่ได้แล้วครับ ส่วนช๊อตอื่นๆ น่าจะเหลื่อมระดับไม่กี่เฟรม แต่ถ้าเอาไฟล์ 1080p แบบ rip มาเป็น MKV มาเปิดล่ะก็แต่ละเฟรมการเกลี่ยสีจะไม่เท่ากันครับ (เพราะมันเป็น Lossy) ฉะนั้นใช้อ้างอิงไม่ได้เช่นกัน จุดนี้ควรจะใช้ไฟล์จาก Bluray หรือ Full-Rip มาเปิดครับเพราะไม่มีการบีบข้อมูล และควรจะทำที่ Frame เดียวกันเป๊ะๆเลย ใช้ระดับวินาทีไม่เพียงพอครับ จะอ้างอิงกันได้ควรจะเป็นเฟรมเดียวกันเป๊ะๆ 2. โปรแกรมที่ใช้ Process JPEG มีทั้ง Photoshop CS แล้วก็ Picasa ซึ่งต่างโปรแกรมต่างผลลัพธ์ครับ ต่อให้เป็นภาพต้นฉบับเดียวกันก็เถอะ รวมทั้งน่าจะเริ่มต้นจาก Jpeg แล้วก็ save เป็น Jpeg ออกมาอีกที ต่างโปรแกรม ต่อให้ตั้ง Quality 100% เหมือนกันก็ได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกันครับ ข้อนี้ควรจะถ่ายเป็น RAW แล้วเปิดด้วย Canon DPP 2 ไฟล์พร้อมกัน แล้ว Capture จอมาแบบ A:B แทนการ Save จะตัดจุดอ่อนเรื่องนี้ไปได้ครับ ป.ล. จากกระทู้นี้เลยทำให้รู้ว่า Picasa มันเกลี่ย Noise ซะเนียนเชียว เนียนเป็นวุ้นไปหมดเลย อิอิ Photoshop CS โปรเซสออกมาได้รายละเอียดดีกว่าเยอะครับ (แต่หลายๆคนจะมองเป็น Noise น่ารำคาญไปแทน) แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 55 14:56:45 จากคุณ : TohKung121 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 14:49:29

ความคิดเห็นที่ 16 แถมให้อีกกระทู้นึงครับ ในรัชดากำลังถกเรื่องฟังเพลงจาก Flash Drive คนละยี่ห้อ http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V12898926/V12898926.html จากคุณ : TohKung121 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 14:52:19

ความคิดเห็นที่ 17 อืม จริงๆผมว่าถ้าคุณ maxx เซฟด้วยโปรแกรมเดียวกันก็จบละ เพราะโปรเซสจากโปรแกรมเดียวกัน น่าจะให้ผลไม่ต่างกันมาก(เหมือนในกระทู้) แล้วก็เปิดจากภาพนิ่งแทนเปิดจากหนังไปเลยง่ายกว่า แต่อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ ผมว่าน่าสนใจกว่าการ blind test ซะอีก เพราะมันมีหลักฐานไว้เทียบดูได้ ถ้าการทดลองรัดกุมขึ้นอีกนิด (ถ้าต่างเป็นแบบ noise ยุกยิกไม่เหมือนกันคงไม่สงสัยหรอกครับ แต่นี่ต่างมากมาย) ลึกๆแล้วผมก็ยังอยากให้ต่างนะ ให้ความรู้สึกว่าอัพเกรดข้าวของได้อีกขั้น ไม่ตันง่ายๆ จากคุณ : Archi เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 15:06:38

ความคิดเห็นที่ 18 ต่างตอน Process รูปไงครับ อิอิ รูปสายแพง เหมือนดึง Shadow ขึ้นมาหน่อยนึง บางรูป เลยเห็นรายละเอียดมากกว่า ปล. ผมใช้แค่ AQ chocolate ก็หรูมากๆ แล้ว ซื้อเพราะสบายใจล้วนๆ ภาพไม่เกี่ยว ฮ่าๆ จากคุณ : หัวใจในลังกระดาษ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 15:21:35

ความคิดเห็นที่ 19 จากใจ ถ้าราคาต่างกันเยอะ แต่คุณภาพต่างกันผมว่าไม่ถึง 20% ผมใช้ของถูกก็ได้ ^^ จากคุณ : เค้าเปล่านะ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 17:29:41

ความคิดเห็นที่ 20 #14 HDMI 1.3 กับ HDMI 1.4 มาตรฐานแรงดันเท่ากันนะครับ  bandwidth ก็เท่ากันนะ สาย 1.4 มันจะมีสายสัญญาณสำหรับ ethernet เพิ่มเข้ามา (ไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาณภาพ) เอาสาย 1.3 ไปเสียบระบบ 1.4 ก็แค่ไม่มี ethernet ส่วนเรื่องภาพและเสียง ก็ full option เหมือนเดิม จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 17:34:52

ความคิดเห็นที่ 21 ถึงจะเปิดด้วยโปรแกรมเดียวกัน (picasa) แต่ อันนึง ปรับ filter  ปรับ contrast/brightness อีกอันไม่ process อะไร เราก็ไม่รู้อยู่ดี :P จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 17:53:12

ความคิดเห็นที่ 22 พูดถึงเรื่องเฟรมภาพ ผมลองเปิดหลายคู่ เหมือนภาพจะเหลื่อมๆกันนิดหน่อย ทั้งๆที่กรอบทีวีเท่าเดิม เลยคิดว่าอาจเป็นคนละเฟรมเช่นกัน แต่ยังไม่มีเวลามาเทียบ จริงๆยังมีข้อที่สงสัย เช่นเงาของเฟรมทีวี ที่ต่างกันหลายรูป เลยทำให้สงสัยว่า แสงจากสภาพแวดล้อมอาจจะต่างกันพอสมควร และอาจทำให้แสงสะท้อนภาพบนจอ  จนดูเหมือน contrast /brightness ต่างกันได้อีกเช่นกัน โดยส่วนตัวคิดว่า การทดลองนี้มีตัวแปรควบคุมหลุดไปหลายตัว และเป็นจุดที่อาจทำให้เกิดการเบี่ยงเบนของผลได้ เลยยังสรุปอะไรไม่ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 55 18:23:54 จากคุณ : IHAYO เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 18:23:26

ความคิดเห็นที่ 23 #20ขอบคุณที่ชี้แนะครับ ขออภัยที่ลืมตรวจทานข้อมูล Introducing HDMI Specification Version 1.4a    HDMI Ethernet Channel – Adds high-speed networking to an HDMI link, allowing users to take full advantage of their IP-enabled devices without a separate Ethernet cable. (more)    Audio Return Channel – Allows an HDMI-connected TV with a built-in tuner to send audio data "upstream" to a surround audio system, eliminating the need for a separate audio cable. 3D – Defines input/output protocols for major 3D video formats, paving the way for true 3D gaming and 3D home theater applications    4K Support – Enables video resolutions far beyond 1080p, supporting next-generation displays that will rival the Digital Cinema systems used in many commercial movie theatres. 24p Additional Color Spaces While RGB is still the dominant color space in most video applications, other color models are gaining popularity, particularly in digital still photography. Version 1.4 of the HDMI specification adds support for three additional color spaces (also known as color gamuts), enabling manufacturers to deliver better and more accurate color to users when they view their digital photos on an HDTV. In addition to RGB color and x.v.Color, the HDMI standard now offers native support for three additional color spaces:    sYCC601 color    Adobe RGB color    Adobe YCC601 color Like x.v.Color, each of these color spaces defines a palette of available colors that is larger than the traditional RGB color model, and closer to the full range of colors perceptible to the human eye. Content Type The HDMI Specification Version 1.4 enables simple, automated picture setting selection with no user intervention. The Content Type feature enables a display to auto-select the correct viewing mode to match the content type it is currently receiving from a source device, and to switch modes when a new content source is selected. Content Type supports content profiles for gaming, movie, photograph, and text viewing modes HDMI Micro Connector – A new, smaller connector for phones and other portable devices, supporting video resolutions up to 1080p Automotive Connection System – New cables and connectors for automotive video systems, designed to meet the unique demands of the motoring environment while delivering true HD quality. http://www.hdmi.org/manufacturer/hdmi_1_4/index.aspx http://www.hdmi.org/download/press_kit/PressBriefing_HDMI1_4_FINAL_8_0_061809.pdf แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 55 19:51:39 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 19:49:52

ความคิดเห็นที่ 24 1. The horizontal blanking interval, vertical blanking interval, and active picture region make up a high-definition digital video signal. จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 19:59:23

ความคิดเห็นที่ 25 The horizontal blanking interval, vertical blanking interval, and active picture region make up a high-definition digital video signal. http://zone.ni.com/devzone/cda/pub/p/id/1078 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 20:00:11

ความคิดเห็นที่ 26 ผมจะบอกอีกนิดนะครับ ว่าจริงๆแล้วสายเป็นแค่ทองแดงครับ มีหน้าที่เชื่อมสัญญาณไฟฟ้า 01 เท่ากัน ดังนั้นถ้าสายจำนวนเท่ากัน(ผมไม่แน่ใจว่าสาย 1.3กับ 1.4a จำนวนสายเท่ากันหรือไม่) สายมันจะไม่มีคำว่า version เท่าไหร่ครับ แค่สายทุกเส้นมันเชื่อมสองจุดได้โดยไม่มีความต้านทานสูงไป สายมันจะทำหน้าที่ได้ สมบูรณ์ครับ ซึ่งไอเสป็ค 1.3 1.4 นั้นเป็นแค่การการันตีว่าความต้านทานมันไม่เกินมาตรฐานเท่านั้น แต่โดยมาก ระยะสั้นๆ มันไม่เกินอยู่แล้วครับ ดังนั้นถ้าเสียบแล้วภาพออก สายรุ่นใหนก็ใช้ได้หมดครับ ส่วนสำคัญของระบบ 1.3 1.4a คือเครื่องรับและเครื่องส่งครับว่าซัพพอร์ทหรือไม่ หากซัพพอร์ท สายอะไรก็ใช้ได้ครับ คุณจะเอา สายไฟบ้าน มาเชื่อมทีละเส้นยังได้เลย ส่วนเรื่องคุณภาพหลายๆคห.คงอธิบายไปแล้ว digital มันไม่มีการเดาครับ ดังนั้นหากส่งได้คุณภาพมัน 100% ผมยกตัวอย่างการส่งแบบ RBG แต่ละ pixel มันจะส่งเป็นเลขฐาน 16 6 ตัว(จริงๆมันส่งมาเป็น ฐาน ๒ แต่ ขอย่อจะได้สั้นๆ)  เช่น 0FFF12 คู่หน้า อาจเป็นความเข้มของสีแดงคู่ต่อมาฟ้า และคู่สุดท้ายเขียว ดังนั้นคุณ ลองจินตนาการซิครับ ถ้าเลขหายไปตัวนึง คุณจะตีความสีนี้ได้หรือไม่ ใช่ครับ ผลมันคือไม่ใช่แดงน้อยลง สีไม่สด บลาๆ แต่คุณเดาไม่ได้เลยต่างหากว่ามันเป็นสีอะไร ถ้าตรงนี้เป็นภาพ มันคือภาพหายไปเลย ดังนั้นระบบดิจิตัล หากรับได้แล้วคุณภาพเท่ากัน ถ้าจะต่างก็จะต่างที่ตัวที่เอาข้อมูล  0FFF12 ไปตีว่ามันเป็นสีอะไรซึ่งก็คือทีวีคุณมากกว่า แต่สายแพงใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ด้วยคุณภาพวัสดุที่ดีกว่า อาจจะทำให้ส่งได้ใกลกว่า ทนทานกว่า กันสัญญาณรบกวน ภายนอกได้ดีกว่า(studio ใช้สายแพงเพาะสาเหตุนี้ครับ) ซึ่งในสภาพที่แย่ๆ สายห่วยๆอาจรับไม่ได้เลย แต่ถ้ารับภาพได้จะกี่บาทภาพสวยเท่ากันแน่นอน นอกจากนี้ผมอยากให้คิดง่ายๆครับ หลายๆคนซื้อสายแพงๆมา แต่เวลาฟังเพลง ดูหนังก็โหลดมาจากบิท ผ่านสายแลน อันละ 20 บาทมากี่เส้น ถ้าคุณภาพสัญญาณดิจิตัลมันลดตามคุณภาพสายหน่ะ ภาพถึงเครื่องคุณคงดูไม่ได้แล้วหล่ะ แต่ความจริงคือ การดาวน์โหลดไฟล์พวกนั้น ถ้าโหลดเสร็จ ดูได้ ชัดเจน แต่ถ้าโหลดไม่ดี จะดูไม่ได้เลย หรือค้างไปเลยต่างหาก จริงมั้ยครับ ไม่ใช่ว่าแค่สีตก สีไม่สดซะหน่อย ดังนั้นอย่าตกเป็นเหยื่อการค้าครับ จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 20:40:29

ความคิดเห็นที่ 27 ลองดูครับว่าอันไหนสายถูก อันไหนสายแพง 01 จากคุณ : Tama2kun เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 20:42:12

ความคิดเห็นที่ 28 02 จากคุณ : Tama2kun เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 20:42:26

ความคิดเห็นที่ 29 แบบแรกหน้ามืด แต่แบบสองท้องฟ้าขาวเวอร์ แพงรึเปล่าไม่รู้ แต่ ตกลงอันนี้ทดสอบโปรแกรมแต่งภาพใช่มะคับ -..- ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ถูกแพงอะครับ แต่อยากเห็นจะๆ เคลียร์ๆ ว่ามันต่างสักนิดมั้ยเท่านั้นแหละ ^__^ จากคุณ : Archi เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 21:46:03

ความคิดเห็นที่ 30 เอากล้องถ่ายมามีโอกาสวัดแสงไม่เท่ากันสูง จะทดสอบจริงจังก็ต้องออกแบบการทดลองให้ดู เอาง่ายๆครับ สาย USB ก๊อบถูกๆเส้นละไม่กี่สิบบาท ผมใช้มาจะ 10 ปีละยังไม่เจอเส้นที่ก๊บแล้วก๊อบ success แต่ข้อมูลพังอ่านไม่ได้เพราะสายเน่า เพราะมันมี checksum ถ้ามันผิดมันก็จะเขียนเป็นไฟล์ไม่ได้ ระบบ digital เป็น all-or-nothing ครับ จากคุณ : bakasama เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 00:08:55

ความคิดเห็นที่ 31 #26 สายสองเส้น วางขนานกัน ไฟฟ้ากระแสสลับวิ่ง มันเกิดการเหนี่ยวนำครับ แต่ถ้าไอ้ที่เหนี่ยวนำไม่เกินค่า threshold จนข้อมูลเปลี่ยน ก็ไม่มีผลครับ จากคุณ : SRJ mk V เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 01:32:38

ความคิดเห็นที่ 32 #29 ไม่ได้ทดสอบโปรแกรมหรืออะไร แค่ทดสอบว่า การถ่ายภาพหน้าจอใช้พิสูจน์อะไรไม่ได้ เพราะทั้ง 2 ภาพ ถ่ายต่อเนื่องกัน ด้วย 1. เครื่องเล่นเดียวกัน 2. สายเดียวกัน 3. กล้องเดียวกัน 4. ทีวีเดียวกัน 5. ย่อด้วยโปรแกรมเดียวกัน จากคุณ : Tama2kun เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 06:44:30

ความคิดเห็นที่ 33 อืม โหมดถ่ายต่อเนื่อง Nikon ผมไม่ทราบมันเป็นอะไรนะครับ แต่เห็นค่า gain control เพิ่มมาตอนดู exif อะครับ มีค่าเพิ่มมาสองบรรทัด เหมือนกล้องมันไปเพิ่มคอนทราสให้ภาพสอง ซึ่งก็แปลก ทั้งๆที่เป็น manual จริงๆก็เคยคิดจะใช้วิธีนี้นะ แต่ต้องรอบคอบขึ้นไปอีกนิด คือ ใช้ภาพนิ่งมาเทสท์ แล้วก็ทดสอบความคลาดของกล้องสักหน่อย อาจจะ เทสท์ถ่ายภาพเดิม 3-4 รูป แบบ manual ด้วยมือ แล้วออกมาเหมือนๆกัน ก็โอเค ผมว่ามันก็น่าจะใช้ได้อยู่นะครับ การใช้ภาพเทียบ(ถ้ามันต่างกันมากจริงๆอะนะ) จากคุณ : Archi เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 09:07:22

ความคิดเห็นที่ 34 คือ เรื่องถ่ายรูป ท่าน Tama2kun ลองถ่ายภาพนิ่ง แบบไม่ต้องกดรัวได้มะครับ ลองเช็คดูทีว่ามีอะไรต่างมั้ย (แล้วค่า gain control ที่เพิ่มมามันคืออะไร) ลองลด speed ลงมาเหลือ 60 ดูทีฮะ(ให้ซิงค์กะจอ)ว่าภาพต่างรึเปล่า เพราะถ้าต้นแหล่ง pause ไว้ดีแล้ว แต่ท่านถ่าย manual แล้วภาพต่างขนาดนี้ กล้องน่าจะมีปัญหาแล้วละครับ ภาพมันโอเวอร์มาก จนไม่รู้จะมี manual ไว้ทำไม -..- คือผมว่ามันอาจต่างได้บ้างนะ แต่ลองคิดดู ปรับดีแล้ว ถ่ายๆไป เอ๊ะสว่างขึ้นขนาดนั้น นี่...งงเลย เอาไปถ่ายออกงานไม่ได้เลยนะท่าน 55 แต่ก็อย่างที่บอก ก่อนทดสอบจริงๆ น่าจะลองภาพนิ่งรูปเดิมๆเพื่อดูความคลาดเคลื่อนก่อน ผมอยากให้มันเหลือทางไว้ทดสอบให้ประจักษ์ได้บ้างน่ะครับ (สาเหตุนะรึ เพราะยังคาใจอยู่เล็กๆตลอด แม้จะเชื่อทฤษฏี 99.99 เปอร์เซนต์แล้วก็ตาม) เพราะเรื่องเสียงนี่ ยากจะอัดมาให้ฟังกันถ้วนหน้าได้สมบูรณ์ละ แต่ภาพนี่ยังพอถ่ายได้ด้วยความพิถีพิถัน ผมยังเชื่อว่า ถ้ารอบคอบพอ(ไม่หลุดข้อกังขาแบบด้านบน)ก็น่าจะช่วยเป็นหลักฐานได้ว่าไม่ต่าง หรือต่าง แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 55 09:23:10 จากคุณ : Archi เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 09:19:38

ความคิดเห็นที่ 35 เอิ่ม แล้วกลับไปดูอีกที อย่างรูป Real Steel ก็ใช้โปรแกรมเดียวกัน process นี่ครับ -..- ทำไมมันยังต่างล่ะฮะ สงสัย ได้ทดสอบเองจริงๆซะละมั้ง ไม่พ้นเสียตังค์ 555 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 55 09:33:44 จากคุณ : Archi เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 09:32:33

ความคิดเห็นที่ 36 ถ้าอยากรู้จริงๆ ว่าสายมันเหมือนกันไหม ก็วัด BER สิครับ เพราะมันเป็นดิจิตอลอยู่แล้ว ถ้าข้อมูลส่งมาเหมือนกันก็จบ คงอ้างว่าต่างกันไม่ได้หรอก วัด BER ดูว่าเท่ากัน หรือต่างกันเท่าไหร่ ถ้าต่างกันใน error rate ของตัวสายทั้งคู่เอง ก็ถือว่าสายทั้งคู่ ส่งสัญญาณตัวเดียวกันมานั่นแหละ จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 09:34:04

ความคิดเห็นที่ 37 #35 ตราบใดที่ไม่ใช่fileจากกล้องโดยตรงที่เป็น raw เราไม่มีทางรู้หรอกว่า fileนั้นผ่านpost process อะไรมาบ้างครับ แม้จะเอามาเป็นJPEG จากกล้องโดยตรง มันก็ยังมีเรื่องของlossy ในการแปลง ที่ทำให้รูปที่ออกมาต่างกันได้ แม้จะถ่ายต่อเนื่องกันอยู่ดี ถ้าเป็น raw จะค่อนข้างชัวร์กว่า คืออาจมีแตกต่างได้ เพราะCCD/CMOS เองใช่ว่าจะเสถียร(มันเป็นsensorที่แปลงสัญญาณanalog มาเป็นดิจิตอลล่ะนะ) แต่ก็น่าจะเห็นความแตกต่างน้อยกว่า การเบี่ยงเบนทีได้จากการแปลงformat แบบlossy เช่นJPEG ผ่านโปรแกรมต่างๆและจากตัวกล้องเอง แปลกใจว่าทำไม เจ้าของรีวิว นำรูปไปผ่านโปรแกรมที่หลากหลาย มีทั้งpicasa และ adobe CS3 ก่อนpost? ทั้งๆที่มันเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ความน่าเชื่อถือของรูปเสียไปนี่แหละครับ ถึงบางคู่จะใช้โปรแกรมเดียวกัน แต่เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเขาใช้โปรแกรมนั้นทำอะไรกับภาพมาบ้าง? แต่ประเด็นเรื่องการสอบเทียบกล้องเอง ด้วยการถ่ายต่อเนื่องภาพเดียวกัน แล้วมาเทียบกันก่อนว่า ออกมาแล้วไม่ต่างกันจริงๆ อันนี้ก็น่าคิด ยิ่งถ้าทดลองถ่ายภาพต่อเนื่องแล้วภาพออกมายังไม่ค่อยเหมือนกัน แล้วจะไปเปรียบเทียบความแตกต่างกับการถ่ายครั้งอื่นได้อย่างไร? โดยส่วนตัวไม่เชื่อmyth เรื่องความแตกต่างในการรับชมผ่านการส่งสัญญาณดิจิตอลนะครับ ยิ่งHDMI ส่งภาพแบบraster ส่งเป็นbitmap(ตามที่คุณ hil4552 อธิบายไป) โอกาสที่จะโดนnoise แบบต่อเนื่องจนเปลี่ยนโทนสีของภาพได้นั้นไม่น่าเกิดได้ในโลกจริง (ถ้าเป็นจุดสีเพี้ยนโผล่มาคล้ายdead pixel หรือเส้นกระพริบอันนี้เกิดได้จริงกับสายห่วยๆหรือสายเสีย) แต่ก็ไม่ปิดรับการทดสอบอื่นๆ เพียงแต่จะให้เชื่อถือ ก็ต้องตัดสิ่งที่ทำให้ผลการทดสอบเบี่ยงเบนได้ง่ายให้หมดไปก่อนครับ จากคุณ : IHAYO เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 10:14:19

ความคิดเห็นที่ 38 ความคิดเห็นที่ 35 ภาพนึ่ง ย่อเสร็จ ปรับ contrast และ noise filter อีกภาพ ย่อเสจ็จ ไม่ได้ปรับอะไร จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 16:30:31

ความคิดเห็นที่ 39 1. ทำไมต้องเหนื่อย ใช้โปรแกรมประมวลผลภาพ แยกกันด้วย ทำไมไม่ใช้ตัวเดียวกัน 2. ใช้กล้องถ่ายจอ  ต่อให้ภาพเดียวกัน จอเดียวกัน ถ่ายต่อเนื่องกัน2ภาพ  บางครั้ง ภาพยังไม่เหมือนกันเลยครับ  ระบบปรับแสงกล้อง มันทำงานตลอดเวลา จากคุณ : Mr. Tracker เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 20:09:00

ความคิดเห็นที่ 40 manual สิครับ manual -..- ถ่ายในห้องปิดม่าน คุมแสงไว้ ก็ไม่น่าแกว่งแล้วนะ หรือแกว่ง แต่ก็ไม่ควรมากมาย(เหมือนภาพบนๆ) จากคุณ : Archi เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 10:26:16

ความคิดเห็นที่ 41 #40 ต้องลองดูครับ  และต้องถ่ายหลายๆภาพ  ต่อสาย1เส้นด้วยครับ เพื่อเฉลี่ยกันถึงจะดี ระบบจอ LCD มันมีแบ็คไลท์ ซึ่งสามารถมีการกระพริบของแบคไลท์ด้วยความถี่ค่าหนึ่ง  ยิ่งพวกจอมีระบบทำให้สีดำ ดำสนิท โดยการดับแบ็คไลท์ด้านหลัง อันนี้ ความสว่างมัน ไม่ค่อยคงที ขึ้นอยู่กับเฟรมภาพเลย ตัวLCD เอง ก็มีคุณสมบัติปล่อยแสงในแต่ละมุมออกมาไม่เท่ากัน จะให้ชัวร์  ถ้าจะถ่าย  ไม่ต้องผ่านโปรแกรมใดๆเลยครับ  เอาไฟล์ต้นฉบับเลย แต่ถ้าจะวัดจริงๆ   ผมว่าวัดสัญญาณจากสาย2เส้นที่ความยาวเท่ากันไปเลย ดูว่ามันต่างกันแค่ไหน  จะได้รู้คุณภาพสายไปเลยว่าอันไหนดีกว่ากัน (ความจริงสัญญาณดิจิตอลที่ความสูงของสัญญาณ หรือหน้าตาต่างกันเล็กน้อย มันก็ไม่มีผลอะไรหรอกครับ เว้นแต่ข้อมูลบิทนั้น มันหายไปเลย หรือสัญญาณมันดรอปไปมาก ไปไม่ถึงจุดกำหนดระหว่างลอจิก 0 หรือ 1  นี่คือข้อดีของระบบดิจิตอล ที่เรารู้จักกันมานานแล้วครับ) แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 55 11:53:07 จากคุณ : Mr. Tracker เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 11:46:44

ความคิดเห็นที่ 42 พอดีนึกการเปรียบเทียบอีกอย่างนึงออก คือ ถ้าใครเคยใช้เครื่องรับดาวเทียม ดิจิตอล   เวลาเมฆมาก ฝนตก  บางครั้ง สัญญาณมันจะหายไปเลยครับ ตอนแรกๆ อาจแค่ภาพกระตุก มีเม็ด4เหลี่ยมบนจอ   ไม่ใช่ว่ามันจะภาพมืดลง หรือมีสโนว์ หรือไม่ชัด คือ ระบบดิจิตอล มันก็มีแค่ ถ้าสัญญาณมีคุณภาพพอ ข้อมูลครบ มันก็จะรับ และถอดรหัสได้  ก็แสดงภาพ    แต่ถ้าคุณภาพสัญญาณต่ำเกินกว่าจะถอดรหัสข้อมูลได้ มี Error สูง มันก็จะไม่สามารถแสดงภาพได้ เพราะไม่สามารถถอดรหัสภาพได้ครับ การ ERROR ในระบบทีวีดิจิตอล  อย่างมากก็สีเพื้ยนในบาง pixel และไม่ซ้ำจุดเดิม กระพริบไปมา    ถ้ามันจะมืด หรือสว่างกว่าที่ควรจะเป็น  ก็ควรจะเป็นในระดับ pixel กระจายทั่วจอ และไม่ตลอดเวลาครับ  ไม่ใช่มืดหรือสว่างกว่าปกติทั้งจอ  อันนั้น ไม่ใช่แล้ว จากคุณ : Mr. Tracker เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 12:00:58

ความคิดเห็นที่ 43 ก็นั่นละครับ ตามที่ผมอ่านมาก็อย่างนั้น... ดีล่ะ ถ้าได้ทดสอบเอง น่าจะสนุกแน่ อิอิ จอผมพลาสม่าฮะ ไม่มีประเด็นแบคไลท์ และถ้าใช้ภาพนิ่งก็ตัดปัญหาเฟรมเหลื่อมไปได้ ตอนนี้ ประเด็นสำคัญคือ อยากได้สายมาทดสอบฟรีๆจัง 555 จากคุณ : Archi เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 12:43:07

ความคิดเห็นที่ 44 คือ ทำไม ผมไม่รู้สึกถึงความต่างกันเลยนะ มีบ้างก็แค่มืดกว่าสว่างกว่า จากคุณ : อย่ารู้เลยว่าฉันเป็นใคร เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 55 01:03:29