ความคิดเห็นที่ 1 คลิป......... จากคุณ : WinandBP เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 19:26:56

ความคิดเห็นที่ 2 คลิป...เอาใหม่ จากคุณ : WinandBP เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 19:27:31

ความคิดเห็นที่ 3 อาจจะมีจริงก็ได้ แต่ไม่เคยเห็นนะ จากคุณ : ตอบโจทย์ เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 19:42:35 A:124.122.181.3 X: TicketID:204597

ความคิดเห็นที่ 4 คุณ สนจอง เชิญรับยาช่อง4 จากคุณ : สิงโตทะเล เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 19:42:58 A:202.44.135.34 X: TicketID:371430

ความคิดเห็นที่ 5 คุณ สนอง เชิญรับยาช่อง4 จากคุณ : สิงโตทะเล เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 19:43:12 A:202.44.135.34 X: TicketID:371430

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่สนใจ เถียงไปยังไง เดี๋ยวก็ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" มาคำเดียวจบเห่ จากคุณ : นายขนมหวาน เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 19:44:13

ความคิดเห็นที่ 7 เอาอย่างนี้นะครับ ดร สนองไม่เกี่ยว แต่ ผม เสนอเองครับ ผมเคยสงสัยแต่เด็กๆ ว่า หมาได้ยินเสียงที่คนไม่ได้ยิน หรือเห็นระหว่างคนกับสัตว์บางอย่างไม่เท่ากัน โอเค ตรงนี้คือความถี่ของคลื่น ที่รับไม่เท่ากัน ดังนั้น เป็นไปได้ไหม ที่จะ มีอะไรที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้ยินในช่วงคลื่นที่แตกต่างกัน ทีนี้พอเราไม่รู้ก็ว่า เทวดา ผีสางไปตามเรื่อง เอาง่ายๆ ถ้าสัตว์พูดได้หมด ไปบอกปลาว่า บนบกมีคน บนฟ้ามีนก ปลาคง งง อะไรของมัน หรือเอาอีกอย่าง เรานั่งอยู่ ถ้าตาเรามองเห็นคลื่นคงนั่งหลบไปหลบมา คลื่น AIS,Dtac,True วิ่งผ่านตัวเราให้วุ่น คลื่นวิทยุชุมชนอีก คลื่นทีวีอีก ว๊ากกกกกกกก มุนินทร์ วิ่งชนหน้าเราไปเข้าจอทีวี 555 จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 19:59:05

ความคิดเห็นที่ 8 คำว่าด๊อกเตอร์ไม่สำคัญเท่าหลักฐาน ต่อให้เป็นเด็กปอหนึ่ง ถ้ามีหลักฐาน หรือสามารถพิสูจน์ได้ ผมก็พร้อมที่จะเชื่อ ปล. ยังไม่ได้ดูคลิป จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 20:07:11

ความคิดเห็นที่ 9 มองไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มี ถามว่า คุณมองเห็นคลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ หรืออะไรต่างๆพวกนี้ใหม มองไม่เห็นแต่มันมีอยู่จริงใช่ใหม เรารู้ได้เพราะมีอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบและรับคลื่นเหล่านี้ได้ เทวดา ผี วิญญาณ ก็เหมือนกันนั่นแหละ เราต้องใช้อุปกรณ์ที่สามารถตรวจจับและรับรู้ได้ ซึ่งอุปกรณ์ตัวนี้ " วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำได้ "  สิ่งที่พิสูจน์เรื่องนี้ได้ในปัจจุบันคือจิตที่ฝึกดีแล้ว บริสุทธิ์ ตั้งมั่น จึงจะสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งเหล่านี้ การตัดสินว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีทั้งที่ยังไม่ได้ทดลองทำอะไรสักอย่าง เป็นการคิดเข้าข้างตัวเอง แบบนี้ผมเรียกว่า งมงายในวิทยาศาสตร์ จากคุณ : sehen เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 20:07:50

ความคิดเห็นที่ 10 #7 ถ้าจะบอกว่าคนไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของผี แต่หมาทำได้ ก็ต้องถามต่อละครับว่า พวกที่อ้างว่าเคยเจอผี ไปทำอีท่าไหนถึงได้ความสามารถของหมามาด้วย #9 การใช้เครื่องมือตรวจวัดที่ว่า ไม่ว่าใครใช้ต้องได้ผลเหมือนกัน และไม่ว่าใคร ถ้าไม่ได้ใช้ก็ต้องตรวจวัดไม่ได้เหมือนกัน ถ้าบอกว่าเรายังไม่มีเครื่องมือตรวจวัดการมีอยู่ของวิญญาณ ผี เทวดา แล้วคนที่เคยเจอเขาไปเอาเครื่องมือจากอนาคตมาใช้เหรอครับ (ส่วนใหญ่ไม่ได้บอกว่าใช้เครื่องมืออะไรนะ บอกแต่ เห็นมากับตา) แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 55 20:20:32 จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 20:13:05

ความคิดเห็นที่ 11 ทดลองกันมาตั้งเยอะแยะไม่เห็นจะเจอสักราย หลักฐานสำคัญกว่าคำพูด ไม่ว่าจะด๊อกหรือเด็ก 5 ขวบพูดถ้ามีหลักฐานผมก็เชื่อ ถ้าไม่มีหลักฐานต่อให้ได้ Ph.D 10 ใบผมก็ไม่เชื่อ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 20:19:31

ความคิดเห็นที่ 12 ก็ถ้าเขาเคยเจอ ก็คงมีสำหรับเขา สำหรับผม ยังไม่เคยเจอ   และถ้าผมเจอ ผมก็ต้องหาเหตุผลให้ได้ว่า มันอยู่ตรงไหน ทำอย่างไรถึงจะได้พบ  มันมีเหตุผล หรือหลักฐานอะไรบ้างที่สามารถแสดงได้ว่ามันมีอยู่ แต่ถ้าไม่มีเหตุผล หรือหลักฐาน  ผมก็จะเงียบ รู้แค่คนเดียวว่ามันมีอยู่ ไม่ออกมาบอกคนอื่นหรอกครับ ถ้าไม่มีหลักฐาน ว่าแต่  ตั้งแต่กำเนิดโลก  มีสิ่งมีชีวิตตายไปแล้วกี่ตัว  นรก หรือสวรรค์ไม่เต็มแล้วรึ  แล้ววิญญาณไดโนเสา วิญญาณแมลงวัน วิญญาณยุง อมีบา มันมีไหมหว่า จากคุณ : Mr. Tracker เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 20:28:27

ความคิดเห็นที่ 13 บางคนเจออะไรแปลกๆนิดหน่อยก็เผ่น ไม่ดูให้ดี แล้วก็โบ้ยว่าเป็นผีไปหมด จากคุณ : Transcendence เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 20:44:52

ความคิดเห็นที่ 14 บนโลกนี้มีมิติที่ทับซ้อนกันอยู่ .......... จากคุณ : kronthon เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 20:47:25

ความคิดเห็นที่ 15 เคยมีพระทักว่าชาติก่อนผมเคยเป็นเทวดา ถ้าเทวดามีจริงผมคงเป็นเทวดาเดินดินหล่ะครับ จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 20:47:59

ความคิดเห็นที่ 16 ตอนผมเด็กๆซัก 40กว่าปีมาแล้ว  ดูทีวี ยอดมนุษย์  มีปืนเลเซอร์ .. มี โทรศัพท์ติดข้อมือ เห็นภาพคนที่พูดด้วย  มีสัตว์ประหลาดต่างดาว .. และมียอดมนุษย์ ... ...  ผู้ใหญ่บอกว่าหนังหลอกเด็ก เป็นเรื่องไม่จริง ผมเชื่อแฮะ ...   พอโตขึ้นมาถึงเลิกเชื่อ ..   แต่แล้วก็กลับกลายเป็น เดี๋ยวนี้โทรศัพท์ติดข้อมือเกลื่อนตลาด ราคาถูกมาก ..  การโทรแบบเห็นหน้าเป็นเรื่องปกติ  แถม หลายๆคนพยายามไม่ให้เห็น ไม่ยอมใช้ด้วย เลเซอร์ แบบ ตัดวัตถุก็มี ...  เห็นว่า จะเอาไปลงอาวุธเป็นปืนเลเซอร์จริงๆ ..ด้วย . สิ่งมีชีวิตต่างดาว ทำท่าจะมีโอกาสเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ พันปีก่อน คนที่พูดว่าเหล็กจะลอยได้ คงโดนเผาทั้งเป็น ข้อหาเป็นแม่มด พ่อมด คนที่เผาอาจจะพูดว่า ..เอ้าไหน  ทำให้มีดนี้ลอยได้สิ ..  ถ้าไม่ได้ถือว่าโกหก ...  เป็นเราอยู่วันนั้นจะทำยังไง .. ... บางเรื่อง ยังไม่มียังไม่เห็น  ยังไ่ม่มีการพิสูจน์ .. เชื่อไม่เชื่อ ยังเป็นเรื่องส่วนบุคคล จริงไม่จริง อาจจะไม่อยู่ในยุคเรา  เทคโนโลยี่ของเรา ที่จะพิสูจน์ได้ .....   ก็เป็นได้นะครับ .. ปล.ผมไม่เชื่อเรื่องหมอดู  แ่ต่ เคยเจอคนที่ดูตรงๆ มากกว่า 2 ครั้ง .. จากคุณ : ทุ่มเท เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 20:50:38

ความคิดเห็นที่ 17 เคยคุยกับอจ.ที่สอนฟิสิกส์คนหนึ่ง พูดไว้ให้น่าคิดว่า "อะไรบางสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ในปัจจุบันนี้ บางทีอาจจะมีอยู่จริงแต่เพียงแค่เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ของเราในตอนนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้จริง... เหมือนเช่น ความเชื่อเรื่องคาวมเจ็บป่วยในสมัยก่อนที่เชื่อว่าเกิดจากภูติผีปีศาจ แต่ตอนนี้ก็เป็นที่รู้กันแล้วว่าเ้กิดจากเชื้อโรคที่ทำให้เราเจ็บป่วย" จากคุณ : White Alphabet เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 21:07:11

ความคิดเห็นที่ 18 พิสูจน์ไม่ได้ แปลว่าไม่มี .. ไม่เหมาะสม พิสูจน์ไม่ได้แปลว่ามี .. ยิ่งเลอะเทอะ พิสูจน์ไม่ได้ ก็แปลว่าพิสูจน์ไม่ได้สิครับ จากคุณ : PUFF เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 21:07:17

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้ายังไม่เคยเจอ ผมก็ยังไม่เชื่อว่ามีจริง จากคุณ : Post in Android (สมชายตลอดมา) เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 21:11:39

ความคิดเห็นที่ 21 บางทีมันก็ต้องแยก ฟรั่งบอก พุทธ ไม่ใช่ศาสนาเพราะพิสูจน์ไม่ได้ (เช่นเรื่องกฎแห่งกรรม) ต้องแยกว่า ประจักษนิยมแบบวิทย์ มันไม่มีทางรู้ไปหมดได้ทุกอย่าง มันเลยต้องมีความเชื่อมาเติมส่วนที่ขาดไป เชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ ทำไมกลัวตายล่ะ ตายแล้วไม่รู้สึกอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 55 21:41:41 จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 21:38:47

ความคิดเห็นที่ 22 เชื่อครับ เพราะหลายปรากฏการณ์นักวิทย์ก็อึ้งแดร่กกันเป็นแถวๆ จากคุณ : กาแลนท์เขียวเมืองนนท์ เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 21:59:35

ความคิดเห็นที่ 23 เรื่องกลัวตาย ผมว่า ที่กลัวเพราะ 1. ก่อนตาย มันเจ็บ ทรมาณ 2. ยังใช้ชีวิตไม่คุ้ม 3. เพราะคิดว่าตายแล้ว ไม่เกิดใหม่  ขาดโอกาสที่จะได้มีชีวิตต่อไป ถ้าได้เกิดใหม่เป็นเทวดา คงมีคนอยากเป็นเยอะ คนที่จะไม่กลัวตาย น่าจะเป็นคนที่สามารถ ปลง ได้ หรือเข้าถึงใจถึงหลักธรรม ไม่ยึดติดอะไร หรือตรัสรู้แล้วมากกว่าครับ  สามารถปลงสังขารได้เลย เพราะไม่กลัวอะไรอีกแล้ว หรือไม่ก็ ขาดสติ เลยไม่กลัวตาย      การกลัวตายเป็นสัญชาติญาณการป้องกันตัวขั้นพื้นฐานของธรรมชาติครับ จากคุณ : Mr. Tracker เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 22:05:33

ความคิดเห็นที่ 24 ไม่ทราบค่ะ  แต่ว่าน่าสน   คิดในใจ  อืมมม์ จากคุณ : enduresexy เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 22:07:48

ความคิดเห็นที่ 25 ถึงว่าคนที่หากินกับศาสนาถึงรวยเอาๆเจริญเอาๆ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 22:18:53

ความคิดเห็นที่ 26 คห21 ฝรั่งเขาบอกว่าพุทธ ไม่ใช่ศาสนา เพราะ ศาสนาเราไม่มีพระเจ้าครับ ไม่ใช่เรื่องการพิสูจน์ ถ้าเอาเรื่องพิสูจน์มาแยก พิสูจน์เรื่องจีซัสฟื้นคืนชีพได้ไหมครับ ถ้าไม่ได้ก็คงไม่ใช่ศาสนาเหมือนกัน จากคุณ : Juggernaut เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 22:26:01

ความคิดเห็นที่ 27 คนคิดแบบ#9มันตรรกะป่วย เห็นแบบนี้ประจำอย่าไปเถียงเสียน้ำลายป่าว ปล่อยๆไป จากคุณ : MAXReal เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 22:27:47

ความคิดเห็นที่ 28 จะขอดูหลักฐาน  ต้องทำตนให้มีคุณสมบัติ เหมาะสมง่ายๆ คือ จิตที่ตั้งมั่น ปราศจาก อุปกิเลส ควรแก่การงาน สมาธิที่มาจากการหยุดคิด หยุดจินตนาการ หยุดวิเคราะห์ เจริญสติ ให้แน่วแน่   ก็พิสูจน์ได้ทุกคน แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 55 23:13:24 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 22:43:31

ความคิดเห็นที่ 29 26 ไม่จริงครับ ทฤษฎีสตริง อาจโดนจัดอยู่ในปรัชญา ถ้ามันพิสูจน์ไม่ได้ คือมีความเป็นไปได้ว่า ทฤษฎีนี้ถ้าพัฒนาต่อไป อาจไม่มีทางพิสูจน์มันได้ เพราะมันเล่นกับมิติ 11 มิติ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้เค้าจะจัดเป็นปรัชญา พุทธอาจไม่เป็น religious เพราะไม่มี god แต่ไม่จะไม่ถูกจักเป็นปรัชญาถ้าเป็นประจักนิยม วิทยาศาตร์ไม่มีพระเจ้าไม่เห็นเป็นปรัชญาเลย(แน่นอนเป็นสาขาหนึ่ง แต่ไม่ใช่ pure ph) ปล.ไม่มั่นใจข้อมูลนะแย้งได้ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 55 22:53:45 จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 22:44:56

ความคิดเห็นที่ 30 ทุกวันนี้ยังมีสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้อีกมาก รอจนพิสูจน์ได้ ทำซ้ำแล้วได้ผลออกมาเหมือนเดิมผมจะเชื่อ จากคุณ : ความรู้น้อยแต่ขอแจม เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 22:54:10

ความคิดเห็นที่ 31 พุทธมาแล้ว คริสต์ก็มาแล้ว เมื่อไหร่อิสลามจะออกฉายบ้าง 5555 จากคุณ : เซียนแห่งmath เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 22:59:39

ความคิดเห็นที่ 32 เรื่องนี้ยังไม่มีการพิสูจน์ตามนัยยะทางวิทยาศาสตร์จริง จริงๆจึงอาจมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ แต่บางเรื่องเราจะรอให้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ก่อนจึงเชื่อ มันก็เกินไป จากคุณ : เอ้อ เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 23:11:25 A:49.48.116.16 X: TicketID:380771

ความคิดเห็นที่ 33 เรามีเทวดาเดินดินที่มีลมหายใจ ที่เรายังพอมีกินอย่างวันนี้ ท่านดูแลคนไทยมานานเหลือเกิน ให้จำไว้ จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 23:51:31

ความคิดเห็นที่ 34 เรื่องศาสนาพุทธ ผมว่ามีเรื่แงผลการนั่งสมาธิ วิปัสสนา เป็นวิทย์ที่ทดลองได้ ด้วยการสแกน fMRI ออกแบบการทดลองได้มากมาย ปัญหาคือนักวิทย์ไทยไม่มีงบเครื่องมือไม่มี ต้องรอความรู้จากฝรั่งสรุปอย่างเดียว จากคุณ : @VVIEWW เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 23:57:00 A:58.64.107.36 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 35 อ่านบางความเห็นแล้วอนาถกับความคิดที่ล้าหลัง คงเพราะโดนล้างสมองมานานหูตาเลยพร่ามัว จากคุณ : Shinosuke08 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 00:49:48

ความคิดเห็นที่ 36 คนไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้สึก ไม่เคยมีประสบการณ์บอกยังไงเค้าก็คงไม่เชื่อ อย่างเมื่อหลายร้อยปีก่อน ไม่มีใครเชื่อกาลิเลโอ หรือ โคเปอร์นิคัส ว่า โลกกลมและดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล  คนพวกนี้ก็เลยเหมือนหลายๆ คน ในกระทู้นี้ ว่ากล่าว เสียดสีความเห็นอื่นด้วยว่า เืพ่อให้เกิดความสะใจแก่ตัวเอง คนพวกนี้เราว่าน่าสมเพชมากกว่า เพราะคุมขังตัวเองด้วยอัตตา เหมือนคนเมื่อหลายร้อยปีก่อนในสมัยกาลิเลโอ ที่ไม่เชื่อว่าโลกกลม บางคนที่เชื่อว่าโลกลม ถึงกับโดนคนพวกนี้จับถ่วงน้ำให้ตายฐานมีความคิดนอกรีต ไม่แน่ คนพวกนี้อาจกลับชาติมาเกิดเป็นคนแถวๆนี้ก็เป็นได้ ธรรมชาติให้ประสาทสัมผัสมนุษย์มา 5 ช่องทางที่จะติดต่อกับโลก ธรรมชาติไม่ได้บอกนิว่ามันมีอยู่แค่นั้น หลายอย่างซ่อนเร้น มีเงื่อนไข ต้องมีเหตุปัจจัยมาถึงจะสัมผัสได้ อย่างแสงอาทิตย์ถ้าดูด้วยตาเปล่าๆ ก็คือแสงขาว ลองเอาไปส่องผ่านปริซึ่มแยกออกได้เป็น 7 สี !!!!! เคยตั้งคำถามสงสัยไหมว่า ทำไมเหตุในโลกนี้มันช่างเหมาะเจาะเหลือเกิน ทำไมแสงอาทิตย์มันทำให้พืชสังเคราะห์น้ำตาลออกมาได้ ทำไมถึงเกิดออกซิเจน แล้ว 2 อย่างนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นแก่ สิ่งมีชีวิต มันบังเอิญไปไหม ?? หรือว่ามันไม่บังเอิญ ทุกอย่างมีแผนการตระเตรียมก่อนหน้าแล้ว แค่แสงอาทิตย์ กับพืช ออกมาเป็น ออกซิเจน กับ น้ำตาล เป็นจุดกำเนิดเล็กๆ ที่ทำให้ชีวิตมากมายมหาศาล ต้องถือกำเนิดขึ้นมาเพื่ออะไร ?? จริงๆ เราก็ไม่ใช่แฟนพันธ์แท้ของพระพุทธเจ้าเท่าไหร่ะนะ จริงๆ แต่เราสวดมนต์ เพราะศาสนาพุทธมันมีอิทธิพลต่อเรามาตั้งแต่เกิด เราเลยปฏิเสธมันไม่ได้ ...หากแต่ลึกๆในจิตใจเรา เราเชื่อเรื่องพระเจ้า เราเชื่อว่ามีมีบางสิ่งบางอย่าง ระบบบางอย่างที่สัมผัสไม่ได้โดยปกติวิสัย ที่คอยเฝ้ามองกระกระทำของเราอยู่ ตลอดเวลา หากแต่ถ้าถามว่า จะต้องเป็นเทวดา รูปกายเป็นคนใส่ชฎา เหาะหินเดินอากาศได้ ร่างโปร่งใส อันนั้นเราว่าไม่ใช่ สิ่งเหนือธรรมชาติดำรงอยู่ในรูปแบบที่เกินกว่า ศักยภาพของสัมผัสมนุาย์จะจินตนาการได้ คนที่บอกว่าไม่มี อาจเพียงเพราะผิดหวังที่ไม่เคยสัมผัสได้ว่ามันมีอยู่จริง ตัวเองเลยผิดหวัง โกรธลึกๆในใจ เลยเที่ยวบอกใคร และพยามบอกให้คนอื่นเชื่อว่ามันไม่มีจริง  เพราะความจริงลึกๆในใจ ตัวเองก็หวังว่าจะได้เจอบ้างซักครั้ง คนที่เฝ้ามองหาหลักฐานที่สัมผัสได้จาก 5 ช่องทางที่ตัวเองมี เมื่อหาไม่ได้ก็ไม่เชื่อและบอกว่าไม่มีอยู่จริง ก็คงจะไม่มีวันได้เจอ จริงๆ ตลอดชีวิตนี้เพราะจิตของเค้าได้ฟันธงและผิดกั้นที่จะรับสิ่งนี้ไปแล้วตอลดกาล **จากคนที่เคยสัมผัส แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 55 02:10:27 จากคุณ : DashSanFranCisco เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 02:08:02

ความคิดเห็นที่ 37 เอ่อ นี่ห้องวิทย์นะครับ พวกโง่งมงายเข้ามาอ่านอะไรกันหรือครับ ตอบ จขกท  ดอกเตอร์ท่านโง่ ท่านจินตนาการแล้วเชื่อเอาเองครับ เรื่องนี้อธิบายได้ด้วยจิตวิทยาครับ แต่ไม่ขอพูดนะครับ #9#19 คลื่นต่างๆที่ถูกเรื่องชื่อต่างๆนั่นมีอยู่ในธรรมชาติ เหมือน น้ำ ต้นไม้ ความร้อน ครับ และมนุษย์ก็รู้จักมันมานับหลายร้อยปีแล้ว  โทรศัพท์เคลื่อนที่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ใช้มันสมองนำคลื่นเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ครับ ไม่ได้เป็นสิ่งเล้นลับอะไรเลย ส่วนเรื่อง ผี วิญญาณ ถ้ามันมีจริงเราก็คงรู้จักมันไปนานแล้วละครับ คงไม่มานั่งเถียงกันจนถึงทุกวันนี้ ที่คุณยังไม่รู้แล้วเชื่อเป็นตุเป็นตะว่ามันมีจริง เพราคุณยังไม่ฉลาดพอ ย้ำ จากคุณ : promlikit เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 02:28:11

ความคิดเห็นที่ 38 ผี วิญญาณ เทวดา ก็ต้องจำกัดความกันหน่อยว่ามีสภาพเป็นยังไง เป็นพลัง คลื่นความถี่ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมา ก็พอเป็นไปได้ แต่มีอำนาจดลบรรดาลทุกอย่างได้นี่ก็เวอร์เกิน จักรวาลสิ่งมีชีวิตเกิดจากความว่างเปล่าหรือแรงระเบิด คิดแล้วมันเลื่อนลอย คนยังเชื่อกันได้ สิ่งที่ควรคิดเกี่ยวกับวิญญาณ ไม่ใช่การหาความจริง แต่ทำความเข้าใจพื้นฐาน ว่าเป็นไปได้แค่ไหน และเป็นลักษณะไหน อย่างผีดูดเลือดอาจเป็นโรคร้ายบางอย่าง ที่คนเป็นอาจมีอาการอยากกินเลือด แต่แปลงเป็นค้างคาวหรือบินได้ คนแต่งมั่วขึ้นมา อย่างปอบ กินเครื่องใน ก็อาจเป็นโรคอีกอย่างเพราะมีการแพร่เชื่อทางน้ำลาย คนที่มีหัวคิดวิทยาศาสตร์แต่ไม่ได้คิดวิเคราะห์แยกแยะสิ่งต่างๆ ก็หัวแคบเกิน จากคุณ : Kahathanan เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 02:42:31

ความคิดเห็นที่ 39 จขกท พวกท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ , ท่านคิดว่า ดร.สนอง งมงาย เพ้อเจ้อหรือเปล่า? หรืออย่างไร? บอกตรงๆ เลยนะครับ อยากทราบความคิดเห็นของทุกคนเลย โดยเฉพาะ ดร.เจษฯ ด้วยน่ะครับ (ถ้าจะกรุณา) - ผมยังไม่ได้ดูคลิปที่แปะหน้าว่าอาจารย์สนองท่านพูดอะไรบ้าง แต่ผมเคยโดนให้ฟังเค้าบรรยายที่จุฬาฯ กว่า 3 ชั่วโมง (คนจัด บอกว่าเป็นเสวนาเรื่องการสร้างบุคลิกภาพ แต่กลายเป็นบรรยายเรื่องศาสนาแทน) เอาเป็นว่า ผมไม่นับว่าเค้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันแต่อย่างไร ทั้งด้วยงานที่เค้าทำอยู่และด้วยวิธีคิด ถึงแม้ว่าในอดีตเค้าเรียนจบมาทางนี้หรือทำงานมาทางนี้ก็ตาม .... ขณะที่ระหว่างฟังบรรยายแล้ว วิธีการพูดของเค้ามันตรงกับวิธีการที่พวก pseudo scientist ใช้ในการโฆษณาขายสินค้า pseudo science มากกว่า เช่น กล่าวอ้างเรืื่องเหนือธรรมชาติเกินไปจากแก่นศาสนา ล่อใจคนฟังด้วยความสำเร็จของผู้พูดในอดีต ยืนยันด้วยคนมีชื่อเสียงอื่นที่เชื่อเรื่องนี้เหมือนกัน ท้าพิสูจน์ให้ทำเองถ้าอยากรู้ (เช่น ไปนั่งสมาธิดูกันมั้ยถ้าอยากเห็นเทวดา) แต่ถ้าทำไม่ได้ก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลนะ(กระบวนการขาย pseudo science นี้ ต้องอธิบายยาวครับ ว่ามันหลอกเราอย่างไร) ผมมีประเด็นอยากลุกขึ้นเถียงเค้าเยอะเลยในงานบรรยายนั้น แต่เกรงใจและคิดว่าบรรยากาศไม่ให้กับการถกเถียง แต่ผมมานั่งคุยกับลูกศิษย์ที่โดนบังคับให้ไปฟังเหมือนกัน ส่วนใหญ่ก็ส่ายหน้าครับ ประเด็นที่ผมรับไม่ได้ว่าเค้าไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาซะเลย คือ ตอนที่เค้าเล่าว่าเคยเห็นพระองค์นึงมีพลังจิตสูงมาก สามารถทำให้หลอดไฟสว่างได้โดยไม่ได้เสียบปลั๊ก ทั้งเค้าและใครๆ นักวิทยาศาสตร์คนไหน ก็ทึ่งและเชื่อแล้วว่าพลังจิตจากการฝึกปฏิบัตินั้นมีจริง โถ...อันนี้มันเล่นกลได้สบายเลยครับ ไม่ว่าจะกลหลอดไฟแบบหลอดเกลียวที่แอบใส่ถ่านไว้ข้างใน หรือกลหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่ใช้ไฟฟ้าสถิตทำให้เรืองแสงได้ สรุป.. อย่าเอาแค่เค้าเรียนจบอะไรมา หรือเคยทำอะไร มาตัดสินว่าเค้าน่าเชื่อถือครับ ต้องดูปัจจุบัน จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 07:28:47

ความคิดเห็นที่ 40 ต้องแยกประเด็ยเรื่องหลงกลลวง  ออกจาก การพิสูจน์เรื่องเทวดาออกจากกัน คคนเห็ยนเทวดามาจากคนหลายประเภท  โกหก จินตนาการ จิตปรุงแต่ง  เห็นจริงบนจิตที่ตั้งมั่น ต้องมาดูเป็นกรณีครับ พิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ไม่เป็น  ไม่พิสูจน์ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 08:46:16

ความคิดเห็นที่ 41 ความสำคัญของการจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับว่าเราเอามาใช้ประกอบการตัดสินในชีวิตประจำวันรึเปล่า บางคนบอกว่าทำไมต้องรอพิสูจน์ก่อนถึงจะเชื่อ เพราะการตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ มี"โอกาส" สูงที่จะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และได้ผลลัพท์ที่ไม่พึงประสงค์ ยกตัวอย่าง ชายคนหนึ่งคบกับผู้หญิงคนหนึ่งมานาน ทั้งคู่รักกันดี เข้ากันได้หมด วางแผนจะแต่งงานกัน ถ้าเขาทั้งสองคนไปหาพระ หาหมอดู แล้วถูกทักว่า ดวงไม่ถูกกันห้ามแต่งงานกัน พอถึงจุดนี้ ความเชื่อหรือไม่เชื่อจะมีผลต่อการตัดสินใจแล้ว จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 08:57:38

ความคิดเห็นที่ 42 ยิ่งคร่ำเคร่งศาสนามาก ยิ่งเป็นอาการของผู้ศรัทธา ถ้าหนักเข้าไปอีกจะเป็นผู้ป่วยสถานเดียว ตัวอย่างมีมากมายถ้าใครมองไม่ออกก็แสดงว่าผู้นั้นก็คร่ำเคร่งศรัทธาจนป่วยทางจิตไปอีกคน และจะมีอาการปัญญาเสื่อม,ตรรกะความคิดไม่สมเหตุสมผลเป็นธรรมดา (เล่นปักใจยึดมั่นถือมั่นขนาดนั้น ปัญญาจะพัฒนาได้อย่างไร ต่อให้เคยเป็นด๊อกเตอร์ 10 สถาบันมาก็ตาม) วิธีแก้ไขสำหรับคนที่ยังไม่ถึงขั้นป่วยหนักหลงเชื่อมั่นความคิดตนเองจนเกินเยียวยา ก็คือใช้หลักพุทธศาสนานั่นแหละครับ ให้คลายความยึดมั่นยึดถืออย่างแรงกล้านั้นเสีย เพราะนำมาสู่ภาวะคร่ำเคร่งเป็นจริงเป็นจัง เป็นตุเป็นตะ ครั่นคร้าม สมความยึดเหนี่ยวศรัทธา สนองความปีติ ฯลฯ เกิดขึ้นในใจเยอะแยะเหลือเกิน (เกิดภาวะติงต๊องมากมายแต่ตัวเขาเองจะเชื่อมั่นศรัทธาลมๆแล้งๆอยู่อย่างนั้น) หรือเปลี่ยนมาเป็นคนที่มีความสังสัยใคร่รู้ อยากรู้อยากเห็นต่อเหตุผลต่างๆ ให้สมกับแบบฉบับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ แค่นี้ก็เกิดการเรียนรู้ตามศักยภาพปกติของผู้คนในปัจจุบันแล้ว จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 09:04:39

ความคิดเห็นที่ 43 ง่ายๆพื้นๆไม่ต้องพิจารณามากก็ตามคุณ PUFF พูดเลย ชัดเจนสุดแล้วครับ จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 09:34:40

ความคิดเห็นที่ 44 แล้วดอกเตอร์แกไปทำอีท่าไหนเข้า ถึงได้เห็นเทวดา? แล้วทำไมดอกเตอร์เห็นได้? ทำไมผมเห็นไม่ได้? ถ้าเคยเห้นมาแล้วจนเชื่อว่ามีจริง เป็นใครๆก็คงอยากจะพิสูจนืให้คนอื่นๆเห้นด้วยเหมือนกันน่ะครับ จะได้ไม่มีใครมาหาว่างมงาย จากคุณ : i will ok เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 10:09:26

ความคิดเห็นที่ 45 #44 ดร สนอง แกไปปฏิบัติธรรมสายยุบพอง  นั่งสมาธิถือศีล ปฏิบัติภาวนา จนจิตสงบ คือ หลายคนในห้องนี้อาจะไม่เคยรู้จักสัมมาสมาธิ สมาธิไม่ได้เกี่ยวกับศาสนา แต่เป็นเรื่องสัจจธรรม ของกลางๆที่ใครๆก็ปฏิบัติได้ มีมาก่อนศาสนาพุทธอีกครับ เท่าที่เห็นหลายคน ยังไม่เคยศึกษาจริงจัง บางคนคิดไปว่าเป็นเรื่อง จิตวิปลาสบ้าง หลงคิดไปเองบ้าง บ้าเสียสติบ้าง หรือโกหกหลอกลวงบ้า หรือคลั่งศาสนาว่าเข้าไปนู่นอีก ลองสำรวจได้เลยคนที่มาต่อต้านเรื่องสมาธิ พวกนี้จับมาถามทีละคน ไม่มีความเข้าใจลึกซึ้ง ไม่เคยแม้แต่การหยุดกับสมาธินิ่งๆได้ต่อเนื่องเกิน 30 นาที เพราะ ธรรมชาตของคน มักจะคิดอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่เคยฝึก จะอยู่น่งๆ ไม่คิด ทำไม่ได้เลย การพิสูจน์เรื่องสิ่งที่มองด้วยตาเนื้อไม่เห็น หรือศัพท์เรียกว่าความเป็นทิพย์ การพิสูจน์ภพภูมิอื่นๆที่อยู่ซ้อนกับภพมนุษย์ อุปมาคล้ายกับ คลื่นรอบตัวมนุษย์ที่มีการรับส่งตลอดเวลา ทั้งคลื่นวิทยุ โทรทัศน์ wifi โทรศัพท์มือถือ มองเห็นด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ถ้ามีเครื่องมือก็รับรู้ได้ สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ของสมาธิมีการพิสูจน์มาหลายพันปีแล้ว ทำซ้ำได้ ถ้าทำเป็น ทำถูกทาง keyword คือ จิตตั้งมั่น ปราศจากอุปกิเลส ควรแก่การงาน เรื่องสมาธิเรื่อง ฌานวิสัย ยังไม่มีหลักสูตรวิทยาศาสตร์ที่ไหนสอนได้ เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่ยัง ไม่มีเครื่องมือมาจับเป็นตัวเลขปริมาณวัดได้ ศาสนาพุทธเกิดมาได้ ก็เพราะสมาธิ ที่พระพุทธเจ้า ค้นพบการมีอยู่ของภพชาติ รู้ถึงการเวียนว่ายตายเกิด ก็เป็นผลมากจากสมาธิ รู้อดีตชาติ รู้ถึง เทวดา ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ไม่ได้มาจาก เห็นด้วยตาเนื้อปกติ แต่ต้องทำจิตให้ปราศจากกิเลส แม้เพียงชั่วคราว จนกระทั่ง มีการเตือนว่า ผลของ ฌานวิสัยเป็นเรื่องอจินไตยที่ห้ามคิด เพราะคิดยังไงก็หาคำตอบยากมากก  มีคนเป็นบ้ามาเยอะแล้ว แต่ก็สอนวิธีการพิสูจน์ไว้แล้ว สามารถทำซ้ำได้ โดยเฉพาะพระสายปฏิบัติจริงๆ พระสามแสนกว่ารูป อาจจะมีเพียงแค่ 3000 ที่ปฏิบัติจริงๆจัง ละกิเลสได้จริง ก็พิสูจน์ได้ไม่ยาก ว่าเขาเห็นจริงตามพระไตรปิฏก เรื่องแบบนี้ต้อง พิจารณาตัวแปล ที่เรียกว่า สติ สมาธิ ปัญญา ต้องมีกำลังเสมอกัน หลักสูตรพวกนี้ยังไม่มีสอนใน science  ต้องรอสักพักครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 55 10:50:31 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 10:49:51

ความคิดเห็นที่ 46 จริงไม่จริงไม่รู้ครับ รู้แต่เริ่มขยับไปเรื่อยๆ พญานาค ภูตผี เทวดา จุดจบก็คือศาสนา ไม่ได้บอกว่า ศาสนาไปเกี่บวอะไรกับ เรื่องพวกนั้นนะครับ แต่มันก็คืออีกเรื่องที่เชื่อมโยงกัน และเมื่อสุดท้ายก็มาพิสูจน์เรื่องศาสนามีจริงหรือไม่  เมื่อนั้นผมว่าไม่เหมาะ จากคุณ : chadowing เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 10:52:52

ความคิดเห็นที่ 47 สรุปว่าถ้าฝึกมา ก็อาจจะเห็นได้ ถ้าไม่ฝึกจะไม่เห็น งั้นพวกที่ไม่เคยฝึกแต่อ้างว่าเห็น ก็คงไม่ใช่ของจริง คนที่ไม่เคยฝึกก็ไม่ต้องกลัวเจอผี เพราะผีไม่สามารถปรากฎตัวให้ผู้ที่ไม่เคยฝึกเห็นได้ จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 10:56:51

ความคิดเห็นที่ 48 มาย้ำอีกทีว่า สัมมาสมาธิ ระดับ ฌานสี่ ไม่มีการคิด ไม่มีการจินตนาการนะครับ สมาธิคือการฝึกการหยุดคิด หยุดวิตก หยุดวิจาร จนกระทั่งจิตรวม พวกที่เย้วๆ ถามจริงๆนะครับ เคยทำสมาธิจริงๆหรือเปล่าครับ พวกที่แย้งว่า สมาธิคือสะกดจิต บ่งบอกว่า ยังแยก มิจฉาสมาธิ ต่างจากสัมมาสมาธิไม่เป็น จิตแพทย์สังเกตอาการคนป่วยทางจิตได้หลายประเภทครับ - โกหก - จินตนาการไปเอง - ป่วยทางจิต จะมีอาการเสียสติ - เห็นจริงตามนั้น โดยเฉพาะพระสายวัดป่า หรือผู้ปฏิบัติที่ศีลบริสุทธิ์ จิตตั้งมั่นจากสมาธิ (แม้เพียงชั่วคราว) ใครที่แย้ง ลองฝึกนั่งสมาธิสัก สามสิบนาที โดยไม่คิดไม่วิเคราะห์  สำรวมกายวาจาใจ อยู่กับอารมณ์เดียวให้ต่อเนื่อง ใครทำได้ติดต่อหลังไมค์มาครับ จะมีแบบทดสอบให้ทำ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 10:58:26

ความคิดเห็นที่ 49 สรุปว่าถ้าฝึกมา ก็อาจจะเห็นได้ ถ้าไม่ฝึกจะไม่เห็น งั้นพวกที่ไม่เคยฝึกแต่อ้างว่าเห็น ก็คงไม่ใช่ของจริง คนที่ไม่เคยฝึกก็ไม่ต้องกลัวเจอผี เพราะผีไม่สามารถปรากฎตัวให้ผู้ที่ไม่เคยฝึกเห็นได้ จากคุณ : RX-93 =============================== ไม่ฝึกก็เห็นได้ครับ ถ้าเขาอีกภพ อยากให้เห็น จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 11:00:56

ความคิดเห็นที่ 50 พิสูจน์เรื่องศาสนามีจริงหรือไม่ ต้องตอบว่ามีศาสนาในโลกนี้่มากมายครับ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ความขัดแย้งครับ แต่ประเด็นคือคำสอนไหนที่เป็นสัจจธรรมครับ ในศาสนาพุทธ ค้นพบว่า สุดท้ายแล้วเมื่อแยกร่างกายออกเป็นส่วนๆ เป็นหน่วยเล็กๆ ก็ไม่พบตัวตนอะไร นอกจาก ขันธ์5 อายตนะ และ อุปาทาน รู้ถึงการวนเวียนการเกิดตาย ของภพภูมิต่างๆ   ได้กฏมาสามข้อ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ถ้าเป็นมุมมองวิทยาศาสตร์ก็แยกเซลล์ให้เล็กที่สุด แล้วย้อนกลับมาเอาองค์ความรู้นั้นมาสร้างความมั่งคั่งร่ำรวย มาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก แก้ทุกข์ทางกาย ทางจิตใจ ด้วยตัวยา ให้มีชีวิตยืนยาว แล้วไม่มีจุดสิ้นสุดของการค้นหาคำตอบ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 11:07:38

ความคิดเห็นที่ 51 คนละโหมดกัน จากคุณ : bbiggy เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 11:51:18

ความคิดเห็นที่ 52 เคยเจอ 2-3 ครั้ง แต่ใช้วิทยาศาสตร์มาหักล้างไม่ได้ เล่าให้ใครฟัง ก็ไม่เชื่อ ต้องให้เค้าเจอเอง ปล.ผมก็นักวิทย์ฯ คนหนึ่งเหมือนกัน จากคุณ : entomo62 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 12:07:00

ความคิดเห็นที่ 53 งั้นเงื่อนไขในการเห็นคืออะไรครับ 1 ฝึกมา สามารถเห็นได้ไม่ว่าเขาจะอยากให้เห็นรึเปล่า 2 เขาอยากให้เห็น ไม่ว่าเราจะฝึกมารึเปล่า 3 ต้องฝึกมาและเขาอยากให้เห็นด้วยจึงจะเห็น 4 เอาแน่เอานอนไม่ได้ สมมติว่าที่กล่าวว่า ถ้าเขาต้องการให้เห็นก็จะเห็นได้ เป็นจริง แปลว่าจากเดิมที่อยู่ในสภาพที่ตาคนปกติมองไม่เห็น เปลี่ยนเป็นสภาพที่ตาคนปกติมองเห็นได้ ดังนั้น ถ้าอยู่กันหลายคน ทุกคนที่มีดวงตาปกติ ควรจะมองเห็น ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์เดียวกัน บางคนเห็น บางคนไม่เห็น จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 12:07:53

ความคิดเห็นที่ 54 ต้องลองไปสัมภาษณ์ญาติพี่น้อง คนที่เสียชีวิตใหม่ๆ บางคนก็เห็น รับรู้ จากกลิ่นบ้าง จากสุนัขเจ้าของบ้าง จากเด็กเล็กๆบ้าง หรือบางคนเขาก็คุยกันโดยไม่รู้คนนั้นเสียชีวิตไปแล้วก็มีครับ หรือบางที ก็ผ่านคนทรง การเห็นที่เกิดจากสมาธิ ไม่ได้อยากเห็น ก็เห็น ยิ่งอยากก็ไม่เห็น ต้องละความอยาก ละความไม่อยาก จึงจะรับรู้ความมีอยู่ได้ ไม่มีอะไรแน่นอน ตามกฏ อนิจจัง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 12:39:15

ความคิดเห็นที่ 55 เคยได้กลิ่นเหม็นหนักๆหนึ่งวูบนานประมาณ 1 นาทีที่บ้าน หลังจากไปงานศพเพื่อนสนิทเหมือนกัน หาต้นเหตุของกลิ่นนั่นไม่ได้ทั้งๆที่กลิ่นเข้มมาก ปรากฏในทันที คงอยู่ และหายไปทันทีเช่นกัน ได้กลิ่นพร้อมกับภรรยาเลย เล่นเอาเธอขนลุก ต้องปลอบกันนาน หุ หุ มีความรู้สึกว่า อาจจะมีอะไรที่เรายังไม่รู้สัมผัสไม่ถึงได้  แค่อาจจะน่ะ จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 13:13:22

ความคิดเห็นที่ 56 กระทู้นี้ขายดี จากคุณ : ใหญ่_พระนครเหนือ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 13:14:29

ความคิดเห็นที่ 57 ตอบคำถามจขกท.นะครับ ถ้าดร.สนอง วรอุไร ไม่สามารถหาหลักฐานอ้างอิงนอกเหนือจาก อดีตการศึกษา, การเล่าประสบการณ์สิ่งที่ท่านไปเห็นมา  (และคิดว่าจริง ไม่ว่าจะจริงหรือไม่) ผมก็คงทำใจให้เชื่อไม่ลงนะครับ จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 13:29:17

ความคิดเห็นที่ 58 ไม่เชื่อว่าผีมีจริง เชื่อตามบิล เกตต์ อัจฉริยะระดับโลก เขาบอกว่าไม่เชื่อ เพราะพิสูจน์ไม่ได้ ก็เลยเชื่อตามเพราะคนฉลาดระดับนี้ ยังไงก็เก่งกว่าตรูแน่นอน เชื่อตามไปไม่น่าจะพลาด จนถึงวันที่เจอเองกะตัวแบบจะๆ จากไม่เชื่อ ทุกวันนี้เชื่อแล้วค้าบ ไม่ขอพิสูจน์อะไรด้วย ช่วยอยู่ห่างๆ กันนิดนึง ส่วนเทวดา อืม ไม่เคยเห็น ดังนั้น ยังไม่อยากฟันธงว่ามีจริง แต่ก็ไม่กล้าบอกว่าไม่มีเช่นเดียวกัน ป.ล. แต่ผมคิดว่า บางคนที่ผมเคยเห็น เขาเป็นเทวดามาเกิดจริงๆ นะ จากคุณ : ลูกหมีเขี้ยวยาวเขาโง้ง เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 13:32:32

ความคิดเห็นที่ 59 ล้วนเกิดจากจิตปรุงแต่งทั้งสิ้น.. ไม่ว่าสมาธินิ่ง หรือไม่นิ่ง ก็ล้วนเนรมิตอุปมาสิ่งที่ตนเองยึดถือออกมาทั้งนั้น..ถ้าไม่ผ่านการพิสูจน์ที่น่าเชื่อถือ ถ้ายึดความเชื่อภูติ ผี เทวดา เป็นที่ตั้ง...คุณก็จะได้เห็นสิ่งเหล่านั้น เมื่อคุณจิตนิ่งจนสามารถสะกดจิตตนเองสำเร็จ... พิสูจน์ง่ายๆครับ..ให้พระวัดป่า หรือพระอะไรที่เก่งกาจเรื่องนี้ 2 ท่าน มานั่งสมาธิกัน แล้วให้ท่านทั้งสองวาดสภาพแวดล้อมรอบตัวท่าน ทุกสิ่งที่ท่านเห็นจากการนั่งสมาธิ แน่นอนพระท่านทั้ง 2 ย่อมเห็นสิ่งที่เหมือนกัน จะเป็น ผี วิญญาณ เทวดา แต่รูปลักษณ์ที่ออกมาย่อมไม่เหมือนกัน ตามแต่สิ่งที่ปลูกฝังมา เพื่อปรุงแต่งเป็นมโนภาพ จะจริง? หรือไม่จริง? ผู้ปฏิบัติธรรมถ้าลด Ego ตนเองหน่อย ไม่ใช่ว่าจะปักหลักเชื่อในทุกสิ่งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน แม้แต่เจอด้วยตนเองก็ต้องรู้จักตั้งคำถามว่ามันจริงหรือไม่? ปรุงแต่งหรือไม่? การพิสูจน์ก็จะง่ายขึ้น หรือจะเล่นคนเดียว ก็ให้ใช้บุคคลที่ 2 นำสิ่งของที่ไม่ระบุว่าเป็นอะไรไปเก็บในกล่องทึบ แล้วนั่งสมาธิในจิตนิ่ง ถ้าเห็นเทวดาก็ถามท่านไปสิว่า ของในกล่องมันคืออะไรหรือท่าน? ถ้าท่านตอบมาว่าเป็น "ไดร์เป่าผม" ก็ลุกขึ้นมาเปิดกล่อง..ดูสิว่าจะเจอไดร์เป่าผมหรือเปล่า?.. ผมเคยทดสอบแบบนี้กับเพื่อนที่อุตริว่าเก่งเรื่องธรรม และยึดถือความเชื่อว่าตนถอดจิต หรือคุยกับวิณญาณได้ ให้ทายว่าผมใส่อะไรไปในกล่อง มันบอกผม "ไดร์เป่าผม" จากการนั่งสมาธินานๆจนจิตนิ่ง(นิ่งของมัน) ก็พอปรุงออกมาได้ว่าในห้องผมตอนนั้นไม่มีไดร์..(เพื่อนอีกคนยืมไป) ความน่าจะเป็นและจิตใต้สำนึกก็ช่วยกันปรุงจนมันสามารถถามเทวดา(หรือผีวะ?) จนมองเห็นได้ว่า ในกล่องเป็นไดร์เป่าผม ผมเปิดกล่อง....ในกล่องไม่มีอะไรเลย มันก็เลี่ยงๆไปโทษสภาพจิตมันในเวลานั้นบ้างบลาๆๆๆ...แต่เทวดาคงไม่โกหกใช่ไหม?(ฮา) แต่กรณีมันก็เหมือนบั้งไฟพญานาคล่ะครับ ต่อให้พิสูจน์ออกมาได้ว่ามันไม่จริงมันก็ไม่ช่วยให้คนที่เชื่อเกิดฉุกใจอะไรขึ้นมาได้.. ก็จะกลายเป็นว่า " ของจริงมันมี...แต่ที่เห็นมันไม่จริง" ในกรณีของผม คนที่เชื่อก็จะประมาณว่า " คนที่เห็นจริงๆมันมี...แต่คนที่ผมเจอมันโม้ 555 " ไม่จบไม่สิ้น จากคุณ : ปอมซัง เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 13:35:09

ความคิดเห็นที่ 60 ไปถามริวจิตสำส่อน เอ้ย สัมผัสสิครับ จากคุณ : sk (sk.0001) เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 13:50:01

ความคิดเห็นที่ 61 นั่งสมาธิแล้วเห็นนู้นเห็นนั้นเห็นนี่ เห็นสัจจธรรม ฯลฯ ไม่คิดว่าเป็นการ "เมา" สารเสพติดจากสมองมั่งหรือครับ? จากคุณ : Alphanet เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 14:06:28

ความคิดเห็นที่ 62 ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ :) คุณก็ลองพิสูจน์ดู ลองท้าทายดู ผมยกตัวอย่างผมเคย มีคุณป้าคนนึงแกสาวกวัดพระธรรมกาย เล่าเรื่องหลวงพ่อวัดธรรมกาย ว่าท่านรู้ทุกเรื่อง ท่านเห็นท่านถอดร่างได้ ผมก็เลยถามป้าว่า ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อก็รู้ทุกเรื่องสิ ป้าแกก็บอกว่าใช้ท่านนั่งสมาธิก็รู้ทุกเรื่อง ผมถามป้าว่าป้าไปถามหลวงพ่อให้หน่อย ว่าสูตรไก่ KFC หมักยังไง ป้าแกโกรธผมไม่คุยด้วยเลย อิอิ ถ้ามีโอกาส อยู่แถวปทุมลองเขาไปถามหลวงพ่อท่านดูสักคำถามอย่างเช่น มะเร็งรักษาอย่างไรก็พอเเล้ว หรือ บอกถอดร่างได้ให้ใครไปแอบในตู้แล้วถามหลวงพ่อว่าคนในตู้ใส่เสื้อสีอะไรก็ได้ ถ้าถอดร่างได้จริงก็คงจะตอบถูก ถ้าท่านตอบถูกคราวนี้ก็ตาคุณและลองฝึกดู จากคุณ : ย้อนยุค เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 14:15:59

ความคิดเห็นที่ 63 คิดอย่างไรกับ ดร.สนอง วรอุไร ที่พูดว่าเทวดามีจริง รูปนิมิต-เห็นภาพเฉพาะผู้ปฏิบัติอันเกิดแต่ใจ/สัญญาของผู้เจริญกรรมฐาน เห็นภาพที่อยากเห็น เช่น เทวดา ผี นรก สวรรค์...น่าพิศวงชวนให้ตื่นตาเร้าใจ   จึงมักอธิโมกข์น้อมเชื่ออย่างงมงายด้วยอวิชชาอันมีมาแต่การเกิดเป็นธรรมดา   http://www.nkgen.com/727.htm รูปนิมิต อาจถูกปรุงแต่งเชื่อเป็นตุเป็นตะ จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 15:00:02

ความคิดเห็นที่ 64 นิมิตมักเกิดในภวังคจิต จิตจึงอธิโมกข์น้อมเชื่ออย่างรุนแรงอย่างผิดๆ/ขาดเหตุผล   เกิดวิปัสสนูปกิเลสในญาณ-มิจฉาญาณ เมื่อปฏิบัติสั่งสมความชำนาญขึ้น บางครั้งนิมิตเกิดในวิถีจิต/วิถีชีวิตปกติ อาจเกิดนิมิตยามวิถีจิต(วิถีชีวิตที่รับรู้ตามปกติ) เมื่อน้อมนำ/กระตุ้นเร้า มักเข้าใจผิดเชื่อว่าถูกต้องแน่นอนเป็นอิทธิฤทธิ์/ปาฏิหาริย์ พากันหลงเชื่ออย่างหัวปักหัวปำในสิ่งที่เห็น/ในสิ่งที่เข้าใจไปนั้น ด้วยอวิชชานั้นแล http://www.nkgen.com/727.htm จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 15:17:21

ความคิดเห็นที่ 65 ไม่ต้องถึงเห็นผี เห็นเทวดาหรอกครับ ให้ไอ้นั่งสมาธิเจ๋ง ๆ ซักร้อยคน มานั่งรวมกัน กลางรูปวาดสัญลักษณ์ใส่กระดาษคว่ำไว้ แล้วก็ถามว่าสัญลักษณ์อะไร จบ หรือกระดาษมันหยาบไป ต้องกายละเอียดเท่านั้น ก็ให้นั่งคนละห้องบอกอะไรให้คนแรกฟัง แล้วให้เอากายละเอียดไปบอกต่อคนห้องข้าง ๆ ซะ ถ้านั่งสมาธินิ่ง ๆ แล้วจะรู้โน่นรู้นี่ได้ คงได้ปรับหลักสูตรการเรียนใหม่หมด แต่ถ้าคนเรียนระดับสูง ๆ แล้วยังมาเชื่อเรื่องเ้พ้อเจ้อพรรค์นี้ ก็แสดงถึงความล้มเหลวในระบบการศึกษาเช่นกัน จากคุณ : SRJ mk V เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 15:33:41

ความคิดเห็นที่ 66 #62 ขอสูตร Oreo, Krispy Kream ด้วยนะ จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 16:00:23

ความคิดเห็นที่ 67 1) การถามหาหลักฐาน ก็เหมือนกับ ถามหารสชาติของอาหาร เอามาโชว์คงไม่ได้ แต่พาไปชิมน่าจะได้ เพียงแต่คนชิมต้องทำตามที่บอก ทำกิเลสในจิตให้ลดลง ทำจิตให้ตั้งมั่น หยุดคิดวิเคราะห์ เลิกสะกดจิต หยุดปรุงแต่งด้วย เอกัตคตาจิต ต้องปฏิบัติสัมมาสมาธิครับ แล้วจะเจอความมหัศจรรย์ของ ฌานสมาธิ ที่ science ไม่เคยตามทัน 2) เรื่องน้อมใจเชื่อ ในเรื่องวิปัสสนูกิเลสมีเพียงเรื่องเดียวครับ คือเชื่อว่าตนบรรลุธรรมตัดกิเลสขาดแล้ว 3) การจะพิจารณาว่าตนเห็นจริงไม่จริง ต้องดูที่กำลังของ สติ สมาธิ ปัญญา เสมอกันครับ 4) การเห็นเทวดา ภพภูมิอื่น นี่แค่เห็นครับ ถ้าไม่ได้หูทิพย์ก็สื่อสารกันไม่ได้ ไม่ได้เห็นของหยาบแบบไดร์เป่าผม แต่เห็นเฉพาะของละเอียด ที่ตาเนื้อปกติมองไม่เห็น 5) ถ้าใครอ้างว่าถอดจิตได้ ให้เอาไม้ตีหัวด้เลยครับ เพราะจิตถอดออกจากร่างไปท่องเที่ยวไม่ได้ แต่ส่งจิตออกนอกได้ 6) ต้องย้ำอีกทีว่าอภิญญาเป็นเรืองของโลกียะ ไม่ได้ช่วยเรื่องการหลุดพ้นกิเลส แต่ช่วยให้เข้าใจสรรพสิ่งได้มากขึ้น 7) ถึงต้องคอยสังเกตไงครับของจริงก็มี ของโม้หลอกลวงก็มี ติดยาเสพติด โกหก จินตนาการ ปรุงแต่งจิต ต้องดูที่ กิเลสตอนนั้น ว่าปฏิบัติถึง เอกัคตาจิตหรือไม่อย่างไร แล้วพัฒนาไปเพื่อโลกุตตระหรือไม่ 8) การคิดแบบเด็กๆหรือปุถุชน มักจะมุ่งเน้นเพื่อเอาอภิญญาคุณวิเศษ  ไปเติม ความอยาก เพิ่มพูนกิเลส อันนี้เขาจะไม่นิยมทำกัน เพราะแค่คิด ความอยากเกิด เอกัคตาจิตก็หายไปในพริบตา 9) ดร.สนอง ใช้สมาธิในขั้นสมถะภาวนาครับ ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา เพราะฉะนั้น จึงไม่มีวิปัสสนูกิเลสใดๆทั้งสิ้น 10) เวลาอ้างวิปัสสนูกิเลส ต้องดูด้วยว่า เขาปฏิบัติภาวนาในขั้นสมถะ หรือวิปัสสนา เอามาอ้างมั่วๆไม่ได้ 11) ถ้านั่งสมาธินิ่ง ๆ แล้วจะรู้โน่นรู้นี่ได้ อันนี้อุปมาเหมือน ปกติ ปลาว่ายน้ำตลอดเวลา น้ำมันขุ่นตะกอน คนเราคิดทุกวินาที จะหยุดคิดคงทำไม่ได้ ถ้าไม่ฝึก เมื่อไหร่ที่หยุดคิดได้สนิท วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัตคตารมณ์ อุเบกขา เกิดแล้ว สัมผัสประสบการณ์สมาธิขั้นนี้ ต้องลองทำเอง ว่าแต่อย่าเผลอไปคิดวิเคราะห์นะครับ สมาธิเขาตะล่อมให้หยุดคิดหยุดปรุงแต่งทางจิต จนจิตรวมนะครับ ถ้าทำผิดก็ผิดทางได้ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 16:17:39

ความคิดเห็นที่ 68 มะเร็งรักษาอย่างไรก็พอเเล้ว แหม อันนี้ตอบตรงๆว่ารักษาไม่หายครับ เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตามกฏแห่งกรรม ผิดกฏปาณาติบาต ก็ต้องรับส่วนนี้ ตอบได้ตรงๆว่า เกิดมาแล้ว สุดท้ายตายทุกคนไม่เว้นใครเลย กฏธรรมชาติ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 16:19:54

ความคิดเห็นที่ 69 ถึงจะมีจริง ผมก็ว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก อะไรนักหนา จากคุณ : puylogin เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 16:58:33

ความคิดเห็นที่ 70 "นิมิตที่เห็นนั้น-เขาเห็นจริง  แต่สิ่งที่ถูกเห็น-ไม่จริง"   หลวงปู่ดูลย์ อตุโล   "ผู้หลงติดในภาพนิมิต มีหัวรุนแรงกว่าความเห็นวิปลาส"  หลวงปู่เทส เทสก์รังสี http://www.nkgen.com/727.htm จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 17:42:42

ความคิดเห็นที่ 71 ผมเชื่อ เพราะผมเคยเห็น ทั้งที่ผีทำให้เห็น และที่เห็นจากการฝึกสมาธิ (ระดับอนุบาล) ถ้าจะให้เห็นแบบชัดแจ้งต้องฝึกแบบเต็มกำลังออกด้วยฌาน ๔ ของแบบนี้ถ้าแน่จริงต้องกล้าพิสูจน์ วิธีพิสูจน์มีมา ๒๖๐๐ ปีแล้ว ถ้าไม่พิสูจน์แล้วมานั่งคิดเดาเอาเอง ต่อให้เรียนจบปริญญาเอก ๑๐๐ ใบก็แค่คนงมงายคนนึงเท่านั้นละครับ "นิมิตที่เห็นนั้น-เขาเห็นจริง  แต่สิ่งที่ถูกเห็น-ไม่จริง"   หลวงปู่ดูลย์ อตุโล คำกล่าวของหลวงปู่ลึกซึ้งมาก ที่ไม่มีจริงเพราะสุดท้ายแล้วธรรมชาติเดิมจริงๆ มีแต่จิต สิ่งต่างๆสร้างมาจากจิตด้วยอภิชชาซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิต ซึ่งประกอบไปด้วย วิญญาณธาตุ สัังขารธาตุ สัญญาธาตุ เวทนาธาตุ และอภิชชา จากคุณ : ผมเอง (ฟ้าสีหมอก) เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 19:02:19

ความคิดเห็นที่ 72 รู้มั้ยหลวงปู่ดูลย์คุยกับเทวดาบ่อยๆครับ นิมิตในขั้นอภิญญา  นิมิตระดับญาน นิมิตที่เกิด ในขั้นต่างๆ  ระหว่างจิตไม่ตั้งมั่น คุณรู้มั้ยหลวงปู่พูดถึงนิมิตไหน พระพุทธเจ้าสอนกำหนดนิมิต และวิธีแก้นิมิตที่หายด้วยนะ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 20:25:06

ความคิดเห็นที่ 73 ถ้าตอบแบบปรมัต   คือ ไม่มีอะไรสักอย่าง  มี แต่ธาตุ กับอุปาทานครับ ไม่มีนรก  สรรค คนสัตว  คือที่สุดของคำตอบครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 20:28:54

ความคิดเห็นที่ 74 พระพุทธศาสนามีแนวทางให้พิสูจน์ ไม่ต้องใช้อะไรเลย ใช้แค่จิตของตัวเอง ก่อนจะปฏิเสธว่าไม่มีจริง ลองพิสูจน์กันดูก่อนไหมคะ จากคุณ : เบบี้โรส เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 20:38:42

ความคิดเห็นที่ 75 หลวงปู่ดูลย์สอนว่า  ๑-ปรมาณูมีเทวดาอยู่ได้ 8  องค์ครับ สมัยก่อนหลวงปู่มั่นต้องแก้ทิฏฐิให้หลวงปู่เทสก์เรื่องติดสมาธิในฌาน  หลวงปู่เทสก์ท่านเก่งเรื่อง  เอกัคตาจิต  มากๆๆๆๆๆๆ ใครสนใจไปคุยต่อห้องศาสนานะครับ ครูบาอาจารย์  สวดอัญเชิญเทวดามาฟังธรรม  แทบจะทุกวัดครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 21:43:12

ความคิดเห็นที่ 76 ผมเปิดช่องสำหรับเรื่องนี้เอาไว้ว่า เป็นเรื่องของความสามารถในการรับรู้ ไม่เท่ากัน จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 00:08:34

ความคิดเห็นที่ 77 ยังไม่ได้อ่านของท่านอื่นนะครับ ไม่ได้สนใจว่าใครพูด ไม่ได้สนใจว่าพูดว่าอะไร ที่จะสนใจมากๆ คือ มีตรรกะ สถิติ การแยกแยะ อย่างไร หลายๆเรื่องเด็กป.4ก็พูดได้ หลายๆเรื่องนักวิทย์ ไม่ควรพูด หรือยืนยัน ปล. ยังไม่ได้ดูคลิ๊ปนะครับ แต่นี่เป็นความเห็นในกรณีทั่วๆไปของผม จากคุณ : ฟฟ7 เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 14:31:13 A:58.137.93.6 X: TicketID:375732

ความคิดเห็นที่ 78 เพิ่งตอบกระทู้เกี่ยวกับ การดึงความจำ แค่จะระลึก หรือนึกอะไร สมองยังดึงสิ่งที่เกี่ยวข้อง ประมวลออกมาแต่ละครั้ง ได้ไม่เหมือนกัน ประเดนยังไม่ใช่ว่า สิ่งที่เห็น มีจริงมั้ย แต่ประเดน คือ ถ้าอยู่ในสภาวะแวดล้อม สภาพเดียวกัน สภาพจิตเดียวกัน ทำตามลำดับไป ครบถ้วนขั้นตอน(จริงๆเป๊ะๆ) แล้วถ้าเห็น สัมผัส ถึงสิ่งเดียวกันได้ นี่ไม่เรียกว่า ปรากฎการธรรมชาติ หรือ นี่ไม่เป็น สิ่งที่จะต้องศึกษา หรือ ถ้าจักรวาลเรา ไม่สามารถแยก ผู้วัดออกมาจากสิ่งที่จะถูกวัดได้ ก็จะไม่มี วิทยาศาสตร์ อย่างนั้นหรือ ถ้าโลกเรามี มนุษย์อยู่คนเดียว ก็จะไม่มี วิทยาศาสตร์ อย่างนั้นหรือ ปล. พื้นฐานพุทธ สุขสงบ ก็คือ หายใจยาว ทุกข์ระทม ก็คือ หายใจสั้น ตรงนี้เห็นจะๆกันได้ไม่ยาก ไม่ใช่จะไร้สิ่งจับต้องไปซะทุกเรื่อง ขึ้นอยู่กับคน ว่าจะเอามาใช้ทำอะไรมากกว่า เทวดาจะมีจริง ไม่มีจริง ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ทำแล้ว ทุกข์ ไม่ทุกข์ สุขไม่สุข รู้สึกเองได้ ก็เค้าเน้นให้ดูอยู่ ทุกเสี้ยววินาที สติ สมาธิอารมณ์ ก็พอเห็นชัดอยู่ ก็เค้าเน้นให้ดูอยู่ ทุกเสี้ยววินาที ทำแล้วสบายใจดี ก็ทำต่อไป ถ้าทำแล้ว ยิ่งไม่สบายใจ ก็คงเลิกไปนานแล้วหละ ------- เรื่องแปลกๆของห้องนี้คือ คนไม่เคยดู ไม่เคยเห็น บอกว่า คนที่เห็น เห็นผิด นี่เรียกว่า ไม่มีสถิติ หลายคนไม่ฟังเขาเล่าด้วย ว่าเขาเห็นอะไรมา เรื่องราวร้อยเรียงความสัมพันธ์เป็นมาอย่างไร นี่เรียกว่า ไม่มีตรรกะ กรณีไหนเห็น ไม่เห็น รายละเอียด มองเหมารวมไปหมด นี่เรียกว่า ไม่แยกแยะ อย่าว่า นักวิทย์เลย เรื่องอย่างนี้ นักปรัชญาพุทธ เค้าก็ไม่ทำกัน ปล. พยายามพูด ให้ดู คมๆไปงั้นแหละ อย่าถือสาผมเลย จากคุณ : ฟฟ7 เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 15:11:44 A:58.137.93.6 X: TicketID:375732

ความคิดเห็นที่ 79 ถ้าศาสนาพุทธเชื่อว่ามี แล้วศาสนาอื่นจะเจอบ้างมั้ย จากคุณ : Alex on the rock เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 21:07:22

ความคิดเห็นที่ 80 ทุกอย่างในโลกนี้มันพิสูจน์ได้ ขึ้นอยู่กับว่า คุณมีความอยาก มีควาทพยายาม มีความเพียร มากพอหรือเปล่า หรือว่าเป็นแค่คนขี้สงสัย แต่ไม่ยอมค้นหา เอาแต่พล่ามไปวัน ๆ จากคุณ : Olympz เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 00:04:33

ความคิดเห็นที่ 81 คนบอกว่า เชื่อเรื่องพวกนี้โง่ แต่พวกที่ฉลาดบอกตัวเชื่อวิทยาศาตร์ แต่พิสูจน์เรื่องนี้ไมได้ ก็โคตรโง่ นะสิ ในเมื่อบอกวิทยาพิสูจน์ได้แต่เรื่องมันพิสูจน์ แสดงว่าความรู้ทางวิทยาวิทยามันยังเข้าไม่ถึง เรื่องว่ายังโง่อยู่หรือเปล่า จากคุณ : mak2010 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 55 23:25:15