ความคิดเห็นที่ 1 คลื่น ไม่ว่าคลื่นเสียง คลื่นน้ำ คลื่นอะไรก็แล้วแต่ ถ้าความถี่ตรงกัน เฟสตรงกัน มันจะเสริมกัน และแรงขึ้นเรื่อยๆ เรโซแนนซ์ คือ ความถี่สั่นพ้อง วัตถุทุกชนิดมีความถี่เรโซแนนซ์อยู่ อาจมีหลายความถี่ แล้วแต่รูปร่าง ขนาด น้ำหนักฯ แต่จะมีความถี่หนึ่งที่แรงที่สุด และถ้าวัตถุนั้นถูกระตุ้นด้วยความถี่เรโซแนนซ์ มันจะสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนที่นักร้องเสียงแหลม ทำแก้วแตกได้น่ะครับ จากคุณ : ช่างบ้านนอก เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 55 23:30:57

ความคิดเห็นที่ 2 เปรียบได้กับการแกว่งชิงช้าครับ เมื่อเราต้องการแกว่งชิงช้าให้ไปไกลขึ้น ก็ต้องถีบพื้นให้ตรงจังหวะกับการเคลื่อนที่ ถ้าถีบถูก มันก็จะแกว่งไกลขึ้น แต่ถ้าถีบผิดจังหวะ มันจะกลายเป็นต้านการเคลื่อนที่แทน สมมุติว่าเราสามารถถีบชิงช้าได้เร็วมากๆและใช้แรงคงที่ทุกครั้งที่ถีบ และถีบได้ทุกจุด (ของจริงยิ่งชิงช้าแกว่งไกลเท่าไร ก็ยิ่งถีบได้ยากขึ้นเพราะถีบได้แต่พื้น ทำให้มันกว้างได้จำกัด) ยิ่งถีบมากขึ่นเท่าไรๆ มันก็ยิ่งแกว่งได้ไกล ขึ้นเรื่อยๆไกลจนสามารถแกว่งควงรอบเสาชิงช้าได้ จากคุณ : HWalker เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 55 23:45:24

ความคิดเห็นที่ 3 #2 เห็นภาพชัดเจน คุณเหมาะที่จะเป็นผู้สอน จากคุณ : ออปเปนไฮเมอร์/ชไนเดอร์ เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 55 02:31:18 A:115.67.195.151 X: TicketID:382862

ความคิดเห็นที่ 4 ....       สมการ Resonance = 1/(1-r)         r = คืออัตราส่วน ระหว่าง ความถี่แรง/ความถี่ธรรมชาติ ดังนั้น เมื่อดูจากสมการแล้ว Resonance จะเกิดขึ้นเมื่อ             ความถี่แรง = ความถี่ธรรมชาติ นั่นก็หมายความว่า  ความถี่แรง/ความถี่ธรรมชาติ = 1 แทนค่าในสมการ          จาก Resonance = 1/(1-r) แทนค่า r = 1;  Resonance = 1/(1-1) = 1/0 ความถี่ธรรมชาติคืออะไร?    เมื่อเราเคาะวัสดุ เช่นเหล็ก ระฆัง สปริง จะพบว่า วัตถุนั้นจะสั่นเกิดความถี่เป็นค่าคงที่ อนุกรม Covergent ลู่เข้าสู่ 0 คือหยุดในที่สุด นั่นคือความถี่ธรรมชาติที่เกิดขึ้น ในวัสดุต่างๆนั้น ความถี่แรงคืออะไร?       การที่มีแรงภายนอกมากระทำกับวัสดุนั้น เช่น ลม รถยนต์เคลื่อนที่ผ่าน เสียง ฯลฯ    Resonance เกิดขึ้นได้อย่างไร? ปรกติ วัสดุจะมาค่าการสั่นในคาบคงที่อยู่แล้ว เช่น แก้วบางๆ ถ้าเราเคาะแก้วที่เดียว แก้วก็จะสั่นด้วยความถี่ธรรมชาติไปเรื่อยๆจนหยุด  หากขณะนั้นเราทำเสียงทีทำให้ เกิดคลื่นความถี่เดียวกับแก้วที่กำลังสั่นนั้น แรงสั่นจะเสริมกันเพิ่มขึ้นไปเรือยๆ จึงทำให้ การสั่นนั้นกระเทือนถึงโครงสร้างภายในเนื้อแก้วจนทำให้โครงสร้างแยกกันเป็นอิสระ สรุปแก้วแตกในที่สุดเนื่อจากโครงสร้างในวัสดุแยกตัวออกจากกัน                                                                                                               ๑๑ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 55 04:58:18

ความคิดเห็นที่ 5 ความคิดผมเหมือน #2 เป๊ะเลย นึกถึงชิงช้านี่แหละง่ายสุดแล้ว รีโซแนนซ์เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดกับอะไรก็ตามซึ่งเคลื่อนที่แบบคลื่น ไปๆกลับๆ ถ้าเราไปเสริมแรงภายนอกให้มันและมันสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นแหละครับรีโซแนนซ์ จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 55 05:14:51

ความคิดเห็นที่ 6 หลักการนี้ ใช้ช่วยตั้งสายกีต้าร์คลาสสิคได้ด้วยนะครับ (สายไนล่อน) พอตั้งสายได้ตรงกันแล้ว เวลาดีดเส้นนึง อีกเส้นจะสั่นตาม แต่กับสายเหล็ก มันสั่นน้อยมากจนแทบไม่เห็น จากคุณ : bodin เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 55 07:08:35

ความคิดเห็นที่ 7 http://www.eng.chula.ac.th/newsletter/index.php?q=book/export/html/304 ตัวอย่างหลายๆ อันอยู่ในนั้น รวมทั้งเรื่องแกว่งชิงช้า จากคุณ : เทพอสูรจิ้งจอกเงิน เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 55 10:27:04

ความคิดเห็นที่ 8 -*- ผมก็ว่าการแกว่งชิงช้าเป็นการสอนที่เห็นภาพมากที่สุด แต่ในโรงเรียนผมยังไม่เคยเห็นที่ไหนสอนแบบนี้เลย จากคุณ : ginosty เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 55 10:30:51

ความคิดเห็นที่ 9 จขกท เขาถามเรื่อง Resonance หรือ การสั้นพ้อง ของ ฮ แล้วทำไมเสียหาย ที่เสียหายเพราะ เกิดการสั่นแบบบังคับ Forced vibration แล้ว เจ้า Forced vibration มีความถี่เดียว หรือใกล้กัน กับความถี่ธรรมชาติ ของ ฮ. ซึ่งทำให้เกิดการสั่นที่มีช่วงการสั่น กว้างมากหรือ เรียกว่า Resonance  โดยจะสร้างความเสียหายได้ อย่างรุนแรง ความถี่ธรรมชาติ มีหลาย mode ส่วนใหญ่ สนใจ แค่10 mode และแต่ละ mode มีความถี่ใกล้กัน หรือห่าง ก็เป็นไปตาม ผู้ออกแบบ แล้วทำไมถึงเสียหาย ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ชิ้นงาน ที่ mode 1    = 46.37 Hz   รูปบน              mode 10    = 1636 Hz   รูปล่าง สังเกต ความเค้นที่เกิดขึ้น   ตามรูปยังไม่มี Forced vibration มากระทำ ถ้ามีด้วยความเค้นจะสูงมากๆ ตั้งแต่ mode 1 แล้ว หวังว่าคงเข้าใจครับ จากคุณ : Hongse_c เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 55 13:21:49