ความคิดเห็นที่ 1 ถึงโลกจะไม่หมุน ก็มีแรงดึงดูดครับ มันขึ้นอยู่กับมวลและระยะทาง ไม่ได้อยู่ที่การหมุน จากคุณ : Pomzazed เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 55 13:07:15

ความคิดเห็นที่ 2 ... จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 55 13:41:18

ความคิดเห็นที่ 3 เกรงว่าทฤษฎีนี้จะไม่ได้รับการยอมรับตรงเอานิ้ววนน้ำในกะละมังนี่ซิครับ :) จากคุณ : SONIM เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 55 14:53:17

ความคิดเห็นที่ 4 จขกท ต้องหาความรู้เพิ่ม เพื่อทำให้ทฤษฏีสมบูรณ์ ..ซึ่งความรู้ที่ต้องมีเพิ่มในตรงนี้ นักวิทยาศาสตร์รู้กันหมดแล้ว ถึงไม่มีใครตั้งทฤษฏีแบบจขกทกัน กระนั้น ทฤษฏีที่พวกเขายอมรับกัน ก็ยังต้องหาความรู้เพิ่ม เพื่อจะได้รู้ว่ามันเป็นไปตามที่ตั้งทฤษฏีจริงหรือไม่ ---------------------------- ข้อสังเกตในสิ่งที่จขกทนำเสนอ 1 ทำไมต้องวนในอ่าง ? วนในมหาสมุทรไม่ได้เหรอ ? 2 ถ้าน้ำอยู่ในอวกาศ น้ำจะมีขอบเขตหรือไม่ ? 3 แม่เหล็กไฟฟ้า แรงน้ำวน แรงดึงดูด เป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่า ? แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 55 15:05:42 จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 55 15:03:49

ความคิดเห็นที่ 5 ทฤษฎีที่ดีต้องมีสมการรองรับ และคำนวณยืนยันได้ตรงกับการทดลองหรือสังเกตการณ์ รวมถึงอธิบายปรากฎการณ์ธรรมชาติได้ดีกว่า หรือใช้วิธีง่ายกว่าครับ เช่นถ้าวิธีของคุณคำนวณได้ตรงตามแรงโน้มถ่วงนิวตัน แต่สู้สัมพัทธภาพทั่วไปไม่ได้ก็ถือว่ามาช้าไป ทีนี้ผมคิดว่ามันมีปัญหาหลายจุดมากทีเดียว คุณไม่ได้กล่าวถึง "มวล" เลยถูกมั้ย แสดงว่าความเร็วในการหมุนมีผลต่อแรงโน้มถ่วงอย่างเดียว? ดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเองใ้ช้เวลา 25 วัน ดาวพฤหัสใ้ช้เวลาไม่ถึง 10 ชม. แสดงว่าดาวพฤหัสแรงดึงดูดเยอะกว่าดวงอาทิตย์? ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเองได้เอื่อยสุดๆ 243 วัน แต่ดาวอังคารแค่ 25 ชม. แสดงว่าดาวศุกร์แรงดึงดูดน้อยกว่าดาวอังคาร? โลกกำลังหมุนช้าลงทีละน้อย(เนื่องจาก Tidal effect จากดวงจันทร์) แสดงว่าโลกกำลังมีแรงโน้มถ่วงลดลง? สมดุลดวงจันทร์-โลกและน้ำขึ้นน้ำลง กฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน และกฎการเคลื่อนที่อธิบายมันได้สมบูรณ์มากแล้ว และเท่าที่ผมอ่านดู ทฤษฎีของคุณสู้ไม่ได้ คงไม่ต้องไปพูดถึงสิ่งที่ยังอธิบายไม่ได้อย่างภาวะเอกฐานของหลุมดำเลยล่ะครับ จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 55 15:20:45

ความคิดเห็นที่ 6 การสังเกต  ทำให้ได้ความรู้ ".....หากเราเอามือหมุน วนน้ำในกะละมังน้ำจะหมุนรอบศูนย์กลาง....." แต่ถ้าสังเกตไม่ดี  จะได้ข้อมูลผิด ".......ธรรมชาติของน้ำไม่ว่าจะหมุนวนเท่าไหร่มันจะพยายามเข้าหาศูนย์กลางอยู่เสมอ.." เมื่อรวมกับความเข้าใจพื้นฐานที่ผิด ".......ตามกฎแรงโน้มถ่วงของโลก(สนามพลังเหนี่ยวนำ)" ก็  จะทำให้ได้ข้อสรุป ที่ไม่เป็นจริง "........ซึ่งแรงที่ว่านั้นจะนำพาฝุ่นตะกอนต่างๆที่อยู่ในน้ำเข้าหาศูนย์กลางกับมันด้วย..." จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 55 17:49:04

ความคิดเห็นที่ 7 ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นดังนี้ครับ 1.)  แรงโน้มถ่วงก็ไม่ได้เป็นแรงทางแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ ป.ล. เข้าใจว่าแรงในธรรมชาติตินนี้มีอยู่ 4 แรง คือ 1. แรงโน้มถ่วง 2. แรงแม่เหล็กไฟฟ้า 3. แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน 4. แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม 2.) ถ้าทฤษฎีของ จขกท. เป็นจริง หมายความว่าวัตถุที่ไม่หมุน จะไม่มีแรงโน้มถ่วง และวัตถุที่หมุนเร็ว จะมีแรงโน้มถ่วงมากกว่าวัตถุที่หมุนช้า ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ดาวศุกร์ ที่หมุนช้ากว่าโลกมาก ก็ต้องมีแรงโน้มถ่วงที่น้อยกว่าโลกมากด้วย ซึ่งก็ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่เราสังเกตุได้ 3.) ตอนสุดท้ายที่คุณบอกว่า "น้ำต้องการคลองฉันท์ใด อวกาศก็ต้องการขอบเขตฉันท์นั้น" ถ้าว่ากันแล้วตามทฤษฎีทางเอกภพวิทยา มันก็จะขัดกันเองงครับ เพราะการที่บอกว่าอวกาศมีขอบเขต ก็ต้องนิยามให้ได้เสียก่อนว่า "ขอบเขต" มันคืออะไร เรื่องนี้อาจจะพูดกันยาว เพราะฉะนั้น ขอมีเวลาก่อนจะขอมาคุยกันต่อครับ ป.ล. สุดท้ายนี้ไม่อยากให้ทาง จขกท. คิดว่าเป็นการตัดความคิด หรือต่อว่าอะไรกันนะครับ เพราะตัวผมเอง (และความคิดเห็นข้างบนๆ) ก็พูดกันด้วยเหตุและผลครับ  โดยส่วนตัวแล้วชื่นชม จขกท. ที่รู้จักสันนิษฐานและนำความคิดมาแลกเปลี่ยนกันครับ หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นแรงบันดาใจให้ จขกท. ได้ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมต่อไปนะครับ ^^" จากคุณ : Haruki.13 (Haruki13) เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 55 22:57:36

ความคิดเห็นที่ 8 เข้ามาอ่านอย่างเดียว  คิดอะไรไม่ออก  แนวคิดดีครับ  ^^  เข้ามาฝังตัวในห้องดาราศาสตร์ แบบผมสิ  สนุกดีนะ  ^^ จากคุณ : Zenmaster_T เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 05:55:48

ความคิดเห็นที่ 9 คุณนำเสนอความคิดเห็นจากสิ่งที่คุณเห็น และสรุปตามความรู้สึกของตัวเอง แต่ว่าธรรมชาติมีอีกหลายๆ อย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ คงไม่โกรธนะถ้าผมจะบอกว่า สิ่งที่คุณกล่าวมามันตรงกับคำพังเพยไทย"ตาบอดคลำช้าง" เพราะคุณเห็นอยู่แค่ด้านเดียว ซึ่งก็ไม่ผิดหรอกครับ คนเราเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดกันทั้งนั้น แนวคิดของคนเราไม่จำเป็นต้องถูกต้องตามธรรมชาติครับ ไม่เช่นนั้นคนเราก็ไม่มีทางพัฒนาสร้างสิ่งประดิษฐ์ หรือวรรณกรรมขึ้นมาได้ จากคุณ : Mr. SJ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 12:01:45

ความคิดเห็นที่ 10 ของผมแรงเดียว ต่างสเกล กระทู้หายไปไหนแล้วไม่รู้ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 12:31:24

ความคิดเห็นที่ 11 จาก จขท ครับ      ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะครับที่ทฤษฎีของผมยังไม่มีสมการรองรับเพราะคิดขึ้นเมื่อวาน แต่อาศัยการเปรียบเทียบและตีความหมายเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาทฤษฎีต่อไป และการที่เปรียบเทียบน้ำในกะละมังแทนที่จะเป็นในมหาสมุทรก็เพื่อให้เิกิดความสะดวกในการสังเกตุครับ และมีหลักการที่อยู่ในทฤษฎีมาให้ผู้รู้ช่วยแสดงความคิดเห็นครับจะได้เป็นแนวทางต่อไป 1. เมื่อขว้างก้อนหินลงในน้ำกระเพื่อมเป็นวงกว้างหลังจากนั้นไม่นานน้ำจะค่อยนิ่งเหมือนเดิมเกิดจาก "แรงที่กระทำต่อน้ำอ่อนกำลังลง" และขณะเดียวกัน "น้ำก็พยายามรักษาความสมดุลเริ่มแรกเอาไว้ถึงที่สุด" และเมื่อเกิดเหตุคล้ายกันนี้กับอวกาศมันก็จะพยายามรักษาสมดุลเริ่มแรกเช่นกัน 2.  ความแรงของแรงโน้มถ่วงไม่ได้สัมพันธ์กับ มวล - ระยทาง แต่เป็น ความเร็วในการหมุน - ระยะทาง และหากหมุนเร็วเกินไปจะกลายเป็นแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ แต่หากหมุนช้าไป ก็ไม่เกิด สนามพลังเหนี่ยวนำ และหากห่างกันเกินไปพลังเหนี่ยวนำ ก็ไปไม่ถึง 3.  มวลไม่ได้เป็นตัวกำหนดแรงโน้มถ่วง เพราะหาก ว่ามวลเป็นตัวกำหนดแรงโน้มถ่วง ดาวพฤหัสซึ่ง มีมวลมากกว่าโลก 318 เท่า ก็ต้องมีแรงโน้มถ่วงมากกว่าโลก 318 เท่าสิ แต่ความเป็นจริงแล้วดาวพฤหัสมีแรงโน้มถ่วงมากกว่าโลกแค่ 2.53 เท่าเอง นั่นแสดงว่ามวลไม่มีส่วนในแรงโน้มถ่วง 4.  อวกาศมีขอบเขตครับและมีมวลด้วย ทั้งนี้เพราะว่า สสารล้วนมีน้ำหนักและต้องการที่อยู่ ทั้งสิ้น แม้ในหรือนอกเอกภพก็ตาม แต่เป็นการกำหนดขอบเขตด้วยตัวของมันเองโดยไม่มีสิ่งใดมาห่อหุ้มหรือต้านไว้เหมือนฟองสบู่คงรูปอยู่ได้ด้วยแรงตึงผิว 5.  หากไม่เป็นตามข้อ 4 แสดงว่าอวกาศขยายตัวอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด และหากว่าเพิ่มแต่ขนาดอย่างเดียวโดยไม่มีมวลมาเพิ่ม มวลก็จะเบาบางลงเรื่อย เปรียบการเทน้ำลงบนพื้นด้วยปริมาณที่จำกัดน้ำจะไหลไปตามพื้นและแห้งเหือดอย่างรวดเร็ว และหากอวกาศเป็นเช่นนั้น จรวดก็ไม่สามารถขับดันตัวเองได้เมื่ออยู่ในอวกาศที่ไร้ซึ่งมวล ขอความคิดเห็นด้วยนะครับ จากคุณ : วาทิต (mahasarakham) เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 13:09:58

ความคิดเห็นที่ 12 คห 11   ข้อ 3 แรงโน้มถ่วงที่ผิวดาว  มันขึ้นอยู่กับระยะทางถึงจุดศูนย์กลางมวลด้วย                            ไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับมวลอย่างเดียว เอามวลมาเปรียบเทียบกันโดยตรง ก็จะผิดน่ะ ลองอ่านบทความนี้ เป็นความรู้เพิ่มเติม http://www.nst.or.th/article/article016.htm จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 13:46:46

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณครับ แล้วข้ออื่นๆล่ะครับ เห็นว่าอย่างไร จากคุณ : วาทิต (mahasarakham) เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 13:57:22

ความคิดเห็นที่ 14 ^ คห 11 ข้อ 3 ตามที่ผมคิดและเสนอไว้ มวลไม่ใช่ประเด็นจริงๆเรื่องแรงดึงดูด แต่ความมีมวลมากบ่งบอกว่า มีประจุมากตามปริมาณอะตอม แต่ทุกๆสสารและอะตอมพยายามรักษาความเป็นกลางทางประจุไฟฟ้าอยู่เสมอ โดยการแลกเปลี่ยนไปกับประจุของสสารรอบๆ แต่มีตัวแปรนึงคือการสั่นตัวของอะตอมหรือที่เรียกว่าอุณหภูมิประจำสสาร อันเกิดจากการโคจร มวลอิเล็กตรอนรอบๆนิวเคลียส ยกตัวอย่าง เช่น มวลอิเล็กตรอนกับ โปรตรอน ไฮโดรเจน ที่มีการโคจรเป็นอะตอมอยู่ได้เพราะ มีแรงดึงดูดระหว่างประจุ - ของอิเล็กตรอน และ + ของโปรตรอน และมีความเร็วในการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน ที่เข้ามาในระยะห่างที่พอดีกับแรงดึงดูดระหว่างประจุ อิเล็กตรอนจึงโคจรไปรอบๆโปรตรอน การโคจรนี้ก่อใ้ห้เกิด แรงโมเมนตั้ม ซึ่งทำให้อะตอม มีค่าการสั่นไหวของมันเอง และเกิดเป็นแอุณหภูมิ ที่แผ่ออกมาได้ แบละมีผลกระบทบกับ โมเมนตั้ม อะตอมอื่นๆรอบๆ เช่นเดียวกับการโคจรของมวลต่างๆ ไม่ว่าสเกลไหนที่ทำให้เกิดการไม่อยู่นิ่งของมวล 2 ส่วนที่โคจรต่อกัน ในสเกลถัดมาที่ โมเลกุล จนถึง สเกลโลกกับ มวลรอบๆโลก โลกกับดาวเทียม โลก กับ ดวงจันทร์ ระบบสุริยะ ..9ล9 ซึ่ง เป็นเรื่อง ของเสกล ดังนั้น ของบนโลก 1 กก ไปอยู่ บน ดาว พห หนักกว่าเดิม เพียง 2.53 เท่า เพราะแรงระหว่างประจุ ของ 1 กก บน โลก กับ 1 กก บนดาว พห มีแรงกระทำทางประจุแตกต่างกัน ไม่ใช่ ขนาดมวล เป็นตัวกำหนด และ หา่กบอกว่าเป็นเรื่อง รัศมี มัน ไม่เชิงครับ เอาของ 1 กก ไป ชั่งตรงแกนกลาง ก็ใช่จะมีแต่หนักขึ้น เพราะแรงมันกระจายไปรอบๆ แต่หากจะเทียบให้เทียบ พื้นผิว ระยะห่าง ที่มวลอีกก้อนมากระทำเปรียบเทียบกัน เช่น ชั่งของ 1 กก บน ผิวโลก กับผิว ดาวพฤหัส อะไรทำนองนี้ เรื่องแรงดึงดูดระหว่างมวล เป็นแรงดึงดูดเข้าหากันในทางตรง เป็นเวคเตอร์ แต่การมีความเร็ว ทำให้เกิดการ โคจร หรือการเคลื่อนที่แบบมีความโค้ง หรือ เกิดวงโคจร หากความเร็วและแรงดึงดูดระหว่างมวล สมดุลย์กัน จขกท ลอง ศึกษา แรงของวัตถุที่ถูกทำให้ประจุไม่สมดุลย์ แล้ว ส่งผลกับ มวลอื่นรอบๆ เช่น หลักไฟฟ้าสถิตย์ การแลกเปลี่ยนทางประจุ สามารถทำให้น้ำไม่ตกเป็นเส้นตรง หากเอาลุกโป่งที่ทำให้ประจะไม่สเถียร แล้วเอาไปวางใกล้ๆ แนวการไหลของน้ำ น้ำจะไหลโค้งหาลูกโป่ง มวลต่างๆ เมื่อเกิดภาวะไฟฟ้าสถิตย์ จะแสดงอาการดึงดูดซึ่งกันและกัน การทดลอง ในอวกาศ โดยใช้แท่งปากกา กับหยดน้ำ ก่อนทำให้แท่งปากกา มีความแปรผันทางประจุ หยดน้ำที่หยดลงไป จะไม่วิ่งไปหาแท่งปากกา แต่จะล่องลอยไปตามแรง ที่ปลดปล่อยหยดน้ำนั้นๆ แต่พอทำให้ปากกาเสียประจุไำป หยดน้ำจะมีการวิ่งเข้าหา หรือโคจร รอบๆแท่งปากกา อันเนื่องจากเกิดแรงดึงดูดในทางตรง หรือ แรงดึงดูดระหว่างมวล กับ ความเร็วที่หยดน้ำเคลื่อนที่ ซึ่งบางหยดน้ำวิ่งเข้าชนเมื่อความเร็วตก บางหยดวิ่งโค้งเลยไป เมื่อความเร็วมากพอ บางหยด หมุนวนได้อยู่พักนึง ก่อนที่สมดุลย์ ประจุไฟฟ้า ของปากกาจะเริ่มเข้าที่ นี่เป็นแบบจำลองการโคจร ของเทหวัตถุในอวกาศได้เลยนะครับ และเรื่อง สเกล คือ สิ่งที่วัตถุใดๆที่มีประจุต่างกันจะดึงดูดเข้าหากันเสมอ โดยสิ่งที่มีค่าประจุ น้อยกว่าจะแสดงตัวเป็น - เมื่อเทียบกับ วัตถุประจุมากกว่าจะแสดงตัวเป็น + และ เมื่อประจุต่างกัน ก็วิ่งเข้าหากัน เสมอ ทุกๆสิ่ง ตั้งแต่ระดับ อะตอม จนไปถึงทุกสิ่ง ล้วนใช้หลักการเดียวกันนี้ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 55 14:52:15 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 55 14:28:26 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 14:23:31

ความคิดเห็นที่ 15 น่าเสียใจที่ คำว่าแรงเดียวต่างสเกล ว่าใคร จะออกแรงกับใครเท่าไหร่นั้น อธิบายได้ยาก ให้นึกถึง วงกลม ใหญ่เล็กจำนวนมากที่ วางชนๆขอบกัน หรือ ทับกันไปมา เพื่อจะับอกถึง วิธีการที่ แต่ละั วงกลม จะสื่อแรงทางประจุกันยังไง ในทุกขณะ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 14:46:52

ความคิดเห็นที่ 16 หลัการต้านแรงดึงดูด โดยการ**** ขอปิดความลับนะครับ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 55 15:04:53 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 14:56:15

ความคิดเห็นที่ 17 ผมบอกหลัีกการต้านแรงดึงดูดไว้ตรงนี้เลยนะครับ ยังไงมันก็ เวปคนไทย ภาษาไทย ***ขอปกปิด นะครับ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 55 15:05:32 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 15:01:28

ความคิดเห็นที่ 18 การเผยแพร่หลักการก่อน อาจมีผลเรื่องการขอจดสิทธิบัตร จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 15:10:09

ความคิดเห็นที่ 19 บอก จขกท หน่อยว่า การหมุนเป็นผลอื่นครับ ไม่ใช่ ตัวแปรให้เกิดแรงดึงดูดระหว่างมวล จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 15:13:52

ความคิดเห็นที่ 20 จาก คห 12 อ่านบทความนี้ เป็นความรู้เพิ่มเติม http://www.nst.or.th/article/article016.htm ** ยกตัวอย่าง เช่น เวลาดาวเทียมดวงแรก กำลังจะโคจรผ่าน เทือกเขาหิมาลัย แรงโน้มถ่วง ที่มหาศาลของภูเขา ก็จะดึงดูดดาวเทียมนั้น ให้พุ่งไปข้างหน้าเร็วขึ้น ทำให้ระยะห่าง ระหว่างดาวเทียมนั้น กับคู่แฝดของมัน ที่กำลังโคจรตามมา เพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อดาวเทียมโคจรผ่านภูเขาไปแล้ว ภูเขาก็จะส่งแรงโน้มถ่วงดึงดูดดาวเทียมกลับ และในขณะเดียวกัน กับภูเขาก็จะดึงดูดดาวเทียมดวงที่ 2 ที่กำลังตามมาให้พุ่งไปข้างหน้าเร็วขึ้น ดังนั้น ระยะห่างระหว่างดาวเทียมทั้งสอง ก็จะน้อยลง การเปลี่ยนแปลงของระยะห่าง ระหว่างดาวเทียมนี้ แสดงให้นักวิทยาศาสตร์รู้ว่า บริเวณนั้น มีภูเขาอยู่ และภูเขาทำให้ ความเข้มของสนามแรงโน้มถ่วง เปลี่ยนแปลงมากหรือน้อยเพียงใด และเมื่อดาวเทียมทั้งสองดวง โคจรผ่านภูเขาไปแล้ว ระยะห่าง ระหว่างดาวเทียมทั้งสองดวงก็จะคงเดิม --------------------------------------------- นี่เป็นคำอธิบายเรื่อง แรงดึงดูดระหว่างมวลนั้น มีผลทั้ง ทางปริมาณมวล และระยะทาง ระหว่างมวล ที่กระทำต่อกันเป็นจุดๆ เป็นส่วนไป ซึ่งถ้าหากเปนการกระจากจุดศูนย์กลางมวลดาวแล้ว ต้องไม่พบผลการทดลองแบบนี้ เพราะมวลโลก และรัศมีของโลก เมื่อเทียบกับ ความสูงและขนาดยอดเขาต่างสเกลกันมาก ซึ่งดาวเทียม มีผลต่อสิ่งที่อยู่ใกล้กว่า แค่ระยะเล็กน้อย ที่ต่างกับผิวโลก และ ขนาดมวลที่เพิ่ม ขึ้นเล็กน้อยจาก มวลโดยรวมของโลก แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 55 15:41:42 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 15:41:09

ความคิดเห็นที่ 21 เรื่องเก่ามาเล่าใหม่ คำถาม ซุปเปอร์ โนเบล จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 55 11:04:19

ความคิดเห็นที่ 22 ถึงคุณ วาทิต (จขกท.) ครับ ข้ออนุญาตแย้งเรื่องที่คุณบอวกว่าเอกภพมีมีและมีขอบเขตนะครับ อ้างอิงข้อความจาก Seed & Backman's Foundation of Astronomy edition 11th ครับ (ไม่กล้าแปลเพราะเกรงว่าผมจะถอดความได้ไม่ดี) In your daily life you are accustomed to boundaries. Rooms have walls, athletic fields have boundary lines, countries have borders, oceans have shores. It is natural to think of the universe also as having an edge, but that idea can’t be right. If the universe had an edge, imagine going to that edge. What would you find there: A wall of some type? A great empty space? Nothing? Even a child can ask: If there is an edge to the universe, what’s beyond it? A true edge would have to be more han just an end of the distribution of matter. It would have to be an end of space itself. But, then, what would happen if you tried to reach past, or move past, that edge? An edge to the universe violates common sense, and modern observations (which you will study later in this chapter) indicate that the universe could be infinite and would therefore have no edge. Perhaps even more important, if the universe has no edge, then it cannot have a center. You find the centers of things—pizzas, football fields, oceans, galaxies—by referring to their edges. If the universe has no edge, then it cannot have a center. จากคุณ : Haruki.13 (Haruki13) เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 55 10:17:37