ความคิดเห็นที่ 1 ก็โดยทั่วไปแล้ว พลังงานที่คนกินเข้าไป มันเกินต้องการอยู่แล้วเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเมื่อกินแล้วนอนเลย พลังงานพวกนั้นก็จะถูกเอาไปเก็บสะสมไว้ก่อน ทีนี้พอตื่น เราก็หาของใหม่กินอีกแระ เวลาร่างกายจะเอาไปใช้งาน มันก็เอาของใหม่ไปก่อน เพราะมันดึงไปง่ายกว่า นอกเสียจากเราไม่มีอะไรจะกินแล้วนั่นแหละ มันถึงจะคอ่ยๆ ไปย่อยเอาสารอาหารที่สะสมไว้มาใช้ ซึ่งจากเอกสารต่างๆที่ผมอ่านๆมา เค้าบอกว่า มันจะไปดึงเอาพวก กล้ามเนื้อต่างๆ มาก่อน เพราะเป็นโปรตีนที่จำเป็นในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก ส่วนพวกไขมันต่างๆ ที่สะสมไว้ เป็นพลังงานนั่น มันมีเยอะอยู่ และย่อยออกมายากกว่า รวมทั้งการใช้งานที่ต่างกัน ก็จะเป็นส่วนสุดท้ายที่ถูกนำมาใช้งาน สังเกตว่า คนอ้วนที่อดอาหาร (รวมทั้งคนที่กินยาลดน้ำหนักเพื่อให้กินน้อยลง) ที่ผอมลงก็จริง แต่แขนขา เนื้อตัวจะเหลวมาก เพราะมันไม่มีกล้ามเนื้อ ถูกเอาไปใช้หมด ที่เหลือไว้ก็มีแต่ไขมัน ดังนั้น เวลาที่เลิกอดอาหาร ก็จะเกิดปรากฏการณ์ โยโย่ เอฟเฟค แล้วก็อ้วนกว่าเดิม ลดมาแทบตายไม่ได้ผลเลย แป่ว จากคุณ : ดอส - [ 29 ก.ย. 46 03:58:48 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อ้อ ผมเพิ่งเห็นประโยคนนี้ ถ้า พลังงานที่รับเข้าไป=พลังที่ใช้ไป แหม คุณจะกินอะไรได้สักเท่าไหร่กันครับที่จะไม่ให้มันเกิน จากคุณ : ดอส - [ 29 ก.ย. 46 04:00:54 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เอ..คุณดอส ลำดับการดึงพลังงานมาใช้ น่าจะเป็น น้ำตาลในเลือด > ไกลโคลเจน > ไขมัน > โปรตีน นะครับ กล้ามเนื้อน่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ร่างกายจำเป็นต้องดึงไปใช้งาน เหมือนพวกเด็กเอธิโอเปียที่เหลือแต่หนังหุ้มเอ็นหุ้มกระดูก เอากล้ามเนื้อไปใช้ก่อนก็แย่สิครับ จากคุณ : แมวลายฟุ้งซ่าน - [ 29 ก.ย. 46 10:28:53 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มันน่าจะเรียงแบบนี้ น้ำตาลในเลือด > glycogen > adipose cell >adipose tissue > protein เซล อดิโพส เป็นเซลที่บรรจุไขมัน เมื่อมันบรรจุเต็มแล้ว มันจะเพิ่มจำนวนเซลขึ้นไป ทีนี้เมื่อเรากินอาหารมื้อดึกซึ่งไม่ใช้พลังงาน มันก็จะไปสะสมในเซลเหล่านี้ และเพิ่มจำนวนเซลมากขึ้น พอเราดึงมันออกมาใช้ เซลเหล่านี้มีขนาดเล็กลงแต่ไม่ได้ลดจำนวนเซลลงมา เนื้อเราถึงได้เละๆ ที่จริงแล้ว ตามกฎทรงพลังงาน มันใช้ได้เสมอครับ ปัญหาความอ้วนมันอยู่ที่ adipose cell พวกนี้นี่เอง ให้ผู้รู้จริงมาตอบดีกว่า ผิดพลาดขออภัย หุหุ จากคุณ : แมวลายฟุ้งซ่าน - [ 29 ก.ย. 46 10:45:55 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าคิดตามตรรกแบบรถยนต์ได้ก็ดีสิครับ แต่ร่างกายมนุษย์มันไม่ได้คิดง่ายๆแบบนั้น อย่างฮอร์โมนที่หลั่งออกมาในตอนกลางวันกับกลางคืนก็ไม่เท่ากันแล้ว พลังงานที่เข้าไปก็ไม่ได้อยู่ในรูปเดิม แต่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา สาเหตุที่กินตอนกลางคืนอ้วนอธิบายได้จากหลายกลไลครับ 1. กลางคืนพอกินแล้วเรานอน แต่กลางวันกินแล้วเราตื่นเลยมีเวลาใช้พลังงาน อาหารพอกินเข้าไป กว่าจะไปย่อยที่ลำไส้ใช้เวลาประมาณ3-4ชั่วโมงครับ (แต่ถ้าเป็นพวกของหวานหรืออาหารย่อยง่ายๆอาจแค่2ชั่วโมง)ซึ่งพอมันย่อยก็มีสารพลังงานที่ถูกดูดเป็นพวกน้ำตาลและไขมัน อยู่ในเลือด ก่อนที่จะไปเปลี่ยนเป็นไขมันที่ไปสะสมในfat cell ทีนี้ ถ้าเราไปกินอาหารตอนกลางคืน มันก็จะไปเป็นน้ำตาลก็พอดีตอนเรานอนไม่ออกแรง น้ำตาลก็จะเหลือไปสะสมเป็นไขมันมาก ในขณะที่แม้เรากินอาหารไปตอนกลางวันเยอะ แต่มันก็โดนใช้ไปง่าย อันนี้เปรียบเทียบให้ฟังง่ายๆครับ อาจจะไม่ถูกต้องเป๊ะ ถ้าจะให้ถูกคงต้องไปอ่านหนังสือ physiology ครับ จะอธิบายไว้ละเอียด จากคุณ : Bull Shirt - [ 29 ก.ย. 46 11:46:50 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ยังไงก็ตาม ผมมีความเชื่อเรื่อกฎทรงพลังงานอย่างแข็งแกร่ง จึงลองตั้งทฤษฎีนี้ดู โดยไร้เอกสารอ้างอิงใดๆทั้งสิ้น ฮ่าๆๆๆ สมมุติว่าเรารับประทานอาหาร เป็นปริมาณเท่ากัน แต่แยกออกเป็นสองกรณีคือ ทานหนักที่มื้อเช้า มื้อเย็นหรือมื้อดึกทานน้อย กับ ทานหนักมื้อดึก แต่ทานมื้อเช้าน้อย เราได้รับพลังงานเท่ากันทั้งสองกรณี กรณีทานมื้อเช้าหนัก เรามีน้ำตาลในเลือดที่ยังไม่ถูกแปรสภาพเป็นแป้งในตับหรือเป็นไขมัน น้ำตาลเหล่านี้คือพลังงาน ทำให้ทั้งวันนั้นเรา active ทำอะไรกระฉับกระเฉง มีการเผาพลาญพลังงานอย่างรวดเร็ว ปริมาณมาก จนอาจเลยเถิดไปดึงเอาไขมันมาเผาผลาญด้วย พอตกเย็นทานแต่น้อย พลังงานที่ได้ก็เอาไปใช้ในกระบวนการ เจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย สรุปคือการทานหนักมื้อเช้า แต่ทานน้อยมื้อเย็น มีการเผาผลาญพลังงานสูง แต่ถ้ามื้อเช้าทานน้อย แต่ไปหนักมื้อดึกๆ ร่างกายเราก็ไปดึงเอาแป้งในตับและไขมันมาใช้ ทำให้เราทำอะไรอืดอาด ไม่กระฉับกระเฉง อัตราการเผาผลาญพลังงานต่ำ ร่างกายก็คอยปรับสมดุลของระดับน้ำตาลอยู่ตลอด วันทั้งวันเราจึงทำอะไรไม่กระฉับกระเฉง แต่ตกตอนดึกซึ่งเป็นเวลาที่ใช้พลังงานน้อย แต่เรากลับมากินมากช่วงนั้น พลังงานจึงเหลือเฟือ ไม่ได้ใช้งาน ก็เอาไปเก็บไว้เป็นเซลไขมัน สรุป ทานมื้อเช้าน้อย ไปหนักมื้อดึก การเผาผลาญพลังงานรวมต่ำกว่าแบบแรก เมื่อรับพลังงานเข้าไปเท่ากัน แต่การใช้พลังงานไม่เท่ากัน คงเหมือนกับการเติมน้ำมันเท่ากันแต่ขับรถด้วยลีลาที่ต่างกัน คงใช้น้ำมันไม่เท่ากัน ทฤษฎีของแมวลาย ผิดถูกไม่รู้ ไม่ได้เรียนไบโอตั้งแต่ม.ปลาย เหอๆ จากคุณ : แมวลายฟุ้งซ่าน - [ 29 ก.ย. 46 12:49:08 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อ้อ รู้สึกว่า อุณหภูมิในร่างกายตอนหลับกะตอนตื่นไม่เท่ากันด้วยนะ แอร์คอนดิชั่นที่มีโหมด sleep จึงมีการปรับอุณหภูมิตอนเราหลับด้วย การเผาผลาญก็มีน้อยตอนหลับ ไปหล่ะ แว๊บบบ....บบบ...บบ จากคุณ : แมวลายฟุ้งซ่าน - [ 29 ก.ย. 46 12:55:53 ]

ความคิดเห็นที่ 8 กินตอนดึกร่ายกายจะหลั่งสารที่ใช้พัฒนาหรือซ่อมแซมร่างกายน้อย แอย่างเช่นพวกเล่นกล้ามเค้าจะให้กินแต่ไม่ให้นอนหลังออกกำลัง 3 ชั่วโมง เพราะแทนที่จะสร้างกล้ามเนื้อทดแทนส่วนที่ถูกใช้งานหนัก กลับกลายเป็นเปลี่ยนรูปเป็นไขมันแทน จากคุณ : น่าจะใช้ - [ 29 ก.ย. 46 17:55:46 A:203.113.37.11 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 เห็นเค้าว่าเซ็กซ์ตอนดึกช่วยได้นี้ครับ -------------- -------------- -------------- -------------- -------------- ว่าไงครับพวกทั่นทั้งหลายอิฮิอิอิอิ จากคุณ : รบพิเศษ - [ 29 ก.ย. 46 21:48:15 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขำคุณคนข้างบน จากคุณ : กระจิ๊ด - [ 30 ก.ย. 46 20:27:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 1. ร่างกาย สะสมพลังงาน 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ glycogen ที่ตับ & กล้ามเนื้อ กับ lipid ในเซลล์ไขมัน (adipose tissue) 2. glycogen นั้น สลายตัวให้ glucose ได้รวดเร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที ปริมาณ glycogen สะสมไว้ สามารถใช้งานได้ไม่เกิน 24 ชม. แต่ส่วนใหญ่ ในภาวะปกติ จะหมดใน 12 ชม. ถ้ามีการใช้มาก อย่างเช่นในนักกีฬา อาจหมดใน 1-2 ชม. ถ้ามีพลังงานดิบเหลือ ร่างกายจะเปลี่ยนแหล่งพลังงานดิบนั้น ให้อยู่ในรูป glycogen ก่อน เพื่อเตรียมไว้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน 3. ไขมัน จะใช้เวลา ทั้งในการสร้าง-สะสม-นำออกมาใช้ แต่ให้พลังงาน ต่อหน่วยน้ำหนัก สูงสุด 4. ร่างกายสามารถใช้ protein (amino acid) เป็นแหล่งพลังงานได้ และใช้ได้รวดเร็วมาก <b>แต่จะทำเฉพาะในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น</b> 5. กลไกของร่างกาย สามารถเปลี่ยนไขมัน <-> protein <-> glucose 6. อาหารที่กินมื้อเช้า จะถูกเผาผลาญโดยกิจกรรมประจำวัน .. พลังงานที่รับเข้าไป พอใช้ไม่เกิน 6 ชม. ส่วนที่เกินจะถูกเปลี่ยนเป็น glycogen สะสมที่กล้ามเนื้อก่อน แล้วค่อยสะสมที่ตับ <b>เหลือจากนั้น</b> ถึงจะเปลี่ยนเป็น lipid ส่วนใหญ่แล้ว กิจกรรมประจำวัน จะใช้หมด เว้นกินเข้าไปแบบยัดทะนาน หรือ กินไขมันเข้าไปเป็นปริมาณมาก ร่างกายแทบจะไม่สามารถสะสมโปรตีนสำรองไว้ได้เลย 7. ถ้ามื้อเย็นงดอาหารที่เป็น carbohydrate .. ร่างกายจะต้องดึง glycogen ออกมาเป็นพลังงาน แต่ถ้า glycogen สะสมไว้น้อย (เนื่องจากกิจกรรมตอนกลางวัน เผาผลาญหมด) .. ร่างกายจะนำไขมันมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน และ<b>ส่วนหนึ่งจะถูกนำมาเปลี่ยนเป็น glucose -> glycogen เพื่อไปสะสม</b> การเปลี่ยนจาก lipid -> glycogen สิ้นเปลืองพลังงานมากๆ 8. ถ้ามื้อเย็นขาด protein ร่างกายจะดึง lipid มาสร้างเป็น protein เพื่อทดแทนส่วนที่สึกหรอ การเปลี่ยนจาก lipid -> protein สิ้นเปลืองพลังงานมากๆ สูงกว่าการเปลี่ยนเป็น glycogen อีก 9. หากมื้อเย็น ได้อาหารครบ แล้วพักผ่อน ร่างกายจะไม่มีกระบวนการใช้พลังงานมาก และอาหารที่ได้เข้าไป มี glucose สูง จะเปลี่ยนเป็น glycogen โดยไม่เสียพลังงานเท่าไหร่ ส่วนไขมันก็จะถูกสะสมทั้งหมด จากมื้อเย็นถึงเช้า นานเกือบ 12 ชม .. พลังงานที่สะสมไว้ในรูปของ glycogen จะสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่ต้องไปดึงพลังงานมาจาก lipid เลย! อ้วนหนะสิ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 1 ต.ค. 46 01:21:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อืมม .. เท่าที่จำได้นะคะ .. protein --> lipid or carbohydrate ได้ .. แต่ lipid or carbohydrate ที่สะสมไว้ไม่สามารถสังเคราะห์กลับเป็น protein ได้ .. เพราะก่อนที่ร่างกายจะเก็บสะสมไว้ หมู่ -NH3 โดนขับออกมาทางปัสสาวะหมดแล้วค่ะ .. แล้วถ้าร่างกายดึงไขมันมาใช้มากๆจะทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรด เพราะร่างกายจะมี aldehyde or ketone ในปริมาณมาก .. จากคุณ : WebSnow_OK_Fanclub - [ 2 ต.ค. 46 15:24:35 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ของผมนะ กินจุกจิก ดึก เย็น ค่ำ เช้า พลังงานที่ได้ มากกว่าที่ใช้ แน่นอน แต่ สูง 176 หนัก 51 จะเห็นได้ว่า กินมาก ไม่จำเป็นต้องอ้วนเสมอไป จากคุณ : ศิลาแมน - [ 4 ต.ค. 46 21:36:44 A:203.113.60.72 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 งัย คุณโลหการ กระชายดำยังดื่มอยู่หรือเปล่า? ไม่เจอกันเสียนาน ผมนี่กินไม่เป็นเวลา มื้อค่ำค่อนข้างหนัก และไม่แน่นอน น้ำหนักทรงๆที่ 67-68 ไม่อ้วนเหมือนกัน หรือเพราะว่ามีเซ็กส์ดึก ช่วยเผาผลาญ จากคุณ : Double07 - [ 22 ต.ค. 46 13:00:21 ]