ความคิดเห็นที่ 1 ข้อ 1 หาได้โดยการทดลองเอาน้ำมันไปเผาไหม้แล้วดูประสิทธิภาพว่าเทียบเท่ากับน้ำมันที่มีออคเทนกี่เปอร์เซ็นต์ ตัวที่เอามาเทียบเป็นน้ำมันผสมระหว่างออคเทนซึ่งมีประสิทธิภาพดีที่สุดกับอีกตัวที่แย่ที่สุด (ผมจำไม่ได้ว่าอะไร) ข้อ 2 เป็นออคเทนเพราะว่าออคเทนเป็นตัวที่เผาไหม้ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด จึงเอามาใช้เป็นเกณฑ์วัดประสิทธิภาพ ข้อ 3 ไม่ทราบครับ จากคุณ : IaMZ - [ 19 พ.ย. 46 11:25:24 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มาเพิ่มข้อหนึ่งครับ ค่าอ๊อกเทน ที่สูง บอกถึงการจุดระเบิดที่แรงดันและอุณหภูมิที่สูงกว่า ครับ ถ้าใช้น้ำมันที่อ๊อกเทนต่ำกว่าที่เครื่องยนต์กำหนดไว้ เมื่อเครื่องยนต์มีแรงอัดไอดี ขึ้นไป จะทำให้ความร้อนในระบบมันสูง จนถึงจุดวาบไฟ ของน้ำมัน จึงระเบิดก่อนที่จะขึ้นถึงจุดสูงสุด นั่นคือการชิงจุดระเบิด หรือ การน้อคของเครื่องยนต์ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 19 พ.ย. 46 11:55:02 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตัวที่เอามาเทียบเป็นน้ำมันผสมระหว่างออคเทนซึ่งมีประสิทธิภาพดีที่สุด<---- ออกเทนที่ว่านี่จริงๆต้องเรียกเป็น 2,2,4-trimethyl-Pentane หรือเรียกง่ายก็คือ Iso Octane (C8H18)นั้นเองครับลักษณะเป็นโซ่กิ่งมิใช่โซ่ตรง(Normal Octane)นะครับ กับอีกตัวที่แย่ที่สุด (ผมจำไม่ได้ว่าอะไร)<--- Normal Heptane โซ่ตรงของC7H16ครับ ออคเทนเป็นตัวที่เผาไหม้ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด จึงเอามาใช้เป็นเกณฑ์วัดประสิทธิภาพ<---- ไม่น่าจะจริงนะครับ เพราะสารอโรเมติกอย่างเบนซีน โทลูอีน เนี่ยเลขออกเทน110-120ขึ้นนะครับ จากคุณ : วัฏสีร์ ธรรมจารี (spiralhead) - [ 19 พ.ย. 46 12:07:24 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อ 3 ไม่รู้เหมือนกันแฮะ แต่โดยความเห็นส่วนตัวนะ น้ำมันเชื้อเพลิงพวกนี้ไม่เป็นอันตรายมาก เพราะถ้าหากรั่วออกจากถังใต้ดิน มันก็จะไหลลงข้างล่าง ไปลอยเหนือน้ำใต้ดินแหละ ถ้ามาก ๆ เข้าอาจจะเจอบ่อน้ำมันใต้ปั๊มน้ำมันก็ได้ วิธีการกำจัดก็คงเหมือน ๆ กับพวกขยะอุตสาหกรรมที่ใช้วิธีฝังกลบ ทำให้หมดสภาพความเป็นพิษ นำกลับมาใช้ใหม่ หรือไม่ก็เผาทำลาย จากคุณ : Mr. SJ - [ 19 พ.ย. 46 12:16:30 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ค่าออกเทน เป็น ตัวเลข บ่งบอก ค่า ต้านทานการเผาไหม้ ของ เชื้อเพลิง การที่ ค่า ออกเทน มี ค่ามากไม่ได้หมายความว่าเชื้อเพลิง ไวไฟ แต่ เป็น การ ชลอ การต้าน การ ทาน ให้ เกิดการลุกไหม้ ค่า มาก จะ แรง จะ ไหม้ รุนแรงไม่ใช่คับ ในทางกลับกัน กลับ ต้าน กลับ ชลอ กลับ ดึง ยื้อ ยุด ฉุด กระชาก ลาก และ ถู ตาม ด้วย ไถ ดัง นั้น น้ำมัน เครื่องบิน เราจะเห็น ค่า ออกเทน มากกว่า ชาวบ้าน ใช้ กัน รึ บาง คน หา เติม ไม่ว่า ไป เติมตาม แหล่งพิเศษ ที่ ขายกัน ลิตร ละ หลาย บาท อยู่ รึ ได้ มา ด้วย วิธี ใดๆๆก็ ตาม ก็ ไม่ เกี่ยวกัน ไม่ ได้ แรง ขึ้น เหมือน ที่ เค้า รณรงค์ แต่ มีรถ บางประเภท ที่ ต้องการ ใช้ เช่น --- รถ ที่ให้ พลังงานสูง รึ มี ความร้อนสูง มากๆๆ เพราะ ความร้อน สูง ในระบบจะ ทำให้ มีอาการ ชิงสุก ก่อนห่าม ได้ ก่อน วัยอัน ควร --- รถ ที่ มี กำลังอัด ในกระบอกสูง สูง กว่า ปกติ เราจะเห็น ว่า มี 8.5 9 จน ถึง 10 ว่าไป พวก สูงๆๆ ก็ จะ ต้อง ใช้ น้ำมัน ออกเทนสูง เพราะ กำลังอัดมากๆๆๆ และ ผสม ความร้อนสูงๆๆๆ ไสยศาสตร์ เกิด คับ มัน จุด เอง เลย รถ ดีเซล เรา จะเห็น กำลัง อัด 18-22 กำลัง อัดสูง มากกว่า ระดับ เท่าตัว กะ เบนซิน ทำให้ ไม่ต้อง มี หัวเทียน หาก ขับ ดีเซล แล้ว บอก ว่า สงสัย หัวเทียน ให้ กลับบ้านไป ก่อน คับ พักผ่อน ก่อน จิบ วุ้น ให้ สบาย ใจ ก่อน คับ เราจะคง เคยเห็น ผีหลอก เช่น รถ บาง คัน ที่ บิดกุญแจ แล้ว ไม่ ยอม ดับ คับ ผี หลอก วิ่ง ป่าราบ นั้น ก็ มีการ จุด แถม คับเครื่อง มัน ร้อน ---เครื่องบิน การใช้ น้ำมัน ออกเทนสูง เพราะ เครื่องยนต์ ทำงาน มีอาการ น๊อค ไม่ได้ และ การระบายความร้อน ของ เครื่องบิน เป็น แบบ อากาศ อากาศ ผ่าน หาก แบก หม้อน้ำ ขึ้นไป บนฟ้า คงไม่ งาม และ หก คะเมน ตีลังกา คง ลำบากลำบน พอดี คับ เครื่อง ร้อน มากๆๆ อาจจะ มีการ ชิง จุด เครื่องยนต์ บางประเภท มี ตัวน๊อคเซนเซอร์ สามารถ วัดการ น๊อก ได้ แล้ว มีการปรับ ไฟ ตรง นี้ ทำให้ สามารถ ใช้ งาน ได้ ใน ออกเทน ที่ ต่ำๆๆกว่า ได้ แต่ พลัง จะหายไป เล็กๆๆ น้อยๆๆ ดัง นั้น รถ ผม ใช้ 91 ใน คู่ มือ บอก แต่ ผม ก็ ใช้ 95 คับ เพราะ กลัวม้าหาย คับหาย ไป ตัว ก็ อาจ ขึ้น ดอยเต่า ไม่ไหว ล่ะ คับ พูด เล่น นะคับ ตรง นี้ เพราะ รถ ปัจจุบัน จะ มีการ ปรับแต่ง เอง ทำใฝห้ ยืดหยุ่น ได้ แต่ ประสิทธิภาพ อาจลดลงได้ เล็กน้อย แต่สำหรับ รถ ที่ รอบจัด ความร้อนสูง ๆๆๆ ควร ใช้ ออกเทน ตามระบุ เครื่อง 4AG 20 valves ฝาดำ 6 เกียร หาก จำถูก ใช้ ออกเทน 100 รึ 100 กว่า คับ ใคร ทราบ ช่วย บอก ผม ด้วย เพราะ แคมเยอะ วาว์ล เยอะ รอบจัดๆๆๆ ความร้อน สะสม สูง ทำให้ มีอาการ ชิงสุกก่อนห่าม ได้ อาการ ชิงสุกก่อนห่าม ก็ คือ ลูกสูบ ไม่ วิ่ง ไป จุด สุดยอด top dead center ก็ถูก ถีบ ลง มา ก่อน แล้ว ทำให้ เกิดอาการ ชักไม่ สุด สาว ไม่ สุด หลาย ท่าน หาก เคย จะ ทราบดี คับ จะเกิด เสียง แป๊กๆๆๆๆๆๆๆๆ รึ ลองเล่นๆๆๆก็ เกียร์สูง แล้ว เหยียบ คันร่ง มากๆๆๆ ก็แป๊กๆๆๆๆๆๆ สมัย ตอน ผม เด็กๆ วันไหน แอบเอา รถพ่อไป ขับไม่ ยั้ง คับ น๊อค ประจำ สมัย นั้น รถ FIAT 128 คับ รุ่น ปลาเก๋าราดพริก เก๋ากึ๋ง 1300 CC คาร์บู ท่อ คู่ แต่ สมัย นี้ รถ เค้า ฉลาด ขึ้น มาก ก็ มักไม่ แสดงอาการ ให้ เห็น แล้ว คับ เหยียบ เท่าไหร่ก้ ไม่ น๊อค ให้เห็น ให้ ได้ ยิน คับ ดังนั้น น้ำมันออกเทน ค่าสูงๆๆ นั้น คือ เผาไหม้ได้ ช้า ลง คับ ไม่ได้ เผาไหม้ ได้ ไว เลย คับผม ยกตัวอย่าง เครื่องบิน นกดำ SR-71 ใช้น้ำมัน JP-7 ซึ่ง จะ ยก ตัวอย่าสงว่า น้ำมัน นี้ เป็น น้ำมันที่เผาไหม่ ยาก มาก เพราะ บินสูง และ บินไว เครื่องยนต์ร้อนรุนแรง หาก น้ำมัน ไว ไวไฟเกินไว จะ เกิด การระเบิดได้ ง่าย น้ำมัน แบบนี้ ถึง ขนาด ใส่ ถ้วย และ สูบ บุหรี่ นี้ เอาไป ดับบุหรี่ ได้ เลย คับ เหมือน เอา บุหรี จุ่ม น้ำเปล่า คับ ดับ เลย จากคุณ : ชลน่าน - [ 19 พ.ย. 46 13:44:56 ]

ความคิดเห็นที่ 6 TDC Top Dead Center เอา แบบ ใกล้ๆๆๆตัว คับ เรา ปั่น จักรยาน คับ ตอนที่ ตีน ซ้าย รึ ขวา ก็ ได้ ที่ ขึ้น สูง สุด คับ นั้น แหละ คับ TDC แต่ หาก เรา ปั่น ไป ขณะ ใกล้ๆๆ จะ ถึง สุด สูง สุด แต่ มี แรง สวน มา ก็ ทำให้ กิน แรง ปั่น ไป นั้น เอง คับ คือ การ น๊อค คับผม จากคุณ : ชลน่าน - [ 19 พ.ย. 46 13:49:30 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จังหวะ TDC สูงสูบ สุด ขา ปั่น จักรยาน เรา ยก สูง สุด เช่น กัน ลูกสูบ ยัน มิด สุดๆๆๆ จากคุณ : ชลน่าน - [ 19 พ.ย. 46 13:52:42 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Bottom Dead center ลง สุด เหมือน ชีวิต คับ มี ขา ขึ้น ขา ลง การเมืองก็ เช่น กัน มี ขา ขึ้น ขา ลง จากคุณ : ชลน่าน - [ 19 พ.ย. 46 13:53:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สำหรับ การ แก้ ไข การ ชิง จุดระเบิด หาก ออกเทน เอาไม่อยู่ สมัยก่อน นั้น ระบบ คุม การ จุดระเบิด ส่วนผสม ยังไม่มี ละเอียด และ ซับซ้อน เค้า ก็ ใช้ พวก เมทานอล ผสม น้ำ ฉัด เข้า ทำให้ เครื่องยนต์ ลดอุณหภูมิ ของ เครื่องยนต์ เพราะ เครื่องบิน ส่วน มาก จะ ใช้ ระบบ supercharge มา ช่วย เพราะ บินสูง อากาศบาง ไม่ เพียงพอ มัก ใช้ ระบบ water injection ใน ตอน วิ่งขึ้น เพราะ ใช้ กำลัง เครื่องยนต์ เยอะ มาก และ บรรทุก ระเบิด ปืน ผา หน้าไม้ ไป มาก ก็ อัด วิ่ง ขึ้น คับ ส่วน นี้ ก็ ปรับ มา ใช้ ใน เครื่องยนต์ turboJet อยู่ ใน ปัจจุบัน เช่น B-52 รูป ที่ เรา เห็น ควันดำๆๆๆๆๆ ขณะ วิ่ง ขึ้น เค้า ฉีดน้ำ เข้า ลด ความร้อน ระบบ จากคุณ : ชลน่าน - [ 19 พ.ย. 46 14:12:48 ]

ความคิดเห็นที่ 10 โอ้ว.... คุณชลน่านมาอย่างละเอียดเลยแฮะ งั้นโหวตสักหน่อยดีกว่าที่นี่ไม่ค่อยได้ใช้โหวตกันเลย จากคุณ : วัฏสีร์ ธรรมจารี (spiralhead) - [ 19 พ.ย. 46 18:31:50 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ยังสุดยอดเหมือนเดิมนะครับป๋าชล จากคุณ : V_MAN - [ 19 พ.ย. 46 18:42:03 ]

ความคิดเห็นที่ 12 octane isn't the base combusion and heptane isn't worst too. It just reference. จากคุณ : zerkboy@yahoo.com - [ 19 พ.ย. 46 21:49:56 A:202.28.179.1 X:unknown ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณ คับผม จากคุณ : ชลน่าน - [ 20 พ.ย. 46 07:39:26 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขออณุญาติเพิ่มเติมครับ น้ำมันเครื่องบิน แบ่งเป็น 2 อย่างนะครับตามลักษณะเครื่องยนต์คือ 1. เดรื่องบินแบบใบพัดจะใช้น้ำมันที่มีองค์ประกอบแบบ เบนซินมีจุดไหลเทต่ำและมี OCTAN สูง เพราะอุณหภูมิและความดันเปลี่ยนแปลงมาก 2. เครื่องบินแบบไอพ่นจะใช้น้ำมันก๊าดที่มีองค์ประกอบที่ระเหยง่ายอยู่มาก และยังแบ่งแยกย่อยออกไปตามลักษณะการใช้งานเช่น JP-4 (Jet fule) สำหรับเครื่องยนต์ไอพ่นทางทหาร, JP-1 สำหรับเครื่องบินพาณิชย์ เป็นต้น อ้อถ้าจำไม่ผิด เครื่องบินแบบที่เหมือนที่เรือหลวงจักรกรีฯใช้นั้นจะเป็น JP-5 ครับ จากคุณ : kainui - [ 20 พ.ย. 46 09:34:58 A:203.113.80.140 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณมากๆครับทุกๆท่าน ได้ความรู้เยอะมากๆ งั้นขออนุญาต ถามต่อเพื่อเป็นความรู้เพิ่มนิดนึง ว่าถ้าน้ำมันดีเซลมีแรงอัดสูงไม่ต้องใช้หัวเทียน แสดงว่าในดีเซลต้องเป็นพวกที่hydrocarbon มวลโมเลกุลสูงๆ (สูงกว่าเบนซิน) งั้นตัวที่ใช้เทียบของดีเชลคืออะไรครับ แบบออกเทนของเบนซินน่ะครับ จากคุณ : Noel - [ 20 พ.ย. 46 10:21:05 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องเครื่องจักร ยกให้คุณ ชลน่าน เลยครับ จากคุณ : M-o-o-Y - [ 20 พ.ย. 46 14:55:27 ]

ความคิดเห็นที่ 17 น้ำมันดีเซล ใช้สเกลเป็น ซีเทน ครับ จากคุณ : Peet - [ 20 พ.ย. 46 15:07:17 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมจากเพื่อนๆข้างบน ค่า Octane เป็นดัชนีตัวหนึ่งซึ่งใช้วัดความสามารถในการจุดระเบิดภายในเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเบนซิน Octane เป็นชื่อสารเคมีชนิดหนึ่งเป็นสารไฮโดรคาร์บอนที่มีอะตอมคาร์บอนอยู่ในโมเลกุล 8 ตัว(Octa เป็นภาษากรีก แปลว่า 8) มีสูตรเคมีเป็น C8H18 ซึ่งถ้าสามารถเอาสารตัวนี้บริสุทธิ์เพียวๆมาเติมแทนน้ำมันเบนซินได้ก็จะได้น้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทน = 100 สารเคมีอีกตัวหนึ่งคือ Heptane C7H16 ซึ่งมีคาร์บอน 6 ตัว มีการติดไฟที่ดีมากซึ่งแต่ก็ทนต่อการกดอัดในลูกสูบไม่ดีเท่า Octane ซึ่งทนต่อการกดอัดในลูกสูบได้ดี สาร Heptane นั้นถ้าเอาเติมเป็นน้ำมันเบนซินล่ะก็เครื่องจะน๊อกตั้งแต่ลูกสูบกำลังจะขึ้นเลยด้วยซ้ำ จึงให้ค่า Octane เป็น 0 น้ำมันที่มีค่า Octane 91 คือน้ำมันที่มีส่วนผสมของ Octane 91% Heptane 9% แต่ในอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันจริงๆ น้ำมันไม่ใช่สาร Octane หรือ Heptane หากแต่มันเป็นส่วนผสมคละเคล้าของสารไฮโดรคาร์บอนหลายๆชนิด กลั่นแยกออกมาจากหอกลั่นลำดับส่วน ดังนั้นการที่จะวัดค่าออกเทนของน้ำมันที่กลั่นมาได้จะมีวิธีการวัด (เช่นตามมาตราฐาน มอก. 1269-2537 ลอกมาจาก ASTM อีกที) ที่เรียกว่าค่า RON และ MON จากคุณ : Peet - [ 20 พ.ย. 46 15:51:53 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ค่า RON ย่อมาจาก Reserch Octane Number ค่า MON ย่อมาจาก Motor Octane Number ทั้งค่า RON และ MON ก็ต่างวัดได้ด้วยการทดลองจากการใช้เครื่องยนต์มาตราฐานสูบเดียว เครื่องยนต์ตัวนี้พิเศษคือมันสามารถปรับอัตราส่วนกำลังอัดได้ ค่า RON คือดัชนีชี้วัดค่า Octane ภายใต้การใช้งานแบบเบา เครื่องยนต์วัดจะเดินที่ 600 rpm ส่วนค่า MON คือดัชนีชี้วัดค่า octane ภายใต้การใช้งานแบบหนัก เครื่องยนต์วัดจะเดินที่ 900 rpm การวัดจะเติมน้ำมันที่จะใช้วัดแล้วปรับอัตราส่วนกำลังอัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆปรับจนกว่าจะเกิดการน๊อกก็จะหยุดแล้วดูสเกลว่าได้ค่า octane ที่เท่าไร เมืองไทยค่าที่ใช้บอกค่า octane จะเป็นค่า RON เช่น 91 ก็คือ RON=91 ต่างประเทศบางประเทศเช่นอเมริกา จะบอกเป็นค่า(RON+MON)/2 เช่น 87 ก็จะเท่ากับค่าออกเทนในเมืองไทย RON =92.5 MON=81.5 หมายเหตุค่า RON จะมากกว่าค่า MON อยู่ประมาณ 11 จากคุณ : Peet - [ 20 พ.ย. 46 16:07:10 ]

ความคิดเห็นที่ 20 น้ำมันยิ่งมีค่าออกเทนสูงไม่ได้หมายความว่าน้ำมันให้กำลังจุดระเบิดได้ดี หากแต่ว่าน้ำมันออกเทนสูงจะถูกจุดเผาไหม้ได้ยากกว่าน้ำมันที่มีค่าออกเทนต่ำ ทั้งน้ำมันออกเทนสูงและต่ำจะให้พลังงานความร้อนออกมาเท่าๆกันเนื่องจากเป็นส่านประกอบไฮโดรคาร์บอนเหมือนๆกัน การที่บางคนดิดว่าน้ำมันออกเทนสูงให้กำลังเครื่องยนต์มากกว่านั้นไม่จริง มันขึ้นอยู่กับการออกแบบเครื่องยนต์มากกว่าเครื่องยนต์ที่มีแรงม้าสูงนั้นก็มักจะมีอัตราส่วนกำลังอัดสูงจึงต้องใช้น้ำมันออกเทนสูงตามไปด้วย ถ้าเครื่องยนต์ถูกออกแบบมาให้ใช้กับน้ำมัน 91 แต่ไปเติมน้ำมัน 95 ก็ไม่ได้ช่วยให้เครื่องยนต์มีกำลังดีขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นการเติมน้ำมันที่ถูกต้องก็ควรเติมน้ำมันตามคู่มือรถบอกเอาไว้ จะดีที่สุด จากคุณ : Peet - [ 20 พ.ย. 46 16:16:04 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันที่ทันสมัยจะมี unit เพิมเติมเข้ามาเพื่อเพิ่มค่าออกเทนของน้ำมันที่กลั่นได้จากหอกลั่นเรียกว่า Reformer หรือบางทีก็เรียกว่า Cracker หน่วยนี้จะมีหน้าที่เปลี่ยนโครงสร้างของโมเลกุลน้ำมันที่เป็นโซ่ตรงให้มีกิ่งมากขึ้น หรือไม่ก็ให้เป็นแบบวงไปเลยโดยการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาและความร้อน ในสมัยก่อนจะเพิ่มค่าออกเทนโดยการเติมสาร Tetraethyl Lead ซึ่งเป็นสารตะกั่ว ต่อมามีการเติมสาร MTBE ซึ่งปัจจุบันก็กำลังพยายามทยอยเลิกใช้เพราะว่ามีผลวิจัยออกมากว่าสาร MTBE เป็นสารก่อมะเร็ง แต่ยังมีใช้ในบางโรงกลั่นซึ่งยังไม่มีหน่วย Reformer นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 46 16:24:56 จากคุณ : Peet - [ 20 พ.ย. 46 16:23:36 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เรื่อง การ ติดไฟ ของ ดีเซล กะ เรื่อง มวลโมเลกุล ผม ใบ้ ล่ะ คับ รอ สมาชิก มาเล่า คับ ผม อ่านๆๆๆก็ ได้ ความรู้ เพิ่ม อีก โข เลยคับ สำหรับ ย.ดีเซล นั้น สร้าง มา ให้ มี ข้อดี ด้อย ต่างกะ เบนซิน ข้อดี -ทนทาน นานปี -แรงบิด รอบต่ำ -รอบต่ำ สึกหรอ น้อย -ไม่ต้องดูแล รักษา มาก นัก -ไม่กลัวน้ำ เราจะเห็น ที่ ลุยๆๆกัน หาก สนอร์เกิล ของ รถ กะ คน พ้นน้ำไปได้ เรื่อยๆๆๆ ระวัง นิด พัดลมหม้อน้ำ หาก ปลด รึ Free พัดลม เพราะ มัน จะ ตี น้ำ ใบพัด แตกหัก เสียหายได้ -น้ำมันเชื้อเพลิง ราคา ถูก ในสมัยก่อน ราคาเกือบ ครึ่งๆ ปัจจุบัน สูสี -ระบบไฟ ไม่ ซับซ้อน ไม่ มี หัวเทียน ข้อเสีย -น้ำหนัก มาก -สั่น เขม่า แต่ ไม่ เป็น พิษ เท่าไหร่ นัก (ปัจจบัน พัฒนาไป มากๆๆๆ BENZ CDI ก็ ลืมไป เลยว่า ขับดีเซลอยู่) -รอบไม่จัด รีดม้า ยาก สัก นิด -สมัยก่อน เผาหัว สมัยอาจจะไม่ต้องรอ ผม จำได้ ว่า รถลากไม้ (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า รถจอหนัง) สมัย ผม เด็ก ๆๆไปกะ พระเจ้าตา ผม จะมี ที่ ให้ คนขับ จับ เอา นิดไป แตะ เค้า ต้อง เผาหัว คับ รอ จน ร้อน แล้ว start เครื่อง สมัย นี้ เรา จะเห็น ที่ เป็น รูป ขดลวด รอสัญญลักษณ์ ดับ นั้น คือ เผาหัว คับ จากคุณ : ชลน่าน - [ 21 พ.ย. 46 08:37:03 ]

ความคิดเห็นที่ 23 Cetane number เป็นตัวเลขแสดงผลการทดสอบเพื่อประเมินค่า Ignition delay โดยใช้ n-cetane = 100(มีการจุดระเบิดดีมาก เพราะฉนั้น Ignition delay สั้น) กับ ็ำ็Haptamethylonane = 15 เป็นตัวอ้างอิง การจุดระเบิดเครื่องดีเซล 4 ขั้นตอน 1. Ignition delay 2. Rapid pressure rise 3. constant pressure 4. Burning on expansion stroke จากคุณ : kainui - [ 21 พ.ย. 46 10:24:31 A:203.113.80.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 เราเอาเหตุ มาเป็นผล เรื่องมันเลยปวดหัวครับ อย่าที่หนึ่ง สมัยแรกเริ่มมีเครื่องยนต์สันดาปภายใน เทคโนโลยี ยังง่ายๆอยู่ ทำให้ทุกอย่างต้องทำง่ายๆ เครื่องยนต์เป็นแค่แบบ overhead value เหมือนกันหมด ... คาร์บล้วนๆ ไม่มีระบบอัดอากาศ ไม่มีวาวล์แปรผัน ฯลฯ เครื่องจะแรงหรือไม่แรง ขึ้นกับว่า การเผาไหม้หลังจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ **เร็ว และหมดจดแค่ไหน** ถ้าจะให้เร็ว ปริมาตรการเผาไหม้ต้องน้อย เครื่องยนต์ขนาด 1000 ซีซี ถ้ามีแรงอัด 8:1 หมายความว่า เมื่อลูกสูบเลื่อนขึ้นบนสุด ปริมาตรห้องเผาไหม้คือ 1000/8 หรือ 125cc แต่ถ้าทำแรงอัดได้ 10:1 ก็จะเหลือ 100cc ปริมาตรห้องเผาไหม้ยิ่งน้อย พลังงานความร้อนที่สูญเสียไปก็ยิ่งต่ำ แรงดันยิ่งสูงด้วย ฉนั้น เครื่องไหน ทำแรงอัดได้สูงกว่า เครื่องนั้นก็จะรีดม้าออกไม่ได้มากกว่า เร็วกว่า วิทยาการด้านโลหะตอนนั้น สามารถสร้างเครื่องยนต์ที่แรงอัดสูงได้ถึง 20-30:1 แต่ปัญหาคือ จากกฏของแกส PV = nRT บังคับว่า ถ้าเราอัดแกสให้ปริมาตรเล็กลง อุณหภูมิมันจะสูงขึ้นเป็นสัดส่วนตรง น้ำมันเบนซิน (C6H6) จะติดไฟเอง ที่อุณหภูมิไม่เท่าไหร่ (ถ้าจำไม่ผิด 70 องศาเท่านั้น) ฉนั้น ขืนใช้แรงอัดสูงๆ ตอนลูกสูบเลื่อนขึ้น ยังไม่ทันมีเปลวไฟที่หัวเทียน น้ำมันระเบิดตูม ดันลูกสูบลง ทางนึงดันขึ้น ทางนึงอัดลง ก็บรรลัย ในการกลั่นน้ำมัน นอกจากจะเบนซินแล้ว ยังได้อย่างอื่นมาอีกมา เช่น Heptane (C7), Octane (C8) นักวิจัย (สมัยโน้น) ก็พบว่าเมื่อเทียบกันแล้ว C7 ติดไฟง่ายสุด ในขณะที่ C8 ติดไฟได้ยากสุด .. แต่ (อีกแล้ว) การกลั่น มันให้ C6 ออกมาซะเป็นส่วนใหญ่ แถมเครื่องยนต์ก็ออกแบบให้ใช้กับ C6 การมาใช้ C8 นอกจากจะต้องรื้อการออกแบบเครื่องยนต์ (ที่ใช้กันเยอะแยะ)แล้ว ยังต้องรื้อโรงกลั่นด้วย เขาก็เลยหาวิธีสารพัด เพื่อทำให้ C6 มันติดไฟเอง **ช้ากว่าเดิม** โดยเทียบว่า ถ้าติดไฟเร็วเท่า C7 ก็มีความ**เฉื่อยช้า**ต่อการติดไฟเอง =0 และถ้าติดเร็วเท่า C8 ก็มีความเฉื่อย = 100 นักแข่ง เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก เล่นแรงอัด 11-12:1 เพราะเติม C8 แท้ๆกันเลย (ลองไปหาดูในเวบได้ครับ) .. น้ำมันจะแพง ก็ไม่กี่พัน $ แต่รางวัลมันเป็นแสน :-) ฉนั้น การเติมน้ำมัน octane สูง ไม่ได้ทำให้เครื่องแรง แต่ เครื่องแรง ต้องการน้ำมัน octane สูง นั่นคือ เครื่องสมัยโบราณมากๆๆๆ ! ฮิฮิ ... ใครที่อวดว่า เครื่องข้าแรง __เพราะ__ใช้น้ำมัน octane 100 .. ก็ขอให้ภูมิใจว่า เครื่องรถของท่าน .. สุดยอด .. สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ :-) สมัยนี้ การ design เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะการพัฒนาหัวฉีดแรงดันสูงมาก ทำให้สามารถสร้างเครื่องยนต์ที่มีแรงอัดสูงๆได้ แม้จะใช้น้ำมันที่มี octane ต่ำๆ เพราะน้ำมันจะไม่เข้าไปในกระบอกสูบ ก่อนเวลาที่ควรเข้าไป ต่างจากเครื่องโบราณที่น้ำมันผสมอากาศเข้าไปในห้องเผาไหม้ ตั้งแต่เริ่มอัด จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 22 พ.ย. 46 14:59:46 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอเพิ่มเติม ความคิดเห็นที่ 22 ครับ เดี๋ยวนี้รถ "ดีเซล" ไม่ต้องรอเผาหัวแล้วครับ บิดกุญแจแล้ว สตาร์ท ได้เลย (ไม่มีหัวเผา) ให้ต้องคอยดูแลหรือปวดขมับเวลารอ จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 24 พ.ย. 46 12:13:33 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เสริมคห.ที่ 25 ครับ รถ"ดีเซล"สมัยใหม่ไม่ต้องเผาหัวเลยครับ เพราะผมก็รถกระบะใช้อยู่ พอไปขับ Benz 300 TD เห็นสัญญาลักษณ์เหมือนขดลวดนี่แหละ ถึงรู้ว่ามันคือสัญญาลักษณ์แสดงการเผาหัว เวลาสตาร์ทบิดกุญแจมาสุด แล้วต้องรอให้ไฟเผาหัวดับก่อน แล้วบิดกลับไปหนึ่งจังหวะ แล้วค่อยบิดสตาร์ทใหม่อีกที จากคุณ : Mr. SJ - [ 24 พ.ย. 46 17:25:33 ]