http://www.near-death.com/experiences/reincarnation01.html
เอียน สตีเฟนสัน เดิมเป็นหัวหน้าแผนกจิตเวชศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ปัจจุบัน เป็น.........(ขี้เกียจแปล)
ในช่วง 40 ปีนี้เขาได้อุทิศตนเพื่อศึกษา "ความทรงจำจากชาติก่อน" ของเด็กๆ ทั่วโลก มากกว่า 3000 กรณีศึกษา
ผู้รู้ทางศาสนาและวิทยาศาสตร์ ต่างเห็นด้วยกับหลักฐานของกรณีศึกษาต่างๆ เรื่องการกลับชาติมาเกิดนี้
ดร. สตีเฟนสัน เริ่มค้นคว้าเรื่องความเป็นไปได้ในการกลับชาติมาเกิด ตั้งแต่ปี 1960 ขณะที่เขาได้ฟังกรณีหนึ่งในศรีลังกา ซึ่งเด็กคนนึงอ้างว่าเขาจำชาติก่อนของเขาได้
เขาสอบถามอย่างละเอียดทั้งเด็ก และพ่อแม่เด็ก ในชาติปัจจุบัน และพ่อแม่เด็กที่อ้างถึงเมื่อชาติก่อนด้วย
ซึ่งเรื่องดังกล่าว ทำให้ ดร. สตีเฟนสัน เริ่มมั่นใจว่า เรื่องการกลับชาติมาเกิดมีความเป็นไปได้ว่า เป็นเรื่องจริง
เมื่อมีกรณีศึกษายิ่งมาก เขาก็ยิ่งมั่นใจในการเปิดประตูไปสู่ดินแดนแห่งความลึกลับของโลกนี้ ซึ่งในปัจจุบันเรื่องเหล่านี้ไม่อยู่ในข่ายของวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตามเขาเชื่อว่า เขาสามารถพิสูจน์ความเป็นจริงของเรื่องเหล่านี้ได้ในททางวิทยาศาสตร์
ในปี 1960 ดร. สตีเฟนสัน ลงเรื่องราวของเด็กสองคนที่ระลึกชาติได้ ใน Journal of the American Society for Psychical Research
ในปี 1974 เขาตีพิมพ์หนังสือ Twenty Cases Suggestive of Reincarnation, และก็ได้เป็นที่รู้จักไปทั่ว เมื่อหนังสือนี้ปรากฏแก่ผู้สนใจเรื่องเหล่านี้มาแต่เดิม ซึ่งในที่สุด ก็มีแหล่งข้อมูลงานวิจัยเรื่องการกลับชาติมาเกิดจากแหล่งอ้างอิงที่เป็นวิทยาศาสตร์
ในปี 1997 ดร สตีเฟนสัน ก็มีงานอีกชิ้น คือ Reincarnation and Biology ในเล่มแรกนี้ เขาอธิบายเกี่ยวกับปาน ที่เด็กแรกเกิดนำติดมาด้วย เป็นรอยเด่นปรากฏบนผิวหนัง ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักของพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว
ในเล่มที่ 2 เขาพูดถึงความพิการ และผิดปกติอื่นๆ ของเด็กเกิดใหม่ที่ไม่สามารถสืบตามจากพ่อแม่เด็กได้ ทั้งด้านพันธุกรรม และการผิดปกติที่เกิดในระหว่างการคลอด
เล่มนี้เป็นงานที่เห็นกันได้จะจะตา ซึ่งประกอบด้วยภาพหลักฐานและเอกสารนับร้อย
ระหว่างการวิจัยในกรณีต่างๆ เกี่ยวกับความทรงจำในชาติก่อน ดร.สตีเฟนสันก็ได้พบว่า เด็กที่มีแผลเป็นลักษณะเป็นหลุมบุ๋มลง จะมีความทรงจำเกี่ยวกับการถูกฆาตกรรมในชาติที่แล้ว
ดร สตีเฟนสันมุ่งค้นคว้าเรื่องแผลเป็น และความผิดปกติแต่กำเนิดเป็นส่วนสำคัญในการแสดงถึงการกลับชาติมาเกิด จึงมีทั้งการรวบรวมเรื่อราว และภาพประกอบการยืนยันการกลับชาติมาเกิด รวมถึงบันทึกความทรงจำบางส่วนจากชาติก่อนจากปากคำของเด็ก แม้ว่าจะไม่สามารถนำไปเทียบกันได้ว่าตรงกันก็ตาม
ในหลายกรณี มีเอกสารยืนยันทางการแพทย์เพื่อช่วยในการพิสูจน์ซึ่งส่วนมากมักได้มาหลังจากบุคคคลนั้นเสียชีวิต ดร. สตีเฟนสันก็ได้เพิ่มข้อมูลลงไปนอกเหนือไปจากความผิดปกติแต่กำเนิด และก็ได้ผลว่าไม่มีคำอธิบายอื่นนอกจาก การกลับชาติมาเกิดจริงๆ
มี 30 - 60 % ของความผิดปกติแต่กำเนิดที่มีผลมาจากพันธุกรรม การติดไวรัส และจากสารเคมี (เช่นที่พบจากยา Thalidomide หรือ แอลกอฮอล์)
นอกเหนือไปจากที่ยกตัวอย่างมานี้แล้ว ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ไม่สามารถอธิบาย อีก 40-70 % ที่เหลือได้ แต่ สตีเฟนสันสามารถอธิบายว่าทำไมคนบางคนจึงมีความผิดปกติเฉพาะจุด ซึ่งไม่พบในส่วนอื่นๆ ของร่างกายเลย
กรณีของความผิดปกติแต่กำเนิด ที่ไม่สามารถอธิบายทางการแพทย์ได้มีลักษณะดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 1 ข้อ
1) ในกรณีที่ไม่ธรรมดาบางกรณี เป็นไปได้ที่ว่า ผู้ตายมีความเชื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ การกลับชาติมาเกิดเป็นความประสงค์ที่จะกลับมาเกิดในคู่ของตนเอง หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าพวกเขาหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติที่ดีจากบุคคลเหล่านั้น ตัวอย่างของความประสงค์ก่อนตายดังกล่าวพบใน Tlingit Indians of Alaska และชาวธิเบต
2) ปรากฏการณ์ที่เกิดบ่อยกว่า คือ ฝันบอกเหตุ ใครบางคนที่ตายลง จะมาให้ผู้ที่ตั้งท้อง หรือ ยังไม่ทันจะท้อง ได้ฝันเห็น และบอกว่า เขาจะมาเกิดเป็นลูกนะ บางครั้ง ญาติ หรือเพื่อนสนิท ก็จะฝัน และได้มาบอกกับผู้ที่กำลังจะเป็นแม่ ดร. สตีเฟนสัน พบการฝันบอกเหตุนี้เป็นพิเศษ ในชาวพม่า และชาวอินเดียนในอลาสกา
3) ในวัฒนธรรมเหล่านี้ เด็กที่เพิ่งคลอด จะถูกตรวจสอบว่า มีรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเฉพาะตรงกับบุคคลที่เคยเป็นที่รู้จัก กลับมาเกิดหรือไม่ การตรวจดูรอยแผลเป็นดังกล่าวเป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมของหมู่ผู้เชื่อในเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ โดยเฉพาะชาว Tlingit Indians and the Igbos of Nigeria. ในหมู่ชาวแอฟริกาตะวันตก มีการทำรอยแผลเป็นไว้บนตัว เพื่อจะได้สามารถระบุได้ว่าเป็นผู้ใด เมื่อกลับมาเกิดใหม่
4) กรณีที่พบบ่อยที่สุด คือการที่เด็ก จำเรื่องของชาติที่แล้วได้ โดยปกติเด็กจะเริ่มเล่าเรื่องเมื่ออายุ 2-4 ขวบ และจะเริ่มลืมเลือนไปช้าๆ เมื่ออายุ 4-7 ขวบ แต่ก็มีข้อยกเว้น เด็กบางคนยังจำได้ดี แต่ไม่พูดออกมาเนื่องจากเหตุผลบางประการ
เด็กส่วนใหญ่เล่าเรื่องในอดีตของตนอย่างตั้งใจด้วยความชัดเจนและอารมณ์ร่วม หลายๆ ครั้งพวกเขาสับสนว่าอันไหนอยู่ในโลกจริง อันไหนไม่ใช่ พวกเขามีประสบการณ์ของสองชีวิตในคราวเดียว ซึ่งความจำในอดีตเป็นสิ่งที่เด่นชัดมาก และกลบทับชีวิตใหม่ที่เกิดมา นี่เห็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงใช้คำพูดบอกเล่าชีวิตที่ผ่านมาแล้วในชาติก่อนด้วย Present Tense เช่นคำพูดที่ว่า "I have a husband and two children who live in Jaipur." (ฉันมีสามีและลูก 2 คนใน Jaipur) และเกือบทั้งหมดเล่าให้เราฟังได้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เสียชีวิตลงในชาติก่อน
เด็กเหล่านี้คิดว่าพ่อแม่เมื่อชาติก่อนเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของตน แทนที่จะเป็นพ่อแม่คนปัจจุบัน และต้องการกลับไปหาพ่อแม่เดิมเมื่อชาติก่อนอีกด้วย เมื่อพ่อแม่เมื่อชาติก่อนถูกหาจนพบ จากรายละเอียดจากความทรงจำเก่าจนมาพบตัวจริง พฤติกรรมที่ผิดไปของเด็กก็สังเกตให้เห็นได้อย่างชัดเจน
5) ตัวอย่างอันหนึ่งคือ ถ้าเด็กที่เกิดในครอบครัวที่อยู่ในวรรณะต่ำสุดของอินเดีย เป็นเด็กที่ชาติก่อนเคยอยู่ในปราสาทหลังโต เขาจะรู้สึกไม่สบายตัวในครอบครัวใหม่นี้ เด็กจะเรียกให้คอยรับใช้ตลอด และจะปฏิเสธชุดเสื้อผ้าราคาถูกๆ สตีเฟนสันยกตัวอย่างของรูปแบบพฤติกรรมที่ไม่ปกตินี้ให้เห็น
ในจำนวน 35 % ของกรณีศึกษา เด็กที่เคยตายแบบไม่เป็นไปตามธรรมชาติจะมีรูปแบบความกลัว ตัวอย่างเช่น เคยตายเพราะถูกจับกดน้ำ จะมีความกลัวเรื่องการลงไปในน้ำที่ลึก ถ้าเคยตายเพราะถูกยิง จะกลัวปืน และเสียงดังปัง ถ้าเคยตายด้วยอุบัติเหตุทางรถ จะกลัวการโดยสารรถ
อีกอย่างที่พบบ่อยคือลักษณะนิสัย ซึ่งดร. สตีเฟนสันเรียกว่า Philias ที่หมายถึงเด็กที่ต้องการกินอาหาร หรือ ต้องการใส่เสื้อผ้าที่แปลกแยกไปจากวัฒนธรรมของเขา เขาอาจต้องการเสพแอลกอฮอล์ บุหรี่ ตามอย่างที่เคยในชาติก่อน เมื่อเขาโตขึ้น เขาก็จะทำตามความปราถนาของเขาดังเช่นเมื่อก่อน
เด็กหลายคนที่มีความทรงจำของชาติก่อน สามารถแสดงความสามารถและทักษะที่เขามีในชาติก่อนได้ เด็กที่เมื่อชาติก่อนมีเพศที่ตรงข้ามกับปัจุบัน จะแสดงความยากในการปรับตัวให้เข้ากับเพศใหม่ ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับการเปลี่ยเพศที่อาจนำไปสู่ความเป็นโฮโมเซ็กช่วลในภายหลังได้ หญิงเต็มตัวในชาติก่อน กลับมาอีกครั้งในร่างเด็กชายในปัจจุบัน จะชอบสวมชุดแบบผู้หญิง และชอบเล่นกับเด็กหญิงมากกว่าชาย
จนปัจุบันความแปลกพิลึกของบุคคลเหล่านี้เคยเป็นเรื่องลึกลับในหมู่จิตแพทย์ กระนั้น พ่อแม่เด็ก ไม่ควรว่ากล่าวเด็กที่มีพฤติกรรมเหล่านั้น จากการวิจัยอันยาวนานในเรื่องการกลับชาติมาเกิด ได้เป็นเหมือนแสงสว่างส่องลงมา ในอดีต บรรดาหมอก็คิดว่าเป็นอาการเฉพาะที่มาจากการที่มีฮอร์โมนเกิน หรือขาด แต่ตอนนี้ คงต้องคิดใหม่ทำใหม่กันแล้ว....
"As the moon dies and comes to life again, so we also, having to die, will rise again."
เหมือนพระจันทร์ที่ตาย แล้วกลับมามีชีวิตใหม่ เราก็เหมือนกัน ตายแล้ว ก็กลับโผล่ขึ้นมาฉายแสงอำไพได้อีก (สำนวนกวนโอ๊ยมาก เล่นคำสลับกัน เลยแปลสลับกันมั่ง)
- San Juan Capistrano Indians
จากคุณ :
NaCl
- [
6 ธ.ค. 46 01:59:19
]