ความคิดเห็นที่ 1 ก เพราะแสงอาทิตย์วิ่งออกมาตามรัศมี จากคุณ : ควายอ้วน - [ 24 มี.ค. 47 23:07:07 A:203.151.227.56 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 มีให้อ่านตามหนังสือ modern physics หลายๆเล่มครับ จากคุณ : นายลุงหมี - [ 24 มี.ค. 47 23:55:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อืม... จากคุณ : thetorque - [ 25 มี.ค. 47 01:15:02 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นกระทู้ที่ดีมาก อึ้งเลย จากคุณ : Spirit of Darkness - [ 25 มี.ค. 47 02:13:44 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตกเก้าอี้เลยครับ แหะ ๆ จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 25 มี.ค. 47 12:36:28 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เห็นตามคุณ ควายอ้วน ครับ จากคุณ : appendix - [ 25 มี.ค. 47 19:37:40 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อืมม์... นั่นสินะ เนื่องจากผมก็ไม่เคยคิด ก็ขอร่วมสนุกด้วย ผมว่าน่าจะเป็นข้อ ข. (ใหญ่ขึ้น) เพราะลำแสงบางส่วนที่อยู่นอก ผิวกรวยสังเกตการณ์ (ที่มีตาผู้สังเกตเป็นจุดยอด และสัมผัส ผิวดวงอาทิตย์) จะถูกแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ดึงให้โค้ง เปลี่ยนทิศทางมาเข้าตาด้วย ทำให้กรวยมีรัศมีฐานกว้างขึ้น (ขออภัย ขี้เกียจวาดรูป อีกแล้วครับท่าน) จากคุณ : จอนสั้น - [ 25 มี.ค. 47 20:18:25 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ปล. อย่าลืมว่า ทุกจุดบนดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดแสงทั้งนั้น แสงที่ออกจากดวงอาทิตย์ไม่ได้อยู่ในแนวรัศมีเพียงอย่างเดียว เปรียบเทียบง่ายๆ ว่า เราเอาหลอดไฟมาติดบนเพดานเรียงกัน เมื่อเราไปยืนอยู่ใต้เพดานนั้น หลอดที่อยู่ริมสุดก็ทำให้เกิดเงา ได้เหมือนกัน (ทั้งๆ ที่เราไม่ได้อยู่ใต้มันโดยตรง) จากคุณ : จอนสั้น - [ 25 มี.ค. 47 20:26:45 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่น่าจะส่งผลคับ แต่เราจะเห็นดาวที่โดนดวงอาทิตย์บังได้คับ เพราะแสงที่ส่องออกจากดาวนั้นหากเดินเป็นเส้นตรงเราต้องอยู่ตำแหน่งที่เบี่ยงออกไป แต่แนวแสงนั้นถูกแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์เบี่ยงเบนเข้าหาแรคับ เพิ่งอ่านเจอ ไม่แน่ใจว่า UpDate หรือเปล่า จากคุณ : Waterman (LN106) - [ 25 มี.ค. 47 22:25:12 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมเปลี่ยนใจเป็นข้อ ข ตาม จอนสั้นด้วย มีใครคำนวณเป็นไหมครับว่ามันจะเปลี่ยนไปสักเท่าไร จะสามารถวัดได้ไหม จากคุณ : ควายอ้วน - [ 25 มี.ค. 47 23:33:07 A:203.156.28.57 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 อย่างไรก็ดี การ "ใหญ่ขึ้น" ที่ผมว่า มันจะใหญ่ขึ้นแค่เล็กน้อย จนแทบสังเกตไม่เห็น หนึ่ง เพราะมันอาศัยแสงเฉียงๆ ซึ่งมีกำลัง อ่อน อาจจะขยายแค่เป็นเงาจางๆ สอง คือระยะของการเลี้ยวโค้ง มันสั้นมากๆ ผลของมันจะไม่ใหญ่โตเหมือนแสงดาวจากระยะไกล (เหมือนที่สังเกตได้ในสุริยุปราคาครั้งหนึ่ง) จากคุณ : จอนสั้น - [ 26 มี.ค. 47 08:29:13 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ในขณะเดียวกัน คิดด้วยอีกตรรกะหนึ่ง ข้อ ค ก็มีสิทธิถูก เช่นกัน ถ้าเราไม่นับการ "ใหญ่ขึ้น" ด้วย "เงาจาง" ว่าเป็นการ "ใหญ่ขึ้น" โดยนับเฉพาะบริเวณที่สว่างจ้าที่สุดเป็นขอบเขตของ ดวงอาทิตย์ ก็อาจจะได้ขนาดที่เล็กลง ตามข้อ ค เพราะลำแสงที่ ควรจะตรงมาสู่ยอดกรวยจะถูกแรงโน้มถ่วงดึงให้สอบเข้าหาแกน ของกรวย ซึ่งเมื่อมาถึงตาผู้สังเกตที่ยอดกรวย ทิศของแสงที่เข้า ตาก็จะทำมุมกันน้อยลง ทำให้เห็นภาพดวงอาทิตย์เล็กลง จากคุณ : จอนสั้น - [ 26 มี.ค. 47 08:37:42 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผิดแล้วครับ.. ตรรกะใน #12 ที่ผมเสนอว่าแสงจะสอบเข้า ไม่ถูกต้อง การเลี้ยวโค้งที่บริเวณใกล้ดวงอาทิตย์มีแต่จะ ถ่างมุมของยอดกรวยให้กว้างออก จากคุณ : จอนสั้น - [ 26 มี.ค. 47 08:51:59 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถูกต้องครับ ว่าจะอธิบายอยู่แล้วเชียว ดวงอาทิตย์ต้องใหญ่ขึ้นเท่านั้นครับ # 4 ขอบคุณครับ โหหหหหหห ปลื่มเลยเรา เฮ่อๆๆๆๆ เห็น appendix ตอบแบบนั้นมา โล่งอกเลยเรา จากเดิมเราคงเข้าใจว่า เราเห็นพื้นที่ดวงอาทิตย์ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น มาในที่นี้ มีแนวโน้มว่า เราจะเห็นพื้นที่ดวงอาทิตย์เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ใช่ไหมครับ โหหห เป็นไปได้ไงเนียะ ส่วนเรื่องที่ว่า จะเห็นดวงอาทิตย์ใหญ่กว่าขนาดเดิมเท่าไร ตอกแรกผมก็คิดว่าคงน้อยๆๆๆๆๆๆๆ มาก แต่ลองคิดระเอียดลงไปอีกที เอ้ๆๆๆๆๆๆๆ คุณจอนสั้นครับ สงสัยว่าจะไม่น้อยซะแล้วครับ ขณะเกิดสุริยุปราคา เราเห็นดาวฤกษ์ดวงใดอยู่ติดผิวดวงอาทิตย์ แสดงว่าปกติดาวฤกษ์นั้นถูกดวงอาทิตย์บังอยู่ การโค้งของแสง ทำให้เรามองเห็นดาวฤกษ์หลังดวงอาทิตย์ลงไปกี่องศา นั่นหละ คือค่าองศาน่าจะเป็นค่าที่เอามาต่อ X องศาออกไปได้เชียวนะครับ นี่ผมชักสงสัยแล้วสิครับ ว่าขนาดดวงอาทิตย์ที่เรารู้กันอยู่ อาจไม่ใช่ซะแล้ว ถ้าเขาคำนวณจากขนาดปรากฏของมัน แต่คาดว่าเขาคงจะคิดลึกซึ่งกว่าผมเป็นแน่ครับ สุริยุปราคาที่คำนวณกันได้สมัยโบราณ ก็ต้องยึดตามขนาดดวงอาทิตย์ปรากฏครับ เพราะไม่รู้ว่าของจริงมันแค่ไหนกัน ไม่งั้นจะคำนวณถูกได้อย่างไร ว่าจะเป็นชนิดวงแหวน หรือเต็มดวง จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 26 มี.ค. 47 17:07:11 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อีคิวศูนย์ ใช้คนเดียวกับ eq0 หรือเปล่าครับ สงสัยมานานละครับ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 26 มี.ค. 47 17:35:14 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ดวงอาทิตย์มีเส้นผ่านศูนย์กลางคือ 1,391,159 km. นี่หละ ทำให้ผมไม่มั่นใจละ ว่าเขาวัดกันยังไง ถ้าวัดจากขนาดปรากฏก็ย่อมผิดแน่นอน จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 26 มี.ค. 47 18:11:43 ]

ความคิดเห็นที่ 17 #15 จังหวา . . จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 26 มี.ค. 47 19:31:38 ]

ความคิดเห็นที่ 18 รู้สึกนับถือสมภพแฮะ จากคุณ : แมวลายฟุ้งซ่าน - [ 26 มี.ค. 47 22:14:39 ]

ความคิดเห็นที่ 19 นับถือเหมือนกันครับ คุณแมวลายฯ คิดไม่ถึงที่แกคิดจริงๆ เรื่องเห็นมากหรือไม่มากเนี่ย ถ้าจะเอามุมที่คุณสมภพว่า ภาพที่เห็นมันอาจจะไม่สว่างนะครับ เหมือนกับมองภาพแบบ เฉียดๆ ผิวก็ไม่ชัดเท่ามองตรงๆ เงาจากหลอดไฟบนเพดาน ด้านริมสุด ก็ให้เงาจางสุดเหมือนกัน อีกอย่างหนึ่ง ระยะที่แสงจากดวงดาวหลังดวงอาทิตย์เลี้ยว โค้ง มันก็มากกว่าระยะที่แสงจากผิวดวงอาทิตย์จะสามารถ เลี้ยวโค้งได้ เพราะแสงดาวมันเริ่มเลี้ยวตั้งแต่เริ่มได้รับอิทธิพล จากสนามโน้มถ่วง ซึ่งอาจจะห่างจากดวงอาทิตย์ออกไปมาก (ดาวพลูโตก็ยังได้รับอิทธิพลอยู่นะครับ) แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 47 23:23:55 จากคุณ : จอนสั้น - [ 26 มี.ค. 47 23:22:35 ]

ความคิดเห็นที่ 20 มีความคิดเห็นเหมือนทุกคน จากคุณ : TheAcT - [ 27 มี.ค. 47 01:25:14 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ตอบ ก ครับ เพราะว่า ดวงอาทิตย์มันเป็นตัวส่งแรงดึงดูดของมันเองออกไป แสดงว่าแรงดึงดูดของมันก้อต้องพุ่งเข้าหาศูนย์กลางมันอยู่แล้ว แล้วแสงก้อพุ่งออกจากดวงอาทิตย์ออกไปเป็นเส้นตรง ไปขนานหรือทับกับเส้นแรงดึงดูดพอดี ในกรณีนี้ แสงจึงเดินทางช้าลงเท่านั้น เพราะมีแรงดึงดูดคอยดึงอยู่ แต่ถ้าแสงจากดาวอื่นวิ่งมาเฉียดๆที่ผิวของดวงอาทิตย์ ก็อาจจะทำให้แสงโค้งได้.... จากคุณ : Styer - [ 27 มี.ค. 47 07:40:58 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบ ขอ ไข่ ครับ เห็นดวงอาทิตย์ใหญ่ขึ้น ที่ตอบแบบนี้เพราะผมมีการทดลองมาประกอบ .. นี่ไงมีรูปให้ดูด้วย เพื่อตอบข้อสงสัย เรื่องขนาดของดวงอาทิตย์ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง ผมเลยลองทำการทดลองง่ายที่บ้านดู เริ่มโดยนำผู้สังเกต (น้องพลอย) ไว้ที่มุมนึงของห้องนอน อีกด้านนึง วางแหล่งกำเนิกแสง เพื่อความสบายตาของน้องพลอย ผมเลือกใช้ LED สองดวงแทนขอบของดวงอาทิตย์ ปัญหาคือมวลของดวงอาทิตย์ที่มากพอที่จะทำให้แสงเลี้ยวได้ ลองไปค้นดูตามลังเก่าๆ เจอหลุมดำที่ทำเล่นตั้งแต่ตอน ม ต้น (http://www.scienceproject.net/device/blackhole) เอาหลุมดำมาวางไว้ตรงกลางระหว่างแหล่งกำเนิดแสง แล้ว enable เฉพาะแรงระหว่างหลุมดำกับแสง ก็จะได้ผลการทดลองดังภาพ น้องพลอยบอกว่าระยะห่างระหว่างแหล่งกำเนิดแสงเพิ่มขึ้นเมื่อ มีแรงโน้มถ่วงกระทำต่อทางเดินของแสง ดังนั้นผมขอสรุปว่าขนาดของดวงอาทิตย์ที่สังเกตได้จะใหญ่กว่าที่เป็นจริง (เล็กน้อย) เนื่องจากแรงกระทำจากมวลของดวงอาทิตย์เอง จากคุณ : PUFF - [ 27 มี.ค. 47 08:14:10 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมว่า ที่สมภพคิดแบบนี้เพราะสมภพไม่มี bias (ทฤษฎีทั้งหลายที่มีอิทธิพลต่อจินตนาการ-เป็นกรอบ) - และสมภพมีจินตนาการสูงมาก ๆ ..โดยธรรมชาติ .. จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 27 มี.ค. 47 11:10:24 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เห็นด้วยกับ #22 ครับ ... น้องพลอย สวยมาก ^ ^ จากคุณ : prasitstar - [ 27 มี.ค. 47 12:05:26 ]

ความคิดเห็นที่ 25 โอ้ ใช่เลยครับ รูปของคุณ PUFF ตรงกับแนวคิดผมเลย (แต่น้องพลอยสวยเกินคาด อิอิ) จากคุณ : จอนสั้น - [ 27 มี.ค. 47 13:43:35 ]

ความคิดเห็นที่ 26 โอย เขียนสมการเสร็จละ ยุ่งยากจัง แต่ติงสมภพนิดนึง ที่ว่า X องศา = 2*arc sin(รัศมีดวงอาทิตย์/ระยะห่างดวงอาทิตย์) จริงๆแล้วเราไม่สามารถเห็นขอบที่เป็นจุดปลายของเส้นผ่านศูนย์กลางดวงอาทิยต์ได้ ลองนึกถึงเส้นตรงสองเส้นที่สัมผัสกับผิวทรงกลมที่จุดปลายทั้งสองของเส้นผ่านศูนย์กลาง เส้นตรงนั้น จะขนานกัน ดังนั้น ต่อให้ แนวแสงไม่มีการโค้งงอเลย ขนาดที่เราเห็น ก็จะใหญ่กว่าความเป็นจริงเสมอ ทีนี้ถ้าเราคำนวน เราจะต้องคำนวนว่าแสงที่ออกมาจากผิวตำแหน่งใดของดวงอาทิตย์ ที่โค้งงอแล้ว จะทำให้เราเห็นเสมือนขอบของมัน การคำนวนก็คือ -แสงต้องมีความเร็วคงที่เสมอ -โมเมนตัมของแสงขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นที่เปลี่ยนไปอันเนื่องมาจาก ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป - Angular Momentum ของแสงรอบจุดศูนย์กลางของดวงอาทิตย์มีค่าคงที่เสมอ - แนวโค้งของแสงจะมีลักษณะเป็น กราฟไฮเปอร์โบล่า -หาจุดบนผิวดวงอาทิตย์ ที่ลำแสงมันโค้งมาตกที่ผิวโลก ที่ตำแหน่งวัด ตอนนี้กำลังพยายามวาดรูปอยู่ น่าจะคล้ายของคุณ PUFF นะ แต่อยากคำนวนว่า มันมีขนาดผิดพลาดไปกี่เปอร์เซนต์ แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 47 20:10:31 จากคุณ : แมวลายฟุ้งซ่าน - [ 27 มี.ค. 47 20:06:40 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอร่วมวงด้วยนะคร้าบ รูปที่คุณ PUFF วาดตรงกับจินตนาการของผมเหมือนกัน ขอตอบข้อ ข. เห็นใหญ่ขึ้น จากคุณ : Elrond - [ 27 มี.ค. 47 20:37:09 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ตะลึงกับสมภพจริงๆ ผมว่าสมภพอาจจะเข้าใจทฤษฎีสัมพัทธภาพได้ง่ายๆ เลยนะเนี่ยะ จินตนาการสูงส่ง อย่างนี้ต้องจับไปโฆษณา One-2-Call จากคุณ : NaCl - [ 27 มี.ค. 47 23:12:06 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เพิ่มรูปประกอบครับ ภาพที่เห็นเมื่อแสงเลี้ยวในสนามโน้มถ่วง ของดวงอาทิตย์ (ไปเจอที่ข่าวการทดสอบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปครั้งใหม่: http://science.nasa.gov/headlines/y2004/26mar_einstein.htm?list951985 ) ไฟล์รูปภาพ จากคุณ : จอนสั้น - [ 28 มี.ค. 47 00:04:59 ]

ความคิดเห็นที่ 30 #29 รูปดวงอาทิตย์สวยมาก เหมือน... เลย และ สังเกต ดาวฤกษ์ ขยับไปทางซ้ายเล็กน้อย เมื่อดวงอาทิตย์ เข้าไปใกล้ ๆ จากคุณ : prasitstar - [ 28 มี.ค. 47 14:28:19 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คุณแมวลายๆๆๆๆๆ แน่ใจรึ ว่าสมการของผมนั้นไม่ถูก แม้ไม่คิดเรื่องแสงโค้ง ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะนั่นหนะ บางท่านคิดไม่ระเอียด ใช้สูตร X องศา = 2*arc tan(รัศมีดวงอาทิตย์/ระยะห่างดวงอาทิตย์) บางที่ก็ยิ่งไม่ระเอียดเข้าไปใหญ่เป็นสูตร X องศา = arc tan(เส้นผ่านศูนย์กลาง/ระยะห่างดวงอาทิตย์) จากคุณ : ทีนี้ลองวิเคราะห์สูตรดูสิครับ (สมภพ เจ้าเก่า) - [ 29 มี.ค. 47 09:00:41 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอทำความเข้าใจก่อนนิดนึง   -แสงต้องมีความเร็วคงที่เสมอ - แนวโค้งของแสงจะมีลักษณะเป็น กราฟไฮเปอร์โบล่า ผมว่า 2 ข้อนี้ขัดแย้งกันเองนะครับ  ถ้าแสงโค้งเป็นไฮเปอร์โบร่า  ส่วนที่โค้งที่สุด  ที่ใกล้แรงโน้มถ่วงที่สุดนั่นหละครับ  จะมีความเร็วสูงสุด  ดังนั้น  หากคิดว่าแสงทีความเร็วคงที่ตลอดเส้น  มันไม่น่าได้กราฟไฮเปอร์โบร่าครับ  คือการที่วัตถุปกติมีความเร็วเพิ่มขึ้น  เป็นผลจากการรวมแรงลัพท์ รวมความเร็วลัพท์ออกมา  จะได้ทิศทางใหม่  และความเร็วใหม่ (คือ การเคลื่อนที่เป็นกราฟไฮเปอร์โบร่า  ก็ยังหนีไม่พ้นกฏข้อ 2 ของเคปเลอร์อยู่นะครับ เส้นตรงระหว่างดาวบริวาลกับดาวแม่ กวาดพื้นที่ได้เท่ากันในหนึ่งหน่วยเวลาเสมอ) แต่กับแสงนี่  ได้เฉพาะทิศทางใหม่เท่านั้น  แต่ความเร็วเดิมหรือเปล่าครับ ตอนนี้อยากทำความเห็นให้ตรงกันก่อนครับ  เพราะถ้าอยู่ในบรรทัดฐานว่า  แสงมีความเร็วคงที่ตลอดเส้นเสมอ แสดงว่า  แสงดาวฤกษ์ที่โค้งมาจรดขอบดวงอาทิตย์พอดี  จะมีความโค้งเท่ากับแสงอาทิตย์เองที่ส่องไปในแนวราบของผิวมัน แต่ถ้าอยู่ในบรรทัดฐานว่า  แสงมีความเร็วเปลี่ยนไป เนื่องจากแรงโน้มถ่วงมันเอง  เหมือนที่คิดว่าแสงที่ส่องไปในแนวรัศมี  จะมีความเร็วช้าลงนั้น  ความโค้งแสงดาวฤกษ์ จึงมีรัศมีโค้งกว้างกว่าของแสงอาทิตย์เองครับ   แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 47 09:20:00 จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 29 มี.ค. 47 09:16:13 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่มีอะไรทำ ความคิดเห็นที่ 6 เห็นตามคุณ ควายอ้วน ครับ จากคุณ : appendix - [ 25 มี.ค. 47 19:37:40 ] คุณความอ้วยเขายังเปลี่ยนคำตอบ เพราะเขาเข้าใจแล้ว แค่คุณหนะสิ เฮ้อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : ดึงมาประจานอีกรอบ (สมภพ เจ้าเก่า) - [ 29 มี.ค. 47 14:10:52 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ตาป๊อก วันนี้โดนสมภพตีหัวแตกเลย 5555 จากคุณ : NaCl - [ 29 มี.ค. 47 20:00:20 ]

ความคิดเห็นที่ 35 666.. จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 30 มี.ค. 47 10:14:28 ]

ความคิดเห็นที่ 36 โอเคครับคุณสมภพ ตอนแรกผมคิดว่าคุณสมภพพูดถึงขนาดจริงๆของดวงอาทิตย์ ผมเลยยืมรูปมาเขียนเส้นแดงๆเข้าไป แต่ถ้าพูดถึงขนาดปรากฎ แบบคุณสมภพก็ถูกต้องแล้ว บังเอิญผมอ่านไม่ละเอียดเอง จะเห็นได้ว่าตามรูปแล้ว ขนาดปรากฎจะมีขนาดใหญ่กว่าขนาดจริง(เส้นดำของคุณสมภพ ทำมุมมากกว่าเส้นแดง) จากคุณ : แมวลายฟุ้งซ่าน - [ 30 มี.ค. 47 11:28:59 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ครับ พอดีช่วงนี้ผมก็ยุ่งๆกับการแต่งตำราให้เด็กๆอ่านแหล่ะครับ โดนทวงทุกวัน สำหรับ กรณีที่บอกว่า เมื่อเป็นเส้นโค้งแบบไฮเปอร์โบลาแล้ว ความเร็วจะสูงสุดที่ตำแหน่ง ใกล้แรงโน้มถ่วงมากที่สุด อันนี้ก็จริงครับ สำหรับกรณีวัตถุมีมวล (ที่จริงผมไม่ควรใช้คำว่าความเร็วคงที่ เพราะในภาษาไทยความเร็วนี่เป็นปริมาณเวกเตอร์ แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Velocity จะคงที่ไม่ได้ถ้ามันโค้ง แต่อัตราเร็ว หรือ speed นี่ไม่เกี่ยวกับทิศทาง) กรณีของโฟตอนนั้น มันไม่มีมวล แต่มันจะเปลี่ยนค่าความยาวคลื่นแทน เมื่อมันอยู่ระยะต่างๆจากแรงโน้มถ่วง ที่ระยะใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดนั้น ถ้าเป็นวัตถุมีมวลจะมีอัตราเร็วสูงสุด แต่ถ้าเป็นแสงจะมีความถี่สูงสุด(ความยาวคลื่นต่ำสุด) แต่อัตราเร็วของแสงยังคงที่เสมอ สรุปอีกที วัตถุมีมวล จะมีอัตราเร็วสูงสุด เมื่ออยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด โฟตอน ไม่มีมวล จะมีความถี่สูงสุด เมื่ออยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด แต่กลับรักษาอัตราเร็วเอาไว้ ผมคำนวณเอาไว้แต่มันออกมาไม่สวยเลย คืนนี้จะลองเอามาให้ดู แต่ไม่รับรองความถูกต้องเท่าไหร่นะ เพราะไม่ใช่นักฟิสิกส์ เป็นวิดวะต๊อกต๋อย ธรรมดาจ้า ยังไงก็ยกให้สมภพมีจินตนาการสูงจริงๆ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 47 13:59:44 จากคุณ : แมวลายฟุ้งซ่าน - [ 30 มี.ค. 47 11:49:13 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อืมมกำลังทำความเข้าใจ เรื่องนี้มะค่อยถนัดซะด้วยซิ ดูการทดลองของคุณ PUFF แล้วน้องพลอยมีแรงโน้มถ่วงมากกว่าดวงอาทิตย์อีก หุๆๆ :P จากคุณ : Chaz - [ 30 มี.ค. 47 11:50:15 ]

ความคิดเห็นที่ 39 มาเพิ่มเติมอีกนิด สำหรับวัตถุมีมวลแล้ว มันสามรถเพิ่มพลังงานจนล์ของมันได้โดยการมีความเร็วเพิ่มขึ้น แต่สำหรับ โฟตอน หรือ แสง แล้ว ไม่ใช่ การเพิ่มพลังงานของโฟตอนเป็นการเพิ่มความถี่ คือ E = hf โดยอัตราเร็วยังคงที่ แต่แสงยังคงตกอยู่ภายใต้สนามโน้มถ่วงเช่นเดียวกับวัตถุที่มีมวล เชิญสมภพ ปุจฉา วิสัชชนาต่อ ครับทั่น จากคุณ : แมวลายฟุ้งซ่าน - [ 30 มี.ค. 47 13:50:08 ]

ความคิดเห็นที่ 40 อืมม เส้นสีแดงทึบ ของคุณ PUFF คคห 22 ทำไมไม่โค้งเข้าหากันอะครับ แบบแรงโน้มถ่วงดวงอาทิตดึงเข้าไปน่าจะโค้งเข้าหากันนะครับ จากคุณ : Chaz - [ 31 มี.ค. 47 23:54:58 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ตกลงความเร็วแสงไม่เปลี่ยน เปลี่ยนแต่ความถี่เหรอครับ อึมม..... ก็ฟังไว้เฉยๆครับ ของอย่างงี้ไม่รู้จะพิสูจน์ยังไง ความโน้มถ่วงที่ทำให้แสงโค้ง กับที่ทำวัตถุโค้ง เหมือนกันหรือต่างกันหละครับ เคยได้ยินว่าต่างกันงะครับ เรื่องหนึ่ง ที่ทำให้ผมค่อนข้างเชื่อว่า ความเร็วแสงเปลี่ยนได้ เนื่องจากแรงโน้มถ่วง ก็คือมีคนคำนวณความเร็วแสงโดยคำนวณจันทรุปราคาของดาวฟฤหัสงะครับ จะวัดระยะเวลาที่แสงเดินทางข้ามวงโคจรโลกมาได้ 17 ถึง 18 นาที แต่คุณลองคำนวณดูสิครับ น่าจะวัดได้ 16.5 นาที มากกว่านะครับ ทีนี้ทำไมวัดความเร็วแสงได้ช้ากว่าความจริง ก็ลองคิดเรื่องแรงโน้มถ่วงมีผลต่อความเร็วแสงดูสิครับ มันลงตัวดีนะครับ แต่ถ้าเขาวัดได้ 15 ถึง 16 นาที ความคิดเรื่องแรงโน้มถ่วงมีผลต่อความเร็วแสง จึงจะเป็นหมันไปเลย จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 1 เม.ย. 47 11:11:18 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ปุจฉา ดาวฤกษ์ที่เราเห็นอยู่ที่ขอบฟ้านั้น ความจริงแล้วตำแหน่งที่แท้จริงของมัน อยู่สูงกว่า หรือต่ำกว่าตำแหน่งที่เห็นครับ ถ้าไม่คิดเรื่องบรรยากาศโลกหักเห จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 1 เม.ย. 47 11:14:13 ]

ความคิดเห็นที่ 43 อืมม์.. ตามความเห็นผม ไม่มีอะไรบังคับว่าอัตราเร็วของแสง จะต้องคงที่ในกรอบที่ไม่ใช่กรอบเฉื่อยนะครับ สัจพจน์ข้อสอง ของไอน์สไตน์ก็มาจากข้อแรกที่ว่า กฎทางฟิสิกส์ต้องคงเดิม ในทุกกรอบเฉื่อย และพอ apply เข้ากับสมการแมกซ์เวลล์ ก็เลยฟันธงได้เป็นข้อสอง "สำหรับทุกกรอบเฉื่อย" แต่เมื่อกรอบมีความเร่ง กฎทางฟิสิกส์ก็จะเปลี่ยนไป เพราะได้รับอิทธิพลของความเร่งน่ะครับ จากคุณ : จอนสั้น - [ 1 เม.ย. 47 14:12:03 ]

ความคิดเห็นที่ 44 #41 ระยะเวลาที่แสงเดินทางข้ามวงโคจรโลกมาได้ 17 ถึง 18 นาที แต่คุณลองคำนวณดูสิครับ น่าจะวัดได้ 16.5 นาที มากกว่านะครับ ทีนี้ทำไมวัดความเร็วแสงได้ช้ากว่าความจริง ---- คำตอบคือ วงโคจรของโลกเป็นวงรี ถ้าดาวพฤหัสอยู่ตรงแกนหลัก ก็วัดได้ 17-18 นาที ถ้าดาวพฤหัสอยู่ตรงแกนรอง ก็วัดได้ 15-16 นาที จากคุณ : prasitstar - [ วันจักรี 23:57:16 ]

ความคิดเห็นที่ 45 โอ่ๆๆๆๆๆๆๆ บังเอิญขนาดนั้นเชียว อึมมมมมมมม เดี๋ยวจะลองคำนวณดู แต่ผมคาดว่าเขาคงวัดหลายครั้ง แต่ละครั้งโลกก็อยู่ตำแหน่งต่างๆ แล้วเอาเวลามาเฉลี่ยกัน เอ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สูงสุดได้ 18 ต่ำสุดได้ 17 หรือเปล่าน้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เอาเถอะ เดี๋ยวคำนวณดูก่อน จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 7 เม.ย. 47 14:15:55 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ถ้าเขาวัดได้ 15 ถึง 16 นาที ความคิดเรื่องแรงโน้มถ่วงมีผลต่อความเร็วแสง จึงจะเป็นหมันไปเลย --- จริง ๆ คือ เขาวัดได้ 15 ถึง 16 นาที นั่นแหละ ดัง นั้น ความคิดเรื่องแรงโน้มถ่วงมีผลต่อความเร็วแสง จึงจะเป็นหมันไปเลย .... จากคุณ : prasitstar - [ 10 เม.ย. 47 01:20:42 ]

ความคิดเห็นที่ 47 นี่............ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 12 เม.ย. 47 14:28:33 ]

ความคิดเห็นที่ 48 หนี้ อะไร รึนี่... จากคุณ : prasitstar - [ 21 เม.ย. 47 02:12:08 ]