ความคิดเห็นที่ 6
การบินจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เกี่ยวข้องกับคนหลายฝ่าย มากมายก่ายกองครับ แต่ถ้าจะถามหาถึงป้ายบอกทางบนท้องฟ้า ถ้า้ย้อนเวลาไปตอนเริ่มการบินแรกๆ เครื่องบินปีกสองชั้นสมัยก่อน WW II หรือแม้แต่หลัง WW II ที่เริ่มมีการบินพาณิชย์ ต้องขอบอกว่า ไม่มีครับ แต่ถ้าเป็นทุกวันนี้ อาจเรียกว่า มี ก็น่าจะได้ แต่เป็นการจำลองป้ายไว้บนแผนที่นำทาง และระบบนำร่องอันทันสมัยบนจอเครื่องบิน ซึ่งอาศัยการทำงานของระบบดาวเทียมนำร่อง
แรกๆ นั้น เครื่องบิน บินกันได้ไม่สูง ระยะพอที่นักบินจะมองเห็นพื้นดิน ก็บินกันไปตามทางรถไฟ ตามแม่น้ำ และใช้การจำจุดสังเกตุบนพื้นดิน, Landmark เช่น ตึก หอนาฬิกา เป็นต้น นักบินจะดูเข็มทิศประกอบไปด้วย เครื่องบินชื่อ Spirit of St' Luis ที่ชาร์ลส์ ลินเบิร์ก บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคจากนิวยอร์คไปลงฝรั่งเศสโดยไม่พักเลยเป็นลำแรกของโลก ไม่มีช่องกระจกหน้าให้มอง มีเพียงหน้าต่างสองข้าง เอาไว้มองลงมาข้างล่างดูพื้นดิน การบินแบบนี้ในเวลากลางคืนจะทำไม่ได้เลย เว้นว่าคืนไหนพระจันทร์เต็มดวง สว่างพอให้นักบินเห็นพื้นดิน ก็เสี่ยงไปกัน มีการตั้งประภาคารเครื่องบินไว้เป็นจุดๆ ต่อๆ กันไป บนประภาคารมีไฟหมุนได้รอบ เพื่อให้นักบินสังเกตุเห็น แต่ละประภาคารห่างกันประมาณ 10 ไมล์ บนหลังคาหรือพื้นมีการเขียนชื่อสถานที่ตัวโตๆ ให้นักบินอ่านได้ง่าย
เมื่อมีเครื่องบินมากขึ้น การบินเกาะทางรถไฟ ถนน หรือแม่น้ำ ชักเริ่มคับคั่ง มีการกำหนดให้บินด้านซ้ายหรือด้านขวาของรางรถไฟในทิศทางที่ต่างกัน เพื่อป้องกันการชนกัน การบินแบบนี้เริ่มไม่ได้ผล อีกทั้งหลายๆ แห่ง ไม่มีทางรถไฟ ถนน หรือจุึดสังเกตุ
การนำร่องด้วยระบบวิทยุ เริ่มเข้ามามีบทบาท เมื่อมีการส่งลำคลื่นออกไปเป็นแนว มีสถานีส่งห่างกันประมาณ 200 ไมล้ ถ้านักบินรับสัญญานไม่ได้ แสดงว่าบินออกนอกแนว มีการส่งรหัสมอร์สตัว N -. และ A .- บอกให้รู้ว่ากำลังบินเข้าหรือบินออกจากสถานีส่ง เมื่อสัญญานอ่อนลง ก็ปรับไปรับจากสถานีข้างหน้า ยุคนี้เป็นช่วงยุค 40's
ถัดมาไม่กี่ปีระบบ Radio Homing ด้วยวิธีการใช้สายอากาศแบบทิศทางติดไว้ใต้ห้องนักบินกับเครื่อง DC-3 เพื่อให้นักบินหมุนหาทิศของสถานีส่งแล้วบินเข้าหาเพื่อกลับบ้านก็เริ่มเป็นที่นิยม ซึ่งยังคงใช้มาจนทุกวันนี้ แต่นักบินไม่ต้องหมุนเอง เรียกสถานีส่งนี้ว่า NDB, Non Directional Beacon และเรียกเครื่องรับนี้ว่า ADF, Automatic Direction Finding
VOR, Very high frequency Omnidirectional Range เป็นอปุกรณ์นำร่องที่ใช้บ่อยที่สุดในการบิน พัฒนาขึ้นมาจาก NDB โดยเครื่องส่งจะออกอากาศรอบทิศทาง บอกทิศทางเป็นองศาและมีระบบ DME,Distance Measuring Equipment บอกระยะห่างจากสถานีส่ง ทั้งยังบอกว่ากำลังบินเข้าหรือบินออกจากสถานีส่ง เมื่อทราบทิศเป็นองศา และระยะทางเป็นไมล์ ก็พอจะรู้ตำแหน่งของตนเองได้แล้ว
ยุคปัจจุบันเป็นยุค GPS, Global Positioning System ใช้ระบบดาวเทียมนำร่องซึ่งลอยค้างฟ้าอยู่ทั่วโลกจำนวน 26 ดวง คอยป้อนข้อมูลให้กับเครื่องรับบนห้องนักบิน แสดงแผนที่อิเลคทรอนิคส์บนหน้าจอ แสดงเส้นทางที่บินมา ความสูง ความเร็ว ฯลฯ นอกนั้นยังมีการกำหนดจุด fix และตั้งชื่อไว้ต่างๆนาๆ เพื่ออ้างอิงกันได้ เป็นแผนที่ที่นักบินเครื่องรุ่นใหม่ๆ ใช้อยู่
ใช่ว่าจะไม่มีแผนที่ให้นักบินดูครับ มีแผนที่การบิน ที่เรียกว่า Enroute Chart ขนาดใหญ่ที่คลอบคลุมหลายประเทศ อัพเดทมาแจกให้นักบินไว้ใช้ บอกทิศทาง ความสูงต่ำสุดที่จะบินได้ ความถี่วิทยุในการประสานงาน น่านฟ้าปิดหรือเขตห้ามบิน มีการกำหนดชื่อเส้นทางการบิน เหมือนทางหลวง เมื่อใกล้่สนามบินก็จะมีแผนผังอีกอันหนึ่ง เป็น Aerodome Chart บอกนักบินถึงความสูงต่ำสุดที่จะลดเพดานบินได้ ทิศทางในการเข้าหาสนามบิน ความถี่และระบบนำร่องที่มีให้บริการ หอบังคับการบินเพียงบอกนักบินว่าจะใช้ Procedure เข้าหาสนามบินแบบไหน นักบินก็นำแผนที่มาดู แล้วก็บินตามทิศทางนั้น จนกว่าจะลงสนามบิน
เครื่องบินต้องติดต่อและรายงานตำแหน่งของตนเองตลอดเวลา เรียกได้ว่า ไม่ถูกโดดเดี่ยวจากพื้นดินเลย มีการส่งต่อกันเป็นช่วงๆ จนกว่าจะถึงปลายทาง กว่าจะถึงลอนดอนนักบินจะได้รายงานต่อหอฯ เป็นสิบๆ หอฯ แม้ขณะบินอยู่กลางทะเล
หวังว่าคงไม่ยาวเกินไปนะครับ
จากคุณ :
นายทะเบียน
- [
11 ส.ค. 47 22:22:37
]
|
|
|