ความคิดเห็นที่ 1 ความจริง ปัญหาที่ถามมานี้ เป็นปัญหาเข้าข่ายข้อที่ 4 ของอจินไตย 4 อจินไตย เป็นหมวดธรรมะหมวดหนึ่ง มีความหมายว่า เรื่องที่ไม่ควรคิด พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ มี 4 ข้อ และข้อที่ 4 ของธรรมะในหมวดนี้ คือ โลกจินดาๆ นี้ เป็นศัพท์สมาส มีชื่อเรียกตามภาษาวิชาการว่า ฉัฏฐีตัปปุริสสมาส มาจากคำว่า โลก+จินดา แปลง่ายๆแบบภาษาชาวบ้านว่า คิดอย่างชาวโลก คือคิดอย่างโลกิยมหาชน ความคิดอย่างโลกิยมหาชนนี้ จึงคิดในเรื่องบางเรื่องจนทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน ความแตกแยก ขัดแย้งและความแก่งแย่ง เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงจัดความคิดนี้ เข้าในข้อ 4 ของหมวดธรรมะชื่อ อจินไตย 4 (เรื่องที่ไม่ควรคิด 4 เรื่อง) แต่ผมจะตอบปัญหาของคุณ ตอบตามแบบโลกิยมหาชนตอบกับโลกิยมหาชนด้วยกัน. ปล. ผมตอบคุณทันที โดยไม่ต้องเปิดหรือลอกตำรามาตอบ จากคุณ : คนเก่า - [ 30 ธ.ค. 47 09:36:53 A:203.113.71.39 X:203.150.217.118 TicketID:069986 ]

ความคิดเห็นที่ 2 1. ตามหลักพุทธ มีเท่าเดิม ไม่ลดหรือเพิ่มขึ้น 2. ตามหลักพุทธอีก มาได้จากเครื่องปรุงหรือเครื่องประกอบต่างๆ เช่น ธาตุหรือสสาร เป็นต้น 3. ตามหลักพุทธ ทุกสรรพสิ่งที่เกิดมา ต้องมีจุดเริ่มแรก ดังนั้น ชาติแรกจึงมีจริง จึงยังไม่มีบุญบาปติดตัวมา มาสตาร์ทเริ่มค่าตั้งแต่ 0 ก่อน 4. เท่าที่ศึกษามา เป็นเช่นนี้จริงๆ คือมีรูปร่างหน้าตา สติปัญญา ไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก ขอร่วมคิดต่อว่า ถ้าวิญญาณ ข รู้ว่า หญ้าชนิดนี้ ไม่ใช่อาหารของคน แต่เป็นอาหารของควาย เขายังขืนกินหญ้าชนิดนั้นเข้าไป จึงปวดท้อง เจ็บหนัก อย่างนี้ ถือว่าเป็นการตั้งใจทำร้ายตัวเองโดยเจตนา แบบนี้ ก็คือบาปเช่นกัน และเป็นบาปในปัจจุบันทันตาเห็น คำที่คุณบอกว่า "ดังนั้น บุญ บาป ที่ส่งผลต่อวิญญาณนั้นๆ ควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่ชาติภพแรกๆ จะเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด ที่จะส่งผลต่อๆมาใน ชาติหลังๆ" ถือว่าใช่ครับ ปล. แต่อย่าคิดว่า วิญญาณที่ว่า หมายถึงคนเท่านั้น เพราะสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เกิดก่อนคนมีมากมาย จึงไม่ควรสงสัยว่า คนยุคก่อนกับยุคนี้ ทำไมจำนวนไม่เท่ากัน เพราะโลกนี้ มีทั้งโลกของคน ของสัตว์ ฯลฯ และโลกหน้า มีทั้งเทวโลก พรหมโลก ฯลฯ ดังนั้น ถ้ามองแค่โลกของคน ก็จะสงสัยและอาจจะไม่เข้าใจครับ. จากคุณ : คนเก่า - [ 30 ธ.ค. 47 09:45:27 A:203.113.71.39 X:203.150.217.114 TicketID:069986 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คนเก่า ตอบได้ชัดเจน แสดงว่า ถ้าชาติแรกของวิญญาณ ทำบุญ มีโอกาศ นิพพาน ได้สูงสุด แต่ในเมื่อไม่มีบุญบาปมาก่อน จะมีชีวิตรอดในระบบได้ยังไง 1. จะตายได้ไง ในเมื่อไม่มีบาปมาก่อน 2. ถ้าไม่มีบุญมาก่อนแล้วจะมีกิน อยู่ ได้ยังไง อะไรที่ส่งผลต่อการมีชีวิตของชาติแรก ในเมื่อ start = 0 จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 30 ธ.ค. 47 13:58:33 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตอบ คุณคห.3 สรุปประเด็นคำตอบสั้นๆว่า "แสดงว่า ถ้าชาติแรกของวิญญาณ ทำบุญ มีโอกาศ นิพพาน ได้สูงสุด" ***ใช่ แต่ไม่แน่เสมอไป ดูนักวิ่งมาราธอนที่ออกสตาร์ทก่อนเป็นตัวอย่าง "แต่ในเมื่อไม่มีบุญบาปมาก่อน จะมีชีวิตรอดในระบบได้ยังไง" ***รอดได้ด้วยระบบของธรรมชาติฝ่ายสนับสนุน "จะตายได้ไง ในเมื่อไม่มีบาปมาก่อน" ***ตายได้ตามระบบธรรมชาติฝ่ายทำลายล้าง "ถ้าไม่มีบุญมาก่อนแล้วจะมีกิน อยู่ ได้ยังไง" ***กินอยู่ได้ด้วยระบบธรรมชาติฝ่ายสนับสนุนและสัญชาตญาณเพื่อเอาตัวรอด "อะไรที่ส่งผลต่อการมีชีวิตของชาติแรก ในเมื่อ start = 0" ***ระบบธรรมชาติฝ่ายสนับสนุนและสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ปล. มีคำอธิบายต่อข้างล่าง. จากคุณ : คนเก่า - [ 30 ธ.ค. 47 17:19:33 A:203.113.71.36 X:203.150.217.114 TicketID:069986 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คำถามใน คห.3 นี้ สำหรับผมแล้ว รู้สึกว่าจะสลับหน้าสลับหลังกัน ผมจึงต้องจับประเด็นอธิบายเรียงตามลำดับวัฏจักรตามคัมภีร์ไวยากรณ์พุทธที่เรียนมา ดังนี้ - เมื่อมีการเกิดเป็นคนมานับเริ่มต้นมาแต่ชาติแรก คือสตาร์ท 0 กันตรงนี้เลย โดยยังไม่มีบุญหรือบาปมาเป็นองค์ประกอบร่วม ขอให้คุณอย่าลืม คือให้นึกถึงระบบของธรรมชาติซึ่งเป็นตัวส่งผลต่อชีวิตก่อน คือ เรื่องอิทธิพลของธรรมชาติในด้านสนับสนุนหรืออิทธิพลของธรรมชาติในด้านทำลายล้าง - ธรรมชาติสนับสนุนในที่นี้ คือเกิดมาแล้ว มีกำลังวังชาและสัญชาตญาณพอที่จะหาอาหารเข้าปากเลี้ยงชีวิตตัวเองรอดได้ - ธรรมชาติสนับสนุนในที่นี้ คือมีน้ำท่า และอาหารบริบูรณ์เหลือเฟือ เช่น พืชผักผลไม้ หรือสัตว์ต่างๆ ที่มากับธรรมชาติ เรื่องของสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดที่มีติดตัวมาแต่เกิดของคน เป็นต้น ดังนั้น เมื่อมีสัญชาตญาณการเอาตัวรอด และมีธรรมชาติสนับสนุน ดังกล่าวไว้ในเบื้องต้น - การจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาพของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่มีประชากรน้อย มีการแย่งกันกินแย่งกันอยู่ไม่มากนัก การเป็นอยู่ในสภาพแบบนั้น จึงเป็นอยู่ได้โดยง่าย ไม่ได้เป็นอยู่ยากเย็นเข็ญใจอะไรเลย ต่อมา เมื่อกินอิ่ม นอนหลับ เพียงแค่นี้ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน บางคนจึงใช้เวลาที่เหลือไปกับเรื่องที่เป็นบาป แต่บางคนใช้เวลาที่เหลือไปกับเรื่องที่เป็นบุญ - ถ้าชาติแรกทำบุญมากกว่าบาป ชาติที่สอง - สาม - สี่ เป็นต้น ก็ทำบุญมากกว่าบาป โอกาสที่จะถึงที่สุดแห่งบุญ คือนิพพาน ก่อน มันก็มีสูงจริงแท้แน่นอน ยกตัวอย่างนักวิ่งแข่งมาราธอน คนที่ออกสตาร์ทก่อน แรงไม่ตก วิ่งนำม้วนเดียวจบ เข้าเส้นชัยก่อนเพื่อน ก็มี แต่ถ้าชาติแรกทำบุญมากกว่าบาป ส่วนชาติที่สองทำบาปมากกว่าบุญ ฯลฯ ยกตัวอย่างนักวิ่งแข่งมาราธอน คนที่ออกสตาร์ทก่อน แต่แผ่วปลายหรือบาดเจ็บในระหว่างทาง จึงเข้าเส้นชัยทีหลังหรือถอนตัวไปกลางคัน ก็มี จึงมีคำว่า "ความไม่แน่นอน" เกิดขึ้นเพราะเหตุดังกล่าวนี้ จะขอวกกลับไปตรงเรื่องอิทธิพลของธรรมชาติในด้านทำลายล้าง สิ่งมีชีวิต เช่น คน สัตว์ หรือว่าพืช เป็นต้น ก็ดี สิ่งไม่มีชิวิต เช่น ภูเขา แม่น้ำ หรือว่าแผ่นดิน เป็นต้น ก็ดี ล้วนมีการกำหนด อายุขัย มีการเสื่อม มีการสึกหรอไป ตามธรรมชาติและกาลเวลา บ้างก็มีการเสื่อมหรือสึกหรอเร็ว บ้างก็มีการเสื่อมหรือสึกหรอช้า ตามเหตุตามปัจจัยที่มากระทบเข้า ดังนั้น การเสื่อมหรือสึกหรอจนถึงที่สุด ก็คือการตายหรือการแตกดับนั่นเอง - การตายของชาติแรกเลย จึงไม่เกี่ยวกับบาป แต่เกี่ยวกับเหตุปัจจัยดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ต่อมีชาติที่สอง - สาม - สี่ ฯลฯ ต่อๆมา จึงมีอิทธิพลของบาป-บุญ เข้ามาเป็นองค์ประกอบเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง เพิ่มเข้าในระบบของอิทธิพลธรรมชาติฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายทำลายล้าง ปล. คนที่ไม่เรียนหลักไวยากรณ์ทางพุทธ แต่ลอกคัมภีร์มาตอบ ก็จะอธิบายไม่ได้ เพราะหลักการศึกษาทางไวยากรณ์ของวิชาทุกแขนง มันเป็นเสมือนรากแก้ว จะแตกออกมาเป็น หน่อจนถึงยอดได้. จากคุณ : คนเก่า - [ 30 ธ.ค. 47 17:20:43 A:203.113.71.36 X:203.150.217.114 TicketID:069986 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ชาติแรกของวิญญาณอาจจะพัฒนามาจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆอย่างอะมีบา หรือพวกเชื้อโรคครับ จำพวกหน่วยพลังงานเล็กๆ จากคุณ : ตู้ฝูเว่ย - [ 30 ธ.ค. 47 18:58:07 ]

ความคิดเห็นที่ 7 3. ถ้าชาติแรกมีจริง จะมี บุญหรือบาป ในอดีตติดมาด้วยหรือเปล่า หรือว่ามีค่า บุญ บาป = 0 จริงๆแล้วเป็นคำถามที่ย้อนกลับไปได้ว่า 0 คืออะไรแล้วถ้ามันคือความไม่มีแล้วเรารู้ได้ยังไงว่าเมันคือความไม่มี ทั้งหมดก้อแค่การที่เราใช้ปัญญาเราเป็นใหญ่ในการตัดสินใดๆ แม้แต่วิทยาศาสตร์ในที่สุดก้อไม่สามารถอธิบายตัวมันเองได้ ไม่เชื่อลองย้อนถามทฤษฎีที่เรียนมาไปเรื่อยๆดิว่าทำไมถึงต้องเชื่อ ในที่สุดมันก้อจะกลายเป็นเพราะเราเชื่อไม่ใช่เพราะเรารู้ว่ามันมีหรือไม่มีจริงๆเราอาจจะไม่มีเลยก้อได้ เราแค่คิดไปเองว่าเรามี ดังนั้นผมจะขอตอบตามความเชื่อของผมว่าวิญาณเป็นพลังงานและสามารถ ทำปฏิกิริยาด้วยตัวเองได้คล้ายๆไฮดราในการแบ่งจำนวน ที่แบ่งนี้ก้อเพราะใน1วิญญาณมีหลายจิตแล้วไม่ใช่ทุกจิตที่จะรู้ทั้งหมดยังมีจิตที่มีความไม่รู้เจือปน ก้อด้วยเหตุนี้เมื่อจิตที่ยังไม่รู้ไม่ตื่นยังเจือปนเวลาเราเข้าสู่ความศูนยตราจิตพวกนี้ก้อไม่สามารถสูญตามได้ ก้อแบ่งตัวเปนวิญาณใหม่ไปเรื่อยๆกลับมาสู่วัฏจักรเดิมอีกไม่มีสิ้นสุดส่วนใครคือ วิญญาณแรกคงตอบไม่ได้เพราะไม่รู้จิงๆรอรู้แล้วถึงจะตอบได้ จากคุณ : violator - [ วันสิ้นปี 00:01:26 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แสดงว่า ธรรมชาติสนับสนุน นิคนละเรื่องกับ บาป บุญเลยนะสิ มันเข้าข่ายเป็น ดวง หรือเปล่า ? ดวง มี 2 แบบ ? 1. เกี่ยวกับ บาป บุญ ในอดีต 2. ความน่าจะเป็นล้วนๆ ตามธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับ บาป บุญ นำพา แบบนั้ ถ้าชาติแรก วิญญาณฟลุ๊กเจอแต่สิ่งดีๆ โอากาศที่จะืทำกรรมดีมีสูงกว่าวิญญาณอื่น ซึ่งไม่ยุติธรรมสิแบบนี้ จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 1 ม.ค. 48 18:55:40 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมา (กุศโลบาย) เพื่อให้คนทำความดี จากคุณ : Termites - [ 1 ม.ค. 48 20:07:22 A:210.86.156.240 X: TicketID:038237 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตอบ คห.ที่8 ธรรมชาติสนับสนุน คนละเรื่อง ที่เป็นเรื่องเดียวกันกับ บาป บุญ เช่น เกิดมามีสภาพแวดล้อมพร้อมมูล ก็เอาแต่ใช้เอาแต่ผลาญ ไม่คิดรักษา ไม่คิดเพิ่ม การเอาแต่ผลาญผู้ที่สนับสนุน คือการเนรคุณอย่างหนึ่ง ถือว่าผิดธรรม คนรุ่นต่อมาก็พลอยมีผลกระทบจากการผลาญ นี่คือบาป 2 ประการ ของคนผลาญธรรมชาติสนับสนุน พอตอบแค่ตรงนี้ ก็คือตอบประเด็นแถวต่อไปจนหมดสิ้นแล้ว หวังว่าคงจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย. จากคุณ : คนเก่า - [ 2 ม.ค. 48 19:24:42 A:203.113.71.36 X:203.150.217.115 TicketID:069986 ]

ความคิดเห็นที่ 11 วิญญาณ คือ การรับรู้ของจิต น่าจะตั้งคำถามใหม่ว่า จิต มีจำนวนมากขึ้นหรือลดลงหรือไม่ *** ท่านบอกว่า แค่เราวาดนิ้วไปในอากาศ ก็จะมีจิตที่ยังไม่เกิดอยู่ในรอยที่เราวาดนั้นเป็นโกฐๆ แล้ว จิตเกิดขึ้นได้อย่างไร *** จิตเกิดขึ้นเองเป็นธรรมดา จิตไม่มีเกิดไม่มีดับ  อวิชชา คือความโง่ของจิต  ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน เป็นสังขาร แล้วก็เกิดการรับรู้ เกิดกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม ภพ ชาติ ขึ้นมา *** ถ้าวิชชาเกิดขึ้นในดวงจิตดวงใด ดวงจิตดวงนั้นก็จะไปถึงพระนิพพาน *** จิตเป็นของไม่มีรูปร่าง ไม่มีสีสันวรรณะ แต่จิตเป็นผู้รู้ *** กระแสความรู้ของจิต เรียกว่า วิญญาณ ชาติแรกของจิตเกิดขึ้นได้อย่างไร *** ชาติแรกของจิต เกิดจากอวิชชา แล้วเป็นการปรุงแต่งขึ้นมา จากจิตว่างๆ เปล่าๆ ก็กลายเป็นจิตที่มีบุญบาปปรุงแต่ง มีเวทนาเป็นเครื่องรับอารมณ์ สุข ทุกข์ เฉยๆ หนาว ร้อน เย็น มีความทรงจำ มีการทำงานของระบบของร่างกาย (ในกรณีกายธาตุ) มีการยึดมั่นว่า นี่เป็นจิตของเรา นี่เป็นตนของเรา เกิดเป็นกรรมขึ้นมา แล้วภพ ชาติ ก็ผูกหมุนเวียนกันไป *** หมดสิ้นภพชาติได้ ก็เมื่อ เห็น อุปาทาน ชัดขนาดอุปาทานดับไป ความยึดมั่นในตน ในจิต ก็ดับวูบ กิเลสตัณหา ก็หมดไป กรรมไม่เกิด ภพชาติไม่มี นั่นคือ การเข้าถึงวิชชา อวิชชาก็พลันดับ สิ้นสุดลงไม่ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีก *** ตราบใดที่อวิชชาเกิด จิตก็ต้องเกิดวนไปเวียนมา ไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่วิชชาเกิด จิตก็จะเข้าถึงวิชชา เป็นอันจบสิ้นภพชาติ เข้าใจไหมคะเนี่ย? ค่อนข้างลึกนิดนะคะ เข้าถึงอภิธรรมทีเดียว คำถามนี้ ..... แดดเช้าใคร่ครวญอยู่หลายวันว่า จะตอบยังไงให้เข้าใจดี สนใจสอบถามกันได้อีกนะคะ ถ้าพอตอบได้ก็จะตอบ ถ้าตอบไม่ได้ ก็ขออภัยค่ะ : ) แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 48 12:23:56 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 48 12:22:10 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 48 12:17:31 จากคุณ : แดดเช้า - [ 8 ม.ค. 48 12:02:43 ]