ความคิดเห็นที่ 1 คำถามเชยมากครับ ต้นฉบับเขาคือ ประตูนรก กับประตูสวรรค์ คนเฝ้าประตูนรก => โกหกเสมอ คนเฝ้าประตูสวรรค์ => พูดความจริงเสมอ แต่บางที คนเฝ้าประตูทั้งสอง ก็สลับที่ยืนเฝ้าประตูกันแก้เซ็งบ้าง จากคุณ : ช่างไฟ - [ 19 มี.ค. 48 07:26:17 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ง่ายๆ หลักๆก็ถามว่า คุณอยู่ถูกเมือง/ประตูหรือไม่ ถ้าใช่ ก็ประตูสวรรค์/เมืองพูดจริง ไม่ใช่ ก็ประตูนรก/เมืองโกหก จากคุณ : mohicann - [ 19 มี.ค. 48 09:58:58 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เค้าอาจจะอายุน้อย เลยเพิ่งได้ยินคำถามก็ได้ สำหรับเค้าอาจไม่เชยก็ได้นะ แล้วคุณเป็นเจ้าของโจทย์ ประตูนรกสวรรค์หรือ ถึงรู้ว่ามันคือต้นฉบับ จริงๆอาจจะเป็นโจทย์คนเมืองพูดจริงกับคนเมืองพูดโกหกก็ได้ ถ้าไม่มีหลักฐานอ้างอิง อย่ามาพูดพล่อยๆ จากคุณ : ......ไปหา Journalมา - [ 19 มี.ค. 48 10:25:53 A:210.246.73.172 X: TicketID:087056 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ^ ^ เหอๆ จากคุณ : Elrond - [ 19 มี.ค. 48 10:58:47 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตัวลอจิก ไม่เชยครับ ซับซ้อนชวนคิดพอสมควรทีเดียว แต่เนื้อเรื่องที่มันชวนให้คิดตาม เร่งเร้าให้คนใช้ความคิด มันต้องมีศิลปะในการนำเสนอครับ Puzzle 5:  Heaven or Hell ? Once a man die and went to the court of Chitragupt assistant of Yamaraja. Chitragupt looked into the man's life and found that he had done equal number of "punyas" (good deeds) and "papas" (sins). So he left the choice to the man himself but with one condition. The condition was as follows : "There are two doors. One is to "swarga" (heaven) and the other to "naraka" (hell). But you dont know which one leads to heaven and which one to hell. And there are two "dwarapalakas"(gatekeepers) among whom one always lies and the other always speaks truth. But you dont who is who?. Moreover you dont know at which gate they are standing. You have to ask only one question. It is left to you to choose whom to ask". The man asked that single question to one of the gatekeepers and found the exact door to heaven. Now what would that question be if you ask will you know which gate is for heaven and which one is for hell?. http://www.ourkarnataka.com/misc/puzzles_old.htm สังเกตคำว่า puzzles_old.htm จากคุณ : เอาหลักฐานไป แล้วคลานมานอกกะลา (ช่างไฟ) - [ 19 มี.ค. 48 14:04:23 ]

ความคิดเห็นที่ 7 2.5.  ==> fork.two.men <==  [logic/part4] Two men stand at a fork in the road.  One fork leads to Heaven; the other fork leads to Hell.  One of the men always answers the truth to any yes/no questions asked of him, the other always lies.  Can you find a question that will allow you to determine the road to Heaven? One method is to point to one of the paths and to ask either of the men "Would the other man confirm that this was the path to Heaven?"  It is the path to Heaven if and only if the man answers "no". http://www.braingle.com/news/faq.php จากคุณ : Journal ไม่มี มีแต่แบบนี้ (ช่างไฟ) - [ 19 มี.ค. 48 14:06:28 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Somewhere between Heaven & Hell Here's a little logic puzzle that I made up last year to illustrate my point. Imagine that you are a Christian and that you die (kind of fun already, huh?). You find yourself in a room with two doors. Door 1 reads "This is the way to Heaven," and door 2 says "The sign on one of the doors is lying." Which door do you take? I'll save my answer until the end of the article. http://imprint.uwaterloo.ca/issues/120696/4Science/sci01.html จากคุณ : ไม่พอบอกมา จะหาให้อีก (ช่างไฟ) - [ 19 มี.ค. 48 14:07:18 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จะไปอยากตรงไหน ก็ถามไปสิว่า 1 + 1 เป็นเท่าใด หากคนนั้นตอบว่า 1 ก็โอเช  หากไม่ตอบว่า 1 แสดงว่าโกหกโกหก จากคุณ : หอดอนเมือง (118.100 Mhz) - [ 19 มี.ค. 48 15:53:26 ]

ความคิดเห็นที่ 10 #9 ไม่ทำให้ได้ข้อมูลเพิ่มครับ ไม่ทำให้ได้คำตอบด้วย แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 48 16:41:38 จากคุณ : มิคังโหยว - [ 19 มี.ค. 48 16:27:03 ]

ความคิดเห็นที่ 11 จะว่าผมเชยก็ได้นะครับ เพราะผมก็ไม่เคยเล่นมาก่อน ผมลองมานั่งคิดดู ถ้าผมถามคนในเมืองว่า คุณกำลังอยู่ในเมืองของคุณเองใช่หรือไม่ ถ้าผมอยู่ในเมืองแรก คำตอบจะเป็น ใช่ เสมอ ถ้าผมอยู่ในเมืองหลัง คำตอบจะเป็นไม่ เสมอ ผมยังไม่แน่ใจนัก หวังว่าคงจะถูกนะครับ จากคุณ : emanuelle - [ 20 มี.ค. 48 04:08:49 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เอาน่าครับคุณ ไม่มีใครโชกโชนมามากเท่าคุณน้าช่างไฟหรอก จากคุณ : มิคังโหยว - [ 20 มี.ค. 48 09:27:27 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เพิ่มเติม+แปลงโจทย์เป็น: มีอีกเมือง เป็นเมืองที่ 3 ประชากรเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เดี๋ยวพูดจริง เดี๋ยวโกหก นาย A, B, C เป็นเพื่อนกันมาจากคนละเมือง (จาก 3 เมือง) ทุกคนต่างรู้ว่าแต่ละคนเป็นชาวเมืองไหน แต่คุณไม่รู้ คุณสามารถถามได้ 3 คำถาม แต่ละคำถามจะถามใครก็ได้ คุณจะตั้งคำถามอย่างไรเพื่อหาว่าใครมาจากไหน จากคุณ : 512 - [ 20 มี.ค. 48 13:37:49 A:64.167.150.154 X: TicketID:068427 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถึงคุณความเห็นที่ 13 ให้ผมลองเดาดูนะครับ ผมจะถามคำถามแรกกับคนทั้งสามว่า คุณมาจากเมือง C ใช่หรือไม่ A จะตอบว่า ไม่ B จะตอบว่า ใช่ และ C อาจจะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ ถ้ามีคนที่ตอบว่า ใช่ สองคน คนที่ตอบว่าไม่จะมาจาก A ถ้ามีคนที่ตอบว่า ไม่ สองคน คนที่ตอบว่าใช่จะมาจาก B คำถามแรกเราสามารถจะระบุคนที่มาจากเมือง A หรือเมือง B ได้ เท่ากับว่าเรารู้ว่าคนที่เราระบุจะพูดจริงเสมอหรือพูดเท็จเสมอ เมื่อเราสามารถคาดว่าจะได้ความจริงหรือได้ความเท็จจากคนที่เราระบุ เราก็สามารถถามสองคำถามที่เหลือจากคนที่เราระบุเกี่ยวกับเพื่อนของเขาว่ามาจากเมืองไหน หวังว่าจะได้ผลนะครับ จากคุณ : emanuelle - [ 20 มี.ค. 48 18:00:47 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณช่างไฟเอาอะไรมาพูด โจทย์นี้คนละเรื่องกับไอ้ประตูนรกประตูวิมานอะไรนั่นของคุณเลยนะ อ่านโจทย์ดูดีๆๆๆก่อน ไอ้ประตูอะไรนั้นคุณมีคนถามแค่สองคน อันนี้เมืองทั้งเมือง โลจิกคล้ายๆกัน แต่คำตอบคนละแบบกันนะ เลยเอามาลองให้ดู คนที่บรรจงอ่านโจทย์แล้วตอบได้ คงได้รับความสนุกนะครับ จากคุณ : จขกท - [ 20 มี.ค. 48 20:53:50 A:203.150.100.83 X: TicketID:090313 ]

ความคิดเห็นที่ 16 โอ้ว... ขออภัยครับ ผมคงเข้าใจโจทย์ของคุณความเห็นที่ 13 ผิดไป ที่จริงโจทย์ให้ถามทีละคน และแต่ละคนก็จะตอบทีละครั้ง ขอลองใหม่นะครับ ผมจะถามชายคนแรกว่า มาจากเมือง C ใช่หรือไม่ คำตอบจะมีสองกรณี กรณีแรก ตอบว่าใช่ แสดงว่า ชายคนแรกมาจากเมือง B หรือ C ส่วนอีกสองคนที่เหลือ อาจจะมาจากเมือง A กับ C หรืออาจจะมาจากเมือง A กับ B จะเห็นได้ว่า สองคนที่เหลือ อย่างน้อยจะต้องมีคนใดคนหนึ่งมาจากเมือง A ผมจะถามคำถามเดิมกับชายคนที่สองว่า คุณมาจากเมือง C ใช่หรือไม่ ถ้าชายคนที่สองเขาตอบว่าใช่ แสดงว่าชายคนที่สองอาจจะมาจากเมือง B หรือ C แต่โดยตัวมันเองแล้ว ชายคนที่สามต้องมาจากเมือง A อย่างแน่นอน ถ้าชายคนที่สองตอบว่าไม่ นั่นแสดงว่าชายคนที่สองต้องมาจากเมือง A หรือ C แต่ชายคนที่สามต้องมาจากเมือง B อย่างแน่นอน เมื่อคำถามที่สองของกรณีแรกสามารถระบุตัวชายคนที่สามได้ เราก็ใช้คำถามที่สาม ถามชายคนที่สามเกี่ยวกับชายสองคนแรกได้ เช่น ถ้ารู้ว่าชายคนที่สามมาจากเมือง B ก็อาจจะถามเขาว่าชายคนที่สองมาจากเมือง A ใช่หรือไม่ เรารู้ว่าเขาต้องโกหก ดังนั้น คำตอบที่ถูกจะตรงข้ามกับสิ่งที่เขาบอกเสมอ   ส่วนกรณีที่สอง หลังจากถามคำถามแรกกับชายคนแรกว่า เขามาจากเมือง C ใช่หรือไม่ และเขาตอบว่าไม่ แสดงว่าชายคนแรกเขาอาจจะมาจากเมือง A หรือ C ก็ได้ อีกสองคนที่เหลืออาจจะมาจากเมือง Bกับ C หรืออาจจะมาจากเมือง B กับ A เราถามคำถามที่สองด้วยคำถามเดียวกันกับชายคนที่สองว่า คุณมาจากเมือง C หรือไม่ ถ้าคำตอบคือ ใช่ แสดงว่าชายคนที่สองอาจจะมาจากเมือง B หรือ C ซึ่งในตัวมันเองก็บอกได้ว่า ชายคนที่สามต้องเป็นคนเมือง A ถ้าคำตอบคือไม่ใช่ แสดงว่าชายคนที่สองอาจจะมาจากเมือง A หรือ C ซึ่งในตัวมันเองก็บอกได้ว่า ชายคนที่สามต้องเป็นคนเมือง B คำถามที่สองจะระบุว่าชายคนที่สามมาจากเมืองใดเช่นเดียวกับกรณีแรก เมื่อเป็นเช่นนั้น เราสามารถตั้งคำถามสุดท้ายกับชายคนที่สาม เป็นคำถามเกี่ยวกับชายสองคนแรก ซึ่งคำถามควรจะมีคำตอบว่าใช่หรือไม่ใช่เท่านั้น สรุปก็คือ ทั้งสองกรณี สองคำถามแรกจะเป็นคำถามเดียวกันเพื่อระบุที่มาของชายคนที่สาม คำถามที่สามจะถามชายคนที่สามเพื่อทราบที่มาของชายคนหนึ่งคนใดในสองคนแรก เมื่อทราบที่มาของคนหนึ่งคนใดก็จะทราบที่มาของคนสุดท้ายที่เหลือ ขอบคุณครับที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 48 04:38:51 แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 48 04:33:40 แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 48 04:32:40 จากคุณ : emanuelle - [ 21 มี.ค. 48 04:28:42 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขออภัยคุณ emanuelle ครับที่ทำให้นอนไม่หลับ วิธีของคุณเข้าท่าน่าสนใจครับ ทำตามความเห็นที่ 14 สามารถหาคำตอบได้ด้วย 4 คำถาม เข้าใจง่าย แต่ตามความเห็นที่ 16 ถ้าเป็นกรณีแรก คนแรกตอบใช่ คนที่สองตอบไม่ใช่ อันนี้เราไม่สามารถสรุปได้ว่าคนที่สามต้องมาจากเมือง B นะครับ คนแรกอาจมาจาก B ก็ได้ มี hint มาให้ครับ: ให้ใช้คำถามแรกเพื่อหาคนที่"แน่นอน" คือพูดจริงหรือไม่ก็เท็จอย่างเดียวให้ได้ สองคำถามที่เหลือก็ถามเอาจากคนนี้คนเดียวก็ ขอบคุณที่ร่วมสนุกด้วยครับ : ) จากคุณ : 512 - [ 21 มี.ค. 48 07:41:57 A:64.167.150.154 X: TicketID:068427 ]

ความคิดเห็นที่ 18 จริงครับ คราวนี้ผมพลาดอย่างแรงเลยละครับ ขอลองดูอีกที จากคุณ : emanuelle - [ 21 มี.ค. 48 14:45:11 ]

ความคิดเห็นที่ 19 จริงแล้วในความเห็นที่ 14 ที่ผมทำไปอย่างนั้นก็เพราะคิดไปว่า ถ้าเราถามไปคำถามหนึ่งแล้ว ชายทั้งสามคนจะตอบพร้อมๆกันครับ จากคุณ : emanuelle - [ 21 มี.ค. 48 14:56:54 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เราหมายถึง หลักฐานที่ว่า ประตูนรกสวรรค์เป็นต้นฉบับจริงๆหรือ ถ้าจะให้ดีก็คือ ใครเป็นคนคิดด้วยยิ่งดีใหญ่ จะได้แน่ใจว่าเป็นต้นฉบับ ไม่ได้หมายถึง ไปหา เวบที่ลงเนื้อหานี้มาถ้าหาแบบนั้น เราเอาไปupload ลงเวบเองก็ได้ ไม่ต้องให้คุณไปหามาหรอก อ่านให้เคลียร์สิ อย่าทำตัวแบบนี้อีกนะทีหลัง จากคุณ : คนละประเด็น - [ 24 มี.ค. 48 17:22:53 A:161.200.146.18 X:161.200.255.162 TicketID:087056 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เอาด้วยดิครับ ถ้าเป็นผม ผมจะถาม A ว่า คุณเป็นคนโกหกหรือคนโลเลหรือไม่ ถ้า A เป็นคนจริง A จะตอบว่า ไม่ใช่ เสมอ ถ้า A เป็นคนโกหก A จะตอบว่า ใช่ เสมอ ถ้า A เป็นคนโลเล A จะตอบว่า ใช่ เสมอ ต่อไปถาม A ว่า คุณเป็นคนจริงและคนโลเลหรือไม่ ถ้า A เป็นคนจริง A จะตอบว่า ไม่ใช่ เสมอ ถ้า A เป็นคนโกหก A จะตอบว่า ใช่ เสมอ ถ้า A เป็นคนโลเล A จะตอบว่า ไม่ใช่ เสมอ สรุปว่า ถ้า A เป็นคนจริง จะตอบ ไม่ใช่ทั้งสองคำถาม ถ้า A เป็นคนโกหกจะตอบ ใช่ทั้งสองคำถาม ถ้า A เป้นคนโลเลก็จะโลเลสมชื่อ ตอบทั้งใช่ทั้งไม่ใช่ ทีนี่คำถามสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับว่า A เป็นคนประเภทไหน ถ้า A เป็นคนจริง ก็ถามว่า B ใช่คนโกหกหรือไม่ ถ้าใช่ B เป็นคนโกหก C โลเล ถ้าไม่ใช่ B โลเล C โกหก ถ้า A เป็นคนโกหก ก็ถามว่า B ใช่คนโลเลหรือไม่ ถ้าใช่ B เป็นคนจริง C โลเล ถ้าไม่ใช่ B โลเล C คนจริง ถ้า A เป็นคนโลเล ก็ถาม B ว่า A เป็นคนโลเลหรือไม่ ถ้าใช่ B เป็นคนจริง C โกหก ถ้าไม่ใช่ C เป็นคนจริง A โกหก ถูกไหมครั๊บ แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 48 03:58:09 จากคุณ : Real of Reality - [ 27 มี.ค. 48 03:41:06 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณ จขกท อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์เลยครับ การคุยกันผ่านตัวหนังสืออย่างเดียวไม่เห็นหน้าตาและน้ำเสียงทำให้คลาดเคลื่อนได้เยอะครับ ลองอ่านทวนความคิดเห็นที่ 1 แล้วจินตนาการว่าเป็นเพื่อน แล้วพูดแบบแนวแซวกันขำๆไม่ได้ซีเรียส ผมว่ามันก็ไม่มีอะไรมากนะครับ ส่วนความคิดเห็นที่ 21 ของคุณ Real of Reality ยังไม่ถูกนะครับ "ถ้าเป็นผม ผมจะถาม A ว่า คุณเป็นคนโกหกหรือคนโลเลหรือไม่ ถ้า A เป็นคนจริง A จะตอบว่า ไม่ใช่ เสมอ ถ้า A เป็นคนโกหก A จะตอบว่า ใช่ เสมอ ถ้า A เป็นคนโลเล A จะตอบว่า ใช่ เสมอ ..." ถ้า A เป็นคนโกหก A จะต้องตอบว่า ไม่ใช่ ครับ และถ้า A เป็นคนโลเล A จะตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ ก็ได้ และเป็นเช่นนี้กับทุกคำถามครับ เอาแน่นอนไม่ได้เลย แต่คำถามสุดท้ายของคุณถูกต้องแล้ว แต่อย่างที่ให้ hint ไว้ครับ เราจะไม่เลือกคนโลเลมาตอบ 2 คำถามสุดท้ายครับ จากคุณ : 512 - [ 27 มี.ค. 48 06:19:04 A:64.167.150.154 X: TicketID:068427 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ทำไมล่ะครับ ถ้า A เป้นคนโกหก A จึงตอบว่าไม่ใช่ ในเมื่อ A ต้องโกหก ดังนั้น เข้าต้องพูดว่า เขาไม่เป็นคนโกหก  และเพราะเขาโกหกเขาจึงต้องบอกว่าเขาเป็นคนโลเล เพราะถ้าเขาบอกว่าเขาไม่โลเล เขาจะเป็นคนพูดจริงทันที เขาไม่เป็นคนโกหก หรือ เขาเป็นคนโลเล สรุปได้ว่าเขาต้องตอบว่า ใช่ เสมอไม่ถูกหรือครับ ------------- และ ถ้า A เป็นคนโลเล กรณีที่ A เกิดอยากพูดจริง A จะพูดว่า เขาไม่ใช่คนโกหก หรือ เขาเป็นคนโลเล คำตอบก็คือ ใช่ เพราะจริงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ทำให้ประโยคทั้งชุดเป็นจริง หรือ A อยากโกหก A จะต้องพูดว่า เขาเป็นคนโกหกเสมอ และเขาไม่ใช่คนโลเล คำตอบที่ A จะต้องตอบ ก็คือ "ใช่" อยู่ ดีไม่ว่าเขาต้องการจะ พูดจริงหรือโกหกไม่ถูกหรือครับ และคำถามที่สอง ถาม A ว่า คุณเป็นคนจริงและคนโลเลหรือไม่ ถ้า A โลเล และอยากพูดความจริง A ก็จะบอกว่า A ไม่ใช่คนจริง และ A เป็นคนโลเล แต่ถ้าอยากจะพูดโกหก A ก็จะบอกว่า เอเป็นคนจริงและ A ไม่โลเล สรุปว่าไม่ว่าต้องการจะพูดจริงหรือโกหก คำตอบก็คือ ไม่ใช่ทั้งสิ้น เพราะ คำเชื่อม และจะต้องเป็นจริงทั้งคู่เท่านั้น ไม่ถูกหรือครับ จากคุณ : Real of Reality - [ 27 มี.ค. 48 11:28:43 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ Real of Reality ทำเอาผมสับสนอยู่พักนึงเลย ผมคิดว่าผมเข้าใจ logic ของคุณ ตามที่คุณอธิบายมานั้น คำถามที่ว่า "คุณเป็นคนโกหกหรือคนโลเลหรือไม่" ผมเห็นว่าจริงๆแล้วมันคือ 2 คำถาม 1. คุณเป็นคนโกหกหรือไม่ 2. คุณเป็นคนโลเลหรือไม่ operator "หรือ" ในคำถามนั้น คุณมา perform เองที่หลัง จุดนี้เป็นจุดสำคัญ ถ้าจะเรียกว่าเป็นคำถามเดียว นาย A ต้องเป็นคน perform operator "หรือ" ด้วยตนเอง และตอบตามจริง เท็จ หรือ มั่ว ขึ้นกับ logic ของเขาเอง ฉะนั้น ถ้า A เป้นคนโกหก หลังจากเขาคิดได้แล้วว่า เขาเป็นคนโกหก เขาไม่ใช่คนโลเล perform operator "หรือ" แล้วได้คำตอบว่า "ใช่" เลยโกหกว่า "ไม่ใช่" หรือถ้าจะโกหกทุก step และเขาตั้งใจจะโกหกว่า เขาไม่เป็นคนโกหก เขาเป็นคนโลเล พอ perform operator "หรือ" แล้วได้คำตอบว่า "ใช่" เลยโกหกอีกทีว่า "ไม่ใช่" สำหรับคนโลเล ผมขอเรียกว่าเป็นคนมั่วเลยดีกว่าครับ ไม่มี logic ใดๆทั้งสิ้น อยากตอบว่า "ใช่", "ไม่ใช่", "สามวาสองศอก", อะไรก็ได้ทั้งสิ้น :-) จากคุณ : 512 - [ 27 มี.ค. 48 17:27:28 A:64.167.150.154 X: TicketID:068427 ]

ความคิดเห็นที่ 25 - [ ฉะนั้น ถ้า A เป้นคนโกหก หลังจากเขาคิดได้แล้วว่า เขาเป็นคนโกหก เขาไม่ใช่คนโลเล perform operator "หรือ" แล้วได้คำตอบว่า "ใช่" เลยโกหกว่า "ไม่ใช่" ] - ถ้าเค้าตอบออกมาแบบนี้ มันไม่ได้หมายถึงว่า เขาไม่ใช่คนโกหก หรือ เขาไม่ใช่คนโลเลหรือ ครับ ไม่ว่า Operator NOT จะ perform ที่จุดใด จะเป็นใคร ผลสุดท้ายมันต้องไม่ต่างกันไม่ถูกหรือครับ ~(p v q) = ~p ^ ~q ดังนั้น ถ้าผมเปลี่ยนคำถามว่า เขาเป็นคนโกหกและเขาเป็นคนโลเล หรือไม่ แล้วการ perform oparator เกิดจากฝั่งคนตอบจริง ผลลัพธ์ก็คงเหมือนกัน ตามหลักการ equv. ที่ผมเขียนด้านบนถูกไหมครับ ถ้าเช่นนั้นผมจะเปลีย่นเป็น ผมจะถาม A ว่า คุณเป็นไม่ใช่คนโกหกและไม่ใช่คนโลเลหรือไม่ ถ้า A เป็นคนพูดจริงและ perform oprator จากฝั่งคนตอบดังนั้น A จะต้องคิดว่า เขาไม่ใช่คนโกหก และ เขาก็ไม่ใช่คนโลเล ดังนั้น เขาต้องตอบว่าจริงเสมอก็เหมือนเดิมดิคับ ------------------------------------------------- ถ้าเป็นแบบนั้น คนที่พูด เท็จ ไม่ว่าจะถามอะไรไปก็จะปฏิเสธว่า ไม่ใช่ เสมอ ถูกหรือเปล่าครับ ถ้าแบบนั้นก็น่าจะง่ายว่าเดิม เพราะ ไม่ว่าอะไรก็ตาม หลังผ่าน operator ที่ตัวคนถูกถามนิยามขึ้น ก็จะเป็นเท็จเสมอโดยไม่ขึ้นกับว่าจริงๆแล้วเขาเป็นอะไร? ฉะนั้น คนที่ไม่ว่าจะถามอย่างไรก็ตอบว่าไม่ คนนั้นก็คือ คน โกหก คนที่ไม่ว่าจะถามยังไงก็จริง คนนั้นก็คือ คนพูดจริง ที่เหลือก็คือ คนมั่ว ถูกไหมครับ เพราะเขานิยาม ตรรกะขึ้นมาเอง ซึ่งไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงใดๆเลย แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 48 20:54:46 จากคุณ : Real of Reality (Real of Reality) - [ 27 มี.ค. 48 20:34:53 ]

ความคิดเห็นที่ 26 "ถ้าเป็นแบบนั้น คนที่พูด เท็จ ไม่ว่าจะถามอะไรไปก็จะปฏิเสธว่า ไม่ใช่ เสมอ ถูกหรือเปล่าครับ" คนโกหกไม่ได้หมายความว่าเขาต้องพูดว่า "ไม่ใช่" เสมอ นะครับ ลองอย่างนี้ดูครับ ตั้งชื่อเมืองทั้งสามว่าเมือง x, y, z x = เมืองคนจริง y = เมืองคนโกหก z = เมืองคนมั่ว A มาจาก x B มาจาก y C มาจาก z และเอาคำถามแรกมาถาม B ว่า "B เป็นคนโกหกหรือคนโลเลหรือไม่" (การที่คุณเปลี่ยนคำถามด้วย De Morgan ~(pvq) = ~p ^ ~q ไม่ได้เปลี่ยนอะไรครับ นอกจากทำให้ทุกคนต้องเปลี่ยนคำตอบตัวเองด้วยการเติมปฏิเสธ 1 ที) ทีนี้คุณก็คิดคำตอบตามความเป็นจริง สิ่งที่ B ตอบจะตรงข้ามกับคำตอบที่คุณคิดไว้ทีแรก ถ้าเอาคำถามแรกมาถาม C ว่า "C เป็นคนโกหกหรือคนโลเลหรือไม่" หรือคุณจะลองเอาวิธีการของคุณไปทดสอบดูกับเพื่อนคุณดูก็ได้ครับ ให้เขาสมมุติตัวละครให้โดยที่คุณไม่รู้ แล้วถามเขาดูครับ อีกประเด็นคือคนมั่วอาจตอบแบบเดียวกับที่จะทำให้คุณคิดว่าเขาเป็นคนจริงก็ได้ครับ (แบบว่าบังเอิญมั่วไปตรง) จากคุณ : 512 - [ 28 มี.ค. 48 08:56:39 A:64.167.150.154 X: TicketID:068427 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ 512 ครับ ผมนั่งคิดมาหลายวันแล้ว จนปัญญาจริงๆครับ ยังไม่พบวิธีตั้งคำถามที่จะสามารถกัน C ออกไปได้เลยครับ(ผมจะเรียกชายที่มาจากแต่ละเมืองตามชื่อเมืองของพวกเขาก็แล้วกันนะครับ) ผมไม่ได้ตั้งคำถามในเชิงที่ทดสอบหาความจริงหรือความเท็จทั่วไปเหมือนอย่างเพื่อนๆท่านอื่นหรอกครับ คำถามของผมก็จะวนเวียนอยู่กับตำแหน่งและที่มาของชายคนอื่นๆ ในตอนแรก ผมคิดว่าจะถามคำถามที่ต้องการคำตอบในรูป ใช่ หรือ ไม่ใช่  แต่ในกรณีนี้ C ซึ่งพูดจริงบ้างเท็จบ้างก็จะแทรกซึมไปในทุกคำตอบที่เป็นไปได้ เพราะจริงบ้างเท็จบ้างจากจะหมายถึงว่า บางครั้งเขาพูดจริง บางครั้งเขาพูดเท็จ ตอนแรกผมจะให้ชายทั้งสามคนมายืนเรียงกันตามลำดับ โดยคนที่จะถูกถามเป็นคนแรกจะยืนอยู่ทางด้านซ้ายมือ ผมก็อาจจะถามว่า คนที่สองถัดจากท่านมาจากเมือง C ใช่หรือไม่ คำถามนี้อาจจะช่วยลดความเป็นไปได้ลงมา ไม่ให้มีหนทางที่แตกแขนงมากเกินไป แต่ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพมาพออยู่ดี เพราะ ในกรณ๊ที่ชายคนแรกตอบว่า ใช่ อาจจะหมายถึงว่า เขาอาจจะเป็นคนเมือง A และคนถัดไปคือ C และ B หรือชายคนแรกอาจจะเป็นคนเมือง B โดยที่คนถัดไปคือ AC หรือชายคนแรกอาจจะเป็น C โดยที่คนที่อยู่ถัดไปอาจจะเป็นได้ทั้ง AB หรือ BA ส่วนในกรณ๊ที่ชายคนแรกตอบว่า ไม่ใช่ อาจจะหมายถึงว่า เขาอาจจะเป็นคนเมือง A และคนถัดไปคือ B และ C หรือชายคนแรกอาจจะเป็นคนเมือง B โดยที่คนถัดไปคือ CA หรือชายคนแรกอาจจะเป็น C โดยที่คนที่อยู่ถัดไปอาจจะเป็นได้ทั้ง AB หรือ BA ก็ได้ ความเป็นไปได้จากคำถามแรก ในแต่ละคำตอบ(ใช่หรือไม่ใช่) จะมีความเป็นไปได้อยู่สี่ทาง ซึ่งจะมี C อยู่ด้วยเสมอ ซึ่งคำถามที่สองและสามก็ยังไม่เพียงพอที่จะระบุที่มาของชายแต่ละคนได้ ตอนหลังผมลองตั้งคำถามที่มีคำตอบที่มากกว่า ใช่ หรือ ไม่ไช่ ดู เช่นผมจะถามชายคนแรกว่า คนที่สองและสามมาจากเมืองใด ความเป็นไปได้ทั้งหมดอาจจะเป็น AB BA AC CA BC หรือ CB ซึ่งในกรณีเช่นนี้ผมต้องมาตีความว่า C ซึ่งพูดจริงบ้างเท็จบ้างนั้น จะหมายถึงว่า คำตอบที่ได้จากเขาอาจจะเป็นจริงทั้งหมด เท็จทั้งหมด ในบางครั้ง หรือหมายถึงว่า ในคำตอบเดียวจะมีทั้งที่เป็นจริงและเป็นเท็จ เช่น ถ้าชายคนแรกที่ผมถามเป็น C และชายที่เหลืออีกสองคนคือ A และ B ถ้าผมถาม C ว่าคนที่ถัดไปจากท่านตามลำดับมาจากเมืองใดกันบ้าง และเขาตอบว่า มาจาก AC หรือ CB ก็ย่อมแสดงว่าเขาพูดจริงบ้างเท็จบ้างใช่หรือไม่ครับ เพราะจะมีตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งที่เขาตอบถูก ส่วนอีกตำแหน่งที่เหลือเป็นเท็จ  แต่ถ้าถือว่าคำตอบของเขาเช่นนี้เป็นเท็จทั้งหมดแล้ว ทุกคำตอบที่เป็นไปได้จากชายคนแรก โอกาสที่คนตอบจะเป็น C จะมีแทรกอยู่ด้วยเสมอ ผมคงต้องขอยอมแพ้ละครับ รอฟังคำตอบจากคุณ 512 ดีกว่า เพราะที่ผ่านมาผมใช้เวลาว่างนั่งคิด แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหนเลยครับ แต่ก็ขอขอบคุณคุณ 512 มาครับที่ทำให้ผมมีอะไรไว้ทำในยามว่าง แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 48 00:06:02 แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 48 23:56:22 จากคุณ : emanuelle - [ 30 มี.ค. 48 23:49:51 ]

ความคิดเห็นที่ 28 "ตอนแรกผมจะให้ชายทั้งสามคนมายืนเรียงกันตามลำดับ โดยคนที่จะถูกถามเป็นคนแรกจะยืนอยู่ทางด้านซ้ายมือ ผมก็อาจจะถามว่า คนที่สองถัดจากท่านมาจากเมือง C ใช่หรือไม่ คำถามนี้อาจจะช่วยลดความเป็นไปได้ลงมา ไม่ให้มีหนทางที่แตกแขนงมากเกินไป แต่ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพมาพออยู่ดี เพราะ ในกรณ๊ที่ชายคนแรกตอบว่า ใช่ อาจจะหมายถึงว่า เขาอาจจะเป็นคนเมือง A และคนถัดไปคือ C และ B หรือชายคนแรกอาจจะเป็นคนเมือง B โดยที่คนถัดไปคือ AC หรือชายคนแรกอาจจะเป็น C โดยที่คนที่อยู่ถัดไปอาจจะเป็นได้ทั้ง AB หรือ BA" ใกล้เคียงแล้วครับ เราสามารถออกแบบคำถามให้ A และ B ตอบเหมือนกันได้นะครับ หลักการก็จะคล้ายกับโจทย์ตั้งต้นที่มีแค่สองเมือง หรือโจทย์ประตูนรก/สวรรค์ แต่ถ้าบังเอิญคำถามแรกเราดันไปเลือกถามนาย C ก็แสดงว่าอีกสองคนที่เหลือนั้นไม่ใช่ C แน่ๆ เลือกใครมาจากสองคนนี้เพื่อถามอีกสองคำถามที่เหลือก็ได้ (hint hint) ขอบคุณที่เล่นด้วยครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเฉลยครับ :) จากคุณ : 512 - [ 31 มี.ค. 48 15:14:12 A:67.124.253.231 X: TicketID:068427 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เฉลยครับ คำถามที่ 1 : ถามคนที่หนึ่งว่า "ถ้าถามคนที่มาจากเมืองเดียวกับคุณ ว่า คนที่สองมาจากเมืองมั่วใช่หรือไม่ เขาคนนั้นจะตอบว่าใช่ ใช่หรือไม่" ไม่ว่าคนที่หนึ่งจะเป็นคนจริงหรือคนโกหก ก็จะตอบเหมือนกัน ซึ่งถ้าคำตอบคือ "ไม่ใช่" ก็แสดงว่า คนที่สองไม่ได้มาจากเมืองมั่ว เพราะฉะนั้น เราจะเลือกคนที่สองนี่แหละมาตอบสองคำถามที่เหลือ ถ้าคำตอบคือ "ใช่" ก็แสดงว่า คนที่สองมาจากเมืองมั่ว เพราะฉะนั้น เราจะเลือกคนที่สามมาตอบสองคำถามที่เหลือ แต่ถ้าคนที่หนึ่งเป็นคนมั่วซะเอง ก็ไม่สำคัญแล้วว่าเราจะเลือกคนที่สองหรือสาม ยังไงเขาก็ไม่ใช่คนมั่ว เพราะฉะนั้นเราก็ยังคงสามารถใช้หลักการเดียวกับข้างต้นในการเลือกคนมาตอบสองคำถามที่เหลือ คำถามที่ 2 : "โลกแบน ใช่หรือไม่" อะไรก็ได้ เพื่อจะแยกว่าคนที่เลือกมาพูดจริงหรือโกหก คำถามที่ 3 : "คนที่หนึ่งมาจากเมืองมั่วใช่หรือไม่" จากคุณ : 512 - [ 1 เม.ย. 48 17:30:43 A:67.124.253.231 X: TicketID:068427 ]