ความคิดเห็นที่ 1 อืมมม น่าคิด จีน ญี่ปุ่น เขาก็อนุรักษ์นิยม ใช้ภาษาของเขาเอง พัฒนาเทคโนโลยีเอง ฯลฯ สงสัยบ้านเราอยากให้มีการเรียนรู้เทคโนโลยี จากหลาย ๆ ประเทศน่ะ เลยให้เรียนหลาย ๆ ภาษาซะ จะได้เรียนรู้จากหลาย ๆ แหล่ง ทำไมไม่ทำเอกสารวิจัย วิชาการภาษาไทย ให้คนไทย อ่านได้ง่าย ๆ มั่งหว่า เด็ก ๆ อนุบาล ประถมที่อ่านหนังสือออกอยู่แล้ว จะเรียนรู้เพื่อพัฒนาการ ต่อยอดขึ้นไปเรื่อย ๆ จากคุณ : NooM_Suphan - [ วันเถลิงศก (15) 08:37:07 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมคิดด้วยครับ.......และไม่เห็นด้วยที่ สธ. ยอมให้ ร.ร.รัฐ เช่น บดินทร์ มีชั้น ม.1  INTER เดิมดีอยู่แล้วที่ไปแยก วิทย์และศิลป์ ตอน ม.ปลาย แก้ไขเมื่อ 15 เม.ย. 48 08:38:19 จากคุณ : ค.ไทย100 - [ วันเถลิงศก (15) 08:37:50 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คิดว่าปัจจัยมันเยอะกว่านี้ แล้วคงไม่ใช่เอาสมองไปเรียนภาษาจนไม่มีพื้นที่สำหรับวิทย์หรอก แต่เป็นเพราะไม่พื้นทางทางวิทย์ที่ดีเพราะ หนังสือวิทย์ที่เป็นภาษาไทยไม่เพียงพอ แล้วก็ไม่เก่งพอที่จะอ่านจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ มั้ง จากคุณ : :) - [ วันเถลิงศก (15) 08:45:12 A:24.226.44.151 X: TicketID:080273 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หากคิดแบบนี้ ก็ยกเลิกการใช้ภาษาไทย ไปเลยดีไหม (ซึ่งก็คงไม่ได้) จากคุณ : Nash (Arnut_TU) - [ วันเถลิงศก (15) 08:45:54 ]

ความคิดเห็นที่ 5 new technologiesต่างๆมันไม่ได้เกิดมาจากคนไทย หนังสือเรียนบทความวิใจใหม่ๆมันภาษาอังกฤษทั้งนั้น ถ้านักเรียนไม่รู้ภาษาอังกฤษรออ่านหนังสือไทยก็ไม่ทันชาติอื่นๆแล้ว เราจะยังเป็นประเทศด้อยความเจริญต่อไป ลาวเขมรเวียตนามแซงหน้าเราไปแล้ว อีกหน่อยคนไทยต้องไปรับจ้างทำงานให้กับคนเวียตนามแล้ว จากคุณ : joe - [ วันเถลิงศก (15) 08:55:39 A:68.104.206.161 X: TicketID:051689 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบอกเจตนา ผมไม่ได้แนะให้เลิกเรียนภาษา เพราะมันช่วยไม่ได้แล้ว ประเทศเราเป็นผู้ตาม ไม่ได้มีอิทธิพลในโลกพอที่จะทำให้ภาษาของเราแพร่หลาย ผมแค่ชี้จุดอ่อนของเราให้เห็น สิ่งที่อยากบอก คือ เมื่อต้องเรียนภาษาต่างประเทศ เอาแค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียวก็พอ อย่าพยายามเสริมให้เด็กต้องเรียนภาษาอื่นหลายภาษา (จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส) เพาะการเรียนภาษา ต้องใช้ทรัพย์ยากรสมอง จากคุณ : กาลามะชน - [ วันเถลิงศก (15) 09:14:09 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คนละเรื่องกันนะ   ผมว่ามันอยู่ที่ตัวหลักสูตรและวิธีการสอนมากกว่า  เราต้องสอนให้เด็กคิดมากกว่านี้ จากคุณ : praphrut608 - [ วันเถลิงศก (15) 09:20:10 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขออนุญาตนะครับ ถามก่อนครับว่าทุกวันนี้เด็กยังเรียนวิทยาศาสตร์ไม่พออีกเหรอครับ ยิ่งถ้าเราอัดเนื้อหาให้เด็กมากไปกว่านี้อีก เด็กจะไหวไหมครับ ทุกวันนี้เนื้อหาก็เยอะแยะไปกว่าเมื่อก่อนมากด้วย แล้ววิชาอื่น ๆ อย่างเช่น สังคม พระพุทธศาสนา พละศึกษา สุขศึกษา งานฝีมือ ฯลฯ ล่ะครับ ไม่ยิ่งนับแล้วมากกว่าชั่วโมงภาษาอังกฤษอีกเหรอครับ ผมว่าการศึกษาในระดับประถมและมัธยมต้องให้เด็กได้รอบด้านมากที่สุด เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเด็กแต่ละคนจะต้องใช้ความรูอะไรบ้างเมื่อโตขึ้น ความรู้บางอย่างก็เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะจบไปทำอะไรก็ควรต้องรู้ บางอย่างจำเป็นเฉพาะในบางสาขา ถ้าโรงเรียนสอนแต่วิทยาศาสตร์อย่างเดียวก็คงไม่เหมาะนะครับ ยกมาจากที่คุณกาลาลมะชนเปิดประเด็นไว้ /// "ภาษาเป็นสิ่งที่ใช้ในการสื่อสาร ไม่ใช่ความรู้ที่จะเอาไปใช้สร้างความเจริญได้โดยตรง" /// มนุษย์ได้ชื่อว่าเริ่มมีความเจริญมาได้ก็ด้วยภาษาส่วนหนึ่งเลยนะครับ ต่อให้เด็กฉลาดแทบตายแต่ใช้ภาษาไม่เป็น เขียนสื่อความคิดของตนเองไม่ได้ ก็ไม่ค่อยทำประโยชน์ได้มากนักใช่ไหมครับ ถ้าจะพูดถึงว่าเราเสียเวลาเรียนภาษามากไปแทนที่จะไปทุ่มให้วิทยาศาสตร์ คงต้องหมายรวมทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพราะต่างก็เป็นภาษาเหมือนกัน ทุกวันนี้ลำพังภาษาไทยเรายังใช้ไม่ค่อยจะถูก ยังละเลยหลักภาษาจนเรียกได้ว่า ภาษาไทยเราเป็นหนึ่งในภาษาที่หละหลวมที่สุดในโลกแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าแค่จะใช้ภาษาไทยสื่อสารนั้นเราสื่อสารรู้เรื่องกันจริง ๆ รึเปล่าด้วยซ้ำนะครับ ไม่ต้องอะไร ลองไปหยิบรายงานการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขึ้นมาสักฉบับ เอาเฉพาะบทคัดย่อมาลองแปลเป็นภาษาอังกฤษดูก็ได้ จะพบว่ามีปัญหาแปลไม่ได้ เพราะคนแปลเดาไม่ออกว่าคนเขียนต้องการสื่ออะไร ถ้าไม่ให้คนแปลคุยกับคนเขียนบ่อยครั้งที่แปลออกมาผิดได้ เวลาเขียนเรามักละโน่นละนี่ ใช้กริยากับประธานไม่สอดคล้องกัน ฯลฯ ที่แปลลำบากเพราะผู้แปลยังทำความเข้าใจกับภาษาต้นทางได้ยากเลย ต้องคอยนั่งแปลไทยเป็นไทยรอบหนึ่งก่อน เห็นอย่างนี้แล้วผมยิ่งคิดว่าควรใส่ใจเรื่องการสอนภาษาให้กับเด็กมากขึ้นด้วยซ้ำครับ สำหรับการเรียนรู้เทคโนโลยี วิทยาการสมัยใหม่ เพิ่มเติมกว่าที่อยู่ในบทเรียนนั้น ผมเห็นว่าไม่น่าจะเป็นส่วนที่เราจะคอยป้อนเพิ่มในห้องเรียน เพราะสำคัญที่ว่าเด็กพร้อมที่จะรับหรือไม่ด้วย แต่ถ้าอยากส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์นี้เพิ่มเติมอีก น่าจะเป็นการดีถ้าเรามุ่งเปิดโอกาสให้เด็กที่มีความสนใจ ได้มีแหล่งศึกษาหาความรู้เสริมด้วยตัวเอง อาจมีอาจารย์คอยกำกับดูแล ให้คำแนะนำ แทนที่จะเป็นการเพิ่มชั่วโมงวิทยาศาสตร์ที่อาจจะยิ่งทำให้เด็กเบื่อและเอียนกับการศึกษาไปเลยก็ได้ เช้าก็วิทยาศาสตร์ บ่ายก็วิทยาศาสตร์ เรียนวิทยาศาสตร์ทั้งสัปดาห์ เบื่อตายครับ ถึงจะเด็กวิทย์ก็เถอะ สุดท้ายอยากเรียนว่าผมเองก็ไม่เห็นด้วยที่เราจะต้องบังคับให้เด็กเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนมากมาย เราไม่ใช่เมืองขึ้นใคร เรามีภาษาของเราเอง ภาษาอังกฤษไม่ควรเป็นวิชาบังคับในหลักสูตรด้วยประการทั้งปวง หากเป็นวิชาเลือกได้ก็จะดี โดยให้เด็กมีทางเลือกอื่นด้วย อาจเป็นภาษาต่างประเทศอื่น ๆ หรือเลือกเรียนวิชาสายอื่นที่ไม่ใช่ภาษาต่างประเทศแทนก็ได้ อย่างนั้นน่าจะดีกว่านะครับ มันคงเป็นไปได้ยากอยู่ เพราะแต่ละโรงเรียนมีครูไม่พอที่จะเปิดหลักสูตรอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะครับ จากคุณ : ภูมิ - [ วันเถลิงศก (15) 10:01:52 A:61.90.10.112 X: TicketID:035419 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อีกนิดนึงครับ เรื่องที่ว่าการเรียนหลายภาษาต้องใช้สมอง แล้วมันจะมารบกวนการใช้สมองในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับตรรกะนี้เท่าไหร่ครับ เพราะเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ขึ้นกับตัวบุคคลล้วน ๆ ผมเองก็รักที่จะหาความรู้ทางนี้ ในขณะเดียวกันก็สนุกกับการเรียนภาษาต่างประเทศเช่นกันครับ (แต่มีข้อจำกัดว่าจะไม่เรียนภาษาอะไรที่ต้องนั่งท่องพยัญชนะเพิ่มเติมกว่า A-Z แล้ว เพราะขี้เกียจจำ) การที่ผมให้เวลากับภาษาอังกฤษมาก ๆ แถมยังเลือกเรียนฝรั่งเศสด้วยตอน ม.ปลาย ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาวิทยาศาสตร์แต่อย่างใดเลย อาจเพราะมันใช้สมองคนละซีกอยู่แล้วมั้งครับ ผมก็ไม่ทราบ ของแบบนี้อาจอยู่ที่เจตคติส่วนตัวของผู้เรียนเป็นหลัก ถ้ามีใจใฝ่รู้ ไม่ว่าในเรื่องใดก็ศึกษาได้หมด ในขณะที่ถ้าไม่มีใจใฝ่รู้ ต่อให้เรียนแค่วิชาเดียวก็ไม่มีวันเป็นเลิศได้ ซึ่งถ้ามีอะไรที่ช่วยตรงนี้ได้ก็คงไม่พ้น บทเรียนที่น่าสนใจและผู้สอนที่สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดแก่ผู้เรียนได้ครับ จากคุณ : ภูมิ - [ วันเถลิงศก (15) 10:12:52 A:61.90.10.112 X: TicketID:035419 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ยังไงการเรียนภาษาต่างประเทศก็จำเป็นครับ ต่อไปถ้าเกิดเป็นนักวิทยาศาสตร์แล้วต้องไปทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติล่ะครับ จากคุณ : Skalidis - [ วันเถลิงศก (15) 11:40:19 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เป็นเพราะตำราวิชาการส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษรึเปล่าค่ะ ประถมมัธยมเรียนตำราไทย แต่อุดมศึกษาเริ่มจะมีหนังสือต่างประเทศ แล้วยิ่งโทหรือเอกยิ่งมีแต่ตำรานอก(ค่อนข้างมาก) การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศก็น่าจะจำเป็นนะค่ะ คิดว่าคงไม่ได้ทำให้เปลืองพท.สมองเท่าไรนักอ้ะค่ะ จากคุณ : dairygirl - [ วันเถลิงศก (15) 12:03:03 ]

ความคิดเห็นที่ 12 สมัยผมเรียนวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ผมเกลียดภาษาอังกฤษที่สุด เพราะจำศัพท์ไม่ค่อยได้ แต่ตอนทำงาน ผมรักภาษานี้มากขึ้น เพราะต้องใช้ในการค้นคว้า ความรู้ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับงาน - ภาษาไม่ดีก็เป็นอุปสรรคในการเรียนแนวนี้มากครับ มันเป็น tools น่ะครับ - การเรียนภาษาอื่นนอกเหนือจากนี้ ก็ให้สายศิลป์เขาเรียนเถอะครับ : ) แก้ไขเมื่อ 15 เม.ย. 48 13:46:57 จากคุณ : eq0 - [ วันเถลิงศก (15) 13:45:01 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เห็นด้วยว่าสำหรับเด็ก ไม่จำเป็นต้องเรียนอังกฤษมาก จริงๆถ้ามีตำราที่เป็นภาษาไทยมากขึ้น เด็กก็เข้าถึงแหล่งความรู้ได้มากขึ้น ผมว่าน่าจะเป็นข้อดี อย่างน้อยก็ทำให้เกิดความสนใจ แต่คนที่อยากจะศึกษาสูงขึ้นไป ก็คงต้องใช้ภาษาอังกฤษ จากคุณ : Duke! - [ วันเถลิงศก (15) 14:04:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ประเทศในยุโรป ส่วนมากเค้าก็มีภาษาของแต่ละประเทศนะครับ ทำไมเค้าไม่เห็นว่าภาษาอังกฤษจะเป็นอุปสรรคอะไร แล้วคนที่เก่งภาษาอังกฤษด้วย วิทยาศาสตร์ด้วยมันคืออะไรละครับ ผมว่าถ้าสนใจใฝ่รู้กันจริงๆ ไม่ยากหรอกครับ จากคุณ : firstini chemistani - [ วันเถลิงศก (15) 14:15:30 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ในธรรมชาติและชีวิตประจำวัน เราเรียนรู้อะไรหลายสิ่งหลายอย่างไปพร้อมๆ กันอยู่แล้วนะครับ ความสำคัญอยู่ที่ว่า สิ่งที่เราเรียนรู้นั้น นำไปใช้ประโยชน์ได้มากน้อยเพียงไร ทำไมคิดว่าวิทยาศาสตร์สำคัญกว่าศาสตร์ด้านอื่น จริงอยู่ว่าเทคโนโลยีช่วยพัฒนามนุษยชาติและอำนวยความสะดวก แต่องค์ประกอบของสัมคมมีมิติมากกว่านั้น ภาษาอังกฤษไม่ได้ใช้อยู่ในตำรับตำราด้านวิทยาศาสตร์เท่านั้นนะครับ  ฐานวิชาการส่วนใหญ่เกือบทุกแขนงแม้แต่ในอินเทอร์เนต ปัจจุบันตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ  ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษช่วยเปิดโลกทัศน์ได้ดีกว่า  มีความรู้อีกมากมายที่คุณไม่อาจหาได้ในภาษาไทย ทำไมเราไม่ปลูกฝังให้เด็กได้เติบโตไปในแต่ละสายการศึกษาที่เค้าถนัดหรือชอบ สามารถนำไปเลี้ยงชีพได้ในอนาคต สำหรับในเรื่องของภาษาต่างประเทศและในการศึกษา ไม่ว่าจะวิชาการด้านใดก็ตาม ผมเห็นตาม คคห.7 วิธีการและหลักสูตรการเรียนการสอนของเราต่างหาก ที่ควรปรับปรุงอย่างมาก อย่าว่าแต่เรื่องภาษาเลยครับ ต่อให้อัดชั่วโมงการเรียนหรือมีตำรับตำราทางวิทยาศาสตร์เป็นภาษาไทยให้มากกว่านี้  ผมว่าก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก นโยบายรัฐและความจริงจังจริงใจต่างหาก  ผมค่อนข้างไม่พอใจกับรัฐมนตรีสายวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมาอยู่ตลอด  ถ้าเรายังมีรัฐมนตรีที่มีความคิดทางวิทยาศาสตร์แคบๆ แบบที่ผ่านๆ มา ยากมากครับ  ถ้าเราต้องการพัฒนาทางเทคโนโลยีจริงๆ จังๆ ผมว่า ต้องเริ่มที่ตัวนายกฯ ของเราก่อนเลย ในเรื่องภาษาต่างประเทศ ผมว่าเราเรียนภาษาต่างประเทศอย่างไม่ถูกวิธี สอนกันเรียนกันร่วมสิบปีสิบสองปี ใช้งานในการสื่อสารไม่ได้  มันต้องมีอะไรบกพร่องสักอย่างแล้ว เราน่าจะกลับหลักสูตรไปเน้นเรื่องการสื่อสารให้มากกว่าไวยกรณ์ที่แน่นเปี๊ยะ  ปัจจุบันมีสื่อที่กว้างไกลเกินกว่าหนังสือให้ใช้ศึกษา ทั้งโทรทัศน์ ดีวีดี อินเทอร์เนต เคเบิลทีวี รับรองว่ามันไม่กินเวลาชีวิตเด็กคนไหนเกินกว่าธรรมชาติของเค้าหรอกครับ จะเก่งภาษาต้องใช้ครับ ไม่ใช่เรียน จากคุณ : สามวาฯ - [ วันเถลิงศก (15) 14:59:27 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตัวผมเองจบสายศิลป์ภาษาเยอรมันมาครับ ดังนั้นตอนมอปลายก็เรียนภาษาทั้งอังกฤษและเยอรมันมากกว่าวิทยาศาสตร์ เกรดวิทยาศาสตร์ได้ไม่เกินสอง แต่... ตอนมอต้นเรียนอังกฤษน้อยกว่าวิทยาศาสตร์มาก ๆ อังกฤษได้สี่ วิทยาศาสตร์ได้ 1 หรือ 2 เท่านั้นเอง คงไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่หรอกครับว่ายิ่งเรียนอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศมากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ก็น้อยลงเท่านั้น เพราะผมเห็นด้วยกับความเห็นที่ 14 ที่ว่า ในโลกใบนี้ (หรือในประเทศไทยนี้) ยังมีคนที่เก่งทั้งอังกฤษและวิทยาศาสตร์ เก่งแต่วิทยาศาสตร์ อ่อนภาษาอังกฤษ หรือ อ่อนวิทยาศาสตร์แต่เก่งอังกฤษ หรือไม่ก็...อ่อนมันทั้งคู่เลย จากคุณ : Zyxmatiques - [ วันเถลิงศก (15) 15:30:44 ]

ความคิดเห็นที่ 17 'จริงๆถ้ามีตำราที่เป็นภาษาไทยมากขึ้น เด็กก็เข้าถึงแหล่งความรู้ได้มากขึ้น' เห็นด้วยกับคุณ Duke! ค่ะ แต่เท่าที่เห็น เด็กเก่ง ๆ หลายคนไม่รออ่านตำราภาษาไทย ก็หันไปหยิบ text มานั่งอ่าน หรือไม่ก็ตำราภาษาอังกฤษที่เจาะลึกเฉพาะเรื่อง ๆ มาอ่านเลยค่ะ เด็กพวกนี้ก็เลยเก่งทั้งภาษาและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตามถ้าเด็กมีใจรักจริง ๆ น่าจะเก่งทั้งด้านภาษาและวิทยาศาสตร์ ส่วนวิธีการทำให้เด็กเก่งภาษาได้นั้นคำตอบคงเหมือนกับคุณ สามวาฯ คือใช้ท่าเดียว จะพูด จะอ่าน จะเขียน ก็ใช้มันแต่ภาษานั้นล่ะ มัวไปนั่งจำ นั่งเรียนมันไม่ได้ผลหรอก จากคุณ : invisible_TJ - [ วันเถลิงศก (15) 15:31:24 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่องพื้นที่สมอง คงไม่มากเท่าไรนัก แต่สิ่งสำคัญคือเวลาครับ พื้นฐานวิทยาศาสตร์ แนวคิด เป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องปมเพาะตอนเด็ก แต่เวลา จำนวนมาก ถูกนำไปใช้เรียนภาษา คนเราหนึ่งคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน เมื่อใช้เวลาส่วนหนึ่ง ไปกับเรียนภาษา จนมากเกินไป เวลาที่เหลือน้อยนิด ก็ ทำให้ อีกดันลดลงเป็นเรื่องปกติ คราวนี้มามองว่า ควรเรียนถึงขั้นไหน หลาย คน บอกว่า ต้องอ่านตำราต่างประเทศ (ผมโคตรจะเห็นด้วย) แต่สมัียนี้ มันเรียนไปจนเกินครับ มันเรียนจนว่า บางแห่ง แม้ จะเป็นคนไทย แต่ ต้องเขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่ม ทั้งๆ ที่ คนไทยเท่านั้น ที่อ่านกันเอง( ถ้าจะเขียน เขียนแค่ journal ก็พอ) บางคน พออ่าน เข้าใจไม่พอ เสียเวลา เกือบ สิบปี เพื่อเขียนออกมา ให้สวยงาม เพียงเพื่อ จะนำความรู้ที่วิจัยได้ เป็นเวลา ปีปี  ประเคน ให้ฝรั่งอ่าน แล้วบอกว่า ขอบใจนะ ผมลดเวลาวิจัยลงได้หนึ่งปี เพราะคุณเอามาประเคนให้ผม แม้แต่ สกว. ก็เป็นใจ  ใครเขียนตำราส่งต่างประเทศ ได้แต้มเยอะ คนเขียนตำราในประเทศ ได้แต้มน้อย แห่งความรู้ เราออกไป เกือบทุกวัน การเรียนรู้ภาษา ดี ครับ แต่ เรียนรู้ จนขนาดไหนถึงดี แต่ แย่ที่สุด เดียวนี้เริ่มมีการดูถูกกันแล้ว ด้วยซ้ำ ว่า ยี้ ภาษาของเธอ แย่จัง ถูกครับ แต่ ก็ อืมมมมมมมมมมม  ครับ จากคุณ : ช้างยิ้ม - [ วันเถลิงศก (15) 15:33:34 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อืม พึ่งนึกได้ เราเรียนไวยากรณ์เยอะเกินไป แทนที่จะเน้นการนำไปใช้กับชีวิตประจำวัน . .เช่น - ศัพท์ - การพูด สื่อความหมาย . . จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ วันเถลิงศก (15) 16:02:47 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ไม่อยากเปิดประเด็นใหม่นะครับ แต่อยากถามถึงการให้เหตุผลเรื่องการใช้สมอง ตกลงคิดว่าการใช้สมองมากๆ ทำให้สมองแย่ลง หรือกระตุ้นให้ฉลาดขึ้น การใช้ความจำเป็นการใช้สมองหรือไม่ หรือไม่ใช่  การใช้ความจำยิ่งมากยิ่งเปลืองเนื้อที่สมอง ทำให้เรียนรู้ได้น้อยลงจริงหรือ (ผมแยกเรื่องเวลาที่คุณช้างฯพูด กับเรื่องเนื้อที่สมองนะครับ -เวลาเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด) แสดงว่าการใช้ความคิดเท่านั้นที่ทำให้ฉลาดขึ้น การใช้ความจำกลับทำให้เรียนรู้ได้น้อยลง(โง่ลง) ทำไมคุณต้องใช้เวลาในการจดจำภาษาอังกฤษ ทำไมคุณไม่ต้องใช้เวลาในการจดจำภาษาไทย คุณเคยอ่านโน๊ตดนตรีไหมครับ คุณเคยพิมพ์ดีดไหมครับ นักดนตรีอ่านบรรทัดห้าเส้นเหมือนเราอ่านหนังสือ พนักงานพิมพ์ดีดพิมพ์ข้อความเร็วเท่าๆ กับหรือเร็วกว่าเราเขียนหนังสือ สมองเรา"ทุกคน"อัศจรรย์กว่านั้นครับ  ระเบียบวิธีที่จะสอนสมองให้คิดให้จำอย่างเป็นธรรมชาติต่างหากคือสิ่งที่ต้องจัดการ  และทักษะนี้สอนกันได้ครับ จากคุณ : สามวาฯ - [ วันเถลิงศก (15) 16:16:09 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอต่อประเด็น #20 ครับ บางอย่างเราทำไปโดยเราไม่รู้สึกว่าเราทำมันด้วยซ้ำครับ ทำไมเราจึงไม่ปลูกฝังการเรียนรู้ ให้คนเหมือนไม่ต้องเรียนรู้ ทำอย่างนี้ได้จะดีมากเลยครับ เรียนรู้ โดยที่ไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกว่าเรียนรู้ ไม่ใช่ต้องเรียนเพื่อเอาเกรด ไม่ใช่ต้องเรียนเพื่อเอนท์ติด ไม่ใช่ต้องเรียน เพื่อนหน้าตาของพ่อแม่ ไม่ใช่ต้องเรียน เพื่ออันดับ ไม่ใช่ต้องเรียน เพราะต้องเรียน จากคุณ : Register_AC - [ วันเถลิงศก (15) 16:32:54 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ผมว่าจริงๆ มันอยู่ที่วิธีการเรียนก็ได้ ของเราเรียนเพื่อเอาคะแนน ลอกเพื่อนก็ยอม เพื่อนก็ยอมให้ลอก ไม่งั้นโดนหาว่างก แล้วไปโหมก่อนสอบไม่กี่วัน สอบเสร็จก็ลืมหมด เด็กอเมริกันที่ผมเคยเจอจะตรงกันข้ามเลย ของเราเรียนแบบท่อง สมัยใหม่ครูให้เข้าไปหาข้อมูลในห้องสมุด แต่แทนที่จะคิด กลับลอกมาทั้งดุ้น เกือบทุกคนลอกจากหนังสือเล่มเดียวกัน เด็กก็ผิดที่ไม่คิดต่อยอด ครูก็ผิด ดูไม่ออกหรือไงกัน ปล่อยมาเรื่อยๆ ของเราพ่อแม่ปล่อยให้เรื่องการเรียนเป็นหน้าที่ของโรงเรียน มีสักกี่ครอบครัวที่นั่งกับลูกขณะทำการบ้าน พ่อแม่เองก็หนีไปดูละครน้ำเน่าลดขนาดสมองอยู่ เด็กที่ไหนจะมีสมาธิทำการบ้าน เอาไว้ลอกเพื่อนพรุ่งนี้ก็ยังทัน ส่วนละครก็เหลือเกิน เด็กๆดูแล้วจะได้อะไรบ้าง นอกจากเห็นการอิจฉา ริษยา และทำไมต้องมีเพศที่ 3 ออกมาเป็นแม่แบบ ล้างสมองเด็กได้มากมายขนาดนั้น ผมผ่านมาหลายประเทศ เพศที่ 3 ของเรามีมากและเปิดเผยที่สุดแล้ว ยังจะพยายาม recruit เด็กรุ่นใหม่ไปถึงไหนกัน (ไม่ได้รังเกียจนะครับ แต่ไม่จำเป็นต้องมีในละครมากมายขนาดนั้น) ของเราเลี้ยงลูกเป็นเทวดา ทั้งมือถือ ทั้งคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ได้ดูแลว่าลูกใช้ถูกทางหรือเปล่า หรือใช้มากน้อยขนาดไหน ตกเย็นลูกคุยโทรศัพท์ chat หรือเล่นเกมส์ แล้วเด็กจะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือเรียนหรือทำการบ้าน จากคุณ : อนาคตมืดมน - [ วันเถลิงศก (15) 18:23:41 A:203.170.135.251 X: TicketID:074894 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แล้วทำไมประเทศในยุโรป เช่น เยอรมนี, ฝรั่งเศส, สวิส หรือรัสเซีย หรือเอเชีย อย่างญี่ปุ่น เค้าก็ต้องศึกษาภาษาอังกฤษ ทำไมเค้ายังก้าวหน้าในทางวิทยาศาสตร์ได้ล่ะครับ จากคุณ : RT - [ วันเถลิงศก (15) 20:02:13 A:202.5.83.143 X: TicketID:076578 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ^ ^ ^ ญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยเหก่งอังกฤษนะครับ จากคุณ : ถั่วงอกเป็นฆาตกร - [ วันเถลิงศก (15) 20:08:25 A:61.91.117.51 X: TicketID:079681 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เห็นด้วยกับจขกท. ถ้าโลกมีภาษาเดียว ... ไทยเราก็คงจะไม่ล้าหลังต่างชาติ ไม่จำเพาะแต่วิทย์หรอก รวมไปหมดเลยทั้ง การค้า บ/ช การคลัง ทหาร ฯลฯ จากคุณ : แมวม่อน - [ วันเถลิงศก (15) 20:32:30 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอตั้งข้อสังเกตก่อนนะครับ 1. เจ้าของกระทู้คุณกาลามะชน ( คนเก่ง... ) มักชอบตั้งกระทู้ในลักษณะ ความจริงแบบต้องคิดชนิดละเอียด เช่นกระทู้นี้ " ภาษาอังกฤษ ทำให้เด็กไทยไม่เก่งวิทยาศาสตร์... " แต่ไม่ได้หมายความว่า " ภาษาอังกฤษ ไม่ดี หรือไม่จำเป็น... " ( มันคนละเรื่องกัน... ) หรือ หน้าน้ำควรใช้น้ำ(ให้ได้ประโยชน์...)ให้เต็มที่ ซึ่งดูเหมือนไม่ประหยัด แต่ไม่ใช่...( มันคนละเรื่องกัน... ) ซึ่งคงเป็นสไตล์ และคงเป็นวิธี(อุบาย)ทำให้กระทู้น่าสนใจ... 2. ช่วงนี้กระทู้แนวการศึกษาได้รับความสนใจเป็นพิเศษ...นับเป็นสัญญาณที่ดี ( ถ้าไม่ตีกันก่อน... ) 3. การจะตอบกระทู้แนวการศึกษาให้ได้ความครบถ้วนถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพ...ต้องตกผลึกความคิด หลายส่วนมากๆ...เรียกว่าตอบกระทู้หนึ่ง เท่ากับเขียนวิสัยทัศน์เรื่องการศึกษาทั้งระบบทีเดียว...( มันเกี่ยวกันไปหมด... ) 4. สุดท้ายกระทู้แนวการศึกษา สุภาพสตรีไม่ค่อยเข้ามาตอบ...( ไม่มีอะไร...คิดถึงคุณครู... ) ส่วนเนื้อหาหลักของกระทู้ ขอแสดงความคิดเห็นเพียงสั้นๆนะครับ...ภาษาอังกฤษ ทำให้เด็กไทยไม่เก่งวิทยาศาสตร์ จริงหรือไม่... การเรียนภาษาอังกฤษ ทำให้เสียโอกาสในการเรียนวิชาอื่นๆซึ่งรวมถึงวิชาวิทยาศาสตร์ด้วยจริง...ส่วนจะมีผล ทำให้วิชาอื่นๆนั้นกระทบกระเทือนหรือไม่ มากน้อยอย่างไร...คงต้องคิดกันอย่างละเอียด ตั้งแต่คนเรามีสติปัญญา มากน้อย ความถนัด (ถนัดเลข,ถนัดภาษา,ถนัดวาด,ต่อมกีฬา)ขึ้นอยู่กับทั้งพันธุกรรม และการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม จริงหรือไม่ มากน้อยอย่างไร... ถ้าจริง...สำหรับคนถนัดภาษา อาจจะกำลังตั้งกระทู้ " วิทยาศาสตร์ ทำให้เด็กไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษ... " อยู่... ซึ่งพวกมีต่อมกีฬาก็ต้องตั้ง... " วิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษ ทำให้ไทยไม่ได้ไปบอลโลก... " ซึ่งจะตอบกันจริงๆ คงจะตอบว่า ที่เรียนกันหลายอย่างนี่ไว้เป็นพื้นฐาน...รู้ว่าชอบอะไรแน่ มัธยมปลายก็จะได้เลือกสาย...ว่างั้น สรุป เสียโอกาสจริง...แต่คิดว่ามันเป็นพื้นฐาน...เพื่อที่จะมีไว้ต่อยอด...คิดว่า จากคุณ : คนต่อมเล็ก - [ วันเถลิงศก (15) 20:43:49 A:202.133.166.231 X: TicketID:095044 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่เกี่ยวเลย จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ วันเถลิงศก (15) 21:21:16 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คนยุโรป ส่วนใหญ่ต้องเรียนไม่ต่ำกว่าสามภาษา คนยุโรที่รู้จัก จะรู้ภาษาตัวเอง (ฝรั่งเศส) และอังกฤษ และเยอรมัน หรือเสปน ภาษาใดภาษาหนึ่งเสมอ นักวิทยาศาสตร์ ก็มีความรู้ด้านวรรณคดี และประวัติศาสตร์ที่ดี ปัญหาไม่น่าจะอยู่ที่ว่า ให้เรียนอะไร เท่าไร แต่มันอยู่ที่ว่า สังคมเรา มีความคิดเป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่... เอาง่ายๆ การตั้งกระทู้นี้ คุณว่า เหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์ไหมครับ ???? ถ้าตราบใดที่สังคมยังขาดความคิดแบบวิทยาศาสตร์ จะหาเด้กเก่งวิทยาศาสตร์คงยาก จากคุณ : Players - [ วันเถลิงศก (15) 21:34:00 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ... เข้ามาดู(ไม่หมด) จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ วันเถลิงศก (15) 21:58:31 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มายืนยันว่า คนญี่ปุ่น ไม่เก่งภาษาอังกฤษ มากๆ ครับ ก็รูปประโยคเขาเรียน ประธาน กรรม และ กิริยาไว้ท้ายนิครับ ตอนผมไปมา มั่วหมดเลยสามภาษา เอ้อครับ จากคุณ : ช้างยิ้ม - [ วันเถลิงศก (15) 22:03:51 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เรียนภาษาอังกฤษ ก็ช่วยวิทยาศาสตร์ได้นี่คะ ภาษาอังกฤษสามารถทำให้สื่อสารกับประเทศที่พัฒนาทางวิทย์ฯ ได้ สามารถอ่านตำราของพวกนั้นได้ จึงทำให้นำความรู้เหล่านั้นมาใช้ได้ ตอนนี้เรายังไม่พัฒนาเท่า เราก็ต้องเรียนรู้จากพวกเขาก่อน ตอนนี้ภาษาอังกฤษจึงจำเป็นค่ะ แต่คงไม่จำเป็นต้องเรียนให้ลึกซึ้งถึงแก่นอะไร แค่ให้อ่านtextเข้าใจ สื่อสารรู้เรื่องก็พอแล้ว สงสัยจริงๆ ทำไมมีแต่คนบอกว่าเรียนโรงเรียนอินเตอร์ดีกว่า เรียนนานาชาติดีกว่า อะไรๆ ก็ต้องภาษาอังกฤษหมด บางทีก็น่าเบื่อนะคะ ที่ทำไมภาษาอังกฤษถึงได้สำคัญนักหนา จากคุณ : อืมมม - [ วันเถลิงศก (15) 22:20:32 A:203.150.98.168 X: TicketID:048971 ]

ความคิดเห็นที่ 32 "แค่ให้อ่านtextเข้าใจ" แต่ผมว่ายากแล้วนะครับ (ยากในสติปัญญาผมไง)  เพราะแม้อ่านteatภาษาไทย  ก็ยังต้องคิดไตร่ตรองภาษาพอสมควร แต่กรณีนี้ก็เห็นด้วยที่ควรจะเป็น  เช่นอินเดียครับ  จึงเข้าถึงความรู้อย่างสากลอังกฤษได้ดีกว่า แต่ความเจริญก็คงมีหลายปัจจัย  ยกญี่ปุ่นมาอ้าง  ก็ถูกอีก   สรุปคือ  ตัววิทยาศาสตร์เทคโนโลยีนั่นเอง  ทำอย่างไรจึงเข้าถึง  ด้วยวิธีการใด  อ่าน(อย่างอินเดีย) หรือคิดเอง(อย่างญี่ปุ่น) ดี จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ วันเถลิงศก (15) 22:31:09 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ถ้าอยากเป็นผู้นำ ต้องคิดเองได้คะ จากคุณ : :) - [ วันเถลิงศก (15) 23:01:44 A:24.226.44.151 X: TicketID:080273 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คิดเหมือน #21 ...^^ จากคุณ : แท่งหรรษา - [ วันเถลิงศก (15) 23:15:01 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ญี่ปุ่นแปลตำราและหนังสือวิทยาการ(ของแทบทุกศาสตร์) จากทั้ง ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย และอื่นๆ ให้เป็นภาษาของเค้าหมด ถ้าถามภาษาอังกฤษกับคนญี่ปุ่นเค้าอาจสติแตก แต่ถ้าถามเนื้อหาของสาขาวิชาที่เค้าเรียน เค้าตอบได้หลายเรื่องที่ลึกและเป็นสากล ครอบคลุมทั้งเมกาและยุโรป เพราะเค้ามีโอกาสได้อ่านได้รู้มากกว่า โดยไม่มีภาษามาเป็นอุปสรรค ...ที่พูดมานี้ไม่ใช่ไม่สนับสนุนให้เรียนภาษา แต่สนับสนุนเรื่องการผลิตและแปลงาน"ด้านวิทยาการ" ทั้งหนังสือโบราณและหนังสือในกระแส ...ทางการของไทยก็มีโครงการแปลที่ว่านี้ แต่ไม่เผยแพร่เลย และไม่ต่อเนื่องด้วย น่าเสียดาย ...เรื่องนี้สมควรต้องเป็นวาระแห่งชาติเลย จะหวังพึ่งเอกชนให้ซื้อลิขสิทธิ์มาแปลมาพิมพ์ก็คงยาก เพราะเป็นเรื่องผลกำไรของชาติในระยะยาวที่อาจไม่สร้างกำไรให้ สำนักพิมพ์สักเท่าไหร่ จากคุณ : ณ อนันต์ - [ 16 เม.ย. 48 00:18:42 A:218.225.176.83 X: TicketID:041834 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เหมือนรู้สึกว่า มันอยู่ที่แนวคิดพื้นฐานที่ถูกปลูกฝังมามากกว่า น้องเราเรียนสองภาษา คลุกคลีกกับฝรั่ง เรายังรู้สึกว่ามันคิดอะไรสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ๆ ได้เร็วมาก มีพื้นฐานการแสดงออกที่ดี คิดวิเคราะห์ได้ดี อาจจะเพราะกระบวนการต่างๆ เค้าออกแบบมาให้ได้อย่างนี้มั้ง แต่ว่า ก้อาจจะมีผลเสียด้านอื่นบ้างเหมือนกัน เลยคิดว่าไม่เกี่ยวกันกับว่าเราเสียเวลากับการเรียนภาษามากเกินไป ถ้าเรียนอย่างถูกวิธี เห็นด้วยว่า ภาษามันต้องใช้ ไม่ใช่นั่งเรียน แล้วก็ควรจะเป็นภาษาอังกฤษด้วย ญี่ปุ่นไม่เก่งอังกฤษ แต่เค้าก็พยายามนะ มีทั้งสื่อโทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต เห็นเยอะแยะ ยิ่งสมองได้ใช้หลายส่วนพร้อมๆ กัน น่าจะดีนะ เช่น เล่นดนตรีด้วย เรียนวิทยาศาสตร์ด้วย แล้วก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะหาความรู้โดยใช้อังกฤษเป็น tool จากคุณ : เด็กเล็ก - [ 16 เม.ย. 48 00:45:52 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ผมว่ายังไงก็ต้องเรียนครับภาษาอังกฤษ ไอ้ภาษาอังกฤษทำให้คนไทยไม่เก่งวิทย์เนี่ยผมยอมรับเลยครับ แต่คนละมุมกับคุณเจ้าของกระทู้ ผมว่าการที่คนไทยไม่ชำนาญภาษาอังกฤษใช้ไม่คล่องทำให้เราเสียเปรียบต่างชาติ อย่างที่หลายๆคนพูดครับ พวกหนังสือ ตำราต่างๆนั้นภาษาไทยยังมีน้อยมากๆครับ ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ เราคนไทยใช้อังกฤษไม่คล่อง เด็กไทยกว่าจะอ่านเทกซ์ได้ก็ ม.ปลายขึ้นไปละ แถมอ่านได้ก็ไม่คล่องแปลออกบ้าง ไม่ออกบ้าง อ่านช้ากว่าจะจบแต่ละบทความ บางทีถึงกับหมดกำลังใจไปเลย ผมก็เจอกับตัวครับ อยากอ่านเอนไซโคปีเดียของไมโครซอฟซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ เพราะความอ่านไม่เร็วทำให้ยังไม่ไปถึงไหนเลย การที่คุณบอกว่าทุกอย่างเอาเป็นภาษาไทยให้หมดนั้นไม่ถูกนะครับ เราคนไทยต้องเรียนภาษาไทยนั้นจริงครับ แต่เราก็ต้องเปิดรับวิทยาการความรู้ที่เป็นภาษาอื่นด้วย การเรียนการสอน ภาษาอังกฤษในโรงเรียนปัจจุบันนี้ผมบอกเลยครับไม่เข้มข้นพอ ไม่มากไปอย่างที่หลายๆคนบอกแน่ๆครับ แล้วเรื่องคนญี่ปุ่นนะครับ เดี๋ยวนี้เค้าขวนขวายเรียนภาษาอังกฤษกันจะตายไปครับ เพราะเค้าก็รู้ว่ามันจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ ส่วนงานวิจัย ผมว่าเป็นภาษาอังกฤษก็ดีนิครับ เป็นสากล แล้วเวลามีคนนำไปอ้างอิงนำไปใช้ ประเทศชาติก็ได้ชื่อเสียง บางทีเจ้าของงานก็ได้ค่าลิขสิทธิ์มันไม่ดีเหรอครับที่มีคนต่อยอดงานของเรา ทำไมเราต้องหวงความรุ้ครับทีเรายังต้องการองค์ความรู้ที่เค้าพัฒนาขึ้นมาเลย แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 48 00:59:03 จากคุณ : ผมคือ (จอมมารบูรพา) - [ 16 เม.ย. 48 00:55:00 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ผมคิดว่าจริงๆมันก็ไม่แน่นอนนะ เหมือนบางคนบอกว่า เด็กดูทีวีมากๆ จะไม่ฉลาด แต่กลับกัน ถ้าหากรายการที่ดีมีสาระ หรือเป็นสารคดีละ ผมว่าเด็กก็จะฉลาดมากกว่าไม่ได้ดูนะ ทำนองเดียวกัน ผมว่าถ้าเราไม่เสียเวลาเรียนภาษาอังกฤษ เอาเวลาไปเน้นวิทยาศาสตร์ แต่ พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษไม่ได้ ผมว่าแย่กว่านะ ถ้าเทียบกับสถานะการณ์ปัจจุบัน คือผมเห็นคนพูดถึงแต่หนังสือที่แปลเป็นไทย ผมคิดว่า ถ้าคิดจะพัฒนาจริงๆนะ ต้องอ่านพวก paper แล้วละ พวกที่อยู่ในหนังสือนะมันเก่าเป็นสิบปีแล้วถึงค่อยนำไปใส่ในตำราเพราะถือว่าเป็นความรู้พื้นฐาน ถ้าต้องการทันโลกจริงๆ ก็ต้องอ่าน paper เท่านั้น และแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ถ้าอ่านไม่ได้ คุณอาจกำลังวิจัยในสิ่งที่เขาค้นพบมาเป็นสิบๆปีแล้วก็ได้ มีเรื่องจริงจะเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์จีนกลุ่มนึง เป็นนักวิทยาศาสตร์แนวหน้าของจีนเลยละ และเขาพยายามที่จะแก้สมการที่มีตัว Ei ฟังก์ัชันอยู่ในสมการให้ได้ พวกเขาใช้เวลาสิบปีจนสำเร็จครับ หลังจากนั้นเขาก็ส่งผลงานวิจัยไปตีพิมพ์ในด้านนั้น ปรากฏว่าไม่ผ่านครับ คือ สมการที่เขาพยายามแก้อยู่นะ คนอื่นเขาแก้มาเป็นสิบปีแล้วครับ (แต่แก้โดย Numerical Method นะครับ) พอดีอาจารย์ที่สอนผมเป็นคนนึงในการตรวจด้วย อาจารย์บอกว่า บทความน่าสนใจมาก "ถ้าหากว่าเป็น paper ทางด้านคณิตศาสตร์นะ" แต่ในด้านนี้ เขาต้องการเอาไปเพื่อวิเคราะห์ต่อ ซึ่ง Numerical Method ก็ทำได้อย่างดีเยี่ยมด้วย อาจารย์บอกว่าถ้าคนจีนเหล่านี้ค้นคว้าหาข้อมูลมากกว่านี้ สิบปีที่ผ่านมาพวกเขาจะพัฒนาการวิจัยของเขาไปได้อีกถึงขนาดไหนก็น่าคิดนะ อีกตัวอย่างคล้ายๆกัน ไม่ใช่คนจีน คนอเมริกันแถมเป็นโปรเฟสเซอร์ด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นสาขาไหน คือเขาพยายามแก้สมการอีกเช่นกัน พยายามหลายวิธีแล้วก็ยังแก้ไม่ได้ พอดีเขาไปสัมมนานึงแล้วไปพบกับอาจารย์ผมนะ พอคุยกันเสร็จพออาจารย์ผมดูสมการเสร็จ ก็บอกว่า เดี๋ยวกลับไปที่โรงแรมแล้วจะแก้ให้ดู สองนาทีพอ พอกลับโรงแรม อาจารย์พริ้นกราฟของคำตอบออกจาก Labtop มาให้เลย (มันเป็นเหมือนกราฟ dimensionless นะ) โปรเฟสเซอร์ท่านนั้นเห็นก็ตะลึงเลยว่าทำไ้ด้ไง อาจารย์ผมก็บอกว่าทางสาขาอาจารย์นั้นต้องใช้บ่อยๆ มีคนแก้มานานแล้วพอสมควร จะเห็นได้ว่า ถ้าเราสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดี และมีความขยันในการอ่านการวิจัยใหม่ๆ อาจทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาในสิ่งที่ไม่ควรเสียครับ ยิ่งตอนนี้ การค้นพบใหม่ๆมากมาย ไม่มีใครรู้ไปหมดหรอกครับ ต้องอ่านเยอะๆ อย่างเดียว ดังนั้น ถ้าอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก คิดว่ายากมากๆครับ นอกเสียจากว่าคุณกำลังวิจัยในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่คุณจะรู้ได้ยังไงว่ายังไม่มีใครทำมาก่อนนะถ้าไม่อ่าน paper ภาษาอังกฤษ จากคุณ : ไทเกอร์อู๊ด - [ 16 เม.ย. 48 06:48:29 A:69.162.29.66 X: TicketID:064569 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เออ... กระทู้นี้ดีนะครับ ด่ากันไม่รุนแรง ได้ประโยชน์มากด้วย แปลกใจที่ Mr. Fusion ตัวจริงยังไม่เข้ามาดู ^^" จากคุณ : cookiecompany - [ 16 เม.ย. 48 08:23:33 ]

ความคิดเห็นที่ 40 หลงเข้ามาเห็น จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 16 เม.ย. 48 11:57:14 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เอาแค่ฟิสิกส์ เคมี ชีวะของระดับมัธยมปลาย แค่นี้ก็สอบตกกันค่อนประเทศแล้วล่ะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษหรือไม่เลยครับ ขนาดภาษาไทยแท้ๆก็ยังแย่เลย จากคุณ : ช่างไฟ - [ 16 เม.ย. 48 20:12:26 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ก็สรุปว่า  คนเรามีภาระมากมายนั่นเอง  ทำงานที่ทำงานไม่พอ  ต้องทำงานบ้านด้วย จากคุณ : เกี่ยวไหมนี่ (สมภพ เจ้าเก่า) - [ 16 เม.ย. 48 21:36:01 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คนไทยไม่เก่งซักอย่างนั่นแหละครับ แก้ไม่ได้ในพันปีครับ จากคุณ : appendix - [ 17 เม.ย. 48 03:30:06 A:192.38.24.19 X: TicketID:090028 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ผมคิดว่า มันมีส่วนเกี่ยวข้องก็เรื่องของเวลาเรียนครับ ด้วยเหตุผลอื่นๆ แล้วไม่เห็นจะมีผลเสียนะครับ แต่เรื่องเวลาหมายถึงเวลาของเนื้อหาที่ยาวยืดแต่ไร้คุณภาพ รวมถึงวิทยาศาสตร์ด้วย ถึงมีเวลามากกว่านี้ ก็ยังเป้นเหมือนเดิมครับ จากคุณ : PNOUGHT - [ 17 เม.ย. 48 10:46:04 ]

ความคิดเห็นที่ 45 แว๊ปนึงก้มีความคิดว่า เราน่าจะเรียนง่าย ๆ ได้นะครับผ่านเว็บเนี่ย ช่วยกันทำ จากคุณ : PNOUGHT - [ 17 เม.ย. 48 11:15:01 ]

ความคิดเห็นที่ 46 อาจารย์มหาวิทยาลัยเน้นให้เด็กเขียนรายงานเป็นภาษาอังกฤษเพื่อหวังแต่คะแนนในการขอเลื่อนตำแหน่งตนเอง เป็น ผศ. รศ. หรือ ศ. บ้างหรือแต่งหนังสือบทความเป็นภาษาอังกฤษก็เพื่อหวังคะแนนซะมากกว่า (ถ้าเป็นภาษาอังกฤษจะได้คะแนนเยอะกว่ามากครับ) แต่ไม่เคยมองกลับกัน ว่างานวิจัยต่างๆ ที่ทำขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อเพิ่มความรู้ให้กับประเทศ ให้คนในประเทศไม่ใช่เหรอครับ ผมไม่เห็นด้วยกับการที่บางมหาวิทยาลัยให้เขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ เพราะถ้าพูดแบบชาวบ้านๆ แล้ว บอกได้เลยว่าคุณจะเขียนไปให้ใครอ่าน ชาวบ้านหรือเด็กๆ อยากมีความรู้จะต้องทำยังไงครับ ต้องเก่งภาษาถึงจะอ่านได้ ก็ขอฝากไว้เท่านี้ครับ จากคุณ : เพียงผ่านมาเท่านั้น - [ 17 เม.ย. 48 11:26:02 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เห็นด้วยกับชื่อกระทู้ค่ะ แต่ไม่เห็นด้วยกับเหตุผล เด็กไทย (ส่วนใหญ่) ไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษ ทำให้การศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ทำได้ในวงแคบๆ ดังที่หลายคนกล่าวมาแล้ว ว่าความรู้ต่างๆส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษ ทำไม ไม่แปลเอกสารวิชาการต่างๆเป็นภาษาไทย เดาว่า อาจารย์ หรือผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ที่เก่งๆ เมื่อใช้ภาษาอังกฤษ มันใช้จนชินแล้ว และรู้สึกว่า ใช้ภาษาไทยแล้วไม่สื่อความหมายอย่างที่ตั้งใจ ก็เลยไม่แปล (ย้ำอีกที คิดเอาเองนะคะ) จากคุณ : dittaya - [ 17 เม.ย. 48 14:10:02 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ไม่ make sense เลย จากคุณ : ม้าหงอย - [ 17 เม.ย. 48 19:35:34 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ไม่ต้องเรียนกันเลยดีกว่ามั้ง มีแต่สอบอย่างเดียว  ความรู้ หากันเอาเอง  ดีไหม จากคุณ : NaCl - [ 18 เม.ย. 48 19:49:00 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ... เข้ามาแจ้งลบ appendix #43 จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 18 เม.ย. 48 20:02:54 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ภาษาอังกฤษ กับ วิทยาศาสตร์ อะไรยากกว่ากันครับ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 18 เม.ย. 48 21:22:06 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอถอน แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 48 10:55:59 จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 18 เม.ย. 48 22:46:14 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอถอน แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 48 10:56:26 จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 18 เม.ย. 48 22:49:22 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ผมสนับสนุนให้ทำตำราไทยครับ สำหรับเยาวชนที่ยังไม่มีพื้นฐานวิชาการ พอ . . และควรศึกษาภาษาอังกฤษด้วยเพื่อการค้นคว้า เป็น กบนอกกะลา จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 18 เม.ย. 48 22:57:59 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ ผมได้จากการอ่านตาม web/ebook ต่างๆ ซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษ ถ้าผมอ่านไม่ออก  ผมคงไม่มีงานทำ จากคุณ : ยัยปุย - [ 19 เม.ย. 48 08:10:24 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ถ้าญี่ปุ่นไม่ผลิตหม้อหุงข้าว คนไทยที่กินข้าวเป็นหลักก็จะหุงใส่หม้อแบบเดิมๆ พื้นฐานคนไทยชอบอะไรง่ายๆใช้ได้ครอบจักรวาล อย่าง ถุงร้อนกับหนังสติ๊ก ผ้าขาวม้า แปรงขัดส้วมเอามาล้างกะทะ ... แต่อนาคตเด็กรุ่นใหม่ๆจะทำให้ทุกอย่างค่อยๆเปลี่ยนไป จากคุณ : Dr.slump - [ 19 เม.ย. 48 21:49:20 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ทำไมไม่ช่วยกันให้ "ภาษาไทย" กลายมาเป็นภาษาสากลกันล่ะครับ จะได้ไม่ต้องเรียนภาษา อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส จากคุณ : เด็ก ม.5 - [ 19 เม.ย. 48 22:59:20 A:61.90.33.181 X: TicketID:058992 ]

ความคิดเห็นที่ 58 หลายประเด็นจัง กระทู้เดียว จากคุณ : Elrond - [ 19 เม.ย. 48 23:19:16 ]

ความคิดเห็นที่ 59 โอ้ มาเห็น logo แล้วตกใจ กระทู้งี้ตั้งจากผู้เชี่ยวชาญเลยเหรอ ผมว่ามันคนละเรื่องเลยนะครับ.. แบบว่า มันไม่มี นัยสำคัญ เลยนะคับ ว่า เรียนภาษาอังกฤษ แล้ว จะทำให้ไม่เก่งวิทย์ จากคุณ : eJ (ซูเนโอะ) - [ 19 เม.ย. 48 23:36:35 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ผมสงสัยอะครับทำไมอมยิ้มคุณกาลามะชนถึงกลายเป็นรูปลูกบาศก์สี่เหลี่ยมไปได้ จากคุณ : ส - [ 20 เม.ย. 48 01:39:30 A:10.21.2.217 X:202.44.14.194 TicketID:077548 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ก็จริงอยู่ครับ แต่ผมกลับมองไปอีกแง่ว่า เด็กไทย ไม่จำเป็นต้องเก่งคณิต กับวิทยาศาสตร์กันทุกคน ใครเก่งถนัดวิยาศาสตร์ หรือสนใจด้านนี้ ก็สนับสนุนไป แต่ศาสตร์ทางด้านศิลปะก็สำคัญ เด็กที่ถนัดศิลปะ ถนัดดนตรี หรือกีฬา ก็ไม่ควรถูกยัดเยียดให้เรียนคณิต วิทย์ ที่หัวเขาไปไม่ได้เช่นกัน พอเราเอามาเป็นวิชาบังคับ แล้วเด้กทำได้ไม่ดี เด็กคนนั้นก็กลายเป็นคนโง่ไป ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะมีความสามารถด้านอื่นอยู่มาก แต่ที่จริงแล้ว สำหรับเรื่องเทคโนโลยี และวิทยาการ ผมก็ยังว่าภาษาอังกฤษจำเป็น เพราะมาถึงวันนี้แล้ว เทคโนโลยีเกือบทั้งหมดของโลก เกิด และถ่ายทอดมาเป็นภาษาอังกฤษ เราไม่ใช่เจ้าของเทคโนโลยี ถ้าเด็กไทยไม่รู้ภาษาอังกฤษ ก็จะไม่สามารถค้นคว้าข้อมูลที่กว้างกว่า ลึกกว่า ที่เป็นภาษาอังกฤษได้ อย่าคิดว่าประเทศยุโรปอย่างฝรั่งเศส อิตาลี่ สเปน ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ จะไม่มีปัญหานะครับ ทุกวันนี้ยังมีหลายคนที่ไม่สามารถค้นข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษได้ และต้องค้นเป็นภาษาตัวเองเท่านั้น บอกได้เลยครับว่าคนกลุ่มนี้จะมีความคิดที่แคบมาก และไม่ทันความเปลี่ยนไปของโลกจริง ๆ จากคุณ : คาเฟอีน - [ 20 เม.ย. 48 08:08:46 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ผมขอทวนประเด็นของกระทู้ อีกครั้งครับ ผมชี้สิ่งที่ผมเชื่อว่าเป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่ง คือ การเรียนภาษาต่างประเทศ(อังกฤษ) ต้องใช้เวลา ทำให้เด็กไทยมีเวลาเรียนวิชาอื่นๆน้อยลง ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมกล่าวนี้เป็น fact คิดทบทวนอีกกี่รอบ ก็ยังเห็นว่าเป็น fact และ fact ที่ผมกล่าวนี้ ไม่ได้ปฏิเสธความสำคัญของภาษาอังกฤษในโลกยุคปัจจุบัน เรามักจะติดกับดักทางความคิดว่า เราจะตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ แต่ผมเชื่อว่า มีหลายกรณี ที่สิ่งแวดล้อมบีบบังคับให้เราต้องทำในสิ่งที่เราต้อง suffer การเรียนภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องหนึ่ง ที่เด็กไทยต้อง suffer แต่ก็จำเป็นต้องเรียน เพราะเรามักจะคิดว่า เราตัดสินใจทำอะไร เพราะเราได้พิจารณาแล้วว่าสิ่งนั้นดี ดังนั้น ถ้าใครกล่าวถึงผลเสียที่เกิดจากการที่จำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษ กับดักทางความคิดอาจจะเบี่ยงเบน ทำให้เราคิดไปในทางปกป้องการการเรียนภาษาอังกฤษ แทนที่จะนึกออกว่า นั่นคือ fact กับดักทางความคิดนี้ ทำให้การศึกษาไทยมุ่งแต่จะส่งเสริมการเรียนภาษาอังกฤษ โดยไม่คิดหันไปมองถึงต้นเหตุ ที่บีบคั้นให้เราต้องเรียนภาษาอังกฤษ และไม่คิดที่จะย้อนไปแก้ไขที่ต้นเหตุ อะไร คือต้นเหตุที่บังคับให้เราต้องเรียนภาษาอังกฤษบ้าง ถ้าเราต้องเรียนเพราะ ขาดแหล่งตำราภาษาไทยที่ดี ทำไมเราไม่มุ่งมั่นสร้างตำราภาษาไทยให้ดี ถ้าเป็นเพราะเด็กไทยต้องค้นคว้าข้อมูลจาก internet ทำไมเราไม่ช่วยกันสร้าง web ความรู้ภาษาไทย แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 48 10:02:16 แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 48 09:32:00 จากคุณ : กาลามะชน - [ 20 เม.ย. 48 09:31:33 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ลองดูซิครับ ในหว้ากอนี้ เคยมีกระทู้ดีๆ มากมาย แต่ต้องตกหายไปตามกาลเวลา ผมเคยมีความคิด อยากจะชวนผู้รู้ ร่วมกันสร้างแหล่งข้อมูลใน internet เป็นภาษาไทย เหล่าผู้รู้ในสาขาต่างๆ ใครเจอข้อมูลภาษาอังกฤษอะไรดีๆ ก็ช่วยกันแปล แล้วเอามาลงไว้ จะได้เป็นแหล่งข้อมูล ให้เด็กไทยได้ศึกษาค้นคว้า อยากจะให้เป็นแหล่งค้นคว้าอันดับแรก สำหรับเด็ก เวลาจะทำรายงานส่งครู นึกอะไรไม่ออก ก็ลองมาค้นหาที่นี่ ถ้าไม่เจอ ก็อาจตั้งกระทู้ถามไว้ ผู้รู้ผ่านมาเจอคำถาม ก็จะได้ลงเพิ่มไว้ นับวันก็จะใหญ่ขึ้น สมบูรณ์มากขึ้น จนอาจจะกลายเป็นห้องสมุดวิชาการขึ้นมาจริงๆ อาจจะคล้ายกับ bloggang ที่พันทิปทำขึ้น แต่จะต้องใช้ concept อีกแบบ คือแทนที่จะเป็น ห้องส่วนตัวของบุคคล ก็ให้แยกเป็นหัวข้อเรื่องตามเนื้อหาสาระ แต่ละห้องอาจจะมีผู้ดูแลหลายคน ตามความสมัครใจ แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 48 10:09:25 แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 48 09:55:52 จากคุณ : กาลามะชน - [ 20 เม.ย. 48 09:49:50 ]

ความคิดเห็นที่ 64 อยากให้ลองดูประเทศ จีน และญี่ปุ่น สองประเทศนี้ ไม่ค่อยใส่ใจจะเรียนภาษาอังกฤษ แต่กลับพยายาม ผลักดันภาษาของเขาสู่ inter คือพยายามจะให้คนอื่นเรียน และพูดภาษาของเขาแทน เด็กของเขาจะได้เรียนสิ่งที่เป็นวิชาการได้เต็มที่ ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนภาษาของต่างชาติ จีนค่อนข้างมาแรง เพราะความที่มีคนจีนกระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลกช่วยสนับสนุน ข้อนี้ ทำให้ผมเป็นห่วงประเทศไทย เพราะถ้าจีนสร้างความสำคัญในโลกได้ในระดับหนึ่ง เด็กไทยในอนาคตอาจจะต้องเรียนรู้ทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาจีน เหมือนยุคสมัยหนึ่งที่คนในโลกที่จะ go inter  ต้องเรียนทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ทุกวันนี้มีหลายวิชาถูกตัดชั่วโมงออก เพื่อเพิ่มเวลาให้กับการเรียนภาษาอังกฤษ ถ้าเด็กไทย ต้องเรียนภาษาจีนเพิ่มด้วย อนาคต จะเป็นอย่างไร จะต้องตัดวิชาอะไรออกอีก แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 48 10:31:08 จากคุณ : กาลามะชน - [ 20 เม.ย. 48 10:25:06 ]

ความคิดเห็นที่ 65 หากคุณ ต้องการเข้าถึงข้อมูล ลึกๆ หรือรายละเอียดนั้นๆ ผมว่า ภาษาต่างชาติสำคัญมากนะครับ หากคุณเป็นภาษาอังกฤษ คุณก็เอาตัวรอดได้มากแล้ว ตัวผม เรียนสายวิทย์ ตอนอยู่ มหาวิทยาลัย เรียน ภาษา german ตอนนี้อยู่บริษัท ญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ก็ยังอยากเรียน ภาษาของเขาเลย เพราะคน ญี่ปุ่นนั้น หาคนพูดอังกฤาด้วยยากจริงๆ ผมว่า ๓ษาใหนก็เรียนเถอะครับ ถ้ามีโอกาส ไม่เปลืองสมองหรอกครับ :) จากคุณ : Luftwaffe - [ 20 เม.ย. 48 12:40:28 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เราว่า คิดตื้นไปน้า.. จากคุณ : __ - [ 20 เม.ย. 48 14:24:26 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ก็เลิกส่งอาจารย์ไปเรียนต่อเมืองนอกด้วยดีไหมครับ จะได้เลิกเขียนงานวิจัยเป็นภาษา(ขาย)ฝรั่งกันเสียที .... แว๊บบบบ (วิ่งหลบดงบาทา PhD.) จากคุณ : Rott - [ 20 เม.ย. 48 15:52:09 A:202.47.247.130 X: TicketID:045088 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ผมเชื่อครับว่าถ้าประเทศไทยสามารถแปล ทุกๆอย่างมาเป็นภาษาของเราได้ นั่นน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณเจ้าของกระทู้ แต่ในความเป็นจริง มันเป็นไปได้ค่อนข้างยากนะครับ แล้วไม่มีวันจะแปลได้หมดหรอกครับ ถึงขั้นนึงคุณก็ต้องแปลเองอยู่ดี ใครจะมาแปลทุกอย่างให้คุณได้ตลอดชีวิต หรือคุณจะค่อยไปเรียนภาษาอังกฤษตอน ทำปริญญาเอก(ตอนนั้นสมองคงรับภาษาได้ช้าแล้วครับ) ผมไม่เชื่อนะครับว่าการเรียนภาษา จะมีผลทำให้การพัฒนาความรู้ของเด็กช้าลง หายไปสี่คาบต่อสัปดาห์ (จริงๆมีวิชาอื่นที่น่าจะโดนตัดออกมากกว่าอีก) แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นเท่ากับเปิดโลกการเรียนรู้ให้กว้างขึ้นเยอะเลยนะครับ แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 48 07:29:24 จากคุณ : จอมมารบูรพา - [ 20 เม.ย. 48 19:05:39 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ภาษาอังกฤษ ทำให้เด็กไทยไม่เก่งวิทยาศาสตร์ เพราะ เด็กไทยพูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษไม่ได้ ทั้งที่เรียนกันมาตั้งแต่อนุบาล การเรียนรู้ในด้านวิทยาศาสตร์ จึงต้องใช้หนังสือที่แปลเป็นภาษาไทยแล้วเท่านั้น ซึ่งต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะได้รับการจัดเข้าหลักสูตรในห้องเรียน เนื้อหาในหนังสือจึงเป็นเนื้อหาที่เก่า การทำให้เด็กเข้าใจภาษาอังกฤษ จะทำให้เด็กสามารถเข้าใจความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์ และ ด้านอื่นๆได้มากขึ้น เพราะหนังสือภาษาอังกฤษที่มีประโยชน์ บางเล่มก็ไม่ได้จัดแปลเป็นภาษาไทย และนอกจากนั้น เด็กก็สามารถเข้าถึง ความรู้ในอินเทอร์เน็ตที่เป็นภาษาอังกฤษได้ด้วย ไม่ใช่ดูแต่คลิปวีดิโออย่างเดียว จากคุณ : หั ว มั น . - [ 20 เม.ย. 48 19:11:24 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เพื่อนป๋มคนนึงฮะ  เค้าบอกว่าเค้าไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่เค้าเก่งวิทย์มากๆ ด้วยความที่ต้องเรียน international course เค้าเลยต้องหัด แล้วก็พยายามมากขึ้น ทุกวันนี้ก็เค้าพูดภาษาอังกฤษไฟแล่บ - -''  มันไม่เห็นจะเกี่ยวว่าการเก่งวิทย์กับภาษาอังกฤษเนี่ยมันจะต้องแยกกัน ถ้ามีความพยายามก็เก่งได้ทั้งสองอย่างอ่ะแหละ ไม่มีใครเก่งมาจากท้องแม่ซะหน่อย หรือว่าคุณเกิดมาพ่อพูดไทยแม่พูดไทยแต่คุณตอบ เป็นภาษาอังกฤษได้ล่ะ ? ยิ่งเรียนวิทย์ระดับสูงๆ ภาษาอังกฤษก็ยิ่งสำคัญฮะ  เหมือนอย่างที่มีคนข้างบนพูดถึง เรื่อง paper ต่างๆ ถ้าอ่านไม่ได้ ก็ตามใครไม่ทันฮะ ชาตินี้ ต่อให้เราคิดอะไรของเราได้ แต่เราไม่สามารถจะสื่อสารให้กับคนอื่นๆ รู้เรื่องได้ (ซึ่งมัน ก็ใช้ภาษาอังกฤษเนี่ยแหละเป็นสื่อกลาง) มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร หรือว่า คุณกะว่า ขอให้คนไทยรู้เรื่องก็พอ คนชาติอื่นก็ปล่อยไปไม่รู้เรื่องก็ช่าง ? - -''  พอดีกว่า.. หลังๆ ชักหลงประเด็นไปกันใหญ่ สรุปว่า ถ้าพยายามมากพอ ใครๆ ก็เก่งทั้งสองอย่างได้ ปล. คุณ app ว่าตัวเองว่าไม่เก่งซักอย่างทำไมอ่ะคับ ? เฮ้อๆ แถวนี้ใครๆ ก็คนไทยนะฮับ จากคุณ : ลูกไหนสามรส - [ 20 เม.ย. 48 20:15:23 ]

ความคิดเห็นที่ 71 มา `เฟริมเจ้าของกระทู้อีกครั้งครับ ว่าประเด็นไม่ใช่เวลาที่เสียไป แต่เป็นเวลาที่เสียไปโดยไม่คุ้มค่า  เราใช้เวลาเรียนมากแต่กลับไม่ได้ผล แสดงว่าวิธีการเรียนการสอนต่างหากที่ต้องแก้ไข ไม่ใช่ไปโทษว่ามันแย่งเวลาไป ถ้าวิธีการมีประสิทธิภาพ เราอาจจะลดเวลาเรียนลง เพื่อไปทำอย่างอื่นหรือเรียนอย่างอื่นอย่างต้องการก็ได้ ส่วนข้อมูลเรื่องชาติจีนกับญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งฝรั่งเศส ที่ว่าชาตินิยมในภาษาและวัฒนธรรม  เห็นว่า เริ่มมีเทรนด์ที่เปลี่ยนไปในการเรียนภาษาอังกฤษ หรือภาษาที่สองและที่สาม เขาอาจจะเริ่มมองเห็นความจำเป็น หลังจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และกระแสวัฒนธรรมของโลกครับ และเป็นไปได้อย่างมากที่ในที่สุด ภาษาอังกฤษก็จะกลายเป็นภาษาโลกาภิวัตรเต็มร้อย  เราคงไม่ต้องการล้าหลังหรือทวนกระแสนี้หรอกครับ หมายเหตุ การแปลก็ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรเวลาและบุคคลอย่างมหาศาลเช่นกัน และความรู้ก็มีไม่รู้จักจบสิ้น แต่เวลาซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญยิ่ง มีอยู่อย่างจำกัดครับ แน่ใจหรือครับว่า คนอื่นๆ ไม่ได้เทรดออฟผลดีผลเสียและคิดว่าดีที่สุดแล้ว จากคุณ : สามวาฯ - [ 20 เม.ย. 48 21:25:32 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ... ทำไม #43 ไม่ถูกลบหละ คุณ อีคิวศูนย์ ขอถอนอะไรเหรอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 20 เม.ย. 48 21:29:41 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เพราะความรู้ในศาสตร์ต่างๆ มาจาก ตปท. และมักเป็นภาษาอังกฤษ จะไม่เรียนก็ไม่ได้ ในญี่ปุ่นเอง ความรู้ต่างๆมีแปลเป็นภาษาตัวเอง เลยไม่เห็นความสำคัญต่อภาษาอังกฤษมาก อย่างหนังสือด้านเหมืองแร่ดีๆ หลายๆเล่ม เป็นภาษาญี่ปุ่น คนไทย คนแปลหนังสือยังน้อย แถมแปลมาแล้วโดนถ่ายเอกสารอีกด้วย เซ็ง ตัวผมเอง ผมดูเป็นว่า ทำไม เด็กเรียนภาษาอังกฤษตั้งมากมายแต่เด็กแต่เล็ก แต่โตเป็นควายแล้วยังสื่อสารไม่ได้ จากคุณ : โลหการ4 - [ 21 เม.ย. 48 00:30:32 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ถึงความรู้ทั้งหมดในโลกนี้เป็นภาษาไทย คนไทยก็ยังจะโง่อยู่เหมือนเดิม ปํญหาจึงไม่ใช่อยู่ที่ภาษาแต่อย่างใด จากคุณ : appendix - [ 21 เม.ย. 48 03:25:07 A:192.38.24.19 X: TicketID:090028 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ให้ใครแปลให้แค่ไหน ก็ไม่เท่ากับสามารถค้นความรู้นั้นได้ด้วยตนเอง แนวคิดที่สวนทางกันก็คือ ยิ่งรู้ภาษาอังกฤษมาก ก็ยิ่งเก่งวิทยาศาสตร์มากขึ้น เพราะสามารถค้นคว้าความรู้ได้ดียิ่งขึ้น ไม่เฉพาะภาษาอังกฤษ ถ้ารู้ภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งรัสเซีย ก็น่าจะยิ่งทำให้เราเข้าถึงแหล่งความรู้ ในศาสตร์แขนงต่าง ๆ ได้มากขึ้นไปอีก เพราะภาษาคือประตูสู่ทุกสิ่ง ยกตัวอย่าง อย่างเช่นทฤษฎีของ TRIZ ถือกำเนิดที่โซเวียต เมื่อ 60 ปีที่แล้ว ในยุคสงครามเย็น ในยุคที่โซเวียตแข่งสร้างจรวดอวกาศแข่งกับสหรัฐ แต่เพิ่งจะมีคนรู้จักทฤษฎีของ TRIZ ในอเมริกาไม่ถึง 10 ปี ในยุโรป และในเอเซีย เพิ่งจะเริ่มมีคนรู้จักด้วยซ้ำไป ทั้ง ๆ ที่ประเทศก็ใกล้กันขนาดนี้ ทั้งนี้ก็เพราะอเมริกาสามารถทำลายกำแพงของภาษาได้ก่อน ก็เลยได้ความรู้นั้นไปก่อน แล้วเราก็ค่อยตามอเมริกา โดยอาศัยภาษาอังกฤษอีกที หรืออย่างกรณีความรู้จากญี่ปุ่น เราสามารถรับได้เร็ว เพราะเรามีผู้ที่รู้ภาษาญี่ปุ่นอยู่มาก ผิดกับทางยุโรป ที่ต้องรอให้ความรู้จากญี่ปุ่น อ้อมผ่านอเมริกา ให้เป็นภาษาอังกฤษซะก่อน จากคุณ : คาเฟอีน - [ 21 เม.ย. 48 06:22:18 ]

ความคิดเห็นที่ 76 I agree not. I don't know much about the other knowledge. But in medicine and computer, English is almost the lingua franca. In computer programming, though you can use any language as the comment, you can NOT use it as coding. The history moment had now passed. English was used to present the meaning and communicating of technical terminology and implicit knowledge. We can not change that past (yes we can, but we have to wait for Mr.Sompop & Websnow to finish their time machine first ). Love it or hate it, you MUST have fluent English understanding to stand at the front of nowaday knowledge of technology. Love it or hate it, in ALL "Specialist"'s International Conferences .. English is the only mean of communication between participants from different countries. จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 21 เม.ย. 48 07:55:33 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ แล้วรู้สึกคุณเจ้าของกระทู้จะเปลี่ยนประเด็นตัวเองนะคะ ตอนแรกบอกว่า เพราะการเรียนภาษาอังกฤษทำให้เปลืองพื้นที่ในสมอง แต่ตอนหลังบอกว่าทำให้เสียเวลา ขอชี้แจงประเด็นเปลืองพื้นที่สมอง -> คุณรู้มั้ยคะว่าทุกวันนี้เราใช้พื้นที่สมองกันไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของศักยภาพสมองเราจริงๆเลยค่ะ ยังเรียนรู้ได้อีกเยอะค่ะ ถ้าเป็นประเด็นเรื่องเวลา -> อย่างนี้ก็ไม่ต้องเรียนวิชาอื่นอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย พละ พุทธศาสนา สปช. ดีมั้ยคะ เพราะเสียเวลาเรียนวิทยาศาสตร์ค่ะ ทั้งๆที่เด็กๆควรจะได้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ เรียนจริยธรรมเพื่อดูแลสังคม เป็นอย่างนั้นด้วยรึเปล่าคะ เด็กไทยทุกวันนี้เสียเวลาไปกับการคุยโทรศัพท์วันๆไม่รู้กี่ชั่วโมง การแต่งตัวว่าวันนี้จะใส่สายเดี่ยวสีไหน และเรื่องไร้สาระอีก ฯลฯ มากกว่าค่ะ คงไม่ได้เพราะเสียเวลาเรียนภาษาอังกฤษหรอกค่ะ น่าจะเปลี่ยนที่วิธีคิดและวิธีการเรียนของเด็กมากกว่าค่ะ จากคุณ : ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง - [ 21 เม.ย. 48 08:24:29 A:202.149.105.20 X: TicketID:001154 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ที่กล่าวว่าใช้มนุษย์ใช้สมองไม่ถึงสิบเปอร์เซนต์ ค่อนข้างได้ยินพูดกันบ่อย อาจเป็นจริง สำหรับคนที่ค่อนข้างว่าง หรือทำงานประเภทที่ไม่ต้องใช้สมองมาก แต่ไม่ใช่ผมแน่ แต่ละวัน ผมต้องใช้พลังสมองค่อนข้างมาก กลับบ้านตอนเย็น มักจะรู้สึกสมองล้าทีเดียว   ที่กล่าวถึงเวลา และ ทรัพยากรสมอง ก็เพราะเราต้องใช้ทั้งสองอย่างในการเรียนรู้ เมื่อมีการเรียนรู้ สมองต้องประมวลความรู้ที่เรียนให้ประทับฝังลึกในสมอง ดังนั้นเราจึงต้องใช้ทั้งเวลาในการเรียน และศักยภาพในการประมวลผลของสมองคู่กัน เราไม่สามารถอัดความรู้มากๆเข้าไปในสมองได้ในเวลาอันสั้น ในแต่ละวัน เรามีขีดจำกัดในการเรียนรู้ครับ แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 48 14:00:34 จากคุณ : กาลามะชน - [ 21 เม.ย. 48 13:56:08 ]

ความคิดเห็นที่ 79 1. หัวข้อกระทู้ไม่ได้ความเลย เรื่องนี้มันไม่ใช่ฟังก์ชั่นตัวแปรเดียวซักกะน่อย 2. ปัญหาที่ว่าการเรียนภาษาอังกฤษทำให้เหลือเวลาเรียนอย่างอื่นน้อยลง ที่บอกว่าเป็น fact ตาม คคห. 62 ของ จขกท ขอยกมาอย่างนี้ "การเรียนภาษาต่างประเทศ(อังกฤษ) ต้องใช้เวลา ทำให้เด็กไทยมีเวลาเรียนวิชาอื่นๆน้อยลง ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมกล่าวนี้เป็น fact คิดทบทวนอีกกี่รอบ ก็ยังเห็นว่าเป็น fact และ fact ที่ผมกล่าวนี้ ไม่ได้ปฏิเสธความสำคัญของภาษาอังกฤษในโลกยุคปัจจุบัน " มันไม่ได้เป็น fact อย่างที่คุณคิด เป็น fact อยู่แค่ "การเรียนภาษาต่างประเทศ(อังกฤษ) ต้องใช้เวลา" เท่านั้น ที่เหลือเป็น hypothesis ทั้งนั้น 3. ถ้าตีกรอบของการเรียนอย่างแคบว่า การเรียนเกิดขึ้นเฉพาะในห้องเรียน เวลาเรียนมีจำกัดเฉพาะที่อยู่ในตารางสอนแล้ว การเพิ่มเวลาของวิชาหนึ่ง ย่อมมีผลไปลดเวลาของวิชาอื่นๆ แต่ถ้าขยายกรอบการเรียนออกมา เป็นอย่างกว้าง รวมเวลาการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง การเล่น กิจกรรม ฯลฯ เข้าไปด้วย การเพิ่มเวลาของวิชาหนึ่งอาจไม่มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ในลักษณะองค์รวม นอกจากนี้ถ้าเวลาที่ให้เพิ่มไปกับวิชาหนึ่ง สามารถได้ความรู้ที่เรียนเพิ่มจากเวลานั้น แล้วนำความรู้นั้นไปใช้ลดเวลาเรียนรู้หรือเพิ่มความกว้างไกลในการเรียนรู้ของวิชาอื่นในอนาคตได้ เวลาที่เสียเพิ่มขึ้นนี้ (ที่อาจต้องแลกกับเวลาของวิชาอื่น) ย่อมมีประโยชน์มากกว่าเวลาเรียนปกติเสียอีก แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 48 14:48:39 จากคุณ : alan the lamb - [ 21 เม.ย. 48 14:33:57 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ผมคิดว่า ผมได้บอกไปหลายรอบแล้วว่า ผมไม่ได้ต่อต้านการเรียนภาษาอังกฤษ ผมต้องการชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงว่า การเรียนภาษาอังกฤษ ต้องใช้เวลา และศักยภาพของสมอง แต่เราจำต้องเรียน เพราะสิ่งแวดล้อมบังคับ คือสภาพสังคมโลกที่ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก จุดประสงค์คือ อยากจะสะกิดให้นึกถึงความจริงว่า เรียนภาษาต้องใช้เวลา ต้องใช้ศักยภาพของสมอง ดังนั้น 1. อย่าส่งเสริมให้เรียนหลายภาษามากนัก เอาแค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียวก็น่าจะพอ ผมเป็นห่วงเรื่องภาษาจีน เพราะเห็นบางโรงเรียนยัดเยียดแบบบังคับให้เรียนเป็นวิชาเสริม 2. ย้อนไปจัดการกับต้นเหตุอย่างหนึ่ง(ไม่ใช่ทั้งหมด) ที่บีบบังคับให้เราต้องเรียนภาษาอังกฤษ คือ น่าจะช่วยกันทำแหล่งความรู้ที่เป็นภาษาไทยเพิ่มขึ้น จากคุณ : กาลามะชน - [ 21 เม.ย. 48 14:55:52 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ผมคิดว่าภาษาจีนมีประโยชน์ครับ ยังเสียดายอยู่เลยที่ สมัยเด็กๆ ไม่ได้เรียน -_-" จากคุณ : Practical x 2 - [ 21 เม.ย. 48 14:58:32 ]

ความคิดเห็นที่ 82 #79 ชั่วโมงเรียนในแต่ละวันมีจำกัด ถ้าคุณเพิ่มชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษ ชั่วโมงที่ใช้เรียนวิชาอื่นก็ต้องน้อยลง สิ่งที่ผมกล่าวจึงเป็น fact (เป็น fact ด้วยตรรกะ) อิๆ ส่วนเรื่องการเอาเวลาไปเรียนภาษาอังกฤษอาจจะมีประโยชน์มากกว่าวิชาอื่นที่ต้องลดลง เป็นความจริง ผมเห็นด้วย เพราะมันจำเป็นนี่ครับ รู้ภาษาอังกฤษได้ประโยชน์มาก ตัวผมเองก็ใช้ภาษาอังกฤษอย่างมาก ในการค้นคว้าหาความรู้จากต่างประเทศ เรื่องที่เอามาลงกระทุ้ในพันทิปนี่ ส่วนใหญ่ผมเอามาจากแหล่งภาษาอังกฤษทั้งนั้น แต่ทุกครั้งที่ลงกระทู้ จะนึกสงสารเด็กที่ไม่เก่งภาษา อยากชวนให้ช่วยกันทำแหล่งความรู้ภาษาไทยเยอะๆ #81 ผมก็ชอบ เคยคิดจะเรียน และลองหัดนิดหน่อย แต่มาหยุดตรงที่คิดว่าถ้าเรียนสองภาษา ผมคงจะคล้ายเป็ด คือไม่เก่งสักอย่าง เพราะเวลามีจำกัด น่าจะทุ่มเทเวลาให้ภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียวมากกว่า แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 48 15:32:46 แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 48 15:23:30 จากคุณ : กาลามะชน - [ 21 เม.ย. 48 15:19:57 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ลองถามกลับบ้างครับว่า... การเรียนวิทยาศาสตร์ทุกวันนี้ ใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าหรือยัง การเรียนการสอนในสิ่งที่เด็กควรรู้อย่างมีประสิทธิภาพพอหรือไม่ หรือเน้นแต่จะให้เด็กท่องจำในเรื่องที่บางครั้งอาจจะไม่ได้ประโยชน์ และการเรียนการสอนได้ฝึกให้เด็กรู้จักคิด และมีการปลูกฝังความช่างสังเกต หรือแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์มากแค่ไหน ที่สำคัญคือ ครูอาจารย์ที่สอนวิทยาศาสตร์ในระดับประถม มีความรู้ความเข้าใจในหลักวิทยาศาสตร์มากแค่ไหน โดยสรุปก็คือ อย่าเพิ่งมองว่าวิชาอื่น ๆ มาเบียดบังเวลาของวิทยาศาสตร์ แต่มองว่าการเรียนวิทยาศาสตร์ได้ใช้เวลาของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพแล้วหรือยัง จากคุณ : คาเฟอีน - [ 21 เม.ย. 48 16:43:05 ]

ความคิดเห็นที่ 84 แหมแต่วิทยาศาสตร์ใช้รากศัพท์ภาษาอังกฤษเยอะนะครับ ผมว่าถ้าจะเอาให้เด็กเก่งวิทย์จริงๆคงต้องให้ใช้ภาษาอังกฤษไปเลยแบบไม่ต้องแปลเป็นไทยคำอังกฤษคำ แล้วการเรียนควรแบ่งแยกให้ชัดเจนไม่ใช่จับฉ่ายแบบในปัจจุบัน เช่นเด้กวิทย์ก็วิทย์ไปเลยไม่ต้องเอาช่างนู่นช่างนี่เข้ามาเสริม ไม่ต้องเอาภาษาแปลกๆมายัดเยียด ไม่ต้องเอาวิชาศิลปะหรือดนตรีมาเสริมมากนัก ถ้าแยกได้ชัดเจนดังนี้การศึกษาจะช่วยให้คนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอนนี้หลายคนที่เรียกวิทย์มาแล้วทำงานสายอื่นที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ล้วนๆคงจะมีคำถามในใจ กันทุกคนว่า แล้วตูเรียนฟิสิกส์มาทำไมวะเนี่ย ใช่แล้วเพราะตอนเรียนเราไม่รู้เลยว่าเราจะเป็นอะไรหรือชอบอะไรในอนาคต ซึ่งชี้ให้เห็นถึงระบบแนะแนวการศึกษาที่ล้มเหลวครับ จากคุณ : violator - [ 21 เม.ย. 48 17:03:12 ]

ความคิดเห็นที่ 85 "ภาษาอังกฤษ ทำให้เด็กไทยไม่เก่งวิทยาศาสตร์" ผมไม่เห็นด้วย ผมว่า สาเหตุที่มีอิทธิพลมากกว่า ภาษาน่าจะมีอยู่  วัฒนธรรมไทย เป็นไง ? ศาสนา ความเชื่อ? วิทยาศาสตร์มันไม่ได้อยู่ในจิตใต้สำนึก วิธีคิด วิธีเชื่อ ของคนไทย ตั้งแต่เกิดแล้ว แล้วก็ถ่ายทอดกันทางสังคม ทีวี ในหว้ากอเองก็ยังไม่เห็นจะวิทยาศาสตร์จ๋าเลย การออกความเห็นก็ใช้ความเชื่อส่วนใหญ่ ไม่มีการอ้างอิง ตัวอย่าง การใช้สมองสิบเปอร์เซ็น?? "ได้ยินเขาว่า...." ข้อสังเกตุของช่างไฟ ก็สะกิดได้ว่า มันไม่ค่อยเกี่ยวเลย จากคุณ : HandSome-SomeWhere - [ 21 เม.ย. 48 17:31:50 ]

ความคิดเห็นที่ 86 คุณ HandSome #85 กล่าวถึงคุณช่างไฟ ที่ให้ความเห็นไว้ใน #41 ว่า >เอาแค่ฟิสิกส์ เคมี ชีวะของระดับมัธยมปลาย แค่นี้ก็สอบตกกันค่อนประเทศแล้วล่ะครับ >ไม่ได้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษหรือไม่เลยครับ ขนาดภาษาไทยแท้ๆก็ยังแย่เลย สมมตินะครับ ว่า ถ้าเด็กมัธยม ไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ แล้วเอาชั่วโมงที่เคยเรียนภาษาอังกฤษ มาเรียน ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เพิ่มขึ้น คิดว่า จำนวนนักเรียนที่สอบตกในสามวิชานี้ จะน้อยลงไหมครับ ถ้าคิดว่าจะน้อยลง ก็แสดงว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ตามหัวข้อกระทู้ แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 48 17:54:22 จากคุณ : กาลามะชน - [ 21 เม.ย. 48 17:52:29 ]

ความคิดเห็นที่ 87 รู้สึกว่าเด็กๆสมัยนี้ถูกบีบบังคับมากเกินไป จากโรงเรียน และ จากผู้ปกครอง และการไม่เก่งวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เกี่ยวกับแค่เด็กเรียนภาษามากเกินไปหรอก จากประสบการณ์ตรงนะ เราเรียน ม. 4 สายวิทย์ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน กรุงเทพ เรียน ฟิสิกส์แบบจำแบบแผนโจทย์ จำสูตร จน ม.5 โน่นแหล่ะ จนมาเจอ อาจารย์ดี ตอน ม.6 ซึ่งเนื้อหาฟิสิกส์ตอน ม.6มันเป็นเรื่องรวมๆประกอบประวัติศาสตร์ทางฟิสิกส์ (ไม่ทราบหนังสือเรียนอาจจะเปลี่ยนไปแล้ว)กับพวกแสง พวกพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า เชื่อไหมอ่ะคะ เราเรียนกะ อาจารย์ท่านนี้ ปีเดียว เหมือนได้เรียน ฟิสิกส์ ม.4-5-6 ไปพร้อมๆกัน เพราะจริงๆแล้วเรื่องมันสัมพันธ์กัน แบบว่า อาจารย์ดีมากๆ ทำการทดลองให้ดู เรื่อง ความเร็ว ความเร่ง แรง การเคลื่อนที่แนวตรง เพิ่งมา GET อ่ะ ทั้งๆที่เรียนตอน ม.4 แล้วไม่ได้เรื่องเลย จนทำให้เราเปลี่ยนแผนจากว่าเราไม่เก่งฟิสิกส์ น่าจะเรียนหมอละกัน (ชีวะพอได้) ก็ได้เปลี่ยนมาเรียน ทางวิศวกรรม อ่ะคะ จนเราเรียนจบมหาวิทยาลัย เรายังใช้วิธีการที่อาจารย์ตอนม.6 สอนเรามาเอามาสอนเด็กมหาวิทยาลัยได้อีก ขอบพระคุณ อาจารย์วิรัติ มากๆเจ้าค่ะ_/|\_ แหะๆ ส่วนเรื่องภาษาอังกฤษ มันก็สำคัญนะ ถ้าจะหาความรู้ด้วยตัวเองต่อไป เพราะยังไงๆก็ต้องอ่านText กะพวก Paper เราว่าโรงเรียนและผู้ปกครองต้องให้เด็กค้นหาตัวเอง ว่าชอบอะไร ทำอะไรได้แค่ไหนดีกว่านะคะ เราเชื่อว่า เด็กเค้าเป็นอัจฉริยะกันอยู่แล้ว ในแต่ละด้านเพียงแต่เค้าต้องค้นให้พบค่ะ จากคุณ : ๐๐๙.พสุธา - [ 21 เม.ย. 48 18:26:42 ]

ความคิดเห็นที่ 88 คุณกาลามะชนครับ อีกประเด็นที่ผมไม่เห็นด้วย คือวิธีแก้ ถ้าสมมติว่าภาษามีอิทธิพลอย่างนัยยะจริง วิธีแก้ก็ไม่น่าจะคือการแปลอังกฤษเป็นไทย ผมว่าวิธีที่เหมาะคือ สอนภาษาอังกฤษอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ (ใช้สมองน้อยเอาไปใช้จริงได้เยอะ แล้วก็ใช้เวลาน้อย) จะดีกว่า ผมว่าภาษาไทยไม่ซับซ้อนพอสำหรับโลกของวิทยาศาสตร์ ภาษาไทยอยู่กับที่ไม่เติบโตเร็วเท่าความรู้ใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์ สองจุดคือ โครงสร้างภาษา ไม่เหมาะสมกับการเขียนแต่เหมาะกับการพูดสนทนามากกว่า และ วิธีการใช้คำศัพท์ บรรยายโลก ภาษาอังกฤษ ใช้คำศัพท์เฉพาะอธิบายและจำกัดความสิ่งๆต่างในโลก แต่ภาษาไทยใช้คำพื้นฐานหลายๆคำเพื่อเป็นหนี่งคำ คำศัพท์ไทยเกิดไม่ทันความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จากคุณ : HandSome-SomeWhere - [ 21 เม.ย. 48 19:17:03 ]

ความคิดเห็นที่ 89 คุณ HandSome สังเกตว่า เด็กที่เติบโตมาจากครอบครัวที่มีคนต่างชาติเป็นสมาชิกในบ้าน มักจะพูดภาษาอังกฤษได้เอง เด็กสิงคโปร์จำนวนมาก ก็พูดจีน กับ อังกฤษ ได้เองจากสิ่งแวดล้อม ไม่ได้เรียนจากโรงเรียน ถ้ามีวิธีสอนเด็กให้รู้ภาษาอังกฤษ ด้วยสิ่งแวดล้อมได้ ก็คงจะดี <ภาษาไทยใช้คำพื้นฐานหลายๆคำเพื่อเป็นหนี่งคำ> เห็นด้วยครับ ภาษาไทยเป็นภาษาที่ บัญญัติศัพท์ใหม่ด้วยการผสมคำ เช่น คำว่า  globalization มีคำไทยบัญญัติไว้แล้วว่า โลกไร้พรมแดน ก่อนที่จะมีการบัญญัติคำว่า โลกาภิวัฒน์ แต่ผมชอบคำไทย โลกไร้พรมแดน มากกว่า เพราะเข้าใจง่าย ไม่ต้องแปล ไม่ต้องอธิบาย แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 48 20:14:39 แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 48 20:03:08 แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 48 20:00:13 จากคุณ : กาลามะชน - [ 21 เม.ย. 48 19:58:54 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ... โอ้ย.. คุยไรก้านนนน จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 21 เม.ย. 48 22:48:45 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ทักหน่อย  เงียบหมดเลยเหรอๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 22 เม.ย. 48 22:38:58 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ถ้าให้เลือกนะครับ ผมเอาเก่งภาษาอังกฤษ แต่อ่อนคณิตศาสตร์ จากคุณ : เต่าหลังอ่อน - [ 26 เม.ย. 48 10:25:44 ]

ความคิดเห็นที่ 93 เรามาแก้ปัญหาที่ต้นตอเลยไม่ดีกว่าเหรอคะ คือเราต้องปลูกฝังให้คนไทยรักการอ่านตั้งแต่เด็กจนเป็นนิสัยค่ะ จากคุณ : Cerebrum - [ 26 เม.ย. 48 11:58:49 A:203.113.57.38 X:203.151.140.114 TicketID:093497 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ไม่เห็นด้วยครับ พูดแบบไม่ต้องอิงทฤษฎี เอาแค่ประสบการณ์ล้วน ๆ นะครับ ที่เด็กไทยโดยเฉลี่ยทั้งภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์แย่ ไม่ใช่ว่าเวลาของใครไปดึงเอาเวลาของใครเลย แต่เป็นเพราะครูที่สอนในขั้นพื้นฐานส่วนใหญ่ห่วยครับ ยิ่งหลัง ๆ คุณภาพยิ่งแย่ ครูที่ไม่รักการเรียนรู้ จะไปสอนนักเรียนให้รักการเรียนรู้ และใช้เวลา+พื้นที่สมองได้อย่างคุ้มค่าอย่างไร ในเมื่อครูยังใช้ไม่เป็นเลย เอาง่าย ๆ ถ้าให้ครูวิทยาศาสตร์ระดับประถมมาอธิบายการเกิดฤดูกาลจริง ๆ โดยใช้สื่อลูกโลกกับดวงอาทิตย์ประกอบ ส่วนใหญ่สอนไม่ได้นะครับ เพราะเคยสอนแค่ ฤดูกาลเกิดจากโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ หรือให้ครูภาษาอังกฤษระดับมัธยมต้น มาแยกแยะให้เด็กเห็นความแตกต่างชัดเจน ระหว่างการใช้ present simple กับ present perfect ถึงโอกาสที่ต้องใช้จริง ๆ ในชีวิตประจำวัน จะมีครูที่อธิบายไม่ได้อย่างน้อย 70% เพราะไม่รู้จริง ส่วนใหญ่สอนแต่โครงสร้างว่่าต้องใช้แบบนี้ ๆ แล้วก็จบแล้ว ให้ไปท่องกริยา 3 ช่องมา จากคุณ : - - [ 29 เม.ย. 48 21:45:00 A:203.113.61.232 X:203.151.140.118 TicketID:045659 ]