ความคิดเห็นที่ 3
2.สู่ทฤษฎีข่ายใยชีวิต (The Web of Life) (Capra , Fritjof . The Web of Life. London : Flamingo , 1997)
จากทฤษฎีกระบวนระบบนี้ คาปร้าได้พัฒนาทฤษฎีของเขาต่อเนื่องมาหลังจากนั้นอีก10 ปี ให้มีความชัดเจน เข้าใจในด้านรูปธรรมได้มากขึ้น ด้วยการศึกษาทฤษฎีจำนวนมากในทางวิทยาศาสตร์และอื่น ๆ อาทิ แนวคิดของกลุ่มนิเวศแนวลึก(Deep Ecology) ที่เชื่อว่ามนุษย์เป็นองค์ประกอบหนึ่งในระบบความสัมพันธ์ของนิเวศ มิได้เป็นศูนย์กลางของโลก(Anthropocentric) ตามความเชื่อเดิม , ทฤษฎีกายา (Gaia Theory) ของจอห์น เลิฟล็อค ที่เชื่อว่าโลกเป็นหน่วยชีวิต มิได้เป็นเพียงวัตถุ , ทฤษฎีคณิตศาสตร์ของความซับซ้อน (The Mathematics of Complexity) , โดยเฉพาะการศึกษาทฤษฎีระบบ (Systems Theory) ในยุคคลาสสิกของลุดวิก ฟอน แบลันโทรฟี นักชีววิทยาผู้ริเริ่มความคิดว่าระบบเป็นองค์รวมและเป็น"ระบบเปิด"(Open System) ,ทฤษฏีไซเบอร์เนติคส์ (Cybernatics)ที่ค้นพบวงจรป้อนกลับ(Feedback Loops) , ทฤษฎีซานติเอโกว่าด้วยพุทธิภาวะ (The Santiago Theory of Cognition) ,ทฤษฎีไร้ระเบียบ (Chaos Theory) เป็นต้น
เมื่อรวมกับความรู้ความเข้าใจในกระบวนทัศน์ของศาสนธรรมตะวันออก คาปร้าได้สังเคราะห์แนวคิดทฤษฎีต่างๆ ดังกล่าว เป็นทฤษฎีที่เรียกว่า "ข่ายใยแห่งชีวิต" หรือ The Web of Life(1996) หรือทฤษฎีของระบบชีวิต (The Theory of Living System)
หัวใจหรือความคิดหลักของทฤษฎีใหม่ที่คาปร้านำเสนอคือ ชีวิตทั้งหลายในระดับต่าง ๆ ล้วนดำรงอยู่อย่างเป็นระบบ ในลักษณะของระบบชีวิตที่โยงใยอยู่ด้วยกันเป็นข่ายใย โดยที่ระบบนิเวศเป็นระบบที่ใหญ่และสำคัญมากที่สุด คาปร้าเชื่อว่า การเข้าถึงความจริงในระบบนิเวศ จะทำให้เข้าใจในระบบชีวิตทั้งหลายด้วย เนื่องจากเขาเชื่อว่าการจัดระบบองค์กรของระบบนิเวศ คือหลักการจัดองค์กรของระบบชีวิตทุกระบบ มนุษย์ในฐานะระบบชีวิตหนึ่งของระบบใหญ่ จึงต้องจัดแบบแผนชีวิต ระเบียบสังคมให้สอดคล้องกับแบบแผนของระบบนิเวศ ในทัศนะของคาปร้า การพูดถึงระบบนิเวศก็คือการพูดถึง"ชุมชน" (Community)
วิกฤตการณ์ทั้งหลายในสังคมมนุษย์เกิดจากกระบวนทัศน์ การจัดการ ที่ขัดแย้งกับระบบใหญ่ที่ตนเองเชื่อมโยงอยู่ ปัญหาทั้งหลายจึงไม่อาจแก้ไขหรือคลี่คลายอย่างยั่งยืนได้ หากมนุษย์ไม่ทำความเข้าใจและจัดแบบแผนของระบบมนุษย์ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นระบบชีวิตของปัจเจกบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กร สังคมโดยรวมให้สอดคล้องโยงใยกับระบบใหญ่หรือระบบนิเวศ เขาเชื่อว่าทฤษฎีข่ายใยชีวิตจะนำไปสู่ระบบคิด วิธีคิดแบบใหม่ ที่จะเปลี่ยนกระบวนทัศน์และแก้ไขวิกฤตการณ์ทั้งหลาย ตลอดจนนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้จริง คือ การคิดเชิงระบบ (Systems Thinking)ซึ่งเขาเชื่อว่าการเรียนรู้อย่างรอบรู้ในระบบนิเวศ(Ecoliteracy) จะทำเกิดการคิดอย่างเป็นระบบได้ ในทางกลับกันการเรียนรู้จากระบบชีวิต ชุมชนของตนเอง ก็เป็นหนทางที่ทำให้เกิดระบบคิดอย่างเป็นระบบได้ด้วยเช่นกัน ความเข้าใจในกฎของระบบนิเวศ (Principal of Ecology) จึงมีความสำคัญและเป็นพื้นฐานของการเข้าใจระบบชีวิตในระดับอื่น ๆ ทั้งหมด
กฎของระบบนิเวศ (Principles of Ecology) http://www.ecoliteracy.org/pages/principlesofecology.html
1. เป็นเครือข่าย (Networks) สมาชิกของระบบหรือชุมชนทั้งหมด ติดต่อเชื่อมโยงกันและกัน (Interconnected) เป็นเครือข่ายอันกว้างใหญ่ไพศาล ประณีตซับซ้อน ในลักษณะของความสัมพันธ์แห่งข่ายใยชีวิต (The Web of Life) คุณสมบัติของระบบชีวิต กำหนดจากระบบความสัมพันธ์แบบนี้
2.เป็นระบบซับซ้อน (Nested Systems) ระบบของธรรมชาติทั้งหมด มีโครงสร้างของระบบซ้อนระบบ ที่หลากหลายระดับรวมอยู่ด้วยกันอย่างเป็นบูรณาการ(integrated) หรือองค์รวมเดียว เป็นระบบย่อยอิสระที่สัมพันธ์เชื่อมโยงเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ใหญ่กว่าด้วย
3.เป็นวัฏ ( Cycles) การปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างสมาชิก เกี่ยวข้องกับการแลก เปลี่ยนแปลงพลังงาน ทรัพยากรในวงจรที่ต่อเนื่องหมุนเวียน วงจรจะผ่านกันไปมา กับวงจรที่ใหญ่กว่าในระบบนิเวศ
4.เป็นระบบเลื่อนไหล (Flows) ระบบชีวิตทั้งหมดเป็นระบบเปิด ซึ่งต้องการการหล่อเลี้ยงอย่างต่อเนื่องของพลังงาน และทรัพยากรเพื่อความอยู่รอด พลังงานแสงอาทิตย ์คือพลังธำรงชีวิตและขับเคลื่อนวงจรของนิเวศทั้งหมด
5.การพัฒนา (Development) ชีวิตมีการพัฒนาและการเรียนรู้ เพื่อวิวัฒนาการทั้งในระดับปัจเจก และในระดับวงศ์ (species) มีการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในการสร้างสรรค์และการดัดแปลงกัน และกันของของหน่วยชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่มีวิวัฒนาการร่วมกัน6. สมดุลอย่างพลวัต (Dynamic Balance) ทุกวงจรในระบบนิเวศมีวงจรป้อนกลับ (Feedback Loops) ซึ่งทำให้ระบบสามารถควบคุมและจัดการกับตนเองได้ และรักษาสภาพสมดุลอย่างเป็นพลวัต (Dynamic) จากการแกว่งไหวอย่างต่อเนื่อง
จากคุณ :
โลกันต์
- [
26 เม.ย. 48 11:35:17
A:203.113.51.73 X:203.151.140.112 TicketID:096317
]
|
|
|