ความคิดเห็นที่ 1 น่าสนใจจังค่ะคุณสมภพ...วิธีการแบบนี้ต้องทำตารางตัวอักษรเหมือนกับผีถ้วยแก้วหรือเปล่าคะ อยากรู้รายละเอียดอีกค่ะ... จากคุณ : ระนาดแก้ว - [ 25 ก.ค. 48 22:41:32 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จะรออ่านด้วยใจจดจ่อครับ จากคุณ : รวดเดียว - [ 26 ก.ค. 48 11:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทำค่ะ  แต่พิมพ์คอมเอาก็ได้  จะได้สวยๆ  หนึ่งหน้ากระดาษเอสี่  แล้วไปเคลือบเอา   พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์  ก็หาเอาในเน็ตนี้ก็ได้ครับ เวลาพิมพ์สระอิ  ก็พิมพ์ ออ่างด้วยขนาดอักษร 1 (ให้มองไม่เห็น) แล้วพิมพ์สระอีด้วยขนาดปกติ  ผมใช้ 48 งะนะ ก็คือ  ถ้าไม่เคยเล่นก็เล่น 2 คนขึ้นไปนะครับ  คือจับ 2 คนขึ้นไป  แต่ถ้าฝึกดีแล้ว  หรือเป็นเด็กเล็กๆ  จับคนเดียวก็เลื่อนครับ เลยอยากรู้ว่า  ในห้องนี้มีใครติดต่อกับวิญญาณได้อีกมั้ย  จะได้ติดต่อ  แล้วเขียนคำตอบจากคำถามเดียวกัน ใส่ซองไว้ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 26 ก.ค. 48 21:54:35 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เล่นอย่างนี้ ไม่สำเร็จประโยชน์ใดๆ หรอก ดิฉันคิดว่า ถ้าติดต่อกับวิญญาณได้ สู้ให้บุญเขา แล้วให้เขาเปลี่ยนภพภูมิได้รับความสุข และแนะธรรมะให้เขาปฏิบัติ ให้เขาถึงการสิ้นทุกข์ จะดีกว่าอีกนะ เราได้บุญด้วย เล่นแบบนี้ ... เดี๋ยวเขาก็ติดตามเรา ทำให้เราอึดอัดไม่สบาย ควบคุม ครอบงำ เราได้ง่ายๆ และทำให้เราเกิดมิจฉาทิฐิ คิดว่า เราวิเศษ สามารถติดต่อกับสิ่งลี้ลับได้ และเขาก็จะแสวงหาลาภสักการะจากเรา ทำให้เขาติดกิเลส ก่อบาป ติดบุญที่ได้รับจากพวกเราอีก ไม่ได้ทำให้เขาไปในทางที่ดีขึ้นเลยนะเนี่ย เขายังวนเวียนอยู่ในภพภูมิของเขาอยู่นั่นแล้วแหละค่ะ แหะ แหะ ขอขมา ... เข้ามาขัดจังหวะ แต่อยากจะให้สื่อสารและติดต่อกับวิญญาณในทางที่ทำให้สำเร็จประโยชน์มากกว่านี้ น่ะค่ะ ถ้าคำแนะนำของดิฉัน ระคายใจหรือขัดใจท่านใด ขอขมาด้วยค่ะ ด้วยความเคารพ : ) จากคุณ : แดดเช้า - [ 27 ก.ค. 48 00:39:06 ]

ความคิดเห็นที่ 5 แจ่มค่ะ...คุณแดดเช้า ^^ จากคุณ : ระนาดแก้ว - [ 27 ก.ค. 48 02:53:35 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ก็ราวๆนั้นหละ  แต่ผมอยากสัมภาษณ์เหมือนพิธีกรทีวี  สัมภาษณ์ชนทุกชั้นแม้แต่มหาโจรงะนะ  ซึ่งก็อาจส่งผลข้างเคียงต่อพิธีกรด้วยใช่ไหมหละ  เพราะไปถามอย่างเดียว  แต่ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเขา แต่เราก็กะจะไม่ถามอย่างเดียวนะ  มีโอกาศก็จะทำบุญอธิฐานให้ด้วย  ให้เท่านั้นนะครับ  แต่ไม่ค่อยอยากถึงขั้นเปลี่ยนแปลงภพภูมิให้เขา  ดูมันหนักๆไป  เราอาจจะยังบารมีไม่เยอะปานนั้น  เคยถามก็แต่ อยากไปเกิดหรือไม่  ก็มีแต่อยากทั้งนั้น ทีนี้เรื่องมิจณาทิฐิก็ยอมรับส่วนนึงนะครับ  ตั้งใจว่า  สัมภาษณ์ได้ข้อมูลเด็จๆ มากๆ จะเอาไปเขียนหนังสือแนวลึกลับเชียว  ขณะสัมภาษณ์จะอัดเสียงตนเองด้วย กันลืม  แล้วค่อยมาเปิดฟังทีหลัง เพื่อพิมพ์ทุกอย่างที่ถามไป  รายได้ส่วนนึงจะอุทิศให้ทุกๆตนที่เคยเรียกมาถาม ที่ว่ามานั้นคือส่วนที่ถามแบบไม่จำเป็นงะนะ  แต่ที่ถามแบบจำเป็นคือ  แถวบ้านมีปัญหา  เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เป็นต้น  ทำอย่างงี้ก็จะถามให้รู้แล้วรู้รอดได้งะนะ  ว่าเขาต้องการอะไร  แต่จะพยายามไม่แสดงตนออกนอกหน้านะ  ผมจะทำแบบแอบๆงะนะ  เพื่อหลีกเลี่ยงการอวดอุตริมนุษย์ธรรม  ไม่ให้เกิดมิจฉาทิฐิ  หรือหลีกเลี่ยงความหน้าแตกบ้างงะครับ คือผมก็ไม่ประมาทนะ  ถามเขาเสมอ  ว่าโกรธ หรือคิดอย่างไร  ที่เจอส่วนใหญ่ เขาก็คุยด้วยดีนะครับ  คือคุยแบบกันเองแบบไม่คิดอะไร  แต่เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดมากงะครับ  ถามมาตอบไปเท่านั้นงะนะ มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น  ที่เจอดุ ทำเอาขนหัวลุกไปทั้งคืน จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 27 ก.ค. 48 14:19:48 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แค่ทำสมาธิ แล้วแผ่บุญกุศลจากการเจริญภาวนาไปให้เขา ขออานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไปให้เขา นึกแสงของพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ แผ่ไปที่ตัวเขา เขาได้รับความสบาย เขาก็เปลี่ยนภพภูมิได้แล้วแหละ ทำสมาธิ ได้บุญมากกว่าทำบุญอื่นๆ อีก การเจริญเมตตาฌานแม้เพียงช่วงเวลาสูดดมของหอม ได้บุญสูงสุดเลยนะคะ นับประมาณไม่ได้ นำบุญนั้นอุทิศให้เขาซะ อย่าไปติดต่อกับเขาเหมือนเขาเป็นของวิเศษ ของแปลกเลย ... เขาก็เหมือนเรา มีจิตเหมือนเรา เพียงแต่ บุญบาปห่อหุ่มจิตเขากับเรา ให้มีเบญจขันธ์แตกต่างกันเท่านั้นเอง สัมมาสมาธิ ในพระพุทธศาสนา วิเศษสุดกว่าการทดลองวิธีอื่นๆ อีกนะ ไม่มีอะไรเทียบเท่าได้กับอภิญญาของพระพุทธศาสนาเลย จริงๆ นะ จากคุณ : แดดเช้า - [ 27 ก.ค. 48 17:29:17 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อยากลองนั่งสมาธิ ให้เกิดสมาธิจิงๆบ้าง มีวิธีไหนบ้างอ่ะคะ เคยลองแล้วแต่รุ้สึกกลัวขึ้นมาเฉยๆ มีวิธีทำให้ไม่กัวป่าวคะ จากคุณ : ผ่านมา - [ 27 ก.ค. 48 18:41:23 A:10.1.11.227 X:202.44.14.194 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ลักษณะของสัมมาสมาธิ ... 4 ประการ นิ่ง กว้าง เบา มีสติสัมปชัญญะอยู่ที่กายที่จิต (ข้อ 4 สำคัญที่สุด กันสติวิปลาสได้) วิธีฝึกกรรมฐานแบบง่ายๆ ไม่กลัว ไม่ทำให้เกิดมานะ เกิดความเบาสบาย ดำรงได้ตลอดเวลา ไม่ต้องนั่งหลับตาด้วย มีวิธีอยู่ค่ะ ถ้าปฏิบัติตามได้ อะไรๆ จะดีขึ้น จิตใจ การดำเนินชีวิต จะเปลี่ยนแปลงไป ค่ะ ถ้าคุณผ่านมา สนใจฝึกสมาธิ ลองเมลมาคุยกันสิคะ อาจจะลองคุมทางโทรศัพท์ให้ก็ได้ rung_create@yahoo.com ขอให้เจริญในธรรมนะคะ ปรารถนาสิ้นทุกข์ในชาตินี้เลยนะคะ : ) จากคุณ : แดดเช้า - [ 27 ก.ค. 48 20:10:50 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อึมม  พูดมาก็ถูกครับ  อย่าไปติดต่อกับเขาเหมือนเขาเป็นของวิเศษ ของแปลกเลย ... เขาก็เหมือนเรา มีจิตเหมือนเรา คือเท่าที่เคยคุย  พิจารณาดูแล้ว เขาก็ดูไม่มีอะไรงะครับ  เขาเองยังไม่รู้เลย  ว่าทำอย่างงี้ติดต่อกันได้ไง  คือต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้ แต่มันก็ยังสนุกอยู่งะนะ  เฮ่อๆๆๆๆๆ ได้ถามตัวตนเขา  ว่าเป็นใครมาจากไหน  แล้วสืบทีหลังว่าจริงนี่  สนุกมากเลยครับ ที่จริงตอนบวชยังแอบทำเลยครับ  แล้วผมก็สวดบท สัพพี... ให้เขาพนมมือรับ(ทั้งที่มองไม่เห็น)  แล้วถามเขาว่า  ได้รับบุญไหม  เขาก็ตอบว่า ได้ อย่างไม่ลังเลเลยงะนะ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 27 ก.ค. 48 23:47:20 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ดีใจครับ อยากให้มีคนนั่งสมาธิกันมากๆครับ เคยชวนเพื่อนสนิทให้มันหัดสวดมนต์ นั่งสมาธิ แต่มันไม่สนใจเลย ...แต่มันก็เป็นเพื่อนที่ดีมากคนนึงเลยนะครับ "การนั่งสมาธิไม่ใช่ทำเพื่อใคร แต่เพื่อตัวของคุณเอง" (ข้อความนี้จำมาจากท่านอาจารญ์ freee!!! ที่ตอบไว้ในห้องศาสนาครับ) แล้วเผื่อแผ่ให้กับผู้ตกอยู่ในทุกข์ แห่งการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ขอบคุณครับ จากคุณ : รวดเดียว - [ 28 ก.ค. 48 11:59:47 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ดีๆ สมภพ ให้บุญเขาเยอะๆ น่ะดี แล้วถ้าเราสามารถเห็นเขาได้ ก็คุยกะเขานะ ชวนคุยไปเรื่อยๆ แล้วบอกให้เขาทำสมาธิ อย่าไปเล่นสนุกกับเขาเลย วิญญาณบางคน เขามีอานุภาพมากกว่าเรา อาจจะครอบงำเราให้เพี้ยนได้ เหมือนๆ ครอบงำใครบางคนให้มีอาการบ้าๆ บอๆ น่ะ อนุโมทนาบุญนะ ... ออนไลน์แล้วไม่เจอกันสักที จากคุณ : แดดเช้า - [ 28 ก.ค. 48 13:05:11 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เชื่อไหม  ก็ในขณะครองผ้าเหลืองอยู่นั้น ผมถามเขาว่า  เข้าสิงผมได้ไหม(เจ้าพ่อตนนี้ เคยสิงชาวบ้านคนนึงประจำ คงเพราะเส้นตรงกัน) เขาก็ตอบว่าได้  ผมก็อึดอัดใจแล้วบอกว่า  ลองเข้าสิ่งหน่อยสิ  เขาก็ขึ้นมาวนเวียนแถวหน้าอกผม  แล้วลงไปตอบว่า "ยาก" แต่ก็เสียวๆเหมือนกันครับ เออ  ถามคุณแดดเช้า  ว่าคุณเคยเห็นแล้วคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยหรือเปล่าครับ  เห็นในสมาธิ  หรือเห็นด้วยตาเปล่าครับ เรื่องทำสมาธินี่  ทำได้ทุกภพภูมิเลยหรือเปล่าครับ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์  แต่เขาคงจะพิจารณากายในกายไม่ได้เหมือนเราใช่ไหมครับ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 28 ก.ค. 48 23:02:18 ]

ความคิดเห็นที่ 14 แหะ แหะ ... ไม่คุยในกระทู้ได้ป่าว .... เขินอะ แอบไปออนไลน์คุยดีกว่ามั้ง เรื่องอย่างนี้อะนะ ..... อายเทวดาฟ้าดิน : P เดี๋ยวท่านผู้รู้ที่เขาฝึกจิตมาดี มาอ่านเจอเข้า เขาจะติเตียนเอาได้ ..... เรายังฝึกได้อย่างธรรมดาๆ เท่านั้นเอง ปัญญาเท่าหางอึ่ง ยังมิอาจอวดโอ้ต่อหน้าใครๆ ค่ะ นะ ไปแอบคุยกันดีกว่า .... จากคุณ : แดดเช้า - [ 28 ก.ค. 48 23:36:08 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณแดดเช้า...คุณสมภพฯ คะ ถือว่ามาแบ่งปันประสบการณ์ให้กับ...ผู้ที่สนใจดีมั้ยคะ จากคุณ : ระนาดแก้ว - [ 29 ก.ค. 48 01:10:05 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณระนาดแก้วคะ ถึงเราคุยกันในนี้ ถ้าคุณหรือคนอื่นๆ ไม่ได้ฝึกสมาธิให้เป็นที่ประจักษ์ว่า สิ่งเหล่านี้มีจริง เห็นได้จริงๆ ก็เปล่าประโยชน์ค่ะ จะกลายเป็นว่า เราจะละเมิดต่อคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ นำคุณวิเศษทางศาสนามาแสดงโอ้อวดเพื่อให้คนศรัทธาเลื่อมใส ก่อบาปขึ้นในจิตในใจของเราเองและของผู้อื่นด้วย หากใครสักคนติเตียนปรามาสหรือกิเลสเข้าเล่นงานครอบงำเรา มิอาจจะต้านทานไหวนะคะ สติที่ดำรงอยู่กับกายกับจิต อาจจะไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับแรงกระทบ และเกิดความหวั่นไหวได้ง่ายๆ การพูดคุยเรื่องเหล่านี้ เหมือนเรายืนอยู่บนกองไฟร้อนๆ เราต้องคงที่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่กำลังของเรายังไม่เพียงพอค่ะ ดิฉันอยากจะให้คุณลองฝึกด้วยตัวเอง แล้วทำให้เห็นจริง พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติดีกว่าฟังใครๆ เล่า บางที แดดเช้าหรือคุณสมภพ อาจจะไม่ได้เห็นอะไรอย่างนั้นก็ได้ สิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่ได้เป็นจริงก็ได้ คุณจะเชื่อได้อย่างไรละคะ ในเมื่อคุณไม่ได้เห็นด้วยตัวเอง คุณก็เกิดความลังเลสงสัยอยู่นั่นแล้ว หรือเชื่ออย่างไร้การพิสูจน์ด้วยตัวเองอีกนั่นแล้ว ถ้าสนใจอยากฝึกกรรมฐาน แดดเช้าพอแนะนำได้ค่ะ .... การฝึกกรรมฐานเป็นบุญใหญ่นะคะ แล้วจะได้ความรู้อะไรมากมายกว่าการศึกษาเล่าเรียนทางโลกอีก เป็นความรู้ที่หาเรียนที่ไหนไม่ได้อีกแล้วค่ะ เรียนไม่รู้จักจบสิ้นอีกด้วย ปรารถนาความสิ้นทุกข์กันเถอะนะคะ : ) จากคุณ : แดดเช้า - [ 29 ก.ค. 48 11:23:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เคยได้ยินมาว่า พวกเทวดา เวลาจะสวดมนต์ หรือทำสมาธิ เพื่อให้ได้บุญกุศล จะต้องลงมาปฏิบัติในโลกมนุษย์ แต่ก็คงจะได้ผลไม่มากเท่ากับ มนุษย์ที่ปฏิบัติขณะกำลังมีชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยกิเลสแห่งนี้ เพราะการละกิเลสได้เป็นทางอันวิเศษ ไม่รู้จริงรึเปล่านะครับ จากคุณ : รวดเดียว - [ 29 ก.ค. 48 11:55:39 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เทวดา พรหม เป็นกายทิพย์ ปฏิบัติธรรมถึงมรรคผลได้เร็วกว่ามนุษย์อีก เพราะว่า ไม่มีภาระใดๆ ไม่มีกายเนื้อให้ต้องเป็นทุกข์มากเหมือนมนุษย์ แต่มนุษย์มีโอกาสทำความดีได้มากกว่ากายทิพย์ อยู่ในฐานะที่ทำบุญทางวัตถุได้มากกว่า แต่ในเรื่องของมรรคผลแล้ว สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าแสดงธรรม เทวดา พรหม สำเร็จมรรคผลเป็นโกฏิๆ เลยนะคะ เพราะอยู่ในสภาวะที่กำหนดทุกข์ได้ดีกว่ามนุษย์ เจริญสมาธิภาวนาได้ดีกว่ามนุษย์ แต่แสวงบุญทางวัตถุได้ไม่เท่ามนุษย์ค่ะ อันนี้ ต้องลองฝึกสมาธิแล้วถ้าได้อภิญญา ลองสังเกตอมนุษย์ดูเองเลยนะคะ จะประจักษ์ได้ดีกว่านี้ค่ะ ดิฉันไม่รู้จะกล่าวอ้างตำราใดๆ มาอธิบาย นอกจากพูดให้ฟังถึงสิ่งที่ดิฉันได้เคยพบเห็นเท่านั้นเอง ซึ่งจริงหรือไม่ คุณเองควรจะพิสูจน์ด้วยตัวเองนะคะ : ) เอหิปัสสิโก เป็นสิ่งที่ควรเชิญชวนให้ผู้อื่นเข้ามาพิสูจน์ด้วยตัวเอง จากคุณ : แดดเช้า - [ 29 ก.ค. 48 12:32:51 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขออธิบายเพิ่มเติม .... เทวดาไม่อาจจะใช้เงินซื้อวิหารถวายพระพุทธเจ้าได้ แต่พระเจ้าแผ่นดิน สามารถพระราชทานพระราชทรัพย์และเกณฑ์แรงงานมาสร้างวิหารได้ เทวดาไม่อาจจะถวายอาหารอันเลิศรสที่สัมผัสลิ้นได้ แต่มนุษย์สามารถสรรหาอาหารอันประณีตถวายพระพุทธเจ้าได้ เทวดาอาจจะถวายได้เพียงอาหารทิพย์ เท่านั้นเอง บุญที่จะสะสมได้ มนุษย์จึงอยู่ในฐานะที่จะได้รับมากกว่าเทวดา เพราะถ้าพระอรหันต์อาพาธ มนุษย์ถวายโอสถรักษากายเนื้อได้ แต่เทวดาได้เพียงแค่แผ่อานุภาพมาให้เท่านั้นเอง ไม่สามารถรักษากายธาตุได้ จึงไม่ปรากฏว่า เทวดาหรือพรหมจะมีบทบาทมากมายในพุทธกาล ยกเว้นท้าวสหัมบดีพรหม แต่มีปรากฏว่า เทพ พรหม ฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมเป็นโกฏิๆ ในขณะนี้ มนุษย์บรรลุธรรมเป็นเพียงสิบ ร้อย พัน เท่านั้นเอง อธิบายเพียงนี้ พอกระจ่างหรือยังคะว่า สภาพแห่งการเป็นมนุษย์เหมาะแก่การสร้างสะสมบุญกิริยาวัตถุได้อย่างไร .... แต่ในเรื่องของการภาวนา เทวดา จะไม่มีทุกข์เรื่องกายธาตุ การเจริญภาวนาถึงขั้นวิปัสสนา จึงเป็นไปได้ง่ายค่ะ เหมือนเด็กๆ ยังไม่มีสังคมหล่อหลอม ไม่มีสถานภาพ ไม่มีกรอบความคิด จึงสามารถบำเพ็ญเพียรทางจิตได้ดีกว่าผู้ใหญ่ที่มีเรื่องราวมากมาย ติดโน่น ติดนี่ ติดยศ ติดสุข ติดสบาย ไม่เห็นทุกข์ หวังว่าคงได้รับความกระจ่างเป็นอย่างดียิ่งนะคะ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ : ) แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 48 12:41:21 จากคุณ : แดดเช้า - [ 29 ก.ค. 48 12:38:13 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตอนนี้ อานาปานสติ ของผมก็ไม่ฟุ้งซ่านแล้วครับ จิตอยู่กับลมหายใจ แต่ก็พยายามใช้ตามองลมหายใจด้วย ช่วยๆกัน ค่อยเป็นค่อยไปครับ ถ้ามีอะไรที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้เริ่มต้นอย่างผม ขอได้ช่วยชี้ทางด้วยครับ เพราะผมก็งงกับ 2 ข้อนี้ครับ -เมื่อจิตสงบ จะรู้สึกวูบ แล้วลมหายใจก็จะหายไป ให้ครงสติอยู่อย่างนั้น -แต่ อานาปานสติ เป็นการรับรู้ลมหายใจเข้า - ออก ถ้าสงบแล้วไม่รับรู้ลมหายใจ ก็เท่ากับฝึกผิดทางรึเปล่าครับ อยากถามผู้รู้มานานแล้ว แต่ไม่กล้าถามในห้องศาสนา ขอบคุณครับ _/\_ จากคุณ : รวดเดียว - [ 29 ก.ค. 48 14:16:38 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อาการของคุณรวดเดียว คือ อาการ "สติอ่อน" ค่ะ อานาปานสติกรรมฐาน เป็นของหนัก เจริญยาก ต้องอาศัยนิมิตหรือกสินช่วยนะคะ และการจับลมหายใจเพียงอย่างเดียว ทำให้สมาธิคับแคบ เพ่งอยู่ที่ลมหายใจ เกิดความอึดอัด ไม่ค่อยสบาย ต้องขยายกระแสจิตไปให้กว้างๆ นะคะ ให้โล่งๆ สบายๆ แล้วเจริญกายานุสติ ด้วย เพื่อช่วยให้สติมั่นคงขึ้น ลองทำดูนะคะ .... ขณะที่ดูลม อย่าจับลม นะคะ ดูลมไหลเข้าไหลออก ลม 6 กองในร่างกายนั่นแหละค่ะ แล้วขยายกระแสจิตไปกว้างๆ เลยนะคะ ที่จริง ... มีหลักที่จะทำให้ฝึกสมาธิได้ง่ายๆ สบายๆ สุขภาพดีอยู่เหมือนกัน แต่ดิฉันไม่อาจจะแนะนำในนี้ได้ เพราะถ้าใครปฏิบัติตามแล้วไม่เข้าใจ อาจจะทำให้วิธีปฏิบัติคลาดเคลื่อนไปได้ ควรที่จะคุมแต่ละคนให้ทำดีกว่า .... แต่แนะนำให้คุณรวดเดียว ลองขยายกระแสจิตดูก่อนนะคะ จะแก้ปัญหาได้บ้าง สมาธิแบบเพ่ง ไม่ใช่สัมมาสมาธิเลยนะคะ เป็นสมาธิแบบฤๅษี มีกำลังมาก แต่สติปัฏฐาน 4 จะไม่เจริญค่ะ : ) จากคุณ : แดดเช้า - [ 29 ก.ค. 48 16:42:38 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอเสริมนิดนึงว่า ไม่มีศาสนาไหนในโลกที่สอนเรื่อง สติปัฏฐาน 4 เลย เว้นแต่ พระพุทธศาสนา และสติปัฏฐาน 4 ทำให้ถึงความสิ้นทุกข์ได้ .... ........ สติปัฏฐาน 4 คือ การตั้งทั่วแห่งสติสัมปชัญญะ อาตาปี ที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม ซึ่งต้อง อาศัย "สัมมาสมาธิ" เท่านั้น สติปัฏฐาน 4 จึงเกิดขึ้นได้ เมื่อเกิดขึ้นได้แล้ว โพธิปักขิยธรรม ก็จะเกิดขึ้นด้วยพร้อมๆ กัน ซึ่งจะทำให้เราแจ่มแจ้งในอริยสัจ บรรลุมรรคผลได้ ค่ะ อธิบายตามที่ครูบาอาจารย์เคยสอนนะคะ .... อาจจะเป็นประโยชน์บ้าง ใน "กุณฑริยสูตตกถา" แสดงว่า อินทรีย์สังวร  เป็นเหตุแห่ง  สุจริต 3 สุจริต 3        เป็นเหตุแห่ง  สติปัฏฐาน 4 สติปัฏฐาน 4  เป็นเหตุแห่ง  โพชฌงค์ 7 โพชฌงค์ 7   เป็นเหตุแห่ง  วิชชาและวิมุตติ และอินทรียสังวร คือ เห็นรูป ด้วยอาศัยตา     เป็นที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ    ก็มีกายคงที่ มีจิตคงที่ ได้ยินเสียง ด้วยอาศัยหู เป็นที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ    ก็มีกายคงที่ มีจิตคงที่ รู้รส ด้วยอาศัยลิ้น         เป็นที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ   ก็มีกายคงที่ มีจิตคงที่ ได้กลิ่น ด้วยอาศัยจมูก   เป็นที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ   ก็มีกายคงที่ มีจิตคงที่ รู้สัมผัสเย็นร้อน อ่อนแข็ง เป็นที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ  ก็มีกายคงที่ มีจิตคงที่ รู้ธรรมารมณ์ ด้วยใจ        เป็นที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ  ก็มีกายคงที่ มีจิตคงที่ ค่ะ ฉะนั้น อินทรียสังวร จึงเป็นบันไดเบื้องต้นแห่งการก้าวไปสู่ วิชชา และ วิมุตติ หรือ มรรคผล การสิ้นทุกข์ค่ะ : ) สาธุนะคะ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 48 12:32:15 แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 48 12:24:34 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 48 17:07:22 จากคุณ : แดดเช้า - [ 29 ก.ค. 48 17:01:05 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณมากค่ะ... จากคุณ : ระนาดแก้ว - [ 29 ก.ค. 48 19:40:40 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คือ  ต่อให้เห็นสัมผัสด้วยตัวเอง  ผมเองก็ยังไม่ค่อยอยากเชื่อนะครับ  ที่จริงเรื่องนี้ผมผ่อนให้ได้กับคำพูดบุคคลที่น่าเชื่อถือ ให้มีค่าเท่ากับที่ตนเองเห็น ผมติดต่อวิญญาณ ที่เรียกว่าแอ็งเจิ้ลของตนเอง  มาทายวันเดือนปีเกิดของตนเองได้อย่างถูกต้อง  ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้เป็นฝ่ายเลื่อนมือไปเอง  แต่นั่นก็ยังไม่ไว้ใจตัวเองครับ  ว่าจิตใต้สำนึกตนเอง เลื่อนไปหรือไม่  จนกว่าจะให้คนอื่นเล่นมาทายผมโดยที่ผมไม่ได้จับด้วย  งะครับ ก็เลยคิดว่า  สิ่งที่ตนเห็น สิ่งที่ตนสัมผัส  ผมก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี  จนกว่าจะถึงความรู้แจ้งงะครับ (ไม่รู้ว่าจุดนั้น จะมีบรรทัดฐานอยู่จริงหรือไม่) จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 29 ก.ค. 48 22:39:25 ]

ความคิดเห็นที่ 25 สมภพ .... มัวแต่ลังเลสงสัยอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็ฟุ้งซ่านหรอก ถึงจะพิสูจน์ว่า จริง เห็นได้ ทดลองแล้วเห็นผล ถ้าคนยังสงสัย ยังไงก็ยังไม่รู้ความจริง หยุดนึก หยุดคิด ทำสมาธินิ่งๆ แล้วจะรู้แจ่มแจ้งในใจเองว่า อะไรคือสิ่งจริง อะไรคือสิ่งไม่จริง ถ้ายังไม่นิ่ง ก็ถูกความคิดตัวเองลวงหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะความคิดมากมายอย่างนี้นี่แหละ ... ที่ทำให้คนถึงสัจธรรมโดยยาก อินทรียสังวรยังไม่แก่พอ และ ขอให้รู้ความจริงอย่างหนึ่งว่า "สมอง" เป็นเพียงเครื่องมือการรับรู้ของ "จิต" จิตเป็นผู้รับรู้ จิตเป็นผู้คิด แต่สมองเป็นเครื่องมือคิด มัวคิด สงสัย แล้วไม่พิสูจน์ ด้วยการดูให้รู้ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ถึงจะรู้ได้ ก็สงสัยไม่สิ้นสุด .... ก็วนเวียนอยู่กับความทุกข์ ความหลงในความคิดอย่างไม่สิ้นสุดเหมือนกัน ความหลงในความคิด คิดว่า ความคิดเป็นตน นี่แหละ ร้ายนัก .... นิวรณ์กั้นมรรคผลเลยเชียวนะคะ : ) แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 48 23:21:12 จากคุณ : แดดเช้า - [ 29 ก.ค. 48 23:17:48 ]

ความคิดเห็นที่ 26 โห.. อ่านแล้วทึ่งค่ะ แต่ชอบจังเลย คำตอบของคุณแดดเช้า มี msn มั๊ยคะ อยากคุยด้วยจัง อยากรู้เรื่องการฝึกนั่งสมาธิอ่ะ จากคุณ : kissie - [ 29 ก.ค. 48 23:56:44 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายตอนตลอดจนในชาดก เทวดามีทั้งดีและร้าย พญามารคือเทวดาที่อย่บนสวรรค์สุงสุดคือชั้นที่6 ที่เป็นมารเพราะไม่อยากให้ใครได้ดีกว่าตน ไม่อยากให้พระพุทธองค์สอนเวไนยสัตว์ให้ถึงนิพพาน พระอินทร์เองหลายครั้งที่ปลอมตัวเป็นมนุษย์มาใส่บาตรพระอรหันต์ที่พึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ จนเคยถูกต่อว่าว่ามาแย่งบุญคนยากคนจน ตราบใดที่ยังไม่เห็นธรรมว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นอนัตตา ไม่เที่ยง แปรปรวน ต้องแตกสลาย สังสารวัฏที่แสนยาวนานนี้ย่อมผูกสัตว์ทั้งหลายอยู่ ลมหายใจเป็นหนามของฌาน4 ถึงต้องเจริญอุเบกขา คิดว่าตายเป็นตายช่างมันให้มันขาดใจตายไปเลย ถ้าเพ่งอารมณ์อื่นที่พ้นไปจากกายนี้จะเป็นอรูปฌาน กายคถาสติให้พิจารณาว่ากายนี้ไม่สะอาดไม่เที่ยงมีความเสื่อม เป็นธรรมดา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เป็นแค่รูปธาตุ เราไม่ใช่กาย กายไม่ใช่เรา แท้ที่จริงแล้วไม่มีเรา เราเป็นแค่สมมุติ และหลงยึดมั่นอยู่ในธาตุ4 ขันธ์5ว่าเป็นกาย เป็นเรา เทวดาก็กำหนดได้ เพียงแต่เทวดาไม่แก่ไม่เจ็บ ตลอดอายุขัย เว้นไว้แต่ตอนจะตาย รัศมีกายจะหมองลง มีเหงื่อไหลออกมาจากรักแร้ แสดงว่าธาตุเริ่มหนักขึ้น พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยงแท้ของส้งขารตอนนั้นก็ได้ พุทธศาสนาของพระศรีศาษกยมุนีโคดมของเรามีอายุแค่5000ปีเท่านั้น ถ้าจำไม่ผิดก็แค่10ปีสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เทวดาก่อนหน้านี้กับตอนนี้ไม่เหมือนกันหรอก สว่างมาแล้วมืดไปก็มีเยอะ ศาสนาพุทธถึงสอนให้พึ่งตัวเองเป็นหลัก แล้วให้รีบๆนิพพานดีกว่าไปหลงวนเวียนอยู่ ที่พูดมานี้จำเขามาพูดถ้าผิดถูกอย่างไรข้าพเจ้าขออภัยและขอรับผิดแต่ผู้เดียว ขอท่านทั้งหลายจงเจริญในธรรมตลอดกาลนานเทอญ จากคุณ : jummbie - [ 30 ก.ค. 48 08:06:21 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณ คุณแดด เช้าครับผม ผมยังไม่ค่อยจะเข้าใจในสิ่งที่คุณแดดเช้าได้แนะนำมากนัก เพราะยังไม่ได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ ประกอบกับเวลาในการทำสมาธิยังไม่มากเท่าที่ควร ถ้าเพื่อมีอะไรที่ผมสงสัยในวันข้างหน้า ก็ขอได้ช่วยแนะนำให้แก่ผมด้วยนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความรู้ครับ จากคุณ : รวดเดียว - [ 30 ก.ค. 48 12:54:30 ]

ความคิดเห็นที่ 29 แต่ก่อนผมก็เข้าใจว่าสมองคือจิต เหมือนที่ชาวหว้ากอส่วนใหญ่เข้าใจว่า  จิตก็คือเซลล์สมอง  ตายไปก็หมดความรู้สึก แต่ภายหลังก็คิดได้แล้ว  ว่าสมองก็คืออวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น  เป็นเพียงเครื่องมือของจิตดังว่า  นักวิทยาศาสตร์จึงเข้าถึงแค่สมองเท่านั้น  เข้าไม่ถึงจิต   เมื่อตายก็หมดความรู้สึกจริงๆดังว่า  เพราะจิตขาดเครื่องมือรับรู้แล้ว  คงเหมือนคนเป็นโดนฉีดยาชากระมัง  แต่ไม่ได้หมายความว่าชาติภพหยุดแค่นี้ ส่วนเรื่องที่ว่า  ความคิดนี้เป็นของคนเองนั้น  แต่ก่อนก็เคยคิดอย่างงี้นะ  แต่ภายหลังก็คิดได้ว่า  ไม่มีอะไรเป็นของตนเอง  ถ้าคิดว่าความคิดนี้เป็นของตนเองจริง  งั้นอีก 80 ปีลองรายงานความคิดตัวเองตอนนี้ดูสิ ว่าจะเหมือนเดิมไหม  เพราะแม้ความคิดก็เป็นอนิจจัง ก็ปฏิบัติหรือพิสูจน์แล้วงะนะ  ไม่สำเร็จ  แต่ไม่ได้โทษสัจธรรมหลอก  โทษตัวเอง  คงเหมือนศึกษาภาษาอังกฤษของเรา  ซึ่งยากจะสำเร็จอยู่ในทุกวันนี้ ผมเลยตั้งใจว่า  วันนี้ ชาตินี้ยังไม่มุ่งนิพพาน  ขอสร้างบารมีไปก่อน  คือค่อยพิจารณาไล่ความคิดตนเข้าไปช้าๆ จนกว่าจะเข้าถึงจิต  ศึกษาไล่จากสมองจากความคิดเข้าไปก่อน  จึงถึงสดับแก่ใจว่า มันไม่ใช่ของเราจริงๆ  เพราะผมแค่เข้าใจ แต่ยังไม่เข้าถึงงะนะ  เหมือนรู้โทษแห่งความโกรธเป็นยังไง แต่ยังตัดโกรธได้ไม่สนิดฉะนั้น   ตอนนี้จึงอยากจะทำเป็นเหมือนพระอนิตยโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีไปก่อน กะว่าอาจจะเป็นอีก 2 ชาติหรือไม่  จะพยายามเข้าถึงพระสัทธรรม  เป็นชาติที่คิดว่า  หมดสิ้นความรู้ทางโลก ทั้งสมองทั้งความคิด  ผ่านการโดนความคิดตัวเองหลอกลวงจนจะไม่ยอมอีกแล้ว  ทุกวันนี้ก็เริ่มสดับเข้าไปบ้างแล้ว จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 30 ก.ค. 48 23:36:25 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คือไม่ได้อธิฐานให้ตนเป็นพระพุทธเจ้าในภาคหน้าน่ะ  เป็นภิกษุสาวกนี่หละ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 30 ก.ค. 48 23:39:39 ]

ความคิดเห็นที่ 31 กายทิพย์ ไม่มีสมอง จึงเข้าถึงสัจธรรมง่าย ยิ่งคิด คิดค้นหา ยิ่งวนเวียน เกิดเป็น "ภพ" เป็น "ชาติ" ถ้าเป็นอย่างนี้ สงสัยสมภพคงต้องเกิดอีกหลายชาติแน่ ไม่ใช่แค่ชาติสองชาติหรอก เรากำหนดไม่ได้ว่า เราจะเกิดอีกกี่ชาติ นอกจากเราจะปฏิบัติให้เข้าถึงความจริงเท่านั้น แล้วรู้ได้ยังไงว่า ชาติหน้า จะเกิดมามีสมอง ชาติหน้า จะเกิดมาเป็นคน อีก กฎแห่งกรรม เป็นเรื่องที่เหนือวิสัยที่เราจะกำหนดได้ แต่เรากำหนดกรรมใหม่ได้ ฉะนั้น เร่งปฏิบัติให้ถึงมรรคผลดีกว่านะ สมภพ ถ้าไม่ได้ในศาสนานี้ รออีก 200 อสงไขยปี (1 อสงไขย มีเลข 0 ตามเลข 1 เป็นจำนวน 140 ตัว) กว่าพระศรีอาริย์จะลงมาโปรด รอไหวเหรอ เราจะตกนรกพลาดพลั้งไปสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ พบพระศาสนาแล้ว ... ปฏิบัติบูชาพระองค์ซะนะ สนองคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกเสียเถิด ถ้าพระพุทธศาสนาไม่เกิด มนุษย์ในยุคนี้คงอยู่ในความมืดบอดกว่านี้ คงฆ่ากันตายเหมือนผักปลา ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน เราได้พบพระพุทธศาสนา เป็นบุญใหญ่ แค่ศึกษา ค้นคว้า อ่านตำรา ไม่เพียงพอกับการแสวงหาปัญญาหรอก ปฏิบัติกรรมฐาน เป็นทางสู่ปัญญาอันเลิศแล้วนะ ขอให้เจริญในธรรมนะคะ .... หวังว่า คำแนะนำต่างๆ จะจุดไฟสว่างในดวงจิตให้เห็นทางสิ้นทุกข์ได้บ้าง โลกนี้ไม่มีสุขแท้หรอกนะคะ : ) แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 48 08:09:42 จากคุณ : แดดเช้า - [ 31 ก.ค. 48 08:07:34 ]

ความคิดเห็นที่ 32 กว่าพระพุทธศาสนาจะบังเกิดก็ยากเย็นแสนเข็ญ บางกัลป์ไม่มีแม้แต่พระพุทธเจ้าหนึ่งพระองค์เลย พระพุทธเจ้า ศรีศาษกยมุนี โคดมของเราต้องบำเพ็ญบารมีถึง4อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนกัลป์ กว่าเราจะได้เกิดเป็นคนอีกยิ่งยากหนักหนา แล้วโอกาสที่จะเกิดเป็นคนแล้วพบพระพุทธศาสนายิ่งยากมหายาก เพราะเราอาจไปเกิดเป็นอรูปพรหม หรือเกิดเป็นสัตว์นรกอยู่ตอนโลกมีพุทธศาสนา มีโอกาสที่ดีแล้วอย่าปล่อยให้หลุดไปครับ พิจารณาการเลิกยึดถือว่าตัวตน ร่างกายนี้ว่าเป็นของเราแบบที่คุณสมภพคิดก็ถูกแล้วครับ เพราะไม่มีใครห้ามไม่ให้มันเสื่อมได้ มันจึงไม่ได้เป็นของเรา เมื่อแท้จริงเราก็เป็นแค่ธาตุ4มาประชุมกัน+ธาตุรู้ แยกออกมาเป็นส่วนๆได้เหมือนตัวเลโก้ จึงไม่มีตัวเราที่แท้จริงครับ รู้แบบนี้ก็รู้เห็นธรรมแล้วครับ แล้วค่อยๆรบกับกิเลส อารมณ์ไปเรื่อยๆ ชนะบ้างแพ้บ้างก็ช่างมัน พยายามให้มันชนะมากกว่าแครับ เดี๋ยวก็ชนะรวดเลยในที่สุด จากคุณ : jummbie - [ 31 ก.ค. 48 10:05:55 ]

ความคิดเห็นที่ 33 การพิจารณากาย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะทำให้เราหลงฟุ้งได้ค่ะ เพราะเราคิดฟุ้ง สำคัญว่า เรารู้แล้วว่า กายไม่ใช่ตน ทำให้เราเห็นตนไม่ชัด และทำให้เราหลงยึดความไม่ยึด ซึ่งจะเป็นอันตรายมาก การจะเห็นความจริงได้ ต้องเจริญสติปัฏฐาน 4 เท่านั้น ที่จะทำให้นิวรณ์ 5 เสื่อมไป และเราต้องทำการ "ปฏิโลม" คือ การเห็นย้อนจากความจริง ก็ในเมื่อเรายังเห็นว่า กายเราเป็นตนอยู่ เราต้องยอมรับความจริงที่ว่า กายเรายังเป็นตน แล้วดูตนให้ชัด ความไม่ใช่ตนจะปรากฏออกมา แล้วเราก็จะเห็นทุกข์ เมื่อนั้นเราก็จะถึงอริยสัจ รู้แจ้งเห็นจริง อุปาทาน กิเลส ก็จะดับลงไปพร้อมๆ กับวิชชาเกิดขึ้น อวิชชาก็ดับลงไป เราก็จะถึงมรรคผล ฉะนั้น "ฌาน" คือ เครื่องเกาะทำให้ถึงมรรคผล ถ้าไม่มีฌาน นิวรณ์ 5 ไม่เสื่อม เราก็จะคิดฟุ้ง ไม่อาจจะเห็นของจริงได้เลย "สัมมาสมาธิ" จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดที่จะนำพาให้เราเกิดปัญญารู้แจ้ง เห็นกิเลสชัดเจนตามความเป็นจริง โดยไม่ได้คิด พิจารณา เอาเองเลยค่ะ ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ : ) จากคุณ : แดดเช้า - [ 31 ก.ค. 48 18:54:34 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คุณแดดเช้าได้โสดาบันแล้ว ใช่ไหมครับ  คนธรรมดาบอกกันได้ ไม่อาบัตินี่  ฮี่ๆๆๆๆๆ ที่ว่ามาก็เข้าใจในดับนึงนะครับ  แต่ผมได้อธิฐานไว้แต่ก่อนบวชแล้ว  ว่าจะซาบซึ้งในพระธรรมอย่างไร  ก็ต้องสึก มาสานงานเชิงวิทยาศาสตร์ที่ค้างคาใจให้เสร็จสิ้น  การเข้าปริวาสทำให้ผมเข้าใจพระศาสนาที่สุด  ถ้าตัวเองไม่ได้อธิฐานไว้ก่อน  ก็อาจจะอยู่ต่อไปได้ไม่มีปัญหา ความหมายต่อไปของคุณแดดเช้าคือ  สิ่งที่ผมคิดจะสานต่อให้เสร็จเชิงวิชาการ  มันไม่มีที่สิ้นสุดที่แท้จริงหรือไม่ครับ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 31 ก.ค. 48 20:30:05 ]

ความคิดเห็นที่ 35 สมภพ .... จะบอกความจริงอะไรอย่างหนึ่งนะ ถ้าสมภพได้สมาธิในระดับหนึ่งแล้ว งานวิชาการของสมภพจะเป็นเรื่องง่ายมากเลย ปัญญาจะปรุออกมาและทะลุปัญหาทั้งหมดทั้งสิ้นเลยว่า จะค้นคว้าอย่างไร สมาธิจะเป็นผู้นำทาง เบิกทาง และจะบอกเราเองว่า อะไรเป็นอะไร และงานวิชาการของสมภพจะละเอียด ลึกซึ้ง ไปได้ไกลกว่าการค้นคว้าแบบธรรมดาๆ เพียงแต่ได้ฌาน เท่านั้นแหละ .... สมภพ ก็สามารถสานงานวิชาการของสมภพได้เป็นอย่างดีแล้วแหละ  ฝึกกรรมฐานไปด้วย ทำงานวิชาการไปด้วย ควบคู่กันไป แล้วจะประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้จริงๆ นะคะ ..... ไม่เชื่อลองดูสิ เวลาทำงาน ไม่ต้องคิดอะไรเลย ดูเท่าที่เป็นไป ให้จิตใจปลอดโปร่งที่สุด และสมองจะทำงานอย่างมีสติ เราจะควบคุมสมองของเราได้ดีกว่าที่เราจะคิด คิด คิด ค้นคว้า จดจำ เราจะจำได้ดีกว่านั้น จำโดยที่ไม่รู้สึกว่าจำ ในขณะที่ไม่ต้องการข้อมูล สมองของเราก็ได้พัก ในขณะที่ต้องการข้อมูล ข้อมูลเหล่านั้นก็ถูกดึงออกมาใช้ได้อย่างอัตโนมัติ ทำสมาธิไว้เนืองๆ นะ สมภพ .... ทุกสิ่งทุกอย่าง "สัมมาสมาธิ" ของพระพุทธเจ้า เป็นคำตอบได้ ให้แนวทางได้ เหมือนเราเข้าสู่ความเป็นจริงของโลกและชีวิต และความเป็นจริงเหล่านี้จะบอกเราทุกสิ่งทุกอย่าง ที่สำคัญ เราไม่ได้ทำอะไรไปด้วยอำนาจของกิเลส เพราะเราไม่ได้คิดฟุ้ง หรือ มุ่งหวังอะไร เราอยู่กับปัจจุบันธรรม ผลที่ได้รับ ก็เป็นผลที่ดีมากๆ ดีกระทั่งเราไม่ได้คิดฝันว่า จะได้อะไรเช่นนี้เลย ยังไงๆ บทสรุปสุดท้ายก็คือ อยากจะให้สมภพปฏิบัติกรรมฐาน พื้นฐานของสมภพดีอยู่แล้ว เพียงแต่หลงอยู่ในความรู้ ความคิด ความฉลาด ปัญญา ของตัวเอง มากไปสักหน่อย ถ้าหลงน้อยๆ กว่านี้ ก็จะเยี่ยมมากเลยค่ะ อย่างไรก็ตาม .... ขออาราธนาอานุภาพแห่งคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ บันดาลให้ไม่ว่าสมภพจะคิดหวังสิ่งใดในทางกุศลและเป็นประโยชน์ต่อสังคม สิ่งนั้นจงสัมฤทธิผลสำเร็จทุกประการด้วยเทอญ สาธุ (ย้ำ) และอย่าลืม "ปฏิบัติบูชา" สนองคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ นะคะ : ) จากคุณ : แดดเช้า - [ 31 ก.ค. 48 22:05:59 ]

ความคิดเห็นที่ 36 นายช่างไฟแย้งว่า  ถ้างั้นพระนักปฏิบัติก็ได้รางวัลโนเบลไปแล้ว คงเพราะพระไม่ได้เอาวิทยาศาสตร์ไปพิจารณา  แต่พิจารณาเฉพาะธรรมหรือสติปัตฐาน ตามทางพุทธ แต่อย่างว่า  ฝรั่งยังฉลาดกว่าคนเอเชียส่วนใหญ่งะนะ  เพราะด.ร.อาจองคนเดียว  คงการันตีอะไรได้ไม่มาก  เพราะต้องมองในแง่สถิติด้วย จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 3 ส.ค. 48 19:40:39 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่จริงเลยสมภพ เราเอาวิธีปฏิบัติไปใช้กับวิทยาศาสตร์หรือสาขาวิชาที่เราศึกษามา เวลาที่จิตเราสงบ สงัด ระงับ เราจะสามารถใช้สมองได้ดี พระนักปฏิบัติ ท่านเน้นวิชาพุทธศาสนา ท่านศึกษาปริยัติ แต่เราศึกษาทางโลก เราต้องนำธรรมะมาใช้ให้สอดคล้องกัน ธรรมะอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เพราะธรรมะอยู่เต็มโลกไปหมด เพียงแต่ว่า เราจะนำกระบวนการมาใช้อย่างไร ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่ค้นพบวิธีการเหล่านี้ได้ มิเช่นนั้น จะมีเอกทัคคะเฉพาะด้านหรือ? หมอชีวกะ ท่านก็เป็นหมอที่เก่งมากๆ ท่านก็ใช้ธรรมะ ใช้กระบวนการทางจิตสื่อกับสมอง ..... สมภพไม่ได้ทดลองพิสูจน์ สมภพเอาแต่คิดและตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัย ไม่ได้ลองทำ แล้วก็มาคัดค้านคำกล่าวเหล่านี้ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสไว้แล้วว่า ปัญญาอันเกิดจากการภาวนาเลิศที่สุด ถ้าสมภพคัดค้าน เท่ากับคัดค้านพระพุทธองค์ โทษที่ได้รับนั่นก็คือ บาป อาจจะตกนรกได้นะคะ ขอขมาซะ .... กรรมหนักนะคะ : ) จากคุณ : แดดเช้า - [ 3 ส.ค. 48 21:46:42 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อีกอย่างนะ สมภพ พระนักปฏิบัติ ท่านคงไม่ได้ปฏิบัติเพื่ออยากเด่นอยากดัง ท่านคงไม่ปรากฏตัวเพื่อเอาสิ่งเปล่าๆ ว่างๆ ทางสังคมเหล่านั้นหรอก ปลีกวิเวก นิ่งสงบ ปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า มิดีกว่าหรือ? ดีกว่าที่จะมาปะทะกับกิเลสด้วย ถ้าท่านจะทำอะไร พูดอะไร ท่านคงทำเพื่อสำเร็จประโยชน์มากกว่าจะมาคิดค้นอะไรที่ไม่ทำให้สำเร็จประโยชน์ หาคำตอบอันเป็นที่สุดไม่ได้หรอก พระพุทธองค์บอกว่า ความรู้ของพระองค์เหมือนป่า มากมายเหลือเกิน แต่พระองค์ไม่เห็นประโยชน์ พระองค์แสดงเพียงความรู้เท่าใบไม้ในกำมือที่จะสำเร็จประโยชน์อันยวดยิ่งต่อมวลมนุษย์ ญาณของพระพุทธองค์ยิ่งใหญ่มาก และสัมมาสมาธิยิ่งใหญ่มาก สมภพยังปฏิบัติไม่ถึงจุดที่จะรู้ได้ว่า ยิ่งใหญ่อย่างไร สมภพก็ด่วนปฏิเสธ แล้วก็นำความรู้ ความคิด มาคัดค้านเสียแล้ว .... เห็นหรือยังว่า การติดความรู้ ความคิด ปัญญา ของตัวเอง เกิดโทษอย่างมหันต์ อาจจะนำไปสู่ความหลงผิด ตกนรกนับกัลป์ไม่ถ้วนได้ ลองใช้สมาธิดูก่อนสิคะ แล้วจะเข้าใจได้เอง ถ้าปฏิบัติอย่างถูกอุบาย : ) จากคุณ : แดดเช้า - [ 3 ส.ค. 48 21:53:50 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ภิกษุกล่าวคัดค้านธรรมเทศนา  ก็แค่ปาจิตตีย์เอง  เพราะถ้าเชื่อทั้งหมด  เท่ากับผมต้องบวช 100% ก็จึงยังมีส่วนที่ทั้งเชื่อ และไม่เชื่ออยู่ (คุณคงทราบดี ว่าพระสารีบุตรตอบพระองค์ว่าอย่างไร เรื่องนี้)   ที่ผมกล่าวมานั้น  ก็พิจารณาดูแล้ว  ยังไม่มีอะไรเสียหายให้ถึงขั้นดึงตนลงต่ำแต่อย่างใด เรามองไม่เห็นดวงอาทิตย์อีกฟากโลก  แต่ก็รู้ว่ามีดวงอาทิตย์ได้ไม่ใช่รึ  ไม่มีญาณดู  แต่ก็ใช้ความคิดเอาได้  การใช้ความคิด  ก็จึงถูกในระดับนึง  จะปฏิเสธความคิดเสียสิ้นเชิง ก็ไม่ได้  ความคิด ก็คือการพิจารณานั้นแล  สิ่งนี้คือสิ่งที่พระองค์ชี้ทางให้ผู้ฟังพิจารณาตามได้อัศจรรย์  โดยไม่ถึงกับบังคับให้ผู้ฟังปฏิบัติ มี "จิ" แล้วก็ต้องมี "ปุ" จึงเป็นหัวใจนักปราช์  แทนที่ผู้ตอบคำถามจะบอกให้คุณเดินทางไปเมืองนั้นแทน เพื่อดูความจริงก็หาไม่  หากแต่ตอบเลยในขณะนั้นได้  เพราะเราก็ต้องชั่งน้ำหนักด้วย  ว่าเรื่องใดต้องดูเอง  เรื่องใดตอบด้วยวาจาเอาก็ได้  โดยไม่ยึดติดการปฏิบัติเป็นคำตอบสุดท้ายมากนัก สำหรับการบรรลุธรรม  ดังการฟังธรรมแล้วบรรลุโดยผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติ อย่างพระยสะ เป็นต้น ผมรู้ว่าพระยสะมีบารมีเก่ามาก  ไม่ได้จะเอาตนเทียบได้  เป็นเพียงยกตัวอย่างเท่านั้น จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 6 ส.ค. 48 19:30:30 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ก็เลยสรุปว่า  การปฏิบัติมีไว้สำหรับคนที่ถามมากมาระยะนึงแล้ว  ว่าเธอนี้มีคำถามมากนัก  จะไม่ลองปฏิบัติดูเหรอ  โดยไม่บังคับมากนัก จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 6 ส.ค. 48 19:32:43 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ต่อ ก็คือ  แล้วแต่ช่องของแต่ละบุคคลงะครับ  คงไม่แปลก  ที่บุคคลผู้หนึ่ง สั่งสมบารมีมา  บำเพ็ญปฏิบัติจนล่วงรู้  แล้วบุคคลๆเดียว  นำความรู้มาบอกแก่คนพันคน  ก็ไม่เป็นไรมากครับ  ตีความปัญญาจากการเจริญภาวนา  มาเป็นปัญญาจากการฟัง  บุคคลฟัง 1000 คนนั้นคงไม่น่าติเตียนอะไรมาก  ที่ดีแต่ฟัง  ไม่ปฏิบัติ งะครับ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 6 ส.ค. 48 19:42:11 ]

ความคิดเห็นที่ 42 --------------------------------พอเหอะ-------------------------------- คืนนี้พี่รุ่งช่วยโทรหาราวห้าทุ่มสี่สิบห้า หรือเที่ยงคืนได้ไหมครับ  โทรมาบอกวิธีนั่งสมาธิ 01-7732352 แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 48 21:02:46 จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 7 ส.ค. 48 14:00:19 ]