ปกติมนุษย์มีชีวิตอยู่ใน 3+1 มิติ (อวกาศ 3 + เวลา 1) นักฟิสิกส์ก็อธิบายธรรมชาติต่างๆ ได้เกือบหมดจักรวาลอยู่แล้ว จะมีที่อธิบายยังไม่ได้อีกนิดหน่อย เช่น หลุมดำ หรือบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอนุภาคในที่ๆ มีความโน้มถ่วงสูงๆ แล้วก็เลยต้องสร้างทฤษฎีจักรวาล 10+1 มิติขึ้นมาเพื่ออธิบายเรื่องเหล่านี้
เห็นได้ว่ามิติของอวกาศที่เกินมาอีก 7 มิตินั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับจักรวาลที่เรารับรู้กันเท่าไรเลย จะมีเกี่ยวบ้างก็เป็นบริเวณที่มีหลุมดำ หรือเกี่ยวกับตอนเริ่มต้นจักรวาลเท่านั้น
ก็เลยคิดว่าอีก 7 มิตินั้น มีไว้เพียงเพื่อสร้างจักรวาลที่มีสิ่งต่างๆ อยู่ในอีก 3 มิติเท่านั้นเองเหรอ แล้วจากนั้นตัวเองก็ดูเหมือนหมดประโยชน์ไป ปล่อยให้สสารและพลังงานต่างๆ เข้าไปวุ่นวายกันอยู่แค่ 3+1 มิติ มันน่าจะมีอะไรอย่างอื่นมากกว่านี้นะ
ตามทฤษฏีซุเปอร์สตริง บอกว่า 7 มิติของอวกาศนั้นเล็กมากจนมนุษย์ไม่สามารถสังเกตได้ เปรียบเหมือนกับสายยางฉีดน้ำ ถ้าเรามองไกลๆ จะเห็นเป็นเส้น ซึ่งก็คือ 1 มิติ แต่ถ้าเราเข้าไปดูใกล้ๆ สายยางที่เป็นเส้นนั้น จริงๆ แล้วเป็นท่อ ซึ่งก็คือ 2 มิติ นั่นคือถ้าเราตัวเล็กพอ เราก็อาจสามารถรับรู้อีก 7 มิติที่เหลือได้ (ซัก 10^-34 เมตรมั้ง)
เพราะฉะนั้น สิ่งมีชีวิตที่สามารถรับรู้มิติที่เกินมาอีก 7 มิตินั้นได้ ย่อมต้องประกอบด้วยเนื้อกายที่ละเอียดมากๆ ซึ่งแน่น่อนว่าเราย่อมไม่สามารถสังเกตได้ และนี่ก็เป็นที่ว่างอย่างดีให้เหล่าผีสางนางไม้ วิญญาณ หรือเทวดาอาศัยอยู่
เทวดาที่อยู่ใน 4+1 มิติ ย่อมรับรู้การมีอยู่ของมนุษย์เรา (3+1) แต่ไม่สามารถรับรู้การมีอยู่ของเทวดาที่อาศัยใน 10+1 มิติได้ ซึ่งก็เป็นการแบ่งเกรด แบ่งชั้นของเทวดานั่นเอง
คิดเล่นๆ สำหรับคนที่นิยมไสยศาสตร์ครับ ถ้าไสยศาสตร์มีจริง ประเทศอย่างไทยนี่แหละจะกลายเป็นเจ้าโลก (มีคู่แข่งสำคัญคือเขมร และประเทศในแอฟริกา)
จากคุณ :
Naibruda
- [
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 15:32:52
]