CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    สหรัฐไม่ลงนามในสัญญาเกียวโต เพราะทฤษฎีเรือนกระจก เป็นเรื่องเหลวไหล

    โลกกำลังร้อนขึ้น.... ข้อนี้ไม่มีใครเถียง

    จุดที่เป็นข้อถกเถียงคือโลกร้อนขึ้นเพราะเหตุใด

    แต่เดิม เชื่อว่าโลกร้อนขึ้นเอง ด้วยสาเหตุทางธรรมชาติหลายๆอย่างประกอบกัน
    เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงระหว่างยุคน้ำแข็ง ที่ภูมิอากาศไม่คงที่

    ต่อมามีผู้ตั้งทฤษฎีว่าโลกร้อนขึ้นเพราะการกระทำของมนุษย์
    จากอิทธิพลของปรากฏการณ์เรือนกระจกในบรรยากาศมีเพิ่มขึ้น
    โดยเฉพาะจาก กาซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล

    ผมจะขอนำความเห็นส่วนตัว ที่ได้จากการตกผลึกทางความคิด มาเล่าสู่กันฟัง
    ผมก็เริ่มด้วยการเชื่อตามที่ได้ฟังกันต่อๆมา เหมือนคนทั่วไปว่า
    โลกกำลังร้อนขึ้นเพราะผลของ การซเรือนกระจก ที่มนุษย์ผลิตขึ้น
    แต่เมื่อหลายปีก่อน มีผู้แนะนำให้ดูข้อมูลของทางฝ่ายที่โต้แย้งทฤษฎี

    หลังจากได้ศึกษาดู ก็รู้สึกประหลาดใจ
    เพราะความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ของฝ่ายที่โต้แย้งนั้นหนักแน่นกว่ามาก
    แต่ไม่ถึงขั้นที่จะหักล้างทฤษฎีปรากฏการณ์เรือนกระจก ลงได้อย่างเด็ดขาด
    ผมติดตามข้อมูลของทั้งสองฝ่าย อยู่หลายปีตามโอกาสอำนวย
    จนถึงปัจจุบัน ผมเองก็ยังไม่ปักใจเชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน
    แต่ความเห็นจะเอียงไปทาง “ไม่เชื่อ” มากกว่า

    ความรู้เกี่ยวกับกาลอากาศในยุคโบราณ เรียกว่า Paleoclimatology
    ผมขอเล่าข้อมูล ประวัติของภูมิอากาศโลกย้อนหลังไปประมาณหนึ่งหมื่นปี
    เพราะจะมีความสำคัญ ต่อการใช้วิจารณญาณ ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์

    โลกกำลังอยู่ในมหายุคน้ำแข็งครั้งที่สี่ เรียกว่า Pleistocene Ice Age
    แต่ระหว่างมหายุคน้ำแข็ง โลกไม่ได้หนาวเย็นต่อเนื่องตลอดเวลา
    มีช่วงเวลาที่หนาวเย็น และอบอุ่น เปลี่ยนแปลงสลับกันหลายต่อหลายครั้ง
    ช่วงที่ธารน้ำแข็งก่อตัวกว้างขวาง เรียกว่า glacial period
    ช่วงอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็งเรียกว่า interglacial period
    สี่ล้านปีที่ผ่านมา ธารน้ำแข็งแผ่ขยายและถดถอยสลับกันมากกว่ายี่สิบครั้ง
    ช่วงที่ธารน้ำแข็งขยายตัวปกคลุมโลก มักจะยาวนานเป็นหลักแสนปี
    แต่ช่วงอบอุ่นระหว่างธารน้ำแข็งมักจะสั้น เป็นหลักหมื่นปีเท่านั้น

    การขยายตัวของธารน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเรียกว่ายุคน้ำแข็ง Wisconsin
    ประมาณหมื่นหกพันปีที่แล้ว โลกค่อยๆอุ่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธารน้ำแข็งค่อยๆถดถอยอย่างช้าๆ

    จนกระทั่งถึงหนึ่งหมื่นหนึ่งพันปีก่อนปัจจุบัน เป็นช่วงเวลารอยต่อ
    ระหว่างยุคน้ำแข็ง กับยุคที่โลกอบอุ่นที่เรียกว่า Younger-Dryas
    โลกอุ่นขึ้นอย่างฉับพลัน ละลายธารน้ำแข็งนอกเขตขั้วโลก จนหมดไปอย่างรวดเร็ว
    แต่แล้วก็โลกพลิกกลับหนาวลงอย่างรวดเร็ว จนเกือบกลับเข้ายุคน้ำแข็งเป็นช่วงสั้นๆ
    จากนั้นก็กลับอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง จนกลับมาอุ่นเท่ากับตอนเริ่มต้น
    เมื่อประมาณเก้าพันห้าร้อยปีก่อนปัจจุบัน

    หลังจากสิ้นสุด Younger-Dryas โลกก็เข้าสู่ยุคที่อากาศอบอุ่น Interglacial Period
    ระหว่าง 8000-5000 ปีก่อนปัจจุบัน เป็นยุคสมัยที่โลกอบอุ่นกว่าปัจจุบัน
    เรียกกันว่า Holocene Optimum โดยมีช่วงที่อุ่นที่สุด เรียกว่า
    Holocene Maximum ประมาณระหว่าง 5500-7000 ปี ก่อนปัจจุบัน

    ช่วง Holocene Maximum ภูมิอากาศค่อนข้างอุ่นจัดกว่าปัจจุบันมาก
    เขต Tropical ที่กระหนาบ เส้นศูนย์สูตร ขยายตัวกว้างขวาง
    ลุ่มน้ำสินธุและเมโปเตเมียยุคนั้น ได้รับอิทธิพลลมมรสุมมากกว่าในปัจจุบัน
    มีความชุ่มชื้นมากพอ ช่วยให้อารยะธรรมมนุษย์ ก่อนยุคชลประทาน ก่อกำเนิด
    ในอัฟริกา เขต tropical ขยายตัวเบียดทะเลทราย ซาฮารา ให้ถอยร่นขึ้นไปทางเหนือ
    มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ที่มี จระเข้ และฮิปโปโปเตมัส อาศัย กระจายอยู่ทั่วซาฮาราตอนใต้
    ปัจจุบันกระดูกของสัตว์เหล่านั้นยังคงปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ใต้ตะกอนทราย
    ภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์ตามผนังถ้ำที่อยู่กลางทะเลทรายซาฮาร่าในปัจจุบัน
    เต็มไปด้วยรูปสัตว์ที่ในปัจจุบันอยู่ห่างลงไปทางใต้หลายร้อยกิโลเมตร

    ตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุคสำริด มนุษย์ได้รับประโยชน์จากความอบอุ่นของ
    Holocene Optimum ช่วยให้เผ่าพันธุ์มนุษย์กระจายไปทั่วโลก

    พอถึงประมาณ 5000  ปีที่แล้ว ถูมิอากาศของโลกก็เริ่มเย็นลง
    เกิดเป็นช่วงที่อบอุ่นบ้าง เย็นบ้าง หนาวบ้าง สลับกันหลายครั้ง แต่ละช่วงจะกินเวลาหลายร้อยปี
    เรียกว่า Late Holocene Neoglacial Fluctuation

    อารยะธรรมของมนุษย์ที่ได้รับพรจากความอบอุ่นที่ยาวนาน ตลอดยุคหินจนถึงต้นยุคสำริด
    เริ่มพบกับความหนาวเป็นครั้งแรกในปลายยุคสำริด ต่อเนื่องจนถึงยุคเหล็ก
    จนกระทั่งถึงต้นยุคโรมัน โลกก็ยังค่อนข้างเย็น เรียกว่า Roman Cool Period
    พอถึงปลายยุคโรมัน โลกจึงกลับมาอุ่นขึ้นอีก เรียกว่า Roman Warm period
    ช่วงต้นยุคคริสตกาล โลกกลับเย็นลง เรียกว่า Dark Age Cool Period
    พอถึงกลางคริสต์กาล โลกก็กลับมาอุ่นอีกครั้ง เรียกว่า Medieval Warm Period

    ช่วงอบอุ่นที่สุดของ Medieval Warm Period (MWP) ตรงกับศตวรรษที่ 9-11
    เป็นช่วงเวลาที่มีการจดบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์ ค่อนข้างแพร่หลาย
    ความอบอุ่นช่วยให้การเพาะปลูกในยุโรปอุดมสมบูรณ์  ทำให้ประชากรยุโรปเพิ่มขึ้น
    โลกอุ่นถึงขั้นที่ฟยอร์คตอนใต้สุดของเกาะกรีนแลนด์ ในฤดูร้อนปลอดจากน้ำแข็ง
    เกิดมีทุ่งหญ้า มีชาวไวกิ้งเข้าไปตั้งหมู่บ้าน เลี้ยงแพะ แกะ วัว ที่ตอนใต้สุดของเกาะ
    ส่วนเกาะไอซ์แลนด์ ที่อยู่ถัดไปหน่อย อบอุ่นพอที่จะปลูกธัญพืช เช่นข้าวสาลีได้
    หลักฐานการเก็บภาษีเก่าแก่ บอกว่าอังกฤษมีไร่องุ่นและผลิตไวน์เป็นจำนวนมาก
    หลักฐานทางเอเชียก็บอกถึงการปลูกส้มในภาคเหนือของจีน

    ในช่วงที่โลกอุ่นนั้น ธารน้ำแข็งถดถอย น้ำแข็งที่ละลาย อาจทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
    ช่วงนี้ตรงกับสมัยทวาราวดีปลายๆ ถ้าใครเคยเห็นแผนที่ทางโบราณคดีของยุคนั้น
    จะเห็นแนวชายฝั่งทะเลของอ่าวไทยโบราณ กินแดนลึกเข้ามาถึงจังหวัดชัยนาท

    พอผ่านพ้นศตวรรษที่ 12 โลกก็กลับเย็นลงอย่างต่อเนื่อง
    และทำท่าจะกลับเข้ายุคน้ำแข็งอีกครั้ง โดยตำราส่วนใหญ่จะนับระหว่างปี 1450-1850
    นักอุตุฯเรียกว่าช่วงเวลาที่หนาวเย็นผิดปกติราวสี่ร้อยปีนี้ว่า Little Ice Age (LIA)

    ธารน้ำแข็ง ตามที่ต่างๆเริ่มขยายตัวมากขึ้นอีกครั้ง
    ความหนาวขับไล่ไวกิ้งให้อพยพออกไปจากเกาะกรีนแลนด์
    ไร่องุ่นหายไปจากเกาะอังกฤษ ไร่ส้มหายไปจากภาคเหนือของจีน

    ช่วงที่หนาวที่สุดของ LIA เรียกว่า Maunder Minimum ระหว่างปี 1645-1715
    การเกษตรในยุโรปได้รับความเสียหาย เพราะอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติ
    เกิดทุกภิกขภัยครั้งใหญ่ๆหลายระลอก ทำให้ประชากรในยุโรปค่อยๆลดลง
    บันทึกของอังกฤษบอกว่าช่วงหลายปีนั้นอากาศหนาวจัดจนแม่น้ำเทมส์เป็นน้ำแข็งทุกปี

    ความหนาวเกือบจะทำลายเกาะไอซแลนด์ลงด้วยเช่นกัน
    การเกษตรล้มเหลว เหลือแต่ทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะ ประชากรลดลงครึ่งหนึ่ง
    บันทึกของทางไอซ์แลนด์บอกว่าในช่วงนั้น ทะเลรอบเกาะจะกลายเป็นแพน้ำแข็ง
    ไม่สามารถเดินเรือเข้าออกจากเกาะได้ เหลือเพียงชายฝั่งตอนใต้เพียงทางเดียว
    ซึ่งต่างจากปัจจุบัน ที่ทะเลน้ำแข็งจะอยู่แค่นอกชายฝั่งด้านเหนือเท่านั้น

    หลักฐานประวัติศาสตร์ บอกว่าธารน้ำแข็งตามภูเขาสูง แถบเทือกเขาแอล์ป
    รวมทั้งสแกนดิเนเวียขยายตัว คืบคลานเข้าทับหมู่บ้านในหุบเขาไปนับร้อยแห่ง
    มีบันทึกของวาติกัน ถึงคำขอร้องจากชาวบ้านที่ถูกธารน้ำแข็งคุกคาม
    มีการส่ง บิชอบแห่งฟลอเรนส์ ไปทำพิธี(Exorcist)ขับไล่ธารน้ำแข็ง

    ธารน้ำแข็งที่ก่อตัวมากขึ้น อาจจะทำให้ระดับน้ำทะเลลดลง
    พื้นดินบริเวณที่ลุ่มของภาคกลางตอน รวมทั้งกรุงเทพโผล่พ้นน้ำในช่วงนี้
    การที่ปัจจุบันเมืองท่าโบราณในสมัยทวาราวดี อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน
    และอยู่ในทำเลที่ตั้งที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลในปัจจุบันประมาณ 5 เมตร
    เป็นข้อที่น่าพิจารณาว่าระดับน้ำทะเลอาจจะลดลง ไม่ใช่ทะเลตื้นเขินจนเป็นแผ่นดิน

    โชคดีที่พอถึงปี 1850 โลกก็ผันกลับสู่ความอบอุ่นอีกครั้ง
    ในช่วงแรกโลกค่อยๆอุ่นขึ้นในอัตรา ศตวรรษละ 1 องศา
    จนอุ่นที่สุดในกลางทศวรรษ 1940s แล้วก็มีทีท่าจะกลับเย็นลงอย่างช้าๆ
    แต่พอถึงช่วงใกล้เปลี่ยนศตวรรษ โลกก็กลับอุ่นขึ้นอีกครั้ง อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
    เป็นเหตุให้คนทั้งโลก พากันวิตกถึงภาวะโลกร้อน

    โชคไม่ดี ที่เทอร์โมมิเตอร์และการวัดอุณหภูมิอากาศ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วง LIA
    ดังนั้นถ้าไปค้นบันทึกของอุณหภูมิอากาศในอดีต ก็จะเห็นแต่ความหนาวเย็น
    คนที่ไม่รู้เรื่องของกาลอากาศในยุคโบราณ อาจจะคิดว่าโลกมีความหนาวเป็นเรื่องปกติ
    ความอบอุ่น ที่ถูกบันทึกไว้ด้วยเรื่องราวในประวัติศาสตร์ และร่องรอยในชั้นดิน
    จึงกลายเป็น นิทานปรัมปรา

    แต่อย่างไรก็ตาม ความอบอุ่นในตำนาน มีหลักฐานทางโบราณคดีรองรับ
    รวมทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้แต่ร่องรอยละอองเกสรพืชมากมาย
    ที่ฝังอยู่ในชั้นดิน บอกให้รู้ถึงชนิดของพืชที่เคยขึ้นอยู่ในยุคสมัยต่างๆ
    ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณหาอุณหภูมิของโลกในช่วงเวลาต่างๆได้

    ถ้าในอดีตอากาศเคยผันแปร อุ่นขึ้นแล้วก็เย็นลงได้เอง เป็น วัฏจักร
    ด้วยพลังของธรรมชาติ ที่เรายังไม่สามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้
    จะสรุปได้อย่างไรว่า โลกอุ่นขึ้นในเวลานี้ เป็นเพราะปรากฏการณ์เรือนกระจก
    บางที โลกอาจจะกำลังกลับสู่สมดุล ที่อุ่นแบบระอุหน่อยๆ อย่างที่เคยเป็น

    เรื่องราวของ Holocene maximum, Medieval Maximum, Little Ice Age
    เหล่านี้ เป็นความรู้อย่างสามัญของ Paleoclimatology ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
    เพียงแต่เรื่องของภูมิอากาศในยุคโบราณ ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสนใจ

    แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 48 08:27:17

    แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 48 07:53:11

    จากคุณ : กาลามะชน - [ 7 ก.ย. 48 14:24:18 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป