ความคิดเห็นที่ 1 ความต้องการที่ลดลง มาจากหลายสาเหตุ หนึ่ง- พ้นช่วงฤดูหนาว ความต้องการใช้น้อยลง สอง- บ่อน้ำมันที่เสียหายจากพายุเริ่มกลับมาทำการผลิต สาม- ชาวโลกช่วยกันประหยัดพลังงานมากขึ้น สี่- กาซธรรมชาติขยายตัวปานสายฟ้าแลบ เข้ามาทดแทนน้ำมันบางส่วน ห้า- การใช้ถ่านหินมีมากขึ้น (ข่าวร้ายของชาวโลกร้อน) หก- การใช้พลังงานทดแทน renewable energy มีมากขึ้น เจ็ด- มีการใช้ non-conventional oil ได้แก่ tar oil และ tar sand มากขึ้น แปด- มีบ่อน้ำมันใหม่ๆ ที่เพิ่งจะถูกค้นพบในช่วงน้ำมันแพง เริ่มการผลิตหลายโครงการ จากคุณ : กาลามะชน - [ 28 ธ.ค. 48 11:00:24 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ในระยะยาว "ถ้าไม่มีอุบัติการณ์พิเศษ" ราคาน้ำมันจะลดลงเรื่อยๆ เพราะปัจจัย ที่กล่าวมาแล้ว ทุกรายการ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น เพราะว่าปัจจัยส่วนใหญ่ สามารถทำกำไรได้ ถ้าราคาน้ำมันยังคงสูง ตัวอย่างเช่น กาซธรรมชาติ สามารถ convert ให้เป็นเชื้อเพลิงเหลวได้ ด้วยกระบวนการ Fischer-Tropsch Process มีต้นทุนประมาณ 12-13$ ต่อบาเรล กระบวนการนี้ไม่ใช่การอัดกาซให้กลายเป็นของเหลวด้วยอุณหภูมิและความดัน (NGL) แต่ใช้กระบวนการทางเปโตรเคมี รวมโมเลกุลกาซ ให้กลายเป็นน้ำมันเหลวๆที่อุณหภูมิปกติ หรือจะเรียกว่าการสังเคราะห์น้ำมันจากกาซธรรมชาติก็ได้ อาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น ในปัจจุบัน มีโรงงานที่ convert กาซธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิงเหลว Gas-To-Liquid (GTL) ประมาณ 160,000 บาเรลต่อวัน และมีโรงงานกำลังก่อสร้างประมาณ 1 ล้านบาเรลต่อวัน โลกยังมีกาซธรรมชาติเหลืออยู่มากกว่าน้ำมันดิบประมาณ 2 เท่า กาซธรรมชาติยังคงมีมาก ราคากาซธรรมชาตินั้นประมาณ 60% ของน้ำมัน แม้ว่าการทำน้ำมันสังเคราห์จากกาซจะมองเห็นกำไร แต่ประเทสที่มีกาซธรรมชาติมาก ก็ยังลังเล เพราะโรงงานมีความซับซ้อนและแพง และใช้เวลาก่อสร้างไม่ต่ำกว่าห้าปี จึงกลัวว่าถ้าต่อไปน้ำมันเกิดล้นตลาด จะพากันล่มจมล้มละลายไปตามๆกัน แต่ถ้าแน่ใจว่าราคาน้ำมันยังคงสูงยาวนานพอ ประเทศที่มีกาซธรรมชาติมาก ก็มีแนวโน้มจะสร้างโรงงาน GTL เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากคุณ : กาลามะชน - [ 28 ธ.ค. 48 11:25:53 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ช่วยกันๆ มันจะได้รู้สึกบ้าง รวมหัวกันกำหนดราคา ผมล่ะอยากรวมหัวกันขึ้นราคาอาหารให้ได้รู้สึกจิงๆ เลย จากคุณ : Dkrab - [ 28 ธ.ค. 48 11:26:44 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขออนุญาต ขำก่อนนะครับ กั่กๆๆๆๆ จากคุณ : ช่างไฟ - [ 28 ธ.ค. 48 11:30:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 การใช้ถ่านหินก็เพิ่มมาก รวมทั้งมีโครงการเปลี่ยนถ่านหินเป็นกาซธรรมชาติ ซึ่งพัฒนาต่อเนื่องมาจาก การค้นคว้าของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง ปัจจุบันมีโรงงานสังเคราะห์น้ำมันจากถ่านหิน ของ Sasol ที่อัฟริกาใต้ 2 แห่ง มีกำลังการผลิตประมาณ 150,000 บาเรลต่อวัน มีต้นทุนประมาณ 15-20$ ต่อบาเรล ขณะนี้จีนมีนโยบายที่จะพึ่งพาตนเองเรื่องพลังงาน เพราะไม่ต้องการตามอย่างสหรัฐ ที่อยู่ได้ด้วยการพึ่งพาแหล่งพลังงานจากภายนอก ทำให้จำต้องออกไปปกป้องแหล่งพลังงาน ซึ่งนำไปสุ่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และสงคราม จีนคิดคล้ายๆคนไทย ที่จะทำเองใช้เอง แม้ว่าจะแพงหน่อย แต่เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของชาติ ก็พอยอมรับได้ จีนไม่มีพื้นที่ปลุกพืชน้ำมันอย่างไทย แต่มีถ่านหินเยอะมาก และไม่ได้อยู่ในสัญญาเกียวโต ดังนั้นจีนจึงเริ่มโครงการ Coal-To-Liquid (CTL) ที่จะผลิตน้ำมันจากถ่านหิน มีโครงการที่เซ้นสัญญาไปแล้ว สองโครงการ กำลังการผลิตแห่งละ 6 แสนบาเรลต่อวัน รวมเป็น 1.2 ล้านบาเรลต่อวัน ในราคาที่จีนวิเคราะห์ว่า 15$ ต่อบาเรล จีนมีถ่านหินพอที่จะผลิตน้ำมันสังเคราะห์ได้หลายร้อยปี โรงงานแรก เริ่มก่อสร้างปลายปี 2004 จะเสร็จในปลายปี 2009 หรือต้นปี 2010 ส่วนโรงงานที่สองจะเริ่มสร้างในปี 2007 โรงงาน CTL นี้เป็น แฟคเตอร์ที่ใหญ่เอาเรื่องเหมือนกัน เพราะในวันที่เริ่มเดินเครื่อง ความต้องการซื้อน้ำมันของจีน จะลดฮวบทันที หกแสนบาเรล ซึ่งจะมีผลต่อการต่อการลดราคาน้ำมันในช่วงนั้น จากคุณ : กาลามะชน - [ 28 ธ.ค. 48 11:43:38 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คิดเหมือนช่างไฟเลย - -' คุณ ก. ลืมนึกถึงปัจจัย "การขยายตัวของการบริโภค" ไปหรือเปล่าครับ แนวโน้มการขยายตัวของการบริโภคพลังงาน ตอนนี้ ขึ้นในอัตราทวีคูณ ตามการเพิ่มของประชากร และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กำลังการผลิตของแหล่งผลิตน้ำมันทั่วโลก ก็ใกล้จะชนเพดานอยู่แล้ว ตอนนี้อัตราการบริโภคน้ำมัน แม้จะสะดุดไปนิดหน่อย แต่แนวโน้มก็ยังพุ่งขึ้นสูงเกินกว่ากำลังการผลิตจะรับไหวในอีกไม่นาน ดังนั้นตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว ราคาน้ำมันจะไม่ลงไปกว่านี้หรอกครับ แค่ไม่ทะลุลิตรละ 30 บาท ในปีหน้า ก็ดีใจฉลองใหญ่ได้แล้ว จากคุณ : อะธีลาส - [ 28 ธ.ค. 48 11:46:04 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ... แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 48 11:48:56 จากคุณ : nunimitr - [ 28 ธ.ค. 48 11:48:03 ]

ความคิดเห็นที่ 8 โลกมีน้ำมัน non-convention oil มากกว่าน้ำมันดิบประมาณ 2 เท่าเช่นกัน น้ำมัน non-conventional oil มีหลายรูป คือ - น้ำมันดิน tar oil - ทรายน้ำมัน tar sand - หินน้ำมัน oil shale - มีเธนไฮเดรท Methane hydrate ในปัจจุบัน tar oil และ tar sand มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ ราคาต้นทุนที่แท้จริงของน้ำมันดิบ ที่สกัดจากทรายน้ำมัน อยู่ที่ 12$ ต่อบาเรล คานาดาเป็นประเทศที่มี tar sand มากที่สุดในโลก ประมาณ 1,000 พันล้านบาเรล แต่ประเมินว่าสามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า 15$ มีประมาณ 170 พันล้านบาเรล ทำให้สถาบันน้ำมันจัดอันดับ ให้คานาดา เป็นประเทศมที่มีน้ำมันสำรองมากเป็นอันดับสอง รองจากซาอุดิอาระเบีย ปัจจุบันคานาดา ผลิตน้ำมันจากทรายน้ำมันได้ประมาณเก้าแสนบาเรลต่อวัน ขณะนี้มีโครงการ 12 แห่ง กำลังก่อสร้างเพิ่ม เมื่อเสร็จกำลังการผลิตจะเพิ่ม เป็น 2 ล้านบาเรลต่อวัน และมีแผนจะเพิ่มให้ถึง 4 ล้านบาเรลในอนาคต จากคุณ : กาลามะชน - [ 28 ธ.ค. 48 11:56:51 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอคั่น ด้วยรายงานการประเมินล่าสุด กลางปีนี้ รัฐบาลสหรัฐ เพิ่งจะประเมินสถานการณ์ peak oil ครั้งใหม่ peak oil คือช่วงเวลาที่น้ำมันจะไม่พอใช้ ที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง และกลัวกันมาก ช่วงเวลา peak oil ที่เราพูดถึงกันในเวลานี้ เป็นผลจากการประเมินกลางทศวรรษ 1990s หรือเมื่อสิบปีที่แล้ว ประเมินว่าจะเกิด peak oil ในปี 2008 เป็นอย่างเร็ว 2012 เป็นอย่างกลาง และ 2016 เป็นอย่างช้า แต่ช่วงสิบปีที่ผ่านมามีความพลิกผันมาก มีการค้นพบน้ำมันจากแหล่งใหม่ๆมาก เทคโนโลยียังช่วยให้สามารถผลิตน้ำมันจากแหล่งที่ไม่เคยคิดว่าจะผลิตได้ และสามารถนำน้ำมันขึ้นมาจากแหล่งน้ำมันที่มีอยู่แล้วเป็นเปอร์เซต์ที่สูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ราคาน้ำมันที่ขึ้นสูง ช่วยให้เกิดการดิ้นรนไปหาพลังงานทางเลือกอื่น พลังงานทดแทน ก้าวหน้า มีบทบาทมากขึ้น เข้ามาชะลอการใช้น้ำมันให้ช้าลง non-conventional oil เกิดเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในความคาดหมาย ของกลุ่มผู้ที่ทำการประเมินเมื่อสิบปีที่แล้ว การประเมินของรัฐบาลสหรัฐ ด้วยข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน บอกว่า peak oil จะเกิดในปี 2038 เทียบกับการประเมินของเคมบริดจ์ ที่ทำไปก่อนนี้ไม่นาน บอกว่า peak oil จะไม่เกิดขึ้นก่อนปี 2020 แต่ไม่กำหนดปีที่แน่นอนว่าจะเกิดประมาณเมื่อไร มีสถาบันอื่นๆที่ประเมินอีกหลายราย รายที่มองโลกในแง่ร้าย บอกว่าปี 2025 รายที่มองโลกในแง่ดี ให้ไว้ไกลถึง 2040 เราฟังข้อมูล ของการประเมินเมื่อสิบปีที่แล้ว จนชินหู บางคนก็ปักใจเชื่อ จนไม่ยอมรับข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน (พักไปกินข้าว บ่ายๆจะมาต่อครับ ถ้าชอบใจจะถกปัญหา ก็ฝากโหวตหน่อย) แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 48 12:22:39 จากคุณ : กาลามะชน - [ 28 ธ.ค. 48 12:17:29 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมอ่านบทวิจัยหลายสำนักเหมือนกัน ไม่ต่ำกว่าสิบสำนัก พูดเหมือนกันว่าในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนี้ไปราคาน้ำมันจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ลดเล็กน้อย และคงไม่ต่ำไปกว่า 40 USD/Barrel  ครับ จากคุณ : Peet - [ 28 ธ.ค. 48 12:49:21 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ประธารโอเป็กพูดก่อนที่น้ำมันจะลงงวดใหญ่นี้ว่าชอบที่ 40 ดอลครับ โลกเราปั่นป่วนเพราะพวกเก็งกำไร จากน้ำมัน มาทอง แล้วจะไปอะไร ใครเดาถูกรวย ปล. ราคาน้ำมันกำหนดโดยตลาดนะครับ จากคุณ : appendix - [ 28 ธ.ค. 48 12:52:10 A:61.91.220.78 X: TicketID:090028 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมรู้น้อยแต่ชอบอ่าน เรื่องน้ำมันของคุณกาลามะ..ครับ จากคุณ : ::ยินดี ไม่มีปัญหา:: : - [ 28 ธ.ค. 48 13:54:32 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าตามหลักเศรษฐศาสตร์ ที่หลักๆ คงไม่ใช่ การบริโภคที่แท้จริงหรอกอ่า เป็น การเก็งกำไร (อย่างที่คุณappendixบอกแหละ) มีมูลค่าการซื้อขายและการเติบโตมากกว่า การบริโภค(ของreal sector) หลายเท่าตัวนักอ่ะ เนี่ยอ่านะ เศรษฐกิจแบบการพนัน - -" ดงันั้น ที่ควรจะโกรธ ไม่ใช่ โอเปคหรอกอ่ะ เป็นพวก ประเทศเจริญๆแล้วมากกว่า จากคุณ : วัยซนฯ - [ 28 ธ.ค. 48 14:05:09 A:61.91.168.30 X: TicketID:075904 ]

ความคิดเห็นที่ 14 หาก demand ขึ้น supply ขึ้นมา support ขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นไปได้ครับที่น้ำมันจะลงครับ อย่าง ราคาเหล็กโลก ในช่วงปี -2 ปีมานี้ ขึ้นไปอย่างมโหฬาร ขึ้นไปเกือบ 60-70% ด้วยจีนเร่งการก่อสร้างอย่างหนัก แต่มาตอนนี้ supply ทางจีนมากจนล้นแล้ว ราคาจึง ค่อยๆ คืนสภาพลงมา มาก ด้วยจีน เริ่มชะลอการลงทุน ฉะนั้น ถ้าผลเกี่ยวเนื่อง ปัจจัยความต้องการน้ำมัน ก็น่าจะค่อยๆ ลดตามไปด้วย เช่น ขนส่งทางเรือเห็นว่าตอนนี้ ซบเซาไปพอควร เรื่องทองไม่ต้องพูดถึง ร้านทองร้านย่อยๆ บ่นกันระนาว ว่า ขายไม่ค่อยได้ ราคาแพงจัด ยังดีช่วงนี้ ลงมายืนนิ่งๆ อยู่ จากคุณ : STL - [ 28 ธ.ค. 48 14:28:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ทางโรงเหล็กเล่าว่า ตลาดเหล็กกำลังสวนกระแส ภาวะเงินเฟ้อ คาดการณ์ว่า น่าจะลงมาเกือบ 30-40% ได้แล้ว แต่ถ้าเลย พ.ค.ปีหน้าไปอะไรๆ ก็ไม่แน่ =) ใครคิดจะมีบ้านใหม่ ที่ไม่ใช่บ้านเล็กบ้านน้อย แนะนำปลูกช่วงนี้ก็ดี ;-) จากคุณ : STL - [ 28 ธ.ค. 48 14:34:55 ]

ความคิดเห็นที่ 16 non-conventional oil อีกชนิดที่ทำกำไรได้ คือ น้ำมันดิน (tar oil) น้ำมันดิน คือน้ำมันดิบชนิดที่หนืดมาก (ค่า API ประมาณ 7) เพราะมี asphaltene สูงถึง 25% ใกล้เคียงจะเป็นยางมะตอยมากกว่า ผลิตจากพื้นดินก็ยาก เพราะอัตราไหลต่ำ เอื่อยๆ ไม่ไหลทะลักแบบน้ำมันดิบ มีคุณสมบัติที่ไหลได้ยาก ทำให้สูบส่งผ่านท่อได้ลำบาก พอสูบผ่านท่อไม่ได้ ในทางปฏิบัติ ก็จบกัน.. แต่จริงๆแล้ว น้ำมันดิน ก็เป็นไฮโดรคาร์บอน สามารถกลั่นให้โมเลกุลแตกเล็กลง กลายเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เราสามารถนำไปใช้ได้ แค่มีข้อจำกัด เรื่องการขนส่งเท่านั้น แต่ก็เป็นข้อจำกัดที่หนักหนาสาหัสจนทำให้ไม่ค่อยมีใครใช้ (สูบผ่านท่อไม่ได้ จะกลั่นได้อย่างไร) น้ำมันดิน ไม่นับว่าเป็นน้ำมันดิบ ไม่อยู่ในโควต้าจำกัดการผลิตของโอเปค ผลิตได้เสรี ประเทศเวเนซูเอล่า มีแหล่งน้ำมันดินมากที่สุดในโลก อยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำโอริโนโค เรียกว่า (Orinoco tar belt) มีปริมาณ 1,000 พันล้านบาเรล แต่สามารถนำขึ้นมาได้อย่างคุ้มทุนด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันประมาณ 250-260 พันล้านบาเรล ที่ผ่านมา เวเนซูเอล่า ผลิต tar oil ขาย โดยเอาน้ำมันดิบคุณภาพดีมาผสมลงไป ทำให้เกิดเป็นส่วนผสมที่ไหลได้ง่ายขึ้น คล้ายน้ำมันดิบคุณภาพต่ำ ในระดับที่พอจะมีผู้รับซื้อ วิธีนี้มีข้อจำกัดตรงที่น้ำมันดิบชนิดใสที่จะใช้ผสม มีจำกัด เวเนซูเอล่า พัฒนาวิธีการขนส่ง tar oil อีกแบบ คือการทำให้เป็น emulsion โดยเอาน้ำมันดิน 70% ผสมกับน้ำ 30% และสารเคมีบางอย่าง ปั่นเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นของผสมที่คล้ายโคลนเหลวๆลื่นๆ ไหลได้ง่าย สามารถสูบส่งตามท่อได้ดี และติดไฟได้ เรียกว่า orimulsion (ใครเคยเห็นน้ำมันเครื่อง ที่มีน้ำรั่วลงไป จะนึกออก) สามารถเอาไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าได้โดยตรง แทนถ่านหินหรือน้ำมันเตา ซึ่งเวเนซูเอล่าพยายามโปรโมท ใน concept ถ่านหินเหลว การผลิต orimulsion เคยสูงสุดถึง 1 แสนบาเรลต่อวัน แต่กำลังลดลง เพราะพอน้ำมันแพง พบว่าการแปรรูปให้เป็น syncrude คุ้มค่ากว่า syncrude คือการปรับปรุงคุณภาพโดย เติมไฮโดรเจน กับให้ความร้อนทำให้โมเลกุลแตก และแยกกำมะถันออกบางส่วน ได้ผลผลิตคล้ายน้ำมันดิบคุณภาพปานกลาง นับจากปี 2004 มีโรงงานกำลังก่อสร้าง 4 โครงการคือ Junin 1 แสนบาเรล Carabobo 1 แสนบาเรล, Boyaca 1.8 แสนบาเรล, Ayacucho 1.8 แสนบาเรล เพราะไม่ใช่น้ำมันดิบ ไม่ติดโควต้า ทำให้ชาติโอเปคหลายชาติสนใจ อีกประเทศที่มีโครงการ tar oil คือเม็กซิโก มียักษ์ใหญ่ Chicontepec ขนาด 17 พันล้านบาเรล ที่เก็บไว้มานานกว่า 30 ปี แต่ บ น้ำมันแห่งชาติ PEMEX มีทรัพยากรเพื่อการพัฒนาจำกัด กำลังพิจารณาว่าจะต้องเลือกพัฒนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่าง Chicontepec กับโครงการในทะเลลึก Ku-Maloob-Zaab และอิหร่าน ที่มี tar oil ประมาณ 40 พันล้านบาเรล มีความสนใจเช่นกัน เวเนซูเอล่า พูดเสมอว่า ในอนาคต tar oil จะเป็นแหล่งเชื้อเพลิงสำคัญของโลก ต่อจากน้ำมันดิบ เพราะไม่มีอะไรต่าง แค่หนืดไปหน่อยเท่านั้น แค่ออกแบบโรงกลั่น ให้เหมาะกับ tar oil ก็ใช้ได้แล้ว จากคุณ : กาลามะชน - [ 28 ธ.ค. 48 15:02:10 ]

ความคิดเห็นที่ 17 Oil Analysts, Wrong Since 2001, End Forecasts of Price Drop Dec. 28 (Bloomberg) -- Wall Street oil analysts have given up calling for lower prices after missing the rallies of the past four years. New York oil futures will average $60 a barrel in the first quarter of 2006, about $2 more than today, according to the median forecast of 25 analysts surveyed by Bloomberg. Prices will average $58 in all of 2006, the survey shows. อ่านที่เหลือที่นี่ http://www.bloomberg.com/apps/news?pid=10000087&sid=ayVpj12sAFcw&refer=top_world_news มาแปลให้สำหรับคนที่ภาษาอังกฤษไม่คล่องนะครับ ข่าวใน Bloomberg บอกว่า นักวิเคราะห์ทางด้านน้ำมันเนี่ย เค้าเลิกวิเคราะห์ว่าราคาน้ำมันจะลงแล้ว หลังจากที่วิเคราะห์ผิดมาตลอดสี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2006 นี้มีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ $60 ต่อบาร์เรลในควอเตอร์แรกของปี และเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ $58 ซึ่งราคานี้ได้มาจากค่า median ในการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ถึง 25 คน แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 48 10:10:54 จากคุณ : ม้าหงอย - [ 28 ธ.ค. 48 16:03:11 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ก่อนจะคุยต่อ ขอชี้ประเด็นหนึ่งให้ลองพิจารณา ทุกคนเชื่อว่า สักวัน น้ำมันต้องหมดจากโลก แต่มนุษย์ไม่จำนนง่ายๆ ต้องหาพลังงานอย่างอื่นมาใช้ทดแทนอย่างแน่นอน แน่ละ พลังงานทดแทนเหล่านั้น จะต้องมีต้นทุนที่แพงขึ้นอย่างแน่นอน ต่างคนต่างช่วยกันพัฒนา จนได้ออกมาในหลายรูปแบบ ที่สำคัญ ได้แก่ 1. น้ำมันดิบ จากแหล่งที่เป็น non-conventional คือ tar oil และ tar sand 2. น้ำมันสังเคราะห์ จากถ่านหินและกาซ 3. เชื้อเพลิงเหลวชนิดอื่น ที่ใช้แทนน้ำมันได้ เช่น แอลกออล หรือไบโอดีเซล 4. ระบบขับเคลื่อนที่ใช้ไฟฟ้า รวมทั้งไฮโดรเจน สิ่งที่จะมาทดแทนน้ำมัน ล้วนมีต้นทุนที่แพงกว่าน้ำมัน แต่ถ้าราคาขายน้ำมัน ถูกโก่ง จนแพงกว่าจุดคุ้มทุนของพลังงานเหล่านั้นละ เรื่องอะไรจะต้องรอจนกระทั่งน้ำมันหมด จึงค่อยนำออกมาใช้ ทำไมไม่ใช้เสียเลยในวันนี้ ข้อ 1 นั้นได้เปรียบมากที่สุด เพราะ เมื่อคิดรวมกลไกการตลาดและระบบภาษี มีความสามารถที่จะอยู่ได้อย่างสบายๆ ถ้าราคาน้ำมันยังคงสูง 20-25$ ต่อบาเรล ส่วนข้อ 2 นั้นมีแรงจูงใจที่ราคา 30$ ขึ้นไป ถ้าน้ำมันแพงกว่า 40$ จะเพิ่มหินน้ำมัน oil shale เข้าไปอีกอย่าง ส่วนข้อ 3 อาจจะต้องแพงกว่านั้นหน่อย ราว 45-50$ ส่วนข้อ 4 นั้นแพงเอาการ คงต้องรอการพัฒนาอีกสักหน่อย คงจะเห็นว่า ด้วยราคาในปัจจุบัน น้ำมันดิบ มีคู่แข่งที่น่ากลัวเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังไม่เห็นผลของการแข่งขัน เพราะคู่แข่งเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้เตรียมตัว เนื่องจากน้ำมันราคาตกอยู่นานกว่าสิบปี ก็ไม่มีใครคิดว่าอยุ่ๆน้ำมันจะพลิกกลับมาแพงได้ทันทีทันใด หลังจากน้ำมันตกต่ำสุดๆ ในปี 1999 ก็หักกลับ ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว พลังงานคู่แข่งตั้งหลักไม่ทัน และหลายฝ่ายยังกลัวจะเป็นแค่ชั่วคราว ยังเห็นว่ามีโอกาสจะตกกลับอยู่ ยิ่งเกิดเหตุการณ์โจมตีสหรัฐ 11/7 ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ยิ่งทำให้คนไม่แน่ใจ กว่าจะเห็นแนวโน้มชัดว่าน้ำมันจะแพงนาน ก็เสียเวลาไปสองสามปี พอเห็นชัดว่าน้ำมันแพงนานแน่ เรื่องอะไรจะปล่อยให้โอกาสผ่านไป ถ้าพลังงานทดแทนสามารถทำกำไรได้ เรื่องอะไรจะรอให้น้ำมันหมดโลก ทำไมไม่ทำออกมาแข่งเสียแต่วันนี้ละ แต่การลงทุนด้านพลังงานต้องใช้เวลา การค้นหาแหล่งน้ำมันใหม่จนกระทั่งได้ผลิต ใช้เวลา 6-8 ปี โรงงานกลั่นน้ำมัน หรือเปโตรเคมีใหญ่ๆ ต้องใช้เวลาราวๆห้าปี การปลูกปาล์มน้ำมันก็ใช้เวลาห้าปี เอาละ โครงการส่วนใหญ่ เริ่มหลังปี 2002 แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อคู่แข่งตั้งหลักได้ หลังปี 2008 เป็นอย่างเร็ว 2010 เป็นอย่างกลาง 2012 เป็นอย่างช้า เราอาจจะเห็นการฟาดฟันแข่งขันด้านราคาของ พลังงานในรูปต่างๆ จากคุณ : กาลามะชน - [ 28 ธ.ค. 48 16:28:21 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่คิดงั้นนะครับ เพราะหลักเศราฐศาสตร์บอกไว้ว่า เอามาใช้วันนี้ย่อมมีค่ามากกว่าพรุ่งนี้ รวมถึงในปัจจุบัน ก็ยังไม่มีพลังงานทดแทนอะไร ที่ราคาแข่งขันได้ และมีปริมาณพอทดแทนน้ำมันได้.. หากมีเมื่อไหร่ล่ะ จะยอมรับเลย ว่าราคาน้ำทันจะหยุดขึ้นในวันนั้น... แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 48 20:30:11 จากคุณ : Thirdwave - [ 28 ธ.ค. 48 20:28:49 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ราคาน้ำมันก็คล้ายหุ้นอาจวิเคราะห์ทาง fundamental กับ technical ดูจากกราฟข้างล่าง 35 ปี1970-2005 จากhttp://www.eia.doe.gov/emeu/cabs/chron.html ทางเทคนิคราคาน้ำมันอยู่ขาขึ้น เพราะปัจจุบันทะลุจุด23 ถ้าไม่ต่ำกว่าจุด23ยังถือว่าขาขึ้น ถ้าลากเส้นนอนขนานจุด23 คือเส้น support จากคุณ : technician (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ 28 ธ.ค. 48 22:41:36 ]

ความคิดเห็นที่ 21 กราฟข้างบน จบแค่ครึ่งปีแรกของปี 2005 กราฟข้างล่าง เป็นของ 6 เดือนล่าสุดของปีนี้ เป็นส่วนที่ต่อจากกราฟข้างบน แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 48 07:59:00 จากคุณ : กาลามะชน - [ 29 ธ.ค. 48 07:56:23 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ผู้เชี่ยวชาญ มีหลายประเภทครับ นักการเงิน พยากรณ์โดยให้ความสำคัญกับการขึ้นลงของราคา ตามทฤษฎีตลาดหุ้น นักอุตสาหกรรม พยากรณ์โดยดูปัจจัยการผลิต และแนวโน้มการบริโภค นักรัฐศาสตร์การเมือง พยากรณ์จากแนวโน้มของอุบัติการณ์ ตามหลักการบริหารความเสี่ยง กราฟที่ แสดงในความเห็นที่ 20 เป็นกราฟ แสดงราคาน้ำมัน เทียบกับ อุบัติการณ์สำคัญ จุดตัวเลขบนกราฟ ใช้บอกว่าเกิดเหตุการณ์อะไรในโลก ที่มีผลต่อราคาน้ำมัน ถ้าสนใจอยากรทราบว่าเหตุการณ์อะไรทำให้น้ำมันขึ้นลง ก็ขอให้ตาม link นั้นไปดู จริงๆแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา ไม่มีใครพยากรณ์ได้ถูกต้องเลย เพราะแฟคเตอร์ที่เกี่ยวข้อง มีมากเกินไป เกินกว่าจะคาดการณ์ได้ จนวงการน้ำมันกล่าวว่า มีแต่ อัลเลาะห์ เท่านั้นที่รู้ว่าพรุ่งนี้ราคาน้ำมันจะขึ้นหรือลง ข่าวสารที่ผมนำมาส่วนใหญ่ จะมาจากฝ่ายอุตสาหกรรมน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งก็ไม่มีความแน่นอนเช่นกัน ขอให้ฟังกันเล่นๆแก้เซ็งในยามที่น้ำมันแพง แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 48 12:16:30 แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 48 08:55:12 จากคุณ : กาลามะชน - [ 29 ธ.ค. 48 08:19:05 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอให้ดูกราฟในความเห็นที่ 20 ในปี 1979 (จุดที่ 11) น้ำมันราคา 17$ มีใครคิดบ้างว่าแค่ 1 ปีถัดมาน้ำมันจะทะลุ 30$ และในปี 1985 (จุด 32) ราคาน้ำมัน 27-28$ ใครจะคิดบ้างว่าอีก 1 ปีข้าหน้าน้ำมันจะถล่มเหลือ 10$ และในปี 1999 เป็นปีที่มีการตัดราคาอย่างรุนแรง ราคาน้ำมันตกต่ำถึง 10$ อีกครั้ง ใครจะคิดบ้างว่าน้ำมันจะแพงขึ้นไป 6 เท่า ภายใน 6 ปี ปีนี้ 2005 ถ้ามองกราฟเป็นหลัก แนวโน้มของราคาน่าจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามองที่พื้นฐานปัจจัยการผลิต จะเห็นโครงการก่อสร้างอย่างมโหฬาร กำลังก่อสร้างตามที่ต่างๆทั่วโลก ตอนนี้ก็มีโครงการขนาดกระทัดรัด ทะยอยเสร็จ ออกมาเรื่อยๆ ส่วนโครงการใหญ่ๆ จะประดังออกมาติดๆกัน ในช่วง 2008-2015 ถ้าสงสัยว่าที่ว่าการขยายกำลังการผลิตนี้ จะทันกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของ จีน อินเดีย และอื่นๆหรือเปล่า ใช่ครับ เขาประเมินแล้วว่า ไม่ใช่แค่มากกว่าธรรมดา แต่เข้าขั้นท่วมท้น แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 48 08:47:11 จากคุณ : กาลามะชน - [ 29 ธ.ค. 48 08:29:27 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เชื่อว่า เพื่อนๆจะสงสัยว่า กำลังการผลิตที่ว่าจะขยายตัว จะมาจากไหน ขอให้ดูกราฟ ในความเห็นที่ 20 ช่วงปี 1986-1999 เป็นช่วงที่อุตสาหกรรมน้ำมันตกต่ำ ราคาน้ำมันลดต่ำนานกว่าสิบปี ซัพพลายน้ำมัน มีเหลือเฟือ การสำรวจหาแหล่งน้ำมันใหม่ๆจึงหยุดชะงัก ช่วงนั้นมี บ.น้ำมันทั้งเล็กและใหญ่ ล้มละลาย หรือถูกควบกิจการหลายราย การวิจัยพัฒนาในช่วงนั้น จึงทุ่มให้กับการหาทางลดต้นทุนการผลิตในบ่อน้ำมันที่มีอยู่ มากกว่าจะออกสำรวจค้นหาแหล่งน้ำมันใหม่ การประเมินสถานการณ์ peak oil ที่เรารู้จักกันแพร่หลาย เริ่มทำกันในปี 1993 บนพื้นฐานแบบจำลองการวิจัยในอดีตเมื่อ 40 ปีของ Dr King Hubbert นักธรณี ผู้ที่เคยพยากรณ์ peak oil ของการผลิตน้ำมันภายในประเทศสหรัฐล่วงหน้าได้อย่างถูกต้อง กลุ่มผู้ประเมิน ซึ่งนำโดย Mathew Simmon ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนทางด้านพลังงาน ตั้งสมมติฐานว่าการผลิตน้ำมันของโลก จะมีรูปแบบเดียวกับ การผลิตภายในประเทศสหรัฐ เมื่อสังเกตุพบว่าอัตราการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆ ในช่วงหลังๆลดน้อยลงมาก Mathew ซึ่งไม่ใช่นักธรณีวิทยา ได้ใช้หลักการทางสถิติ ตั้งสมมติฐานว่า แหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ของโลกได้ถูกค้นพบไปเกือบหมดแล้ว จากนั้นก็เริ่มคำนวณหา peak oil โดยรวมของโลก บนสมมติฐานนั้น ตั้งแต่ 1995 Mathew Simmon ออกเดินสายเล็คเชอร์ไปทั่วว่า peak oil ของโลก จะเกิดขึ้นในปี 2008 เป็นอย่างเร็ว 2012 เป็นอย่างกลางและ 2016 เป็นอย่างช้า ในตอนแรกคนไม่ค่อยเชื่อ แต่พอน้ำมันเกิดขึ้นราคาอย่างกระทันหันในปี 2000 ผลงานวิจัยของ Mathew ก็ได้รับความสนใจ และยอมรับอย่างแพร่หลาย และคนจำนวนมากก็เชื่อว่า peak oil กำลังจะมาถึงแล้วจริงๆ ปัจจุบันพบว่าการประเมิน Mathew Simmon มีข้อผิดพลาดที่สมมติฐานหลายประการ อย่างแรกคือ โลกยังมีแหล่งน้ำมันใหญ่ๆ ที่ยังค้นไม่พบเหลืออีกเยอะพอควร แต่ช่วงที่ Mathew ประเมินนั้นไม่ค่อยพบ เพราะโลกวางใจ ค้นหาแบบเฉื่อยชา พอน้ำมันเริ่มแพงในปี 2000 การออกค้นหาอย่างจริงจัง จึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง และการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆ ในศตวรรษที่ 21 นี้ ค่อนข้างน่าทึ่งทีเดียว ต่อวันหลัง แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 48 11:57:51 จากคุณ : กาลามะชน - [ 29 ธ.ค. 48 09:30:58 ]

ความคิดเห็นที่ 25 มันมาก จากคุณ : คนขายของ - [ 29 ธ.ค. 48 22:51:34 A:221.128.100.132 X: TicketID:044818 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มันส์จริง ๆ ด้วย จากคุณ : Dragon_Son - [ 30 ธ.ค. 48 10:25:19 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แต่ปีหน้าและต่อไป  ประเทศเราจะปล่อยให้กิจกรรมต่างๆเป็นอย่างเคย    แค่นี้ไม่พอแน่นอน   แม้ในฐานะผู้บริโภคจะประหยัดสุดๆ คิดว่าถ้าราคาน้ำมันจะถูกก็ไม่กลับไปถูกเท่าหลายปีก่อน  แล้วหากรายได้ประเทศจะเพิ่มขึ้น  จะทันกับที่ต้องจ่ายเพิ่มไหม จากคุณ : amnin - [ 30 ธ.ค. 48 13:07:39 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ถึงแม้ผมไม่รู้ว่าน้ำมันจะลงจริงรึเปล่า แต่ข้อมูลของคุณกาลามะชนก็มีที่มาที่ไป อ่านแล้วได้สัมผัสความรู้ เน้นๆ!! จากคุณ : iNFeRNaL - [ 30 ธ.ค. 48 19:38:03 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ผมไม่เชื่อหรอก.. จากคุณ : เด็กน้อยขี่ม้าก้านกล้วย - [ 30 ธ.ค. 48 20:45:00 ]

ความคิดเห็นที่ 30 No. 1: PTT Prasert Bunsumpun, 53, CEO since 2003 INDUSTRY Integrated gas/oil REVENUES $16.1 billion PROFITS $1.57 billion STEPHEN SHAVER/BLOOMBERG NEWS When PTT was created four years ago by privatizing the state-owned Petroleum Authority of Thailand, managers could have sat back and let the money roll in. After all, PTT instantly became the biggest listed company in Thailand. Today, PTT and its listed subsidiaries account for 28% of total market capitalization of the Stock Exchange of Thailand. It's No. 1 in oil and gas imports and exports, refining, petrochemicals, and retail gas sales. But Prasert Bunsumpun, 53, who took over as CEO 2 1/2 years ago, has reorganized the company's bureaucracy and finances, upgraded technology, and upped PTT's stakes in refineries and petrochemical ventures. PTT has more than tripled its profits since then -- and only part of the gain is from higher oil prices. ``We want our operating companies to be industry leaders with strong financial and operational excellence,'' he says. Now the civil engineer, who has an MBA from the University of Utah, has global ambitions. PTT has exploration and production operations in three nations in Southeast Asia, and in Iran, Oman, and Algeria. ``We want to be the preeminent energy group in the region,'' says Prasert, ``but with accountability, optimum stakeholder returns, and a value-driven corporate culture.'' Sounds as if PTT's name will soon resonate beyond Bangkok. http://www.businessweek.com/@@QqsKGIcQENue*hwA/magazine/content/05_43/b3956410.htm จากคุณ : nuclearmedicine - [ วันสิ้นปี 01:16:31 ]

ความคิดเห็นที่ 31 OK? จากคุณ : nuclearmedicine - [ วันสิ้นปี 01:17:44 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอโทษ ถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องราคาน้ำมันที่จะลดในปีหน้า ที่ ปตท. ได้ อันดับ 1 เรื่องราคาน้ำมันที่สูงเอา สูงเอา ในปีที่ผ่านมาคงมีส่วนผลักดันผลกำไรดังกล่าวอยู่บ้าง ยินดีกับคนไทย ที่มีบริษัทของคนไทย ชั้นแนวหน้าของ เอเชีย และทุกคนก็คงมีส่วนร่วมในความสำเร็จนั้น จากคุณ : nuclearmedicine - [ วันสิ้นปี 01:21:27 ]

ความคิดเห็นที่ 33 กำไร 1.57 พันล้านดอลล่า ก็ราวๆ 62 พันล้านบาท โบนัสชาว ปตท ปีนี้คนละเท่าไหร่หนอ?? จากคุณ : nuclearmedicine - [ วันสิ้นปี 01:25:50 ]

ความคิดเห็นที่ 34 น่าสนใจครับ จากคุณ : เซล - [ วันสิ้นปี 01:26:47 ]

ความคิดเห็นที่ 35 โบนัส ปตท. ปีนี้ 6 เดือนครับ ทราบหรือยังครับว่าผลกำไรกลับคืนไปสู่ใคร จากคุณ : เพชรปู - [ วันสิ้นปี 09:32:05 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ฮ่าๆๆ จากคุณ : ม้าหงอย - [ วันสิ้นปี 10:12:45 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อย่างที่สอง Mathew คาดการณ์ถึงสิ่งที่จะมาช่วยทดแทนน้ำมันดิบไว้ต่ำมาก อาจเป็นเพราะ ทฤษฎีที่เป็นต้นแบบ ของ King Hubert นั้น ใช้เพื่อพยากรณ์ peak oil ของการผลิตน้ำมันภายในประเทศของสหรัฐ ซึ่งมีเงื่อนไขที่ไม่เหมือนกัน เพราะกรณีของสหรัฐนั้น ยังมีทางออก เพราะรู้ว่าเมื่อผ่านจุด peak oil ก็ยังสามารถสั่งซื้อน้ำมันดิบจากต่างประเทศได้ จึงไม่มีความคิดจะหันไปหา non-conventional oil หรือ extreme oil แต่กรณี peak oil ของโลกนั้นมีเงื่อนไขที่ต่างออกไป เรายังไม่พบมนุษย์ต่างดาวที่ยินดีจะขายน้ำมันดิบให้ชาวโลก ดังนั้นพลังงานทางเลือกในรูปแบบต่างๆ จึงเป็นทางออกที่จำต้องฝ่าไปให้ได้ ในแบบจำลองแรกๆของ Mathew ที่เผยแพร่ก่อนปี 2000 ให้ศักยภาพของ non-conventional oil ไว้สูงสุดแค่ 2 ล้านบาเรลต่อวัน และให้ศักยภาพของ extreme oil ซึ่งหมายถึงแหล่งน้ำมันดิบธรรมดา แต่ที่อยู่ในสถานที่ ที่พัฒนาได้ยาก ไว้สูงสุดแค่ 2 ล้านบาเรลต่อวันเช่นกัน แต่แนวโน้มในปัจจุบัน non-conventional oil ได้แก่ tar oil, tar sand, oil shale ที่ได้กล่าวถึงไปบ้างในตอนแรก มีแนวโน้มจะสามารถผลิตได้มากกว่าแบบจำลอง ไม่น้อยกว่า 2 เท่า ส่วน extreme oil ซึ่งได้แก่ polar oil และ ultra deep water oil ก็มีแนวโน้มจะสามารถผลิตได้ดีกว่ามากเช่นกัน ในกรณีของแหล่งน้ำมันจากทะเลลึก ultra deep water คนส่วนใหญ่ ยังติดกับความรู้ของเมื่อยี่สิบปีก่อน จากความรู้ในชั้นเรียน ที่เชื่อว่าน้ำมันเกิดจากการสะสมตะกอนในเขตน้ำตื้นแถบไหล่ทวีป แต่ปัจจุบันพบแล้วว่าในเขตทะเลลึก ก็มีแหล่งน้ำมันด้วยเช่นกัน การสำรวจจนถึงปัจจุบัน เชื่อว่าน้ำมัน 10% ของโลกอยู่ในเขตทะเลลึก สามประเทศที่ ล่วงหน้า ในการสำรวจทะเลลึกมากที่สุด คือ สหรัฐ บราซิล และอังโกล่า ปัจจุบันมีกำลังผลิตจากทะเลลึกรวมกันราวๆ 3 ล้านบาเรลต่อวัน และเมื่อคำนวณรวมโครงการต่างๆ ที่อยู่ในระหว่างก่อสร้างในประเทศต่างๆ   กำลังการผลิตจากทะเลลึก จะเพิ่มขึ้นเป็น 8.5 ล้านบาเรล ในปี 2008-2010 ต่อวันหลัง..ช่วงปีใหม่ไม่ค่อยว่างครับ แก้ไขเมื่อ 01 ม.ค. 49 21:05:46 แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 48 12:55:36 จากคุณ : กาลามะชน - [ วันสิ้นปี 12:45:57 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ต้องโหวตเท่านั้น เรื่องดีๆแบบนี้ จากคุณ : หมาร่าหมาหรอด - [ วันสิ้นปี 15:21:40 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอโหวตด้วย กระทู้ดีมีสาระแบบนี้ปล่อยให้ตกไปไม่ได้ จากคุณ : Skalidis - [ วันสิ้นปี 15:45:44 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ชอบข้อมูล และการตั้งประเด็นกระทู้ของคุณกาลามะชน  ครับ รวบรวมมานำเสนอใน บอร์ดสาธารณะ และ  เป็นข้อมูลทางวิชาการ  ที่นำเสนอได้น่าสนใจ สำหรับคนไม่มีเวลาหาข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับโอกาสและพลังงานทางเลือก ผมเห็น ว่า ถ้าใช้คำว่า""น้ำมันจะถูกลง""  แล้วนำเสนอข้อมูลสนับสนุนการตั้งข้อสังเกตุนั้น  ผมอ่านแล้วค่อนข้างเห็นด้วย และเห็นว่าเป็นการตั้งข้อสังเกตุไว้น่าสนใจ  แต่ถ้าขนาดฟันธงว่า ปี 49? ผมว่าเป็นการชี้ชัดฟันธงที่เกินจริงไป?   เพราะเงื่อนไขปัจจัยราคาน้ำมันโลก ตอนนี้ยังไม่เข้าสู่สภาวะ "เสถียร"  เพราะ ตัวแปรหลายอย่างมันยังไม่นิ่งได้เร็ว ขนาดนั้น รวมไปถึงตัวแปรที่จะเป็นเงื่อนไขต่อปัจจัยของราคา  ยังมีความอ่อนไหวเช่น วิบัติภัย หรือกับเหตุการณ์ต่างๆของโลก  ที่ไม่มีใครการันตี ต่อเหตุที่จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบปีที่แล้วได้อีก และเมื่อคิดรวมไปถึงความต้องการในการบริโภคน้ำมัน พลังงาน  ที่เพิ่มขึ้น อย่างมีสัดส่วนที่มากเกินกว่า ปัจจัย ความคิดเห็นที่ 1ของคุณกาลามะชน   เพราะพลังงานทางเลือกยังต้องปรับตัวอีกนาน  และnon-conventional oil   ทั้ง tar oil และ tar sand   นั้นอาจจะเป็นทางเลือก ของคนอื่น และยังหาตัวเองอยู่อีกนาน  หรือได้ก็น่าจะเป็นการผูกขาดไม่ต่างจาก แหล่งพลังงาน เดิม คือพลังงานจากฟอสซิล(น้ำมันดิบ)มันไม่ใช่จมูกเรา   ผมจึงเห็นว่ามันมีแนวโน้มในทิศทางภาพรวมน่าจะลง  แต่ไม่อยากให้ฟันธงว่า 49(ไม่ใช่ลงระดับ 1บาทหรือขยับราคาระดับสตางค์น่ะ)เพราะลงในที่นี้ของผมหมายถึงลงมาในระดับ ก่อนวิกฤต แต่ข้อมูลแบบนี้จำเป็นมาก สำหรับการวางแผนวางนโยบาย ความมั่นคงทางพลังงาน ของเราให้หลุดออกมาจากสภาพ หรือแผนพลังงานแบบ  "ตำข้าวสารกรอกหม้อ"(เรื่องนี้ผมพูดไว้นาน และหลายครั้ง หลายกระทู้จึงไม่อยากพูดซ้ำ  แผนพลังงาน ที่ผมเห็นว่าไปไม่รอดแน่)   จนช่วงก่อนวิกฤตผมเห็นนโยบาย"กระสอบทรายไว้กันน้ำท่วมพันปี"(อุ้มราคา)  นั้น เอาไม่อยู่แน่ตอนนั้นถึงขนาด  ท้าให้เผาแผนนั้นทิ้งเสีย (ถ้าเขียนได้ไม่ดีกว่านี้จะเขียนให้ใหม่) ยอมรับว่าโม้ ตอนนั้น เพราะรู้สึกว่ามันไม่ผ่าน ไม่รอดแน่ๆ และความไม่รอดนั้นเดือดร้อนส่งผลกระทบไปทุกภาคส่วน กันแบบน้ำท่วมพันปีแน่ๆ เพราะแผนนั้นมันตำข้าวสารกรอกหม้อจนเกินไป และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ จีน,ญี่ปุ่น เขาก็ยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ  แต่แผนพลังงานเขาเป็นเขื่อน(อย่างไรพูดหลายครั้งแล้ว)  ปัญหาตอนนี้คือเราต้องแก้ไขเหตุปัจจัยของราคาที่มาจากตัวเรา  หรือการบริหารจัดการ ในเรื่องโครงสร้างของราคา  เพราะโครงสร้างของราคาเราซื้อ หรือจัดหา ผ่านระบบผูกขาดด้วยทุนนิยมที่ทุบกันอย่างเสรีจนเกินไป แยกออกมาให้เข้าใจง่ายๆก็คือซื้อพลังงานผ่านนายหน้าหลายต่อ(รวมนักปั่นราคา) และขาดความหลากหลายในการเข้าถึงความร่วมมือที่มีพลังจนเป็น ความร่วมมือแบบการจัดหาพลังงานจากการค้าต่างตอบแทน (แต่ถ้าเราเช้งผ่าน ปตท หรือผูกขาดการจัดหาให้ระดับบ.ไปจัดการเองนั้น ความร่วมมือหรืออำนาจการต่อรองน้อย  (ผมพูดเรื่องนี้ไว้นานและตอนนี้เขาเริ่มขยับตูดแล้ว  ก็ถือว่าดีที่เขาพยายามใช้มุกนี้เจรจาเป้นความร่วมมือระดับประเทศ)   แต่ก็ยากแล้ว บ่อพลังงานมันขุ่นแล้ว(อเมริกาเข้าไปกวน) ทุกคนระวังตัวจนถึงเห็นแก่ตัวมากขึ้นจึงทำอะไร?ยากขึ้น  เราช้าไป??? จนถึงจัดหาพลังงานโดยไม่เอาจมูกที่เช่าเขานี้ไปใกล้ชิดติดตูด การผูกขาดด้วยทุนนิยมอย่างเสรี  ให้เป็นเหยื่อปังตอของเฮดฟัน รวมหัวกันปั่นราคา จนถึงนายหน้าหลายต่อ( ผ่านป.ต.ทๆก็จัดหาแบบผู้ขาดผ่านนายหน้าสิงคโปรค์แบบผลประโยชน์ต่างตอบแทนระหว่างบ.กับบ.อีกที)  ระบบทุนนิยมอย่างเสรีปั่นราคาอีกที ก้อนราคามันถึงได้พอกหนาจากการจัดหาพลังงานผ่านนายหน้าหลาย ต่อ จนก้อนราคากลิ้งทับประชาชน  นี่คือเราลดเงื่อนไขที่จะโยงไปถึงปัจจัยของราคาที่ตัวเราก่อน  เห็นใจน่ะว่าป.ต.ทเขา บ.ก็ต้องทำกำไรทเพื่อความอยู่รอด   แต่ ไม่ใช่ ให้เป็นเงื่อนไข ให้ใครมาผูกขาด โครงสร้างราคาแบบนี้ การปลูกจมูกไว้หายใจ(พลังงานทดแทน)  สิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด ก็คือการปลูกพลังงาน จากที่เรามีฐานทางการเกษตรที่แข็งแรง นี่แหล่ะ จริงๆพื้นฐานตรงนี้ถ้าดึงเอาศักยภาพประเทศเพื่อนบ้าน  ผ่านความร่วมมือกันอย่างมีวิสัยทรรศน์ จนเราเป็นศูนย์กลางผู้กำหนดแผนที่เป้าหมาย ศักยภาพเราถึงขนาด บราซิล หรือส่งออกเลย??? แต่เราดองเค็มศักยภาพตรงนี้ไว้ (เพราะแผนพลังงานแบบตำข้าวสารกรอกหม้อ หลักฐาน ก็ภาษีสรรพสามิตร แอลกอฮอล์ พึ่งจะมา ปลดโซ่พันธนาการ เอธานอลหรือแกสโซฮอล์ แม้แต่ไบโอดีเซล ชาวบ้านดิ้นรน เอาไปผลิตเองใช้เอง ยังถูกจับข้อหาลิขสิทธิ์ติดคุกเอง   ผมเศร้าใจกับนักวิจัย รางวัลระดับประเทศ  แต่รางวัลสำหรับความดิ้นรนหาทางเลือกทางรอดของตัวเอง คือ ""คุก "" แต่เมื่อ จะกลับไปใช้  มันก็ต้องกู้ซาก นั้นคือต้องใช้เวลาในการหาตัวเองอีกนานทั้งที่มันมีอยู่แล้วเป็นของเราแล้ว  แถมเรื่องนี้มีความพยายามที่จะดีสเครดิต โครงการพลังงานทดแทน หลายอย่าง   เพราะผลประโยชน์ ที่เซ้งหรือสัมปะทานผูกขาดเอาไว้   ปล่อยให้ใครเอาไปปลูกพลังงานใช้เองง่ายๆได้งัย?  ค่าต๋งฉันล่ะ?  ลิขสิทธิ์บ้าง ค่าต๋งบ้าง ใครจะปล่อยไปง่ายๆ  หรือถ้าจะมาเอามาเก็บตอนนี้มันก็น่าเกลียดกระแสความเดือดร้อนนี้ก็มากพอแล้ว  มันเลย กักกันตรงนี้อยู่หรือเปล่าทำให้แผนพลังงานทดแทนมัน ไม่คืบหน้าตามความต้องการหรือความน่าจะเป็น ถ้าข้อมูลผมเป็นการตั้งข้อสังเกตุกึ่งคำถาม ถ้ามันไม่ชัดเจน  ภาคประชาชนก็ช่วยกันตรวจสอบอีกที ผมเองก็ไม่อยากจะ ตั้งคำถามแบบกล่าวหาใครแบบนี้เหมือนกัน  แต่ความเดือดร้อนมันมีและเป็นเงื่อนไขส่งมาเป็นคำถามเพื่อไปเป็นทางรอดทางเลือกของประเทศ ด้วย ถ้าไม่ใช่ก็ขอคำตอบที่ชัดเจนออกมา??? จากคุณ : ขอชื่ออะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ วันสิ้นปี 15:59:21 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ชอบกระทู้แบบนี้จัง เอาข้อมูล เหตุผลมาคุยกัน โหวตให้ครับ โดยส่วนตัวยังเชื่อว่าราคาจะยังไม่ลงมาง่ายๆ หรอกครับ ยิ่งปีหน้ายิ่งไม่น่าเป็นไปได้ เอาแค่ง่ายๆ ราคาในตลาด Futures ที่จะส่งมอบในปีนี้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะตกเลย Demand ยังเยอะมาก โดยเฉพาะ ดีมานด์หลอกๆ จากการเก็งกำไร จากคุณ : m_ple - [ 2 ม.ค. 49 00:16:44 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อย่างนี้ต้องลดปริมาณมนุษย์แบบฉับพลันทันทีทันใดซะแล้วล่ะ น่าเอาให้เหลือสัก1ในสิบก็พอ บรืนๆๆ~ จากคุณ : มนุษย์บ้าสงคราม lol~ (Jinx D Wednesday) - [ 2 ม.ค. 49 03:55:56 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ในมุมมองของเรา คนไทยผู้ใช้น้ำมัน.. เรามุ่งถึงหลักการทำเองใช้เอง ในทิศทางที่เราทำได้คือ พลังงานทดแทนจากพืช ได้แก่ แกสโซฮอล และไบโอดีเซล แต่ในมุมมองของฝ่ายอุตสาหกรรม จะมองความเป็นไปได้ในเชิงเทคโนโลยีและราคา ในมุมมองของฝ่ายอุตสาหกรรม สิ่งที่มาแทนน้ำมัน มีสองทางเลือกที่สูสีกันมาก คือ non-conventional oil 2 ชนิด คือ tar oil และ tar sand และเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (synthetic fuel) จากกาซธรรมชาติและถ่านหิน ในบรรดาทั้งหมดนี้ สิ่งที่เป็นไปได้สูงสุดคือ เชื้อเพลิงสังเคราะห์จากกาซธรรมชาติ บางประเทศ ไม่ยอมรับการใช้กาซธรรมชาติในรถยนต์ ไม่สนใจว่าจะใช้ถังดีวิเศษ เหล็กหนาแค่ไหน ก็ไม่อนุญาตทั้งสิ้น เพราะเขาถือว่าการที่มีถังกาซอยู่ในรถยนต์นั้น อันตรายเกินไป ทางเดียวที่จะเอากาซธรรมชาติมาใช้ในรถยนต์ได้ คือเปลี่ยนให้เป็นของเหลว เพื่อนๆคงทราบดีว่ากระบวนการเคมี สามารถจับรวม โมเลกุลไฮโดรคาร์บอนเบาๆทำให้ใหญ่ขึ้น หรือทำให้โมเลกุลขนาดใหญ่แตกออกเล็กลงได้ เพราะมวลกาซธรรมชาติ ยังมีมากเป็น 2 เท่าของน้ำมันดิบ แบบจำลองบางราย ประเมินว่ากาซธรรมชาติ จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆเข้ามาทดแทนน้ำมันดิบ ทีละน้อย เสริมส่วนที่ขาดได้อย่างพอดี เมื่อใดที่ peak oil มาถึง ถ้าต้องการเชื้อเพลิงเหลวจากกาซธรรมชาติมาทดแทน ศักยภาพ GTL เท่าที่มีในปัจจุบัน มีประมาณ 35 ล้านบาเรลต่อวัน มาเลเซีย ทั้งๆที่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบ ยังตั้งโรงงาน GTL (Gas-To-Liquid) โดยเทคโนโลยีของ Shell โรงงานต้นแบบ มีกำลังการผลิต 12,000 บาเรลต่อวัน สร้างเสร็จเรียบร้อย และเริ่มเดินเครื่องเรียบร้อยแล้ว แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 49 22:12:25 จากคุณ : กาลามะชน - [ 2 ม.ค. 49 11:05:17 ]

ความคิดเห็นที่ 46 อืมน่าสนใจมากคุณ"กาลามะชน "ผมสนใจเรื่องGas-To-Liquid (GTL)เพราะ เรามีฐานตรงนี้ค่อนข้างดี(ก้าซธรรมชาติมีเป็นจมูกทางพลังงานได้ระดับหนึ่งและจัดหาเพิ่มเติมกับประเทศเพื่อนบ้านได้อีกเยอะ) แต่กระบวนการที่จะนำมาผลิตในเชิงพาณิชย์ มันยังเป็นเปเปอร์ในห้องแล็ป ความเป็นจริงในภาคการผลิต จนถึงปัญหาอุปสรรค์อื่นๆ  จนโฟกัสมาที่เราเข้าถึง เทคโนโลยี่อันนี้ จน ถึงมันจะเป็นทางเลือกจริงๆของเราได้เมื่อไหร่อย่างไร? เรื่องนี้น่าสนใจน่ะ ในโอกาสความเป็นไปได้ของการสร้างจมูกตัวเองไว้หายใจ กว่าnon-conventional oil   เพราะอันนี้มันมีที่มาและพื้นฐานหรือแหล่งผลิตฐานการผลิตเดียวกับ กลุ่ม พลังงานจากฟอสซิล(น้ำมันดิบ)  ที่สรุปแล้วก็จมูกเขาอยู่ดี? มันอ้อมเกินไปสำหรับเรา  แต่ถ้าคนอื่นมีการผลิต เพิ่มเข้าสู่ตลาดหรือระบบเยอะ  ตามหลักเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์อุปทาน จนเป็นเงื่อนไขที่จะเป็นปัจจัยไปสู่ ราคา  มีผลกับราคาพลังงานที่จะลดหรือเพิ่มได้แน่นอน แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นจริง ๆและน่าจะเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนก็คือเราจะต้องเร่งสร้างจมุกทางพลังงานไว้หายใจ  เรื่องนี้(GTL (Gas-To-Liquid)จึงน่าสนใจ แต่มันเป็นห่วงว่ามันจะเป็น ความหวังลมแล้งๆเดียวกับ  มีคนไทยคนหนึ่ง ที่คิดวิธีสังเคราะห์ น้ำมันจากขยะ  เป็นผลสำเร็จจนจดลิขสิทธ์ไปเรียบร้อยแล้ว แต่การผลิตใช้จริง นั้น มันอยู่ตรงไหน? จากคุณ : ขอชื่ออะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 2 ม.ค. 49 12:43:39 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ผม มีความเห็นตั้งแต่แรกว่า GTL เป็นทางเลือกที่ดีของไทย มันเป็นแค่โครงการในกระดาษสำหรับคนไทย เพราะเราไม่เคยคิดถึงมัน ทั้งๆที่โรงงาน GTL ทำสำเร็จไปแล้ว สามสี่ราย มีกำลังการผลิตรวม 160,000 บาเรลต่อวัน และมีโรงงานกำลังก่อสร้างอีก ร่วมล้านบาเรลต่อวัน เราน่าจะคิดเรื่องนี้มานาน แต่อาจเป็นเพราะเรามีกาซไม่พอ ต้องนำเข้า แต่ถ้าพิจารณาให้ดี เราใช้กาซ เผาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตไฟฟ้ามากไป เราควรจะใช้พลังงานอย่างอื่นผลิตไฟฟ้า เช่น ถ่านหิน ให้มากขึ้น หรือใช้พลังงานลม รวมทั้งอาจมองไกลไปถึงพลังงานนิวเครียร์ จะอะไรก็ได้ ที่จะช่วยให้เรามีกาซธรรมชาติเหลือพอที่จะใช้ทำ GTL ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดจะผลิตเชื้อเพลิงเหลวจากพืช เช่นไบโอดีเซล <<เพราะเราได้น้ำมันจากส่วนที่เป็นผล เป็นเพียงเปอร์เซนต์เล็กๆ ของมวลต้นไม้ทั้งต้น>> เราน่าจะเอาพื้นที่ตั้งใจจะใช้ปลูกพืชน้ำมัน ไปปลูกไม้โตเร็ว การปลูกไม้โตเร็ว นั้นง่าย มีความเสี่ยงต่ำ ใช้น้ำน้อย และปลูกได้ในพื้นที่ที่หลากหลาย จะได้ใช้ประโยชน์จากมวลสารของต้นไม้ทั้งต้น เผาเพื่อผลิตไฟฟ้า แล้วก็เอากาซธรรมชาติ ที่สงวนได้ จากการปลูกไม้โตเร็ว ไปทำเป็น GTL ผมคิดว่า เราน่าจะได้ประสิทธิภาพ เป็นเชื้อเพลิงเหลวต่อพื้นที่ที่ดิน มากกว่า มีข้อมูลตัวอย่าง  โรงงานมาตรฐานขนาดเล็กของ Syntroleum ใช้กาซธรรมชาติ 175 ล้าน ลบ.ฟุต ผลิตไฮโดรคาร์บอนเหลวได้ 20,400 บาเรลต่อวัน แยกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซินดีเซล 8,700 บาเรล ที่เหลือเป็น LPG 4,400 และ naptha 7,300 แต่อัตราส่วนนี้ เข้าใจว่าปรับได้นิดหน่อย ว่าจะอยากจะให้ผลผลิตเป็นอะไรมาก ค่าลงทุนตอนแรก 400-500 ล้านเหรียญ และค่าใช้จ่ายต่อวันประมาณ 8 หมื่นเหรียญ อนึ่ง โรงงานของ Syntroleum มีประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำ เพราะใช้ อากาศธรรมดา เป็นตัวสันดาปในกระบวนการ F-T process ย่อมจะสู้โรงงานของเจ้าอื่น ที่ใช้ออกซิเจนบริสุทธิในกระบวนการไม่ได้ แต่ก็เหมาะกับโครงการขนาดเล็ก ที่ไม่คุ้มจะตั้งโรงงานผลิตออกซิเจน ในขณะที่โรงงานที่ใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์ ควรจะมีขนาด 50,000 บาเรลต่อวันขึ้นไป ลองดูรายละเอียดใน link พอให้เห็นเป็นตัวอย่าง http://www.syntroleum.com/media/SYNM%20Media/04.09.02%20Mid-Project%20Update.pdf แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 49 14:51:22 แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 49 13:18:11 จากคุณ : กาลามะชน - [ 2 ม.ค. 49 13:07:59 ]

ความคิดเห็นที่ 48 การปลูกเชื้อเพลิง จากพื้นดิน แบบชิ่งสองทอด คือปลูกไม้โตเร็วไปทดแทนกาซธรรมชาติ แล้วเอากาซธรรมชาติไปทำ GTL เป็นความคิดที่ซับซ้อนกว่าการปลูกพืชน้ำมันโดยตรง แต่ผมคิดว่าน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 49 15:00:06 แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 49 14:53:16 จากคุณ : กาลามะชน - [ 2 ม.ค. 49 13:25:12 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ขอย้อนมาพูดถึงกำลังการผลิตน้ำมัน ปัจจุบัน OPEC ประกอบด้วย 11 ประเทศ และกำลังการผลิตในเดือน พย. 2005 1 ซาอุดิอาระเบีย       -  9.50 2 อิหร่าน                 -  3.95 3 อิรัก                     -  1.85 4 คูเวต                    -  2.60 5 สหรัฐอาหรับอิมิเรท  -  2.50 6 การ์ตาร์                 -  0.80 7 ลิเบีย                    -  1.65 8 อัลจีเรีย                 -  1.38 9 ไนจีเรีย                 -  2.50 10 เวเนซูเอล่า           -  2.50 11 อินโดนีเซีย           -  0.92 จากคุณ : กาลามะชน - [ 2 ม.ค. 49 15:30:46 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ถ้ามองเฉพาะกำลังการส่งออก โดยคิดรวมถึง condensate ด้วย ของประเทศที่มีกำลังการส่งออก ประมาณ 1 ล้านบาเรลต่อวัน จะเป็นตามนี้ 1)  Saudi Arabia             - 8.73 2)  Russia                      - 6.67 3)  Norway                     - 2.91 4)  Iran                          - 2.55 5)  Venezuela                 - 2.36 6)  United Arab Emirates -  2.33 7)  Kuwait                      - 2.20 8)  Nigeria                      - 2.19 9)  Mexico                      - 1.80 10)  Algeria                    - 1.68 11)  Iraq                        - 1.48 12)  Libya                       - 1.34 13)  Kazakhstan              - 1.06 14)  Qatar                      - 1.02 จากคุณ : กาลามะชน - [ 2 ม.ค. 49 15:51:18 ]

ความคิดเห็นที่ 51 มุมของการทดแทนพลังงาน อย่ามองแต่การหาอะไรแทนน้ำมันด้านเดียว มุมด้านประหยัดน้ำมันก็น่าจะมองด้วย อย่างไฟฟ้า เขาทำได้ผลดีพอควร เพียงแต่การ update เบอร์ 5 ทำช้าไปเท่านั้น ตอนนี้ทำไปทำมา แอร์ทุกยี่ห้อได้เบอร์ 5 หมด ออฟฟิสผมเพิ่งทำเป็นเรื่องเป็นราวปีที่ผ่านมา ลงมาได้ราว 30 เปอร์เซนต์ ถ้ารถยนต์ เครื่องจักรกล ทำแบบเดียวกัน ก็คงประหยัดได้อีกมาก แล้วก็อย่าไปเน้นแต่ที่เครื่องยนต์ loss จริงๆอยู่ที่ transmission มากกว่า ส่วนเรื่องการทดแทนน้ำมันรูปอื่นก็ทำไปเถอะครับ แต่เรื่องการใช้ชีวมวลไปผลิตไฟฟ้า ผมว่าต้นทุนไม้โตเร็ว คงสูงกว่าแกลบ กับซังข้าวโพดจนเทียบไม่ติด โอกาสที่จะแพร่หลายน่าจะต่ำมาก ส่วนโอกาสของ GLT ในไทย มันหมดไปแล้วตั้งแต่ CNG ลงรถเก๋งแล้วละครับ ขนาดตูมตามไปรอบ ยังเฉยๆกันทั้งประเทศ จากคุณ : Pom.com - [ 2 ม.ค. 49 19:24:52 ]

ความคิดเห็นที่ 52 สำหรับคุณขอชื่ออะตอม ผมว่าอย่ามองรัฐหรือ ปตท.ในแง่ร้ายเลยครับ เห็นว่าเขามาหลายกระทู้แล้ว ไม่มีใครเขากักกันอะไรหรอกครับ เพียงแต่คนที่เชียร์ไม่สามารถหาคำชี้แจงที่มีเหตุผลมาแย้งคนที่ค้านได้ รัฐเลยไม่สามารถจะผลักดันอะไรได้แบบที่ฝ่ายเชียร์ต้องการ เชื่อไหมครับ การพยายามแก้ปัญหาพลังงานทดแทนน้ำมันนี่ หน่วยงานที่ถูกรัฐมอบหมายให้พยายามหาทางให้เป็นไปได้จริง ทุกวันนี้ก็หนีไม่พ้น ปตท. กับหน่วยงานวิชาการที่ออกมาค้าน แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 49 22:54:28 จากคุณ : Pom.com - [ 2 ม.ค. 49 19:47:18 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ครับคุณPom.com  (บังเอิญว่าพาดพิงตรงๆเอ่ยชื่อผม)ผมยังไม่ทราบที่คุณว่าผมไปว่าเขาในแง่ร้ายเกินไป? ส่วนไหนบ้าง ครับ ถ้าพูดลอยๆ รวมๆไม่ชัดเจนแบบนี้ จะให้ผมชี้แจงคุณยังงัย ? บังเอิญว่าผมชอบคุยกันด้วยเหตุด้วยผล  แลกเปลี่ยนสนทนา กันจนถึงแลกหมัดทางความคิด(อย่างอื่นไม่เอา) ส่วนเรื่องประหยัดนั้นเป็นเรื่องของปลายเหตุ แล้ว ประเด็นของผมคือเรื่อง"ตำข้าวสารกรอกหม้อ"  ไม่ใช่เรื่องกู้ซาก แน่นอนปัจจุบันในทางปฎิบัติมิติของการกู้ซากนั้นสำคัญเพราะเราต้องอยู่ได้ด้วยความจริงของปัจจุบัน  และความผิดพลาดที่แล้วมา มันควรจะเป็นบทเรียนไปสู่มิติของการเตรียมการ บริหารจัดการที่ดี ไม่ประมาท(ไม่ใช่ไปด่ากล่าวหาหรือจับผิดให้ร้ายใคร) ผมกำลังตั้งคำถามเพื่อจะนำไปสู่มาตรในทางการป้องกันหรือหาทางออกร่วมกัน กับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดซ้ำกับเรื่องแบบนี้ เช่นมาตรการเตือนภัย สซึนามิ หรือมาตรการแบบเขื่อน กับโจทย์ คลื่นยักษ์หรือน้ำท่วมพันปี แค่กระสอบทรายแบบตำข้าวสารกรอกหม้อมันเอาไม่อยู่หรอก ผมกำลังพูดถึงเรื่องแบบนี้ กู้ซากมันปลายเหตุ  กับการที่เราไม่หาอะไร?หรือตั้งคำถามอะไร?กับผลที่เป็นซากปรักหักพัง ความเสียหายจากน้ำท่วมพันปี ส่งผลกระทบไปถึงทุกภาคส่วน แบบเต็มๆ อย่างนี้ เฉยๆยอมรับ และก้มหน้ารับกรรมกับ ความน่าจะเป็นที่มันจะมาอีก  ถ้าเราไม่ป้องกัน ข้อสังเกตุจนถึงคำถามผมนั้น  มันต้องการคำตอบที่ชัดเจนกว่าคำว่ามองในแง่ร้าย  มันง่ายไปและไม่มีที่มาที่ไปในคำตอบแบบนั้น เป็นคำพุดเหมือนปิดประชุม ยกเลิกการสนทนา ผมตั้งคำถามเพราะมันมีเหตุ ไปสู่ข้อสงสัยนั้น  ถ้าคุณสรุปว่ามันเป็นแง่ร้าย คุณต้องมีคำตอบที่เป็นผลสรุปสุดท้าย มาก่อนถึงจะใช้คำแบบนี้มาชี้ชัดใคร ผมเป็นคนที่เปิดกว้างและยอมรับกับเหตุผล หรือความคิดเห็นที่ถูกต้องกว่า เพราะที่นี่และไม่มีเรื่องของภาพลักษณ์หน้าตากันอยู่แล้ว เราคุยกันผ่าน PC   ไม่ได้ทราบหน้าตาภูมิหลังของคนที่คุยอยู่อีกฟาก ผมจึงเห็นว่าการสนทนาดีกว่าน่ะคำว่าแลกหมัดทางความคิดฟังดู เหมือนแข่งขัน แต่ที่นี่เรามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ทุกข้อมูลจึงเป็นความคิดเห็น ที่มีค่าในวงสนทนา เพราะเราเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิ์ ร่วมสนทนาถูกผิด จึงอยู่ที่เหตุผลของข้อเท็จจริงที่ความถูกต้องกว่า สมมุติฐานเบื้องต้นจึงต้อง จึงต้องให้ทุกความคิดเห็นเป็นข้อมูลเบื้องต้น และควรเคารพทุกความคิดเห็น จนกว่าจะหาเหตุผลมาชี้ชัด สิ่งที่ถูกต้องจริงเพื่อเป็นทางออกร่วมกัน??? จากคุณ : ขอชื่ออะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 3 ม.ค. 49 11:21:51 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ผมโค๊ดมาตรงๆเลยก็แล้วกัน ที่คุณไปว่า ปตท. "จนถึงจัดหาพลังงานโดยไม่เอาจมูกที่เช่าเขานี้ไปใกล้ชิดติดตูด การผูกขาดด้วยทุนนิยมอย่างเสรี  ให้เป็นเหยื่อปังตอของเฮดฟัน รวมหัวกันปั่นราคา จนถึงนายหน้าหลายต่อ( ผ่านป.ต.ทๆก็จัดหาแบบผู้ขาดผ่านนายหน้าสิงคโปรค์แบบผลประโยชน์ต่างตอบแทนระหว่างบ.กับบ.อีกที)  ระบบทุนนิยมอย่างเสรีปั่นราคาอีกที ก้อนราคามันถึงได้พอกหนาจากการจัดหาพลังงานผ่านนายหน้าหลาย ต่อ จนก้อนราคากลิ้งทับประชาชน  นี่คือเราลดเงื่อนไขที่จะโยงไปถึงปัจจัยของราคาที่ตัวเราก่อน  เห็นใจน่ะว่าป.ต.ทเขา บ.ก็ต้องทำกำไรทเพื่อความอยู่รอด   แต่ ไม่ใช่ ให้เป็นเงื่อนไข ให้ใครมาผูกขาด โครงสร้างราคาแบบนี้" ส่วนที่ไปว่าหน่วยงานรัฐ "แต่เราดองเค็มศักยภาพตรงนี้ไว้ (เพราะแผนพลังงานแบบตำข้าวสารกรอกหม้อ หลักฐาน ก็ภาษีสรรพสามิตร แอลกอฮอล์ พึ่งจะมา ปลดโซ่พันธนาการ เอธานอลหรือแกสโซฮอล์ แม้แต่ไบโอดีเซล ชาวบ้านดิ้นรน เอาไปผลิตเองใช้เอง ยังถูกจับข้อหาลิขสิทธิ์ติดคุกเอง   ผมเศร้าใจกับนักวิจัย รางวัลระดับประเทศ  แต่รางวัลสำหรับความดิ้นรนหาทางเลือกทางรอดของตัวเอง คือ ""คุก "" แต่เมื่อ จะกลับไปใช้  มันก็ต้องกู้ซาก นั้นคือต้องใช้เวลาในการหาตัวเองอีกนานทั้งที่มันมีอยู่แล้วเป็นของเราแล้ว  แถมเรื่องนี้มีความพยายามที่จะดีสเครดิต โครงการพลังงานทดแทน หลายอย่าง   เพราะผลประโยชน์ ที่เซ้งหรือสัมปะทานผูกขาดเอาไว้   ปล่อยให้ใครเอาไปปลูกพลังงานใช้เองง่ายๆได้งัย?  ค่าต๋งฉันล่ะ?  ลิขสิทธิ์บ้าง ค่าต๋งบ้าง ใครจะปล่อยไปง่ายๆ  หรือถ้าจะมาเอามาเก็บตอนนี้มันก็น่าเกลียดกระแสความเดือดร้อนนี้ก็มากพอแล้ว  มันเลย กักกันตรงนี้อยู่หรือเปล่าทำให้แผนพลังงานทดแทนมัน ไม่คืบหน้าตามความต้องการหรือความน่าจะเป็น" ขณะที่ความเป็นจริงก็แบบที่ผมบอกละครับ ปตท.เป็นบ.น้ำมันรายใหญ่ที่ให้ความสนับสนุนงานด้านพลังงานทดแทนไม่น้อย ทั้งด้านงานวิจัย และการผลักดันให้มีการใช้จริง ส่วนเรื่องการผูกขาดน้ำมันอะไรนั่น ผมว่าไปกันใหญ่ ปตท.เขาไม่กลัวหรอกครับ เรื่องพลังงานทางเลือก ถ้ามันไปได้จริงเขาก็จับมันมาทำธุรกิจเหมือนเอทานอล ทุกวันนี้โครงสร้างธุรกิจของปตท.ไม่ได้เน้นแต่ขายน้ำมันนะครับ มือดีๆถูกดันไปทำธุรกิจแฝงอื่นๆ เช่น ร้านค้าในปั๊ม ฯลฯ ซึ่งให้ผลประโยชน์ไม่น้อย ส่วนในเรื่องภาครัฐ หลายเรื่องผมว่ามันซับซ้อนมาก การที่ไปคิดว่าคนในอดีตไม่ลดภาษีสรรพสามิตเพราะมีผลประโยชน์ ผมว่าคุณคิดตื้นเกินไป และดูถูกผู้เกี่ยวข้องโดยไม่มีเหตุผล และที่ตัดสินใจไปแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่ว่าการลดภาษีสรรพาสามิตเอทานอล หรือไบโอดีเซล หลายเรื่องเวลาจะพิสูจน์ และตอนนี้ก็เริ่มเห็นแล้ว ประเทศจะได้อะไร เสียอะไร ถ้าสุดท้ายแล้วเราต้องนำเข้าเอทานอลจากบราซิล และน้ำมันปาล์มจากมาเลเซีย ทดแทนการนำเข้าน้ำมัน ในราคาที่แพงกว่าน้ำมัน ผมเชื่อว่ามีนักวิชาการภาครัฐน้อยคนมากที่ค้่านเรื่องพลังงานทางเลือก โดยมีเหตุผลจากผลประโยชน์แบบที่คุณพยายามจะชี้นำ เพราะคงมีนักวิชาการไม่กี่คนหรอกที่มีปัญญาถือหุ้น ปตท.ไว้ในมือ(ถ้าคุณเชื่อว่าปตท.ได้ประโยชน์จากการค้าน)  หรือมีหนทางได้ผลประโยชน์อื่นๆจากการค้านพลังงานทางเลือก กลับกันผมกลับเห็นว่าคนที่สนับสนุนพลังงานทางเลือก และดิสเครดิตคนที่ค้าน คนเหล่านี้จำนวนไม่น้อยต่างหาก ที่มีผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝง(ความจริงหลายคนไม่แอบแฝงด้วยซ้ำ เห็นชัดเจนเลยก็มีมาก) แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 49 14:21:49 จากคุณ : Pom.com - [ 3 ม.ค. 49 14:13:20 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ครับคุณPom.com จับประเด็นผมนำเสนอไม่ถูก ที่ว่ามีการผูกขาดนั้น ผมว่ามันมีการผูกขาดการจัดหา รวมทั้งโครงสร้างราคาส่วนใหญ่ผ่าน ป.ต.ท  คล้ายๆนโยบายความมั่นคง ทางพลังงาน เซ้ง ผ่านการบริหารจัดการทั้งโครงสร้างให้ป.ต.ท ซึ่งก็ต้องผ่านายหน้าหลายต่อ ตามวิธีจัดหา หรือซื้อเข้ามาตามวิธีของบริษัททั่วไป ซึ่งก็อย่างที่ผมพุดไว้หลายครั้ง เรื่องการอ้างนายหน้าสิงคโปร ผ่านการค้าต่างตอบแทนระหว่างบ.ต่อบ. กำไรจึงต้องต่างตอบแทนระหว่างบ.ต่อบ. แล้วบ.สิงคโปร เท่าที่มีข้อมูลก้มีราบชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในป.ต.ทรายใหญ่   ผมจึงสรุปว่าโครงสร้างราคาเราซื้อผ่านนายหน้าหลายต่อ จนก้อนราคากลิ้งทับประชาชน เพราะการจัดหาพลังงานแบบนี้ของป.ต.ท  ก้คือตัวแทนการจัดหาพลังงานส่วนใหญ่ของไทย  ก็ต้องผ่าน การต่อรองระดับบ. หรือตามระบบทุนนิยมโลก  ที่ระบบตรงนี้มีการผูกขาดด้วยระบบทุนนิยมอย่างเสรี(ปัญหาการปั่นราคา) แล้วการจัดหาพลังงานที่เป็นความร่วมร่วมมือทางพลังงานระดับประเทศขนาด ใหญ่มันจะเกิดอำนาจการต่อรองใหญ่ๆไม่ได้ ในระดับ บ.ต่อบ. หรือได้ก็ในระดับความร่วมมือ หรือผลต่างตอบแทน ที่ผ่านนายหน้าอยู่ดี ผมเคยพูดถึงทางเลือกของการวางนโยบายแบบการค้าต่างตอบแทน  แบบเดียวกับประเทศอื่นๆใช้เช่นจีน ใช้ความใหญ่ของประเทศ(ไม่ใช่บ.) ไปเจรจาต่อรอง สร้างความร่วมมือผ่านการค้าต่างตอบแทน จนสามารถ เอาอาวุธปลดประจำการเตรียมโล๊ะ ไปแลกน้ำมันจากอิหร่าน เทียบราคาในระบบตะกร้าราคาแล้ว ถูกกว่าที่เราซื้อ เยอะเลย(ข้อมูลนี้ผมทราบผ่านสื่อ ข้อเท็จจริงไม่กล้ายืนยัน แต่เห็นว่าเป็นมุกหนึ่งหรือแนวคิดหนึ่งที่น่าจะเป็นทางออกต่อเรื่องนี้ ที่น่าสนใจ) นั้นคือทางออกที่หลายหลาย ในความร่วมมือด้านพลังงาน  สิ่งเรานี้จะเกิดขึ้นได้นั้น  ไม่ใช่ระดับบ.กับบ.แน่นอน ผมไม่อยากโม้ว่าผมเคยพูดเรื่องนี้ไว้เยอะจนหลังๆมาเขาเอาไปใช้ ส่วนจะผ่านใครยังงัยผมไม่ทราบ(หลังๆมานี้แต่ช้าไปอเมริกากวนขุ่นไว้แล้วทุกคนระวังตัว จนถึงเห็นแก่ตัวเรื่องพลังงานนี้เราช้าไป)  รวมทั้งแผนพลังงานในงานรากหญ้ารากแก้ว หลายปีก่อนนั้น ส่วนใหญ่ถอดมาจากที่ผมพูดในเน็ต ก่อนหน้านั้น รวมทั้งแผนพลังงานที่อ.จุฬานำเสนอถ้าอันเดียวกับในงาน เหลียวหลังแลหน้านั้น ก็อันเดียวกับแนวคิดผมก่อนหน้านั้นผมไม่กล้ากล่าวหาว่าใครเอาไป แต่ผมแน่ใจว่าพูดก่อน(แต่ถ้ามีกว่านั้นผมไม่รู้เพราะไม่เคยได้อ่าน) ส่วนเรื่องภาษี ฯ ใช่มันมีปัจจัยในมิติอื่นมาเกี่ยวข้อง เช่นเรื่องผลิตเหล้าเถื่อน  แต่เรื่องแบบนี้ ถ้ามีการวางแผน มีแนวคิดจนถึงมองความมั่นคงทางพลังงาน แบบไม่ตำข้าวสารกรอกหม้อจนมีวิสัยทรรศน์ ที่จะปลูกจมูกไว้หายใจ เป็นทางเลือกนั้น ข้ออุสรรคืมันมีนิดเดียวคือไม่คิด??? แก้กฎหมายนี้ กับเรื่องนี้ เมื่อเขาทำจริงแล้วก็ง่ายนิดเดียวแค่ใช้แก้ไขยกเว้นเพิ่มเติม มันไม่ใช่ปัญหาอุปสรรค์ ที่ตรงนี้แต่ปัญหาจริงๆคือเราไม่ได้เห็นหรือให้ความสำคัญมันต่างหากทั้งที่ หลังๆมา มีคนพยายาม จะเสนอปลูกจมูกนี้ไว้หายใจ จนได้ฉายามีสเตอร์เอธานอล(ส.ส อลงกรณ์  ) เปลี่ยนรัฐบาลก็ถูกดร้อปไปพูดถึงเรื่องอื่น ผลงานที่แท้จริงของชุดนี้ก็แค่พึ่งจะมาแก้กฎหมายสรรพสามิตรแอลกอฮอล์ เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง อันนี้คือ พันธนาการสำคัญที่เกิดจากวิธีคิดวิธีวางแผนขาดวิสัยทรรศน์ ผมคิดตื้นหรือเขาคิดตื้นกันแน่??? กับข้อความนี้ """ผมเชื่อว่ามีนักวิชาการภาครัฐน้อยคนมากที่ค้่านเรื่องพลังงานทางเลือก โดยมีเหตุผลจากผลประโยชน์แบบที่คุณพยายามจะชี้นำ เพราะคงมีนักวิชาการไม่กี่คนหรอกที่มีปัญญาถือหุ้น ปตท.ไว้ในมือ(ถ้าคุณเชื่อว่าปตท.ได้ประโยชน์จากการค้าน)  หรือมีหนทางได้ผลประโยชน์อื่นๆจากการค้านพลังงานทางเลือก""" ผมไม่ได้คิดอะไร?อย่างที่คุณอะไรไปแบบนั้น มันไม่ใช่ความคิดผม แต่น่าจะเป็นความเข้าใจผิดของคุณจึงไม่มีคำตอบหรืออธิบาย และกับอีกข้อความ """ส่วนเรื่องการผูกขาดน้ำมันอะไรนั่น ผมว่าไปกันใหญ่ ปตท.เขาไม่กลัวหรอกครับ เรื่องพลังงานทางเลือก ถ้ามันไปได้จริงเขาก็จับมันมาทำธุรกิจเหมือนเอทานอล """ ผมไม่ได้พูดแบบนั้นว่าเขากลัวหรือไม่กลัว ? แต่ผมบอกว่า แล้วค่า ต๋ง ที่เขาเช้งผ่านรัฐบาลมาแล้วและเรื่องค่าลิขสิทธิ์ นอันนี้ล่ะ จะเอากับใคร? ผมก็อธิบายในคำถามแล้วว่า  ผมตั้งขึ้นมา บนข้อสังเกตุที่ว่า ทำไม่เรื่องนี้ไม่มีความคืบหน้าที่จริงจัง จากป.ต.ท  แต่กลับเป็น บางจาก เป็นผู้นำในการใช้ แกสโซฮอล์  มันสะท้อนความไม่จริงจัง ในบทบาทบ. ผู้ได้รับการเซ้ง ผ่านประชาชนไปก็เท่ากับตัวแทนประชาชน รวมถึงเรื่องนักวิจัยป.4 ชาวบ้านเอาไปใช้แล้วถูกจับ  ส่วนหนึ่งมันมี ปัญหาจาก ที่ ในหลวงเคยเอาไปวิจัย และผลิตใช้ จนมีคนถวายลิขสิทธิ์ แล้วสุดท้ายพระองค์ท่านก็ประทานมาให้แล้ว จะเป็นใครถ้าไม่ใช่ ป.ต.ท เพราะ เขาเซ้ง เรื่องนี้ไว้แล้ว และย่อหน้าสุดท้าย มันเป็นความคิดส่วนตัวของคุณไม่ใช่ของผมจึงไม่คอมเม้นท์ จากคุณ : ขอชื่ออะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 3 ม.ค. 49 15:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 56 คุณขอชื่ออะตอม ประเด็นที่ผมสรุปได้เดิม คือคุณมองว่าการค้านพลังงานทางเลือกมีผลประโยชน์แอบแฝง ตอนแรกที่ผมรวมนักวิชาการภาครัฐไปด้วย เพราะคุณไม่ได้เจาะจงว่าเป็นใครชัดเจน ซึ่งที่ผมเข้าใจอย่างนั้น เพราะในความเป็นจริงคนที่ค้่านหลักๆก็เป็นนักวิชาการภาครัฐละครับ ไม่ว่าจะค้านในมุมของเศรษฐศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ส่วน ปตท.เขาแทบจะไม่เคยมีบทบาทในการค้านเลย รัฐมีนโยบายยังไง เขาก็เดินตามนั้น แต่ถ้าตอนนี้คุณว่าผมเข้าใจผิดก็ OK ครับ เอาเป็นว่าจำเลยในสายตาของคุณคือ ปตท รายเดียวก็แล้วกัน หรือถ้าไม่ใช่ ปตท. เป็นใครก็ว่ามาให้ชัดๆอีกรอบก็แล้วกัน เรื่องความจริงใจในการใช้เอทานอล ทำไม ปตท.ถึงไม่ผลักดันในตอนแรก  ผมว่าเรื่องนี้เวลาจะพิสูจน์ครับว่าใครถูกผิด ทุกวันนี้ต้นทุนเอทานอลในไทยขึ้นมาถึง 21-23 บาทแล้ว ตรงกับที่เคยมีคนทำนายไว้ว่ายากที่จะกดต้นทุนให้ต่ำในระยะยาวได้ ถ้าต้องนำเข้าเอทานอลแบบทุกวันนี้จะมีประโยชน์อะไรครับ ไม่นับปัญหาที่เกิดกับรถยนต์หลายยี่ห้อที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน เรื่องแกซโซฮอลนี่ว่าไปแล้ว ปั๊มแรกในไทยเป็น ปั๊ม ปตท. ที่ขายใน ม.เกษตรศาสตร์ เกือบ 30 ปีที่แล้ว ทุกวันนี้ก็มีแต่ ปตท.รายเดียวที่ทดลองขายปาล์มดีเซล ส่วนนักวิจัย ป.4 ที่ไหนถูก ปตท.จับครับ ลองเล่าให้ฟังหน่อย แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 49 17:40:24 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 49 17:36:58 จากคุณ : Pom.com - [ 3 ม.ค. 49 17:32:03 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ครับคุณ Pom.com จริงๆชื่นชมในการให้เหตุผลจนถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณน่ะครับมีคุณภาพดี  แต่ความเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อมีน้อยสักนิดหนึ่งผมโทษผมเองแล้วกันที่ อาจจะสื่อไม่ชัดเจน จนเป็นอุปสรรค์ต่อการจับประเด็น ก่อนอื่นต้องชี้แจงที่คุณเห็นว่าผมไปบอกว่าเรื่องนี้มีผลประโยชน์แอบแฝง? แต่  คำถามผมไม่ได้ฟันธงแบบนั้น? ผม ถามเกี่ยวกับค่าต๋ง และลิขสิทธิ์  จะบริหารจัดการอย่างไร?ถ้าเกิดมีการ ไปปลูกพลังงานใช้กันเองอย่างเสรี  ตัวอย่างการถูกจับ มีจริงคุณไปเชคข่าวให้ดี หรือมันติดกันเรื่องตรงนี้ และกับข้อความนี้ของคุณ """""เรื่องความจริงใจในการใช้เอทานอล ทำไม ปตท.ถึงไม่ผลักดันในตอนแรก  ผมว่าเรื่องนี้เวลาจะพิสูจน์ครับว่าใครถูกผิด ทุกวันนี้ต้นทุนเอทานอลในไทยขึ้นมาถึง 21-23 บาทแล้ว ตรงกับที่เคยมีคนทำนายไว้ว่ายากที่จะกดต้นทุนให้ต่ำในระยะยาวได้ ถ้าต้องนำเข้าเอทานอลแบบทุกวันนี้จะมีประโยชน์อะไรครับ ไม่นับปัญหาที่เกิดกับรถยนต์หลายยี่ห้อที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน"""" ผมพูดไว้หลายครั้งแล้วว่า ตัวเลขราคา ตามตรรกะแบบ 1+1=2 ของคุณยังขาดการมองแบบมีวิสัยทรรศน์  (แล้วคุณก็จะแย้งผมที่ควรอยู่กับโลกความจริง)  ทั้งที่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันยังเป็นความจริงที่การเริ่มต้น การแข่ง 5000เมตร  สิบนาที 100เมตรแรกคุณก็จะวัดผลแล้วตามตรรกะ1+1=2 ความจริงเมื่อร้อยเมตรแรก กับ ความจริงสุดท้าย ที่5000เมตร มันอาจจะต่างกัน ถ้ายังไม่ชัดเจนอีกผมจะยกตัวอย่างการทำก๋วยเตี๋ยวกินชามเดียว (กับมิติของการผลิต จำนวนน้อย ในระยะเริ่มต้น ต้นทุนมันต่างจากภาคการผลิตขนาดใหญ่) หรือ การทำก๋วยเตี๋ยว ขายลูกค้าแบบอาชีพ คุณดีดลูกคิดตอนนี้ก็เท่ากับ เขาวิ่งไปแค่100เมตรในเป้าหมาย 5000เมตร นั้นคือปัญหาอุปสรรค์ของการมองแบบไม่มีวิสัยทรรศน์ และทั้งหมดนั้นมันมีตัวอย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้วและพื้นฐานทางการเกษตรของเรารองรับ และพื้นฐานคล้ายๆกับบราซิล ที่ประสพความสำเร็จประกาศตัวป็นไทย หรืออาศัยเขาก็แค่ระดับหนึ่ง ซึ่งทั้งหมด ยังควบคุม ปัจจัยที่จะเป็นผลกระทบระดับบวิกฤตน้ำท่วมพันปีแบบนี้ได้ ดังนั้นมันมีตัวอย่างที่ประสพความสำเร็จผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้ว จนเป็นการลองถูกอย่างเดียวของเรามาทีหลัง ก็ต้องศึกษาเอาตัวอย่างที่ลองถุกนั้นมาพัฒนาประยุกต์ให้ดี่กว่าเหมาะสมกับตัวเรา  ที่มีพื้นฐานใกล้เคียงเขา  แต่บังเอิญเราดองเค็มเอาไว้ เลยต้องใช้เวลา กู้ซากนานหน่อย ผมจึงไม่เห็นด้วยว่า จะมีการเอาข้อมูลในระหว่างการกู้ซากมาดีสเครดิตรภาพรวมทั้งหมด??? จากคุณ : ขอชื่ออะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 3 ม.ค. 49 19:42:23 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เรื่องถูกจับ ถ้าจะมีคงไม่มีเรื่องเกี่ยวกับสิทธิบัตรหรอกครับ จะมีก็พวกเปิดปั๊มน้ำมันพลังงานทางเลือกสูตรต่างๆขายเป็นล่ำเป็นสัน แล้วเลี่ยงภาษีต่างๆ แล้วคนที่จับก็คงเป็นข้าราชการ ไม่ได้เกี่ยวกับ ปตท. ซึ่งถ้าไม่จับ มันเป็นธรรมกับคนทำงานอาชีพอื่นที่ต้องเสียภาษีแค่ไหน ส่วนประเด็นตรงวิสัยทัศน์ ใครจะไกลกว่ากัน ในนโยบายของรัฐ คงเอาวิสัยทัศน์มาวัดไม่ได้หรอกครับ เพราะมันวัดไม่ได้ ถกเถียงกันไม่ลงจริงๆเขาก็ทำเป็น Pilot project แบบที่ทำอยู่ทุกวันนี้ กับแกซโซฮอล ผมเองก็ไม่ค้าน ตราบใดที่ยังไม่บังคับให้รถทุกคันต้องใช้ และยังไม่มีการนำเข้าเอทานอลระยะยาว เพราะถ้าจะมีใครเจ๊ง ก็แค่ภาษีของรัฐที่หายไป กับรถของคนที่สมัครใจใช้ ขณะที่เกษตรกรมีแต่ได้หรือเท่าทุน แต่ถ้าบังคับ หรือต้องนำเข้าเอทานอลระยะยาวก็คงออกมาค้านแน่ครับ แต่ที่ค้าน ก็แบบกระทู้ก่อนที่คุณว่าผมไม่มีวิสัยทัศน์ หรือดิสเครดิตเรื่องสบู่ดำ ผมยอมถูกว่าเป็นคนมีวิสัยทัศน์สั้น ดีกว่าเอาความทุกข์ยากของเกษตรกรมาเสี่ยง ก็รอดูเถอะครับ ว่าสุดท้ายเกษตรกรต้องเจ๊ง หรือรัฐต้องเอาภาษีประชาชนไปอุ้มหรือเปล่า จากคุณ : Pom.com - [ 3 ม.ค. 49 20:53:03 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ครับเรื่องถูกจับนั้น ควรจะหาข้อมูลให้ดีทั้งคุณและผม แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่เราคุยแน่ๆ(ของผมเชคแล้วตามนั้น) จริงๆผมไม่ได้อวดหรือประกวดวิสัยทรรศน์อะไร?น่ะครับ คำพูดนี้มันมาด้วยเหตุด้วยผลจนต้องอ้างอิงยกตัวอย่างแบบนั้น สะท้อนวิธีคิดและการมอง เรื่องเดียวกันที่ต่างวิธีคิดกัน ผมสรุปตรงนี้แล้วกันว่าตอนนี้ แนวโน้มทิศทาง เรื่องนี้(พลังงานทดแทนจากพืชที่เรามีฐานการเกษตรรองรับ) จนถึงนโยบายเรื่องนี้ตอนนี้จากภาครัฐฯ เช้านี้ก็มีการรีบประชุมด่วนเพื่อขยายการผลิต ไบโอดีเซล(ถ้าเนรมิตรได้ก็คงทำแล้ว) รวมทั้งเอธานอลแก้สโซฮอล์ เพราะข้อจำกัดของการปลูกการสร้างมันใช้เวลากว่าการ ซื้อใช้ ถ้าใช้วิธีคิดแบบมองการณ์ไกล หรือมีวิสัยทรรศน์ ก็จะบริหารจัดการกับการปลูก อย่างมีแผนกำหนดเป้าหมายได้ทันใช้ เพื่อเป็นมาตรการที่ยั่งยืนในความมั่นคงทางพลังงาน(ไม่ใช่ไปเอาข้อมูลวิจัยแบบ1+1=2เอาราคาตัวเลขมิติคณิตศาสตร์ไม่ใช่เศรษฐศาสตร์หรืออีกหลายqศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เช่นสังคมที่เป็นสังคมเกษตร มีความพิเศษด้านนี้เป็นฐานมาคิดรวม) จนละเลยศักยภาพที่มีอยู่เป็นอยู่จริง ใช้งานได้จริง ถ้ายิ่งขยายการผลิตบนฐานที่รองรับดีอยู่แล้วอย่างมีแผนระยะยาวรองรับ อย่างไม่"""ตำข้าวสารกรอกหม้อ""" คือเห็นปัญหาอุปสรรค์ระยะสั้นนิดหน่อย(ราคาเมื่อเริ่มต้นแบบที่คุณว่ามา) ก็ถอดใจกลับไปใช้นิสัยเดิมคือนิสัยตำข้าวสารกรอกหม้อ  ก็จะมองไปที่การซื้อเขามาขายทำกำไรกับผู้ใช้(แล้วใครต้องทนแบกก้อนราคาที่พอกหนา จากการบริหารจัดการแบบนี้)อย่างเดียว ซื้อเขามาเอากำไรกับคนอื่นมันง่ายกว่า พัฒนาใช้มันเสียเวลาจนพาตัวเราเข้าไปเป็นทาสทางพลังงานเขา ไม่พอยังเอาความอ่อนไหว ที่กำลังเป็นเงื่อนไขของความมั่นคงทางพลังงาน ไปเช้งผ่านใครเขาแบบนั้น จะไม่บอกว่าเราตำข้าวสารกรอกหม้อด้านพลังงานได้อย่างไร? การกู้ซากเรื่องนี้แบบเอาจริงเอาจังเรื่องนี้ มันใช้เวลามาก กว่าจะเห็นศักยาภาพที่แท้จริงที่เรามีอยู่ ไม่ใช่ร้อยเมตรแรกก็หันหลังทอดใจแล้ว และตอนนี้แนวโน้มทางภาครัฐฯเขาก็ฟิตจัดเอาจริงแล้ว แม้มันจะช้าไปหน่อย (พึ่งนึกได้ก็เป็นการกู้ซากแล้ว)กว่าจะถึงตรงนั้นปัจจัยตัวแปรหลายอย่างอาจจะเปลี่ยนไป  แต่ดีกว่าเราอยู่เฉย หรือเช่าจมูกเขาแบบใกล้ชิดติดตูด  ต่อไป  ลุ้นรอให้เขาไม่ตดใส่ ?ลงไปชักดิ้นชักงอเพราะทนกลิ่นไม่ไหว ขณะะที่คนอื่นเขาก็เช่าก็โดน แต่นโยบายทางพลังงานเขา เช่าเหมือนกันแต่ไม่ติดตูด จนเป็นเงื่อนไขให้เจ้าเฮดบัดกับนังเอดฟันหัวแบะ  มันเฉาะจมูกเอาอีก??? จากคุณ : ขอชื่ออะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 4 ม.ค. 49 11:57:07 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วยที่ว่าราคาน้ำมันจะลดลง หวังเต็มที่ให้แค่ไม่เพิ่มไปมากกว่านี้ก็เก่งแล้ว ------------------------------------------ พอไปดูๆตามเว็ปฝรั่งเค้าก็คิดเหมือนกับดิฉัน NEW YORK (Reuters) - Oil prices charged to a record in 2005 and could rise even higher in 2006 as the United States implements clean fuel rules and world energy demand remains strong, experts said on Friday. (อ่านต่อที่ link ด้านล่าง) http://money.cnn.com/2005/12/31/markets/oil_ahead.reut/ --------------------------------------------- Crude Oil Price Forecast West Texas Intermediate, Spot Price. USD/bbl. Average of Month. Dec 2005 = 59.3 Jan 2006 = 58.7 Feb 2006 = 61.8 Mar 2006 = 61.6 Apr 2006 = 62.1 May 2006 = 63.8 ส่วนแหล่งข่าวอื่นๆก็บอกไปในทิศทางเดียวกัน คือ ราคาน้ำมันในปีหน้าจะสูงขึ้นอีก ลองไปหาอ่านดู แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 49 14:28:49 จากคุณ : ~Nk~ (~Nk~) - [ 4 ม.ค. 49 14:23:35 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ช่วงเปิดมาก็ไม่ค่อยว่างเลย จึงขอเปิดโอกาสให้คุณป้อม กับคุณอะตอม แลกเปลี่ยนความเห็น ผมขอเป็นฝ่ายรับฟังด้วยคน ไว้พอตั้งหลักได้จะมาเล่าต่อ อนึ่ง โลกของการซื้อขายน้ำมันตอนนี้ เต็มไปด้วยการปั่นราคา ข่าวจำนวนมากเป็นข่าวลวง เพื่อสร้างความแตกตื่น ปั่นป่วน เพื่อหากำไร เราไม่รู้ว่านักวิเคราะห์ แต่ละคน ที่ออกมาพูด เป็นใคร และมีจุดมุ่งหมายอะไรในใจ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าคำพูดที่ออกจากปากของประธานโอเปค น่าจะเชื่อถือได้มากกว่าความคาดหมายของนักวิเคราะห์ต่างๆ เพราะเรารู้ว่าประธานโอเปค คือใคร ประธานโอเปค แบกรับศักดิ์ศรีของประเทศ 11 ประเทศ จะพูดอะไรพล่อยๆไม่ได้ สิ่งที่พูดคือทิศทางนโยบายน้ำมัน ที่มาจากระดับผู้นำของประเทศเหล่านั้นโดยตรง รวมทั้งมีอำนาจในระดับหนึ่ง ที่จะบันดาลให้สถานการณ์เป็นจริงตามคำที่พูดออกมา แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 49 15:57:57 จากคุณ : กาลามะชน - [ 4 ม.ค. 49 15:48:38 ]

ความคิดเห็นที่ 62 แหม คุณขอชื่ออะตอม รู้สึกจะย้ำวิสัยทัศน์จัง ไปว่าคนที่ไม่คิดปลูกพืชพลังงานก่อนหน้านี้ ทำนองว่าไม่มีวิสัยทัศน์ แต่ผมว่าเรื่องแทงหวยตอนหวยออกแล้วอย่าคุยเลยดีกว่าครับ ผมว่าถ้าคุณอยู่ในวงการพลังงานทดแทนจริง จะไม่กล้าพูดอย่างนี้เลย 2-3 ปีก่ิอน คนปลูกปาล์มน้ำมันแทบล้มละลาย ราคาน้ำมันปาล์มในซุปเปอร์มาเก็ตตกลงมาเหลือขวดละ 16 บาท ยิ่งคนปลูกอ้อยไม่ต้องพูดถึง ประท้วงแล้วประท้วงอีก ทั้งอ้อยทั้งปาล์มผู้บริโภคอุ้มกันมาตลอด มีน้ำตาลปีนี้ที่พึ่งมีราคาถูกกว่าตลาดโลก ปาล์มก็เถอะถ้าวันนี้เปิดเสรีภาษีศูนย์ก็เสร็จมาเลย์ทันที มาวันนี้ที่พืชพลังงานเกิดฮิตขึ้นมา เพราะราคาน้ำมันกระโดดแบบผิดปกติ ชนิดที่คงมีแต่คุณที่มีวิสัยทัศน์ดีเยี่ยม คาดเดาได้ล่วงหน้าว่า ในปี 48 มันจะกระโดดจาก 20 กว่าดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็น เกือบ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งตอนนี้คุณก็ยังเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ว่าราคาน้ำมันมันจะคงความมหัศจรรย์นี้ไว้อย่างต่อเนื่อง ผมว่าเรื่องนี้เวลาจะพิสูจน์ ว่าวิสัยทัศน์คุณจะไปไกลแค่ไหน แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 49 18:52:13 จากคุณ : Pom.com - [ 4 ม.ค. 49 18:50:14 ]

ความคิดเห็นที่ 63 มาสูบความรู้ครับ ขอบคุณทุกท่าน จากคุณ : iNFeRNaL - [ 4 ม.ค. 49 20:23:59 ]

ความคิดเห็นที่ 64 มายิ้มให้กับคุณ Pom.com 555แทงหวย ยกตัวอย่างได้เห็นภาพเลยครับ? แต่บังเอิญ ว่าผมแทงหวยเรื่องนี้ พูดถึงเรื่องนี้ไว้ ก่อนรัฐบาลชวน ประมาณ ช่วงร.ส.ช ตอนนั้นน้ำมันถูกมากพูดรื่องแบบนี้ยิ่งดูเหมือน  ไร้สาระ  แต่ประเด็นมันอยู่ที่ สร้างจมูก และ ความมั่นคงทางพลังงาน แม้ตอนนั้นจะถูกจริง แต่เป็นจมูกคนอื่น เขาหายใจ ความยั่งยืน อยู่ตรงไหน?ให้เราหลงตัวเองแบบนั้นมันไม่มีอะไร?แน่นอน และแนวโน้มของพลังงานฟอสซิล(น้ำมันดิบ) นี้มันถูกใช้มานาน และเป็นการมีอยู่อย่างจำกัด ขณะที่โลกมีการบริโภคพลังงานเพิ่มขึ้นทุกวัน แถมเหตุการณ์ต่างๆของโลกไม่มีเสถียรภาพ(อเมริกาจ้องอิรัคตอนแรกนั้น)และตรงนั้นเป็นใจกลางพลังงานโลก เรามีความอ่อนไหวด้านนี้มาก เพราะเรานำเข้าเกือบร้อย เปอร์เซ็นต์ และทุกภาคส่วนแขวนไว้กับ ภาวะราคาน้ำมัน ถ้าความมั่นคงตรงนี้ไม่ดี การบริหารจัดการกับทุกภาคฯได้ยาก,ลำบากมาก เหมือนเราไม่มีจมูกเป็นของตัวเอง  จะไปหลงระเริงวิ่งตามทุนนิยมเขาแบบใกล้ชิดติดตูดแบบนั้น เสี่ยงเกินไป การสร้างจมูกหรือสร้างเขื่อนนี้  มันจะต้องสร้างในเวลา ที่น้ำมันยังไม่มาหรือปัญหามันยังไม่เกิด  (ถ้าคิดแบบมีวิสัยทรรศน์หรือไม่ตำข้าวสารกรอกหม้อ)  เพราะถ้ายิ่งน้ำมา ถึงปัญหาท่วมแล้ว มาสร้างเขื่อน มันยิ่งลำบากในการสร้างการกันน้ำระหว่างก่อสร้าง และนี่มันเป็นคราวซวยที่หวยออกแบบนี้ เป็นเรื่องเศร้าสำหรับผมด้วยซ้ำ??? อ้อข้อมูลคุณ~Nk~ (~Nk~)  # 60 น่าสนใจครับ เอามาชั่งน้ำหนักกับคุณกาลามะชน คงจะดีน่ะครับ จากคุณ : ขอชื่ออะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 5 ม.ค. 49 11:45:41 ]

ความคิดเห็นที่ 65 พอดีเรื่องราคาน้ำมันไม่ค่อยถนัด แต่พอได้อ่านคุณอะตอมกับคุณปอม เรื่องแผนพลังงานและพลังงานทดแทนแล้ว อยากเสนอข้อมูลบวกความคิดเห็นดังนี้ เรื่องแผนพลังงานที่ว่าไม่เวิร์คไม่เวิร์คมองดูก็รู้นั้น ส่วนตัวใกล้ชิดกับข้อมูลพวกแผนพลังงานนี้ และก็รู้สึกได้เลยว่าจริง ๆ มันไม่มีเลยครับ ไอ้แผนที่ว่าเนี่ย (อาจจะมีที่ชื่อประมาณว่าแผนอนุรักษ์พลังงาน แต่ก็คงเป็นแค่ชื่อ ส่วนตัวพบว่าออกไปทางแผนเค้กก้อนโตมากกว่า) คือพอนายกท่านเอ่ยปากที ก็จะมีพวกข้าราชการสายการเมืองเอาไอเดีย บรรเจิดราวกับของพี่อิ๊กคิวเซ็งไปเสนอ เช่น ปิดปั๊ม ปิดห้าง ฯลฯ ก็คงคล้ายกับคำว่าตำข้าวสารกรอกหม้ออย่างที่คุณอะตอมใช้ แผนระยะยาวไม่เคยมีใครวางไว้ . ว่ากันไปตามปีงบประมาณ เพราะมันต่างคนต่างทำไปคนละสำนัก โดยหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องคงได้แก่ - กระทรวงพลังงาน - สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน - กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน - ปตท. และ กฟผ. ปรากฎว่า ต่างคนก็ต่างมีเป้าหมายของตนเองคือ รัฐวิสาหกิจก็หากำไร ราชการก็หางบประมาณมาทำโครงการ โดยราชการก็เน้นคิดโครงการระยะสั้น โดยจะเอาผลงานให้มันออกมาเป็น MW หรือ ลิตรน้ำมันที่ประหยัดหรือทดแทน เพื่อโชว์ต่อนายหรือสาธาณะชน เช่น บริจาคเซลล์แสงอาทิตย์ให้ชาวบ้าน ให้เงินภาคอุตสาหกรรมไปทำโครงการประหยัดพลังงาน แล้วก็เอาผลการศึกษามาเคลมเป็นผลประหยัด ไม่ต้องตรวจวัดอะไรยืนยัน ทั้ง ๆ ที่บางโรงงานเค้าก็อยากเปลี่ยนเองอยู่แล้ว หรือพอได้แอร์ประหยัดพลังงานมา ก็เอาแอร์ตัวเก่ากลับมาใช้ที่บ้าน สบายแฮร์ แถมพอไม่รู้อะไรก็จ้างที่ปรึกษา ซึ่งที่ปรึกษาเองก็คงให้คำตอบไม่ได้ หากคนจ้างเริ่มตั้งแต่คำถามที่ว่า ตัวเค้าเองควรจะรู้อะไร ควรจะได้อะไร อึกอักก็อยากได้แบบไวไวควิกเลย ไม่ยอมลงทุนนับหนึ่งอะไรเลย สงสัยกลัวจะรัฐบาลจะเปลี่ยนก่อน เดี๋ยวทางลมจะไม่เข้าทางตน... แถมหากทำจะอะไร หากมีนักวิจัยที่ใช้ตำราคนละเล่ม หรือนักการเมืองทักเข้าหน่อย ก็ขาสั่นเสียแล้ว ถ้าท่านรับราชการมา 20-30 ปี แล้วไม่มีข้อมูลมาเถียงเค้าแล้วเนี่ย ก็สงสารประชาชนชาวไทยเราแล้ว ขณะที่ทาง กฟผ หรือ ปตท ก็ทำแบบขอไปที ตามภาครัฐสั่ง วัน ๆ เน้นนั่งซื้อมาขายไปพลังงานดีกว่า กำไรดี แถมว่าง ๆ ก็มานั่งขอเงินกองทุนน้ำมันมาทำโครงการด้านพลังงานทดแทน ตนเองกำไรกันปีละตั้งเท่าไหร่ ทุกคนคงทราบ ทั้ง ๆ ที่คงไม่ต้องบอกว่า ประสบการณ์และข้อมูลด้านก๊าซธรรมชาติ หรือเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น เขื่อน โรงไฟฟ้า เนี่ย ใครมีเยอะที่สุดในประเทศ ดังนั้นหากหน่วยงานพวกนี้ ไม่เน้นวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจังแล้ว จะไปหวังพึ่งใครได้ล่ะเนี่ย กี่ ศ. กี่ด๊อกเตอร์ ก็คงมีปัญหาทำได้แค่เปเปอร์เวิร์ค มันก็อาจรู้กันอยู่ว่าการวิจัย มันลงทุนทั้งเวลา เงิน ทรัพยากรบุคคล และก็ไม่รู้จะสำเร็จหรือเปล่า แถมเราเริ่มช้ากว่าเค้ามาหลายสิบปีแล้ว จะทำทันเค้าหรือเปล่า หากคิดงี้ สุดท้ายก็คงได้ไปซื้อ know how จากต่างประเทศ นำเข้าน้ำมันปาล์มจากมาเลย์ ซื้อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์บวกเบี้ยประกันแพง ๆ บริษัทจากฝรั่ง (ก็เราเองก็ได้ยินแต่เขาเล่าว่ามันอันตราย เบี้ยประกันมันก็ต้องแพงซิครับ ) ทั้งนี้ C&D ไปบ้างก็ยังดี คือถ้าไม่เริ่มตั้งแต่คำถามที่ว่าอีก 50 ปี 15 ปี เราจะใช้อะไร ก็ยังไม่เข้าใจว่า ทิศทางมันจะไปถูกได้ยังไง ส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วย กับการมานั่งเถียงกันว่าอันนี้เวิร์ค อันนี้ไม่เวิร์ค ตั้งแต่ยังไม่ลองทำ งานศึกษาในกระดาษ มันตั้งสมมติฐานไว้ไม่รู้กี่เงื่อนไข แม้ลงมือทำแล้ว หากต้องลองผิดบ้าง ถูกบ้าง มันก็เป็นประสบการณ์ทั้งนั้น บางอย่างบอกว่าต้นทุนการผลิตแพง แต่ใครจะรู้ว่าหากมีสงครามขึ้นมา อะไรจะเหมาะสมกว่าสบู่ดำ หรือหากเค้าผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ที่ใช้พิมพ์ออกมาได้จริง ๆ โซล่าเซลล์อาจจะคุ้มก็ได้ (ปัจจุบัน ขอสารภาพว่า ไม่เคยพบว่า เซลล์แสงอาทิตย์คุ้มค่าการลงทุนในกรณีไหนเลย หากท่านวิเคราะห์แบบตรงไป ตรงมา) หรืออีกหน่อยราคาพลังงานก็อาจไม่สามารถอิงตามต้นทุนได้แล้ว อาจต้องอิงตาม price elasticity ของ demand เอา คือขึ้นราคาจนดีมานอยู่ในระดับที่จำกัดเอาไว้ เพื่อให้พลังานพอใช้ในระยะยาว ซึ่งหากเหตุการณ์ประเภทนี้เกิดขึ้น พวกกรอบการคิดต่าง ๆ ที่เรายึดติดกันมา ก็ต้องพับเก็บไปเลยอยู่ดี... จากคุณ : Thirdwave - [ 5 ม.ค. 49 17:02:33 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ผมว่าคุณ Thirdwave เข้าใจผิดนะครับ เราวิจัยเกี่ยวกับพลังงานทดแทนมาไม่น้อย เพียงแต่เราไม่ได้ปฎิบัติจริง เมื่อยังไม่มีเวลาที่เหมาะสมต่างหาก เรื่องแกซโซฮอลเรามีปั๊มแรก เกือบ 30 ปีืที่แล้ว ปาล์มดีเซลก็มีอยู่ 4-5 ปั๊มในปัจจุบัน ตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้ว แผงโซล่าร์เซลล์ก็ลองใช้มากที่แม่ฮ่องสอน การใช้แกลบ ซังข้าวโพด ต้ม boiler ก็นิยมจนไม่มี แกลบ ซังข้าวโพด ทิ้งไว้เฉยๆแล้ว ในเรื่องพืชพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง  ทานตะวัน มะพร้าว มีการพัฒนาสายพันธุ์มาตลอด จะยกเว้นก็แค่สบู่ดำ  เพราะต้นทุนการผลิตสูงกว่าพืชอื่นมาก วันนี้เมื่อราคาน้ำมันเพิ่ม ก็ถึงได้เวลา โค่นเงาะปลูกปาล์ม เลิกปลูกข้าวหันมาปลูกอ้อย ในบางพื้นที่ จะให้ปลูกไป 2 ปีก่อน ตอนที่ชาวสวนปาล์ม ชาวสวนอ้อย กำลังมีปัญหาราคาตกได้อย่างไร โรงงานเอทานอล ไบโอดีเซล สร้างปีเดียวก็เสร็จ เทคโนโลยีมันสากลอยู่แล้ว อ้อย ปาล์มที่ปลูกใหม่ ไม่นานก็จะได้ผล จะมีปัญหาก็ตอนนี้ที่เกษตรกรยังไม่ยอมเปลี่ยนพืชที่ปลูกง่ายๆนะซิ ส่วนพืชพลังงานอื่นที่มันยังไม่คุ้ม ก็ต้องรอเวลาเอามาใช้เมื่อถึงเวลา ถ้าจะผลิตก่อนเวลา ราคาน้ำมันแพง จะบังคับใึครซื้อละครับ ให้รัฐอุ้มแบบยุโรป อเมริกา มันไม่ง่าย จากคุณ : Pom.com - [ 5 ม.ค. 49 19:38:08 ]

ความคิดเห็นที่ 67 Oil Predictions: Slippery Turf What price changes will 2006 bring? Maybe a 7.5% increase -- or a drop to $30something a barrel, depending on who's talking Will 2006 mark the year oil prices finally crack? Probably not. But the jitters are still out there. Crude, now about $58 per barrel for U.S. light sweet West Texas Intermediate (WTI), has slumped after the big run-up caused in large part by summer's Gulf Coast hurricanes. Hedge funds and other speculators, an increasingly important short-term swing factor in the markets, are shorting oil. They were long this time last year. With crude inventories rising, OPEC chiefs, who have spent the last year sitting back and admiring their huge inflows of cash, are now preparing the groundwork for possible output cuts in the second quarter. Demand for oil falls off sharply in the spring, after the end of the Northern Hemisphere heating season. MODEST HIKES.  With trading winding down, prices will likely work out to an average of $56.70 per barrel for 2005 -- a 36.7% increase over 2004. While no one can completely rule out another hike of that size in 2006, especially if some major supply-threatening event occurs, it seems unlikely. A more probable scenario would involve continued high prices, but analysts think any increases would be modest. Paul Horsnell and Kevin Norrish of London-based Barclay's Capital, which foresaw the sharp step-ups in oil prices that have occurred in recent years, are forecasting a 7.5% increase for 2006, to an average of $61 per barrel for WTI. Not everyone agrees with this outlook. The Center for Global Energy Studies (CGES), a London-based think tank that specializes in OPEC watching, sees a good chance of substantial softening of the oil market. ... http://www.businessweek.com/bwdaily/dnflash/dec2005/nf20051227_8898_db039.htm ข่าวส่วนใหญ่เป็นข่าวลวง??? แล้วข่าวคุณกาลามาชนเป็นข่าวลวงด้วยป่าวครับ :P จากคุณ : ม้าหงอย - [ 5 ม.ค. 49 20:24:24 ]

ความคิดเห็นที่ 68 #66 อืม หากหมายถึงการซื้อเทคโนโลยีจาก ตปท. แล้วมาวัดค่า ก็เรียกมันว่างานวิจัย...เนี่ย ก็คงใช่ครับ ว่าเราทำมาหมดแล้ว ทั้งที่แม่ฮ่องสอน โรงไฟฟ้า Biomass ที่ว่า ก็เข้าทำนองนี้ทั้งนั้น ส่วนไบโอดีเซลก็เข้าใจว่าประดิษฐกันขึ้นมาได้แล้ว แต่หากใช้จริงก็คงทำนองเดิมเสียมากกว่า... แต่จะมองไปถึงองค์ความรู้ด้วยหรือเปล่า ? ? ? หรือจะเอาเพียงแค่ติดตั้ง เพื่อนับเป็นลิตรน้ำมัน นับเป็นเมกกะวัตต์ติดตั้ง ... แก้ไขเมื่อ 05 ม.ค. 49 21:17:26 จากคุณ : Thirdwave - [ 5 ม.ค. 49 21:13:22 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ผมว่าระดับของงานวิจัยมันต้องมีระดับต่างกันไป ขึ้นอยู่กับศักยภาพของเราครับ เราไม่ได้มีเงินมากมายอะไรนัก เรื่องบางเรื่องต้องยอมรับว่าซื้อเทคโนโลยี ถ้าถูกกว่า ดีกว่า จะเป็นไรไปครับ โรงงานไบโอดีเซลมันก็ไม่ต่างจากโรงกลั่นน้ำมันละครับ ในระดับใหญ่ช่วงแรกยังไงซื้อเทคโนโลยีเขาจะเหมาะกว่า ในระดับเล็กทำในโรงรถใช้เองเทคโนโลยีก็ไม่มีอะไรที่ต้องวิจัยมากมาย หลายเรื่องก็ค่อยๆพัฒนาไป อย่างเรื่องBiomass มาถึงวันนี้ฝรั่งยังที่ง คนไทยเอาBoiler น้ำมันของเขา มาดัดแปลงใช้เผาแกลบ เผาซังข้าวโพด ได้แบบต่อเนื่อง ไม่ต้องหยุดกวาดขี้เถ้า เรื่องปาล์มดีเซล เราก็ไปไกลกว่าประเทศอื่นมาก สบู่ดำเราก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกจนดังไปทั่วโลก แม้ว่าจะไม่เหมาะกับประเทศไทย เพราะมีค่าแรงแพง เมื่อเทียบกับอินเดีย หรืออัฟริกา ส่วนเซลล์แสงอาทิตย์แค่ซื้อมาทดลองใช้ก็หมดไปหลายร้อยล้านแล้วครับ จะเอาอะไรอีก แบ่งเงินวิจัยไว้พัฒนาพันธุ์พืชพลังงานบ้างนะดีแล้ว เรื่องพันธุ์พืชมันซื้อเทคโนโลยีกันยาก จากคุณ : Pom.com - [ 5 ม.ค. 49 22:12:30 ]

ความคิดเห็นที่ 70 คุณม้าหงอย มืออาชีพบอกว่า มีแต่ อัลเลาะห์ เท่านั้นที่รู้ว่าพรุ่งนี้น้ำมันจะขึ้นหรือลง ถ้าจำไม่ผิด ครึ่งหลังของปีที่แล้ว หลังจากพายุถล่ม มีแต่ข่าวคาดการณ์ว่าน้ำมันจะแพงขึ้น ส่วนใหญ่บอกว่าช่วงต้นปี จะแพงราวๆ 80$  มีบางรายคาดถึง 100$ ด้วย ปรากฏว่าพอถึงเวลาเข้าจริงๆ นักวิเคราะห์เก่งๆ ผิดเกือบทุกราย เพราะราคาขึ้นไปถึง 70$ ได้ไม่นาน ผู้ผลิตรายใหญ่ คือซาอุดิอาระเบีย ก็ตอบรับคำขอร้องของสหรัฐ เร่งการผลิต ทุบราคาน้ำมันดิบลง ส่วนทางรัฐบาลของผู้บริโภครายใหญ่ ก็ระบายน้ำมันสำเร็จรูป ที่สำรองไว้ ออกมาช่วย ลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลลง อุบัติการณ์ มีผลต่อราคาได้มากกว่าการพยากรณ์จากหลักการตลาด ดังจะเห็นได้จาก EIA จะเฝ้าติดตามแนวโน้มของอุบัติการณ์ กราฟในความเห็นที่ 20 มีไว้เพื่อแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของอุบัติการณ์ ที่มีผลต่อราคาน้ำมัน (ต้องตาม link เข้าไปดูรายละเอียดของแต่ละจุด) EIA (Eneergy Information Administration) จะเน้นการเฝ้าติดตาม อุบัติการณ์ ขอให้ตาม link ข้างล่าง http://www.eia.doe.gov/emeu/cabs/special_topics.html ตอนล่างของหน้า จะมี link ที่ให้ข้อมูลแนวโน้ม อุบัติการณ์ ได้แก่ World Energy Hotspot และ World Oil Transit Chokepoint และบทวิเคราะห์ Special Reports Archive อุบัติการณ์ มีผลกระทบยิ่งกว่าปัจจัยทางการตลาดทั้งหมด ดูง่ายๆเช่นพายุคาทริน่า การพยากรณ์ล่วงหน้าไม่เกินสัปดาห์ อาจจะใช้หลักทฤษฎีหุ้นได้ การพยากรณ์ระยะสั้น จะมองถึงผลกระทบของอุบัติการณ์ที่เพิ่งจะเกิด การมองระยะปานกลาง จะมองแนวโน้มปัจจัยพื้นฐานของอุบัติการณ์ และเปรียบเที่ยบกับความพร้อมในด้านการรับมือกับสถานการณ์ การมองระยะยาว เกินกว่า 1ปี จะใช้หลักอุปสงค์-อุปทาน ปัจจัยการผลิต และอัตราการใช้ ดังนั้น มืออาชีพจริงๆ จึงบอกว่า มีแต่ อัลเลาะห์ เท่านั้น ที่รู้ว่าน้ำมันจะขึ้นหรือลง การพยากรณ์ที่แม่นที่สุด คือการนั่งเทียน คาดเดาใจของพระอัลเลาะห์ จากคุณ : กาลามะชน - [ 6 ม.ค. 49 08:33:54 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ผมไม่ถนัดการมองระยะสั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ผมติดตาม เป็นเรื่องปัจจัยการผลิต ซึ่งเป็นปัจจัยแนวโน้มของราคาในระยะยาว เท่าที่ติดตามข่าว ผมเห็นโครงการผลิต กำลังก่อสร้างมากมาย ผมเริ่มรู้สึก ตั้งแต่ต้นปี 2004 ว่าโครงการใหม่ๆ น่าจะมากเกินไปแล้ว ก็เลยมีความเห็นว่า ในอนาคตระยะยาว ราคาน่าจะลดลง ลำพังอัตราการใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกปี ยังไม่ชนะกำลังการผลิต ที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าได้ แต่ทั้งนี้ ต้องดูผลกระทบของอุบัติการณ์ด้วย ถ้าโลกสงบ ร่มเย็น ไม่มีอุบัติการณ์ร้ายชนิดเจ๋งๆ โลกอาจจะมีกำลังการผลิตส่วนเกินสูงถึง 7 ล้านบาเรลในปี 2010 เทียบกับปัจจุบันที่มีราวๆ 1-2 ล้านบาเรล (ถ้าถึง 3 ล้าน จะปั่นราคาไม่ได้) แต่ราคาจะตกต่ำแค่ไหน ไม่อาจจะบอกได้ เพราะขึ้นกับการคุมกำลังการผลิต ถ้าควบคุมกันได้ดี ราคาก็คงอยู่ใน price band ระดับปานกลาง แต่ถ้าควบคุมโควต้ากันไม่ได้ ก็มีสิทธิ์ถล่มติดดินได้อีกครั้ง จากคุณ : กาลามะชน - [ 6 ม.ค. 49 08:59:30 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ต่อไปผมจะเริ่มเล่าเรื่องของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ที่กำลังจะก้าวขึ้นบนเวทีโลก รายแรก ที่ผมเห็นว่า มีอิทธิพลมากที่สุด คือ คาซัคสถาน คาซัคสถานเป็นมหาอำนาจน้ำมันรายใหม่ กำลังไต่อันดับด้วยกำลังที่แรงมาก ถ้าใครตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับน้ำมันของคาซัคสถาน ในช่วงก่อนหน้านี้ จะพบเรื่องของบ่อน้ำมันระดับมหายักษ์ (super giant) สามแห่ง ได้แก่ Karachaganak, Tengiz และ  Kashagan และล่าสุด (กรกฎาคม 2005) กระทรวงพลังงานสหรัฐ ได้ update ข้อมูล เพิ่มมหายักษ์ตนที่สี่ คือ Kurmangazy ลงในฐานข้อมูลเผยแพร่ มหายักษ์ตนแรก Karachaganak อยู่ทางภาคเหนือใกล้ชายแดนรัสเซีย อยู่ในเขตแอ่งธรณีไซบีเรียตะวันตก ที่แผ่เข้ามาในประเทศคาซัคสถาน Karachaganak ถูกค้นพบตั้งแต่ยุคของสหภาพโซเวียต แต่เนื่องจากไฮโดรคาร์บอนส่วนใหญ่เป็นกาซธรรมชาติ รัฐบาลโซเวียตจึงไม่สนใจ เพราะมีแหล่งกาซธรรมชาติอื่นๆมากมายอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อคาซัคสถานได้เอกราช ได้เรียก บ.น้ำมันตะวันตกเข้ามาสำรวจ และพบว่า ข้างใต้ชั้นกาซ มีน้ำมันดิบอยู่ประมาณ 2.4 - 2.6 พันล้านบาเรล และการผลิตกาซธรรมชาติ จะได้ condensate เป็นผลพลอยได้ด้วย ปัจจุบัน Karachaganak ผลิตน้ำมันและคอนเดนเสทรวม 2.3 แสนบาเรลต่อวัน เมื่อพัฒนาเต็มที่ในปี 2010 จะได้ผลผลิตไฮโครคาร์บอนเหลวรวม 5 แสนบาเรลต่อวัน จึงจัดว่าเป็นมหายักษ์ (super giant) แห่งหนึ่งของโลก มหายักษ์ตนที่สอง Tengiz ถูกค้นพบในปลายยุคสหภาพโซเวียต อยู่บนบก ในที่ลุ่ม ริมฝั่งตะวันออกของทะเลสาบแคสเปี้ยน อยู่ลึกและมีความดันที่ก้นบ่อสูงมาก ยากเกินความสามารถของโซเวียต จึงรีรออยู่ จนกระทั่งสหภาพโซเวียตล่มสลาย ต่อมารัฐบาลคาซัคสถาน ได้เลือก บ. น้ำมันชาติตะวันตกที่มีเทคโนโลยีสูงกว่าเข้าไปสำรวจต่อ ในเบื้องต้นพบว่า Tengiz มีปริมาณน้ำมันสำรองอย่างต่ำ 6-9 พันล้านบาเรล ปัจจุบันปรับระดับปริมาณน้ำมันสำรองอย่างไม่เป็นทางการเป็น 12-13 พันล้าน และหากสำรวจจนทั่ว อาจจะมีมากถึง 25 พันล้านบาเรล ในเบื้องต้นคาซัคสถานมีเป้าหมายจะผลิตน้ำมันจาก Tengiz วันละ 1.9 ล้านบาเรล แต่ต่อมา มีการค้นพบแหล่งน้ำมันอื่นๆในคาซัคสถานเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง เป้าการผลิตของ Tengiz จึงถูกปรับลดลงตามลำดับ หลายต่อหลายครั้ง เพราะต้องแบ่งการพัฒนาไปตามบ่อน้ำมันอื่นๆด้วย จนปัจจุบันตั้งเป้าแค่ 7 แสน กำลังการผลิตในปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 2.67 แสนบาเรลต่อวัน จะเพิ่มถึง 7 แสนในปี 2010 (ในอนาคต สามารถเพิ่มได้ถึง 2 ล้าน) มหายักษ์ตนที่สาม Kashagan พบในเดือนมิถุนายน 2002 อยู่ในทะสาปแคสเปี้ยนตอนเหนือ ในเขตน้ำลึกเพียง 7 เมตร ในเบื้องต้นประเมินว่ามีปริมาณน้ำมันสำรองขั้นต่ำ 7-9 พันล้านบาเรล ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2004 ได้ปรับปริมาณสำรองเพิ่มเป็น 9-13 พันล้านบาเรล ในทางทฤษฎี เชื่อว่าเมื่อสำรวจจนทั่ว อาจจะมีน้ำมันมากถึง 38 พันล้านบาเรล ปัจจุบันยอมรับโดยทั่วไปว่า เป็นบ่อน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก บ่อน้ำมันนี้ มีศักยภาพการผลิตตามทฤษฎีสูงถึง 4 ล้านบาเรลต่อวัน แต่โครงการ phase แรกที่กำลังก่อสร้าง รองรับการผลิตได้ราว 2-2.5 ล้านบาเรล ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง การผลิตจะเริ่มขึ้นในปี 2008 มหายักษ์ตนที่สี่ Kurmangazy อยู่ในทะเลสาบแคสเปี้ยน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Kashagan ปรากฏเป็นข่าวตั้งแต่ปี 2002 ในเวลาใกล้ๆกับการค้นพบ Kashagan มีองค์ประกอบทางธรณีเหมือนกัน รวมทั้งมีขนาดมหึมาใกล้เคียงกัน จนเรียกเป็นสองศรีพี่น้อง แต่ Kurmangazy มีปัญหา เพราะอยู่คร่อมเส้นแบ่งเขตแดนระหว่าง คาซัคสถาน กับ รัสเซีย Kurmangazy จึงถูกปล่อยทิ้งไว้  เพราะทั้ง รัสเซีย และ คาซัคสถาน   มีงานพัฒนาบ่อน้ำมันอื่นๆเต็มมือ  จึงเก็บบ่อน้ำมันที่มีปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ไว้ว่ากันที่หลัง อย่างไรก็ตาม สภาพน้ำมันแพงและขาดแคลน ทำให้มีหลายฝ่ายอยากจะพัฒนา การทำความตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์ ล่าช้าอยู่นาน แต่ก็บรรลุความตกลงในที่สุด ในเดือน พฤษภาคม 2005 ทั้งสองฝ่ายลงนามร่วมพัฒนา Kurmangazy รวมทั้งบ่อน้ำมันที่เล็กกว่าอีก 2 แห่ง ที่มีปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์เขตแดน ปัจจุบันประเมินว่า Kurmangazy มีน้ำมันอย่างต่ำ 7.3 พันล้านบาเรล และคาดว่าจะผลิตน้ำมันได้ 6 แสนบาเรลต่อวัน ในปี 2015 คาซัคสถาน เพิ่งเสร็จการประเมินปริมาณน้ำมันสำรองครั้งใหม่ ปริมาณน้ำมันสำรองในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นเป็น 29 พันล้านบาเรล (จากครั้งที่แล้ว 16 พันล้าน) ซึ่งเป็นผลจากการสำรวจเพียงสิบปี เท่านั้น ซึ่งค่อนข้างเป็นไปตามความคาดหมายของฝ่ายสำรวจธรณีสหรัฐ (USGS) ที่ประเมินว่าคาซัคสถานมีศักยภาพที่จะพบน้ำมันอย่างต่ำ 100 พันล้านบาเรล ใกล้เคียงกับรัสเซีย..  ถ้าในอนาคตมีผู้ผลิตรายใหญ่อย่างรัสเซียถึงสองประเทศ ตลาดน้ำมันจะเป็นอย่างไร (ข่าวดีของผู้บริโภค ข่าวร้ายของ OPEC) ข่าวเป้าหมายการผลิตของคาซัคสถาน ยังค่อนข้างโลเลไม่แน่นอน เพราะขณะนี้ บ่อน้ำมันมีมากเกินไป ศักยภาพการผลิตที่แท้จริงๆของทั้งประเทศ คิดเฉพาะบ่อน้ำมันเท่าที่พบแล้วในขณะนี้ น่าจะประมาณ 8 ล้านบาเรลต่อวัน แต่โชคร้ายที่คาซัดสถานตั้งอยู่แทบจะใจกลางทวีปเอเซีย เส้นทางที่จะส่งน้ำมันออกขาย คือ รถไฟ เรือ barge และท่อน้ำมัน มีจำกัด การพัฒนาขยายกำลังการผลิต ต้องทำควบคู่ไปกับการขยายเส้นทางขนส่ง ทำให้ต้องแบ่งกระจายกำลังการผลิตไปตามบ่อน้ำมันต่างๆ บ. น้ำมันแต่ละแห่ง ต่างพยายามดึงการพัฒนาไปที่บ่อน้ำมันในสัมปทานของตน ข้อมูลเกี่ยวกับเป้าการผลิตจึงค่อนข้างสับสน   แต่ถ้าต้องการตัวเลขโดยประมาณ กำลังการผลิตรวมของทั้งประเทศ ปี 2010 ประมาณ 2 - 2.5 ล้านบาเรลต่อวัน ปี 2015 ประมาณ 3.5-4 ล้านบาเรล ต่อวัน ปี 2025 ประมาณ 8 ล้านบาเรลต่อวัน คาซัคสถานทำสัญญาขายน้ำมันให้จีนในระยะยาว ด้วยท่อส่งน้ำมันไปจีน เริ่มจาก Atasu ไปเมือง Alashankaoในซินเกียงของจีน ท่อ phase แรกมีขนาด 2 แสนบาเรลต่อวัน สามารถขยายเป็น 4 แสนบาเรลต่อวัน การก่อสร้างเริ่มในเดือนกันยายน 2004 กำหนดแล้วเสร็จปลายปี 2005 http://www.eia.doe.gov/emeu/cabs/kazak.html จากคุณ : กาลามะชน - [ 6 ม.ค. 49 09:37:59 ]

ความคิดเห็นที่ 73 บ. ที่ปรึกษา ในอุตสาหกรรมน้ำมัน วิเคราะห์รายงานในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ได้จัดอันดับเขตพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จในการค้นพบน้ำมันมากที่สุด 4 เขต อันดับหนึ่ง คือ ประเทศคาซัคสถาน ซึ่งมาเป็นที่หนึ่งแบบทิ้งห่าง อันดับสอง-สาม-สี่ คือเขตน้ำลึกของ อังโกล่า ไนจีเรีย และอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐ ความสำเร็จของ อังโกล่า แม้จะเทียบกับ คาซัคสถานไม่ได้ แต่ตีนต้นแรงกว่ามาก เพราะแหล่งน้ำมันทั้งหมดอยู่ในทะเลชายฝั่งอัฟริกาตะวันตก จึงสามารถก่อสร้างฐานการผลิตตามอู่ต่อเรือของประเทศต่างๆทั่วโลก แล้วค่อยลากจูงไปยังแหล่งน้ำมันที่อยู่กลางทะเล.. คนจะซื้อก็เอาเรือมารับถึงที่ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาวางท่อส่งน้ำมัน ทำให้พัฒนาออกตัวได้เร็วกว่า ความสำเร็จของอังโกล่า มาจากการที่เป็นหนึ่งในสองประเทศ  ที่เดินหน้าไม่ยอมถอย ในช่วงที่น้ำมันราคาตกต่ำปี 1998-1999  ทั่วโลกต่างหยุดโครงการก่อสร้างเกี่ยวกับน้ำมัน เพราะนักพยากรณ์ทำนายว่าการตกต่ำจะยืดเยื้อยาวนานหลายปี (บางรายพยากรณ์ว่าน้ำมันจะล้นตลาดจนถึง 2003 ด้วยซ้ำ แล้วดูซิครับว่าเป็นยังไง ดังนั้นที่ทำนายว่าน้ำมันจะแพงขึ้นไปเรื่อยๆนั้น ผมไม่เชื่อหรอก วันหนึ่งในอนาคตที่ไม่ไกลนัก ยังมีสิทธิที่จะล้นตลาดได้อีก เพราะตอนนี้ทุกประเทศแห่ขุดน้ำมันกันอย่างบ้าเลือด) อังโกล่า เป็นอันดับหนึ่งในเรื่องของโอกาส  คือ การเจาะสำรวจ 1 ใน 4 ครั้ง จะพบแหล่งน้ำมันที่คุ้มในเชิงพาณิชย์  ทำให้เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดของโลก รายชื่อบ่อน้ำมันของอังโกล่าที่ค้นพบในช่วง 1996-2005 ยาวเหยียด น่าประทับใจ ปริมาณน้ำมันสำรองของประเทศไต่อันดับเร็วมาก เบียดขึ้นมาเทียบเท่านอร์เวย์ และด้วยอัตรานี้มีสิทธิ์ไล่บี้อาหรับหลายประเทศในไม่ช้า ถึงต้นปี 2006 โครงการพัฒนาที่เสร็จแล้ว มีกำลังการผลิตประมาณ 1 ล้านบาเรลต่อวัน โครงการที่จะแล้วเสร็จในปี 2007-2008 จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2 ล้านบาเรล และยังมีอีกหลายโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ อังโกล่าเป็นเจ้าของโครงการระดับ world class  คือ Kizonba ของ ExxonMobil เป็นฐานการผลิตลอยน้ำ หนัก 340,000 ตัน มีกำลังการผลิต 250,000 บาเรลต่อวัน ผลิตน้ำมันจากก้นทะเลลึก ด้วยแท่นผลิตไร้คนบังคับ ที่วางอยู่บนพื้นทะเล   กล่าวกันว่ามี cost efficiency สูงมาก (เทคโนโลยี ที่ผู้ประเมิน peak oil คาดไม่ถึง) ปัจจุบัน มีฐานการผลิต Kizomba ที่สร้างด้วยแผนแบบเดียวกัน 3 แห่ง Kizomba A ทำการผลิตน้ำมันจากแหล่ง Hungo, Chocalho Kizomba B ทำการผลิตน้ำมันจากแหล่ง Kissanje, Dikanza Kizomba C ทำการผลิตน้ำมันจากแหล่ง Mondo, Saxiand, Batuque ขณะนี้ Kizomba A และ B สร้างเสร็จแล้ว แต่ยังเดินเครื่องไม่เต็มที่ นอกจากนี้ ยังมีโครงการขนาดย่อมลงมาอีกเพียบ http://www.offshore-technology.com/projects/kizomba/ หากพูดถึงศักยภาพปริมาณน้ำมันสำรอง จากที่สำรวจได้ไม่ถึง 25% ของพื้นที่ ที่ยืนยันแล้วอย่างเป็นทางการ มีประมาณ 5.4 พันล้านบาเรล ถ้ารวมที่พบแล้ว แต่ยังไม่ได้รับรองยืนยัน จะมีประมาณ 10.5 พันล้านบาเรล ถ้านับรวมที่เพิ่งจะพบ ยังไม่ได้สำรวจละเอียด จะมีประมาณ 20 พันล้านบาเรล ในทางธรณี เชื่อว่าถ้าได้สำรวจจนทั่ว จะมีน้ำมันประมาณ 35-50 พันล้านบาเรล ศักยภาพการผลิตที่เห็นเป็นรูปธรรมแน่นอนแล้ว มีประมาณ 2 ล้านบาเรลต่อวัน หากคิดรวมศักยภาพจากที่ค้นพบใหม่ด้วย Oil & Gas Journal ประเมินอยู่ระหว่าง 3 - 5 ล้านบาเรล ความเหมือนกันในหลายๆด้าน อังโกล่า อาจนับได้ว่าเป็น นอร์เวย์หมายเลขสอง ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.eia.doe.gov/emeu/cabs/angola.html ดูในข้อย่อย exploration เห็นรายการการค้นพบแล้วจะทึ่ง แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 49 14:31:49 จากคุณ : กาลามะชน - [ 6 ม.ค. 49 10:37:22 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ซูดาน ประเทศผู้ส่งออกที่มีศักยภาพสูง แต่ซูดานไม่ค่อยเป็นข่าวมากนัก เพราะผู้ที่เข้าไปพัฒนา ไม่ใช่ บ.น้ำมันของชาติตะวันตก ส่วนใหญ่จะเป็น บ.น้ำมันของจีน กับ รัสเซีย ซูดานค้นพบน้ำมันมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980s แต่ซูดานเป็นประเทศที่ประกอบด้วยชนสองเชื้อชาติ คืออาหรับ ทางเหนือ และอัฟริกันผิวดำ ทางใต้ คาทูม เมืองหลวงของซูดาน อยุ่ในเขตของชาวอาหรับ และรัฐบาลที่ปกครองก็เป็นชนชาติอาหรับ แหล่งน้ำมันของซูดาน บังเอิญพบอยู่ในเขตของคนผิวดำ แล้วก็เกิดสงครามกลางเมืองในปี 1983 ฝ่ายกบฎสังหารคณะสำรวจน้ำมันของ บ.เชฟรอน สงครามกลางเมืองดำเนินเรื่อยมานานยี่สิบปี มีคนตายทั้งทางตรงและทางอ้อม 2 ล้านคน การสำรวจน้ำมันในซูดานหยุดชะงัก ทั่วเขตทุ่งน้ำมัน เต็มไปด้วยกับระเบิด แม้ผลประโยชน์จะมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าหาญพอที่จะเสี่ยงชีวิตเข้าไปขุดทองคำสีดำ จนกระทั่งถึงปี 2003 จึงคลี่คลายได้ในระดับหนึ่ง ประเทศที่มีบทบาทอย่างมาก ในการยุติสงคราม และพัฒนาบ่อน้ำมันของซูดาน คือ จีน เพราะจีน ออกก้าวเดินในอุตสาหกรรมน้ำมัน ตามหลังฝรั่งช้าไปก้าวหนึ่ง พื้นที่ดีๆ บ.ฝรั่งเข้าไปจับจองหมดแล้ว เหลือแต่ที่ที่เต็มไปด้วยกับระเบิด และการสู้รบ ด้วยความสามารถของ บ.ร่วมทุนหลายชาติ ที่มี บ.น้ำมันจีน เป็นแกนนำ ทำให้อุตสาหกรรมน้ำมันซูดานได้แจ้งเกิด บ.น้ำมันจีน ยังมีบทบาทช่วยคลี่คลายสงครามกลางเมืองได้ในส่วนหนึ่งด้วย โดยเป็นคนไกล่เกลี่ยแบ่งผลประโยชน์ ทรัพยากรน้ำมันระหว่ารัฐบาลและฝ่ายกบฏ ก่อนหน้านั้น รัฐบาลที่เป็นชาวอาหรับ ต้องการได้ส่วนแบ่งชิ้นใหญ่ในอัตรา 80-20 ส่วนกบฏคนดำ ที่เป็นเจ้าของพื้นที่บ่อน้ำมัน ต้องการชิ้นใหญ่ในอัตรา 60-40 จีนไกล่เกลี่ยตัดสินให้ 50-50 เป็นที่ยุติ ต่างคนหยุดรบ เพราะรบต่อไปไม่ได้เงิน หยุดรบถึงจะได้เงิน และเป็นเงินที่มากพอที่จะทำให้ความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะน้ำมันกำลังขึ้นราคา เมื่อการสำรวจ ทำได้โดยสะดวก ปริมาณน้ำมันสำรองก็ขยับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน พบว่าซูดานมีน้ำมันสำรองประมาณ 4.5 -6 พันล้านบาเรล ปลายปี 2004 ซูดานผลิตน้ำมันได้วันละ 3.5 แสนบาเรล ปลายปี 2005 ผลิตน้ำมันได้วันละ 5 แสนบาเรล ปลายปี 2006 จะเพิ่มเป็น 7.5 แสนบาเรล แต่รัฐบาลหวังจะเร่งให้ถึง 1 ล้านบาเรล และยังตั้งความหวังจะเร่งเพิ่มให้เป็น 2 ล้านบาเรลในปี 2008 ซูดาน จึงเป็นผู้ผลิตหน้าใหม่ที่มีกำลังแรง เพราะยังสดอยู่มาก แต่ถือว่าเป็นจุด Hotspot จุดหนึ่งในโลก เพราะมีความเสี่ยงต่ออุบัติการณ์สูง การกระทบกระทั่งระหว่างเชื้อชาติ และการละเมิดสิทธิมนุษย์ชนในซูดาน ยังมีอยู่มาก สหรัฐเคยพยายามจะแซงชั่น ซูดานครั้งหนึ่ง แต่ บ.น้ำมันจีน ปฏิเสธ ไม่ให้ความยอมร่วมมือ โดยสรุป ซูดาน เป็นน้องที่ใหม่มาแรง แต่มีความไม่แน่นอนสูง http://www.eia.doe.gov/emeu/cabs/sudan.html แก้ไขเมื่อ 06 ม.ค. 49 15:21:22 แก้ไขเมื่อ 06 ม.ค. 49 15:09:02 จากคุณ : กาลามะชน - [ 6 ม.ค. 49 14:57:36 ]

ความคิดเห็นที่ 75 คุณ กาลามะชนครับ  แบบนี้เราลองเอาน้ำเต้าของเท้ามหาแกว(เดอะแม้วทู) อาวุธเด็ดหนังจักรๆวงๆ แอบไปดูดเอา บ่อน้ำมันสักบ่อสองบ่อของเท้ามหายักษ์(เทคนิคนี้ใช้ยังงัยผมเทรนเท้ามหาแกวเราไปแล้วจนพอทราบเทคนิคเบื้องต้นไปแล้ว) เพราะทางออก ของความมั่นคงทางพลังงาน  ที่จะหลุดพ้นจากการผูกขาดด้วยระบบทุนนิยมอย่างเสรี ด้วยมุกนี้(การค้าต่างตอบแทน) เพราะความต่างของมนุษย์จนเกิดเป็นความต่างในความสามารถเฉพาะตัวเฉพาะภูมิภาคนั้น ถ้าเราหาตัวเองเจอ แล้วรู้จักสร้างมูลค่าเพิ่ม จากสิ่งที่ตัวเองมีตัวเองถนัด(จะค้นพบได้เร็วขึ้นก็คือหยุดวิ่งตามเขาแบบใกล้ชิดติดตูด) ควรทิ้งระยะห่าง เพื่อกะระยะเบรค หรือไกลจากระยะกลิ่น(ตดถ้าติดตูด)   จนเกิดสติพอที่จะสร้างรัสมีเส้นรอบ(กรรม)ตัวเราหรือปริมาณมวลรวม ที่เป็นตัวเราประเทศ ที่จะส่งแรงดึงดูดระหว่างมวลไปยัง  ประเทศอื่นมวลรวมอื่นๆให้มีพลังในทางการต่อรอง ซึ่งแน่นอนการส้รางพลังในการต่อรองนั้น ระดับประเทศกับระดับบ. ต่างกัน  แต่ก่อนหน้านั้นเราเซ้งผ่าน บ.  ป.ต.ท และจีนเข้าถึงเคล็ดลัพธ์วิชานี้(น้ำเต้าดูดทรัพยฯ)  และใช้อย่างถูกจังหว่ะเวลา  พลังการดูดทรัพยากร ด้วยความรู้สึกต่างตอบแทนนั้นนิ่มนวลไม่โฉ่งฉ่างจนกร่างนำเหมือนอเมริกากับปฎิบัติการ กวนใจกลางพลังงานโลก(บุคอิรัค) เจตนาส่วนหนึ่งเพื่อความมั่นคงทางพลังงานของตัวเองจนบ่อพลังงานร้อน โลกร้อนถึงเดือดร้อน กันไปทั่ว เพราะกลิ่นตดอเมริกา(เราติดตูดขนาดนั้นถึงลงไปชัก) ของเราตัวเล็กกว่าจีนและอเมริกา มวล หรือโมเม็นตัมเราเล็ก   การเข้าหาจึงต้องเป็นการค้าต่างตอบแทน  บางทีลำใยแห้งชาวบ้านบางคนเห็นเป็นของทิ้ง หรือเสื้อผ้าโหลๆ  อาจจะทำให้เราซื้อน้ำมันผ่านการค้าต่างตอบแทน หรือจะให้ดีหรือใช้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนเป็นความร่วมมือจนเกิดเป็นการร่วมทุนกันได้นั้น(ยากเพราะทุกคนจ้องมหายักษ์ทางพลังงานตาเป็นมัน) ได้ถูกกว่าการจัดหาผ่านนายหน้าป.ต.ท ชื้อผ่านยี่ปั๊วสิงค์โปร ผ่านการหุ่งแต่งหน้าด้วยผักชี ของเจ้าเฮดบัดกับนังเฮดฟันหัวแบะ หลายเท่า การเข้าหาแบบการค้าต่างตอบแทนนั้นทางสะดวกกว่า  สมัยก่อนนั้นนโยบายทางพลังงานจนถึงการจัดหา เกือบทั้งหมดเราผ่านระบบการผูกขาดด้วยทุนนิยมอย่างเสรี ผ่านนายหน้าหลายต่อ  และเป็นราคาที่สาระพัดนายหน้าที่ช่วยกันปรุงช่วยกันแต่งราคา กว่าจะมาถึงเรา ก้อนราคามันเลยกลิ้งทับประชาชนแบบนี้ ท้าวมหายักษ์ ยังเป็นทางเลือกทางพลังงาน ผ่านการวางแผนที่แยบยล จนถึงอีกทางเลือก คือพลังงานทดแทน ที่จะยั่งยืนกว่า การพยายามเอาข้อมูลแบบนี้(พลังงานจะถูกลง ) มาทำแท้ง แผนพลังงานทดแทน ความหลากหลายในการจัดหาพลังงาน  ที่มีทางเลือกหลายทางนั้น คือการไม่ตำข้าวสารกรอหม้อทางพลังงาน??? จากคุณ : ขอชื่ออะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 6 ม.ค. 49 18:51:48 ]

ความคิดเห็นที่ 76 อ้อคุณกาลามะชน  ครับ อเมริกา ก่อนบุกอิรัคก็เคยนำเสนอ ข้อมูลพลังงานสำรอง ของตัวเอง ที่ยังไม่ขุดเอามาใช้ ว่ามหายักษ์ บักเอิ๊กแบบนี้ เพื่อลด กระแสการต่อต้านจากหลายประเทศ  ว่าจ้องน้ำมัน หรือเข้าไปกำหนด ใจกลางพลังงานโลก  เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับตัวเอง แล้วเป็นงัยตอนนี้ ทำไมอเมริกายังมาผจญภัย กับปัญหาวิกฤตน้ำมันกับเขาแบบนี้  ขนาด กระทบเศรษฐกิจ หรือทุกภาคส่วน จนต้องใช้นโยบายลดการใช้พลังงาน จนถึง กำหนดสเปก รถใหม่ให้ ซีซีน้อย ลง  ก็โดนแบบน้ำท่วมพันปีเหมือนเราจะให้อธิบายอย่างไรนอกจากราคาคุย แบบเดียวเลยกับเจ้าเต้งเหน่ง(อิกคิวจัง) หลานผมเลย มันโม้ข่มเพื่อนข้างบ้านกินปลาตัวใหญ่มาอวดว่า ของเหน่งก็มีเหมือนกัน ผมถามว่าอยู่ไหน?(รู้ว่าไม่มี) มันตอบชัดเจนเลยว่า ปลาวาฬในโทรทัศน์ เอากับมันสิ??? เห็นคุยนักคุยหนาว่ามีเขื่อน มหายักษ์บักเอ๊ก แบบนี้เปี๊ยบเลย ? ผมจึงเห็นว่าข้อมูลทางพลังงานโลกนี้เป็นมายา จนถึงโคตระมายา ส่วนหนึ่งเพื่อความมั่นคง ของแต่ล่ะคน  ส่วนหนึ่งเป็นเกมส์  ไม่อยากแบไต๋ให้ใครดู  แม้แต่ตะวันออกกลางนั้นข้อมูลทางพลังงาน  นั้นยิ่งมายามากไม่มีใครรู้จริง(เท่าที่ปรกฏตามสื่อ) ดูอเมริกา สิ โม้เห็นๆ  นั้นมันเป็นส่วนของเขาที่จะโม้แข่งกันว่าจมูกโตมหายักษ์ขนาดไหน?   แต่เราสิยังไม่มีจมูกเลยก็อย่าเอามูกที่เช่า เช้ง,ซื้อเขานี้ไปวิ่งตามเขานัก ผมจึงเห็นว่าทางออกที่ยั่งยืนของเราจริงยังคงเป็นการปลูกจมูกไว้หายใจ หรือปลูกพลังงานขึ้นมาใช้อย่างเป็นไททางพลังงาน หรือ ให้เราเป็นตัวของตัวเองบ้าง เท่านั้นก็พอ??? จากคุณ : ขอชื่ออะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 6 ม.ค. 49 19:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 77 <การพยายามเอาข้อมูลแบบนี้(พลังงานจะถูกลง ) มาทำแท้ง แผนพลังงานทดแทน> ผมแค่บอกว่าน้ำมันยังมีเยอะ แต่ก็บอกว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ทั้งนั้น อย่างเช่น ซูดาน ถ้าสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นอีก บ่อน้ำมันอาจเป็นทะเลเพลิง หรืออยู่ๆ สหรัฐ อาจจะถล่มอิหร่าน เกิดสงครามอ่าวอีก น้ำมันก็แพงทะลุ 100$ ถ้าคิดว่าที่ผมเล่ามานั้นไม่จริง ก็ลองตาม link ไปดูซิครับ ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองตรวจสอบจากแหล่งอื่นด้วยว่า มหายักษ์สี่ตนนั้นจริงหรือเท็จ ลองตรวจสอบจากหลายๆที่ด้วยว่า การลงทุนในอังโกล่า หรือ ซูดาน เป็นข่าวลวงด้วยหรือเปล่า ข้อมูลตอนนี้มีเช่นนี้ ก็เล่าไปตามที่ทราบ ทำไมจึงคิดว่าควรต้องปิดหูปิดตา การค้นพบสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 ยังมีอีกในหลายประเทศ แต่ ถ้าคิดแบบนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะเล่าดีหรือไม่ จากคุณ : กาลามะชน - [ 6 ม.ค. 49 19:56:39 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ข่าว มีทั้งที่จริงและลวง แพร่หลายระบาดไปทั่ว แต่ข่าวที่ออกจากบริษัทน้ำมันโดยตรง จะถูกควบคุมด้วยกฏหมาย SEC จะให้ข่าวลวงกันไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการหลอกลวงแมลงเม่าผู้ซื้อหุ้น ถ้าพบว่ามีการออกข่าวลวง จะโดนข้อหาปั่นหุ้น ต้องรับผิดชอบหนัก มีโทษถึงติดคุก สหรัฐนั้นเอาจริงเรื่องกฤหมายหลักทรัพย์ มีกรณีตัวอย่าง ที่เพิ่งเชือดไก่ให้ลิงดูเมื่อปีที่แล้ว จำคุกสาวใหญ๋ไฮโซระดับประธานบริษัทดีไซเนอร์ชื่อดัง ห้าหรือหกเดือนโดยไม่รอลงอาญา เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ฐานใช้ประโยชน์จากการที่รู้ข้อมูลวงในการซื้อขายหุ้นของบริษัท กรณีของอุตสาหกรรมน้ำมัน ถ้าบอกว่ามีเท่าไร ต้องมีไม่น้อยกว่านั้น คือยอมให้ผิดพลาดได้ในทิศทางเดียว คือ มีมากกว่าที่บอกได้ เพราะปริมาณน้ำมันสำรองในเขตสัมปทาน ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ในอนาคต มีผลต่อราคาหุ้น จะขี้โม้โอ้อวดไม่ได้ ถ้าบอกว่ามี จะต้องมีจริง จะมีเกินไม่ว่า แต่ถ้าภายหลังพบว่ามีน้อยกว่าที่ประกาศ มีสิทธิ์ถูกแขวนป้ายห้ามซื้อขาย นอกจากนี้ ขนาดของโครงการก่อสร้าง เป็นสิ่งบ่งบอกแนวโน้มที่แน่นอนมาก เพราะการลงทุนด้วยเงินหลายพันล้าน ไม่ใช่เรื่องหลอกกันเล่นได้เลย ถ้าสร้างเสร็จแล้วมีน้ำมันไหลออกจากท่อ ไม่เท่าที่คำนวณ อาจมีคนถูกไล่ออกเป็นทีม ข่าวลวงส่วนใหญ่ จะมาจากนักวิจารณ์ หรือผู้เชี่ยวชาญ ในวงตลาดหุ้นมากกว่า ผมจึงคิดว่า ถ้ายอมค้นหาข้อมูลจากบริษัทน้ำมันโดยตรง จะเชื่อได้มากกว่า แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 49 08:03:45 จากคุณ : กาลามะชน - [ 7 ม.ค. 49 09:49:21 ]

ความคิดเห็นที่ 79 หัวข้อคุณก็จ่อไว้แล้วนี่ครับ ว่าราคาน้ำมันจะลง ไปๆมาๆก็บอกว่าอะไรก็เป็นไปได้ ไอ้เรื่องนี้ใครก็รู้ครับ อ่านมาทั้งหมดนี่ rationale หลักของคุณคือ น้ำมันมันเยอะ ราคามันน่าจะลง แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าปัจจัยของราคาน้ำมันมันมากกว่านี้เยอะ แต่ก็ยังอุตส่าห์ตั้งกระทู้บอกว่าราคาน้ำมันจะลง ลองอ่านกระทู้เท่าดูนะครับ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3948097/X3948097.html จากคุณ : ม้าหงอย - [ 7 ม.ค. 49 11:47:49 ]

ความคิดเห็นที่ 80 คุณ กาละแมชน อย่าหวั่นไหวเลยครับ ข้อมูลที่เล่ามาเป็นประโยชน์มากครับ ที่ไม่ให้ใครเชื่อสุดตัวว่าน้ำมันจะราคาสูงต่อเนื่อง อย่าคิดมากครับ ฝ่ายผลักดันพลังงานทดแทนตอนนี้เครียดกันไปทั้งประเทศแล้วครับ เอทานอล ก็ตกกับดักพลังงานเล่นงานตัวเอง เพราะกระบวนการผลิตต้องใช้น้ำมันและพลังงานอื่นๆมาก ตั้งแต่กระบวนการปลูกอ้อย การทำน้ำตาล จนถึงการกลั่นเอทานอล จนราคาเอทานอลขึ้นมาถึงลิตรละ 23 บาทแล้ว สบู่ดำ มาถึงวันนี้ยังหาคนรับซื้อเมล็ดในราคาที่คุ้มทุนไม่ได้ ข้อเสนอที่ดีที่สุดวันนี้ คือรับบีบสบู่ดำฟรี แต่ขอกากทั้งหมด และขอน้ำมัน 20 เปอร์เซนต์ ก็เป็นข้อเสนอที่เกษตรกรยังขาดทุน เพราะคิดเป็นค่าเมล็ดราว 6 บาทกว่าต่อ กก.เท่านั้น ปาล์มน้ำมัน เกษตรกรที่กล้าโค่นเงาะ ปลูกปาล์มน้ำมัน ป่านนี้ก็ยังได้ไม่ครบจำนวนที่Cluster โรงงานไบโอดีเซลต้องการ ตอนนี้เจอจิ้งจกทัก ก็ขวัญผวาแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 49 13:11:29 จากคุณ : Pom.com - [ 7 ม.ค. 49 13:08:43 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เข้ามาอ่าน แค่ช่วงต้น ๆ ( ก่อน ) ง่า... . . . ข้อมูลคุณกาลามะชน..เปนข้อมูลข้อเท็จจิง..แต่ราคาน้ำมัน ( เฉพาะของไทย..หรือป่าว??~? ) ขณะนี้ที่ขึ้น - ลง..นั้น.. มันโยงกับการเมืองโดยตรงไม่ใช่หรอคะ... ลป. ถกไปเถอะค่ะ..เผื่อรุ้ไรนอกเหนือจากนี้อีก..อี่อี่ ( จำได้ว่าเคย ถามคุณกาลามะชนไว้เรื่องราคาน้ำมัน..ปัจจัยทุติยภูมิไรยังจำได้ ) ( ขอเวลาอ่าน ค่ะ ) ^^~* แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 49 23:29:39 จากคุณ : Sary - [ 7 ม.ค. 49 23:24:48 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ผมคิดว่าในอนาคต ถ้า supply มีมากพอ การปั่นราคา จะทำไม่ได้ ระบบโควต้า จะกลายเป็นปัจจัยปฐมภูมิ แทนที่ตลาดเก็งกำไรครับ จากคุณ : กาลามะชน - [ 8 ม.ค. 49 10:24:27 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ครับเจ้าของกระทู้ครับ  (ช่วงนี้ยุ่งไม่ค่อยได้เข้ามาคุยและทิ้งไปนาน) ผมเชื่อว่าข้อมูล ที่คุณไปอ้างอิงมานั้น เป็นข้อมูลข้อเท็จจริงที่เขาป้อนให้ ข้อมูลบางอย่างมั่วไม่ได้ (อย่างที่คุณว่านั้นแหล่ะ มันมีกติกาควบคุมอยู่(ประมาณหนึ่ง)  ผมเน้นว่าประมาณหนึ่งเท่านั้น )  ไม่งั้นอเมริกาไม่สามารถตบตาชาวโลก ได้เนียนสนิทแบบนี้หรอก ผมจึงตั้งข้อสังเกตุกรณีอเมริกา  ให้เรามีสติในการรับข้อมูลแบบนี้  และไม่ได้เจตนา จะดีสเครดิตรข้อมูลคุณ  เพราะข้อมูลแบบนี้มีประโยชน์มาก   ในการที่จะเป็นฐานข้อมูลวิเคราะห์ สถานการณ์พลังงานโลกให้แม่นยำ จนเรากำหนดแผนพลังงานได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสมกับเรา ที่สำคัญการมีของเขา ??? ที่เราไปยกมาแบบนั้นมีเป็นการมีในเงื่อนไขแบบไหน?  จมูกเราไหม? หรืออื่นอีกมากมายเช่น มีแบบปลาวาฬในมหาสมุทร  หรือปลาช่อนตัวโตในหนองน้ำ ที่ผมยกตัวอย่าง หลานผมเจ้าเต้งเหน่ง(อิกคิวจัง)ตัวป่วน  มันโม้ข่มข้างบ้านเรื่องปลาตัวโตกว่า เจ้าเหน่งผมมันก็ยังยืนยัน หลังจากที่ผมทำตาดุๆใส่ แล้วตำหนิไปว่า  " เหน่ง ทำไม่หนู ทำนิสัยไม่ดี ขี้โม้โกหกแบบนี้ล่ะครับ?" แต่เจ้าเหน่งผมมันกลับยืนยันข้อมูลนั้นแบบกระต่ายขาเดียวว่า  "เหน่งไม่ได้โม้น่ะน้าปลาวาฬมีจริงอยู่ในมหาสมุทรนู่เห็นจริงๆเขาล่ามาชำแหล่ะกินกันด้วย?" "หนูเห็นที่ไหน? ผมถามหลังจากเห็นแววตาจริงจังกับคำยืนยันนั้น "ในทีวีครับ หนูเห็น นู๋อยากกินอย่างนั้นบ้างน้า ไปล่ามาให้นู๋หน่อยสิน่ะนะ จะได้เอาไปอวด ไอ้จึ๋ม มัน บ้านมันกินปลาตัวโตทุกวัน  ทำไมน้าไม่หาปลาเก่งอย่างพ่อไอ้จึ๋มมันบ้างล่ะครับ? " น้านน ความผิดเราอีก เอากับมันสิ? พูดไปร้องให้ไปด้วยน่ะ ฉายา เต้งเหน่ง(อิกคิวจัง)  มันมาจากน่าโดน บลิ้วหัวเหน่งจัง  เขามีชื่อเล่นของเขา พ่อแม่ตั้งให้ แต่ส่วนใหญ่เรียกเหน่งตามผมหมด รวมทั้งเจ้าตึ๋งหนืด(ขี้มูกโป่งเป็นเอกลักษณ์) ผมไม่อยากให้บรรยากาศมันซีเรียส เลยยกเรื่องนี้มาเพื่อสะท้อนว่า  มันมีนั้นเป็นการมีในเงื่อนไขแบบไหน? ปลาวาฬในมหาสมุทร  มันมีจริง จนผมโดนเจ้าเหน่งต้อนเข้ามุมมาแล้ว  เป็นความผิดของเราอีกที่ไม่หาให้เขา  ทั้งทั้งที่มันมีอยู่จริง??? น้ำมันเหมือนกัน บางแหล่งนั้นเงื่อนไขการขุดเอามาใช้นั้น  มันมาก จนถึงยากจน ต้องหาแหล่งใหม่หรือโจทย์ใหม่ กับความต้องการใช้ในปัจจุบัน ไม่ใช่ในฝัน  แหล่งน้ำมันของมหายักษ์นั้น หลายแหล่งก็เช่นกัน  ของมันอยู่ใต้ดิน เหมือนปลาในน้ำ ตราบใดที่ยังไม่ลงมือขุด เอามาใช้ หรือกำหัวปลาตัวใหญ่เอามา ชั่งกิโลขาย เราจึงต้องให้น้ำหนักการมีอยู่แบบนั้น ไปสู่การบริหารจัดการ ไปสู่ภาคการผลิตหรือบริโภค อาหารเมนูไหน?  ไม่ใช่ต้มใฟรอ ปลาช่อนแป๊ะซ่ะ หรือปลาวาฬกะทะร้อน รอ ตอนนี้ กระถิ่นริมรั้ว เห็ดโคนในป่า แกงหน่อไม้ข้างสวน(พลังงานจากพืช)  ที่เป็นปัจจุบันเป็นมรดกจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ กับความเป็นต่อทางความหลากหลายทางพันธุศาสตร์ของพืชศาสตร์เขตร้อน เป็นมรดกบรรพบุรษทิ้งไว้ให้เราขวนขวาย  ดิ้นรนหาความเป็นไท หรือเอาแค่ไม่เป็นทาส ทางพลังงานโดยการปลูกจมูกเอาไว้หายใจหรือกรณีฉุกเฉินก็ยังดี  ไม่เอาจมูกไปแขวนแบบใกล้ชิดติดตูดใครจนเกินไปก็พอแล้ว??? จากคุณ : ขอชื่ออะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 8 ม.ค. 49 10:48:11 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ผมชอบเอาเรื่องน้ำมันมาเล่าเนืองๆ เป็นเพราะไม่อยากให้ เชื่อแบบสุดตัว ว่าน้ำมันจะแพงหรือขาดแคลน ไปตลอด โอกาสที่ราคาจะตกกลับมาสู่ระดับปานกลางยังมี และโอกาสที่จะตัดราคากันจนถล่มทลาย ก็ยังมีเช่นกัน ในมุมมองของคนที่ตามข่าว จะแปลกใจว่าช่วงนี้ โลกก็เจอน้ำมันมากขึ้น ในระดับที่พอที่จะวางใจว่ามีพอใช้ต่อไปได้อย่างน้อย 20-30 ปี แค่รอการพัฒนาอีก 2-3 ปี ปริมาณน้ำมันก็จะกลับมามีพอให้หายใจได้คล่อง แต่ทำไมยังลือกันไม่เลิกว่าน้ำมันจะขาดแคลน น่าสงสัยว่า คนในวงการน้ำมัน ที่รู้เต็มอกว่าเจอน้ำมันมากขึ้น ทำไมช่วยไม่แก้ข่าว ผมคิดว่า ทางหนึ่งอาจเป็นเพราะ ไม่ใช่ธุระที่ บ.น้ำมันจะต้องไปแก้ไขความเข้าใจ ประชาชนไปฟังคนบางกลุ่ม แล้วก็เชื่อเช่นนั้น ก็ตามใจ ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องรับผิดชอบ อีกทาง ก็อาจชอบที่จะให้คนเข้าใจผิดๆเช่นนั้น เพราะจะทำให้หุ้นพลังงานมีราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จากคุณ : กาลามะชน - [ 8 ม.ค. 49 21:15:36 ]

ความคิดเห็นที่ 85 อาเซอร์ไบจัน เป็นประเทศที่เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันเป็นของตัวเอง หลังจากที่ได้รับเอกราชจากสหภาพโซเวียต เช่นเดียวกับคาซัดสถาน ปัจจุบันมีโครงการพัฒนาบ่อน้ำมันที่ทำสัญญาแล้ว ทั้งเล็กและใหญ่ ประมาณ 20 โครงการ การสำรวจถึงปัจจุบัน มีปริมาณน้ำมันสำรองอยู่ระหว่าง 7-15 พันล้านบาเรล โดยมีบ่อน้ำมันที่เข้าขั้นมหายักษ์อยู่สองตน คือ ACG-megastructure และ Shah Deniz ACG megastructure (Azeri-Chirag-Gunasnli) อยู่ในทะเลแคสเปี้ยน เป็นโครงสร้างบ่อน้ำขนาดยักษ์ที่ทอดตัวยาวจากตะวันออก-ตะวันตก ประเมินว่ามีปริมาณน้ำมันสำรอง 5.4 พันล้านบาเรลเป็นอย่างต่ำ (เชื่อว่ามีมากกว่านั้น แต่ยังไม่ทราบขนาดที่แน่นอน ซึ่งเป็นธรรมดาของบ่อน้ำมันที่ค้นพบใหม่) มีโครงการพัฒนาที่อยู่ในระหว่างก่อสร้าง รวมกัน 1 ล้านบารลต่อวัน ส่วน Shah Deniz เป็นบ่อกาซธรรมชาติระดับมหายักษ์ มีปริมาณกาซ 14-35 TCF แต่มีส่วนที่เป็นน้ำมันดิบไม่มาก 700-900 ล้านบาเรล และ condensate อีก 2 พันล้านบาเรล ผลผลิตหลักคือกาซธรรมชาติ ซึ่งจะได้ condensate เป็นผลพลอยได้หลายแสนบาเรลต่อวัน ปัจจุบัน อาเซอร์ไบจัน ผลิตน้ำมันเหลือพอส่งออกประมาณ 4-5 แสนบาเรลต่อวัน โครงการที่กำลังก่อสร้าง จะทำให้มีน้ำมันเหลือพอส่งออกประมาณ 1.1 ล้นบาเรลต่อวันในปี 2008 http://www.eia.doe.gov/emeu/cabs/azerbjan.html แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 49 21:49:44 จากคุณ : กาลามะชน - [ 8 ม.ค. 49 21:47:50 ]

ความคิดเห็นที่ 86 อนึ่ง ราคาน้ำมันแพงขึ้นในช่วงหลังปีใหม่ถึง 5$ เกิดจากกองทุนส่งสัญญาณเข้ากว้านซื้อ นักวิเคราะห์วิจารณ์ว่าแรงจูงใจ มาจากกรณีท่อส่งน้ำมันขนาดใหญ่ของไนจีเรียเกิดระเบิดโดยไม่ทราบสาเหตุ รวมกับอีก 2 แห่งที่ทราบว่าถูกทำลายจากการถูกโจมตีของฝ่ายกบฎ ทำให้กำลังการผลิตของไนจีเรียหายไป 180,000 บาเรลต่อวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบของโลกปรับตัวสูงขึ้น แต่แนวโน้มที่ราคาจะสูงขึ้น โดนแรงต้านให้ลดลงในวันนี้ จากการที่รัฐบาลสหรัฐ ประกาศปริมาณน้ำมันสำรองภายในประเทศ ณ วันสิ้นปี 2005 เพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาเรล ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าของที่คาดไว้ แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 49 09:29:56 จากคุณ : กาลามะชน - [ 10 ม.ค. 49 09:25:29 ]