ความคิดเห็นที่ 1 หยุดทำร้ายลำไส้ด้วยโยเกิร์ต !     พอดีได้อ่านบทความของนายแพทย์ บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล จากมติชน สุดสัปดาห์ เลยต้องสะดุ้งกันไปเป็นแถบๆ ทั้งญาติพี่น้อง และเพื่อนพ้องในออฟฟิศ  ก็เรามันสาวรักสุขภาพ อะไรที่เค้าว่าดิบดีเราก็ทำ เราก็ทาน แต่บางทีเราก็ไม่ค่อยจะได้ฉุกคิดเสียก่อนหรอกว่า มันมีคุณตามสรรพคุณที่เค้ากล่าวอ้างกันจริงรึป่าว เคยมีคนบอกมาเหมือนกันว่า ให้ทำโยเกิร์ต สูตรน้ำผึ้งผสมมะนาว  เพราะทานแล้วช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น แต่ก็ต้องมาเหยียบเบรกเอี๊ยดอ๊าดกันก็คราวนี้ โดยคุณหมอ บรรจบได้บอกเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยไว้ว่า      1. ความหวานจากน้ำผึ้งที่ใส่เข้าไป แคลอรี่ความหวานจากน้ำผึ้งก็คือแคลอรี่จากน้ำตาล การทานน้ำผึ้งไม่ได้ปลอดภัยกว่าการทานน้ำตาล ความหวานของน้ำผึ้งสามารถเปลี่ยนให้โปรตีนจับตัวเป็นก้อน ขนาดแบคทีเรียในโปรตีนยังตายเมื่อเจอกับน้ำผึ้ง คนโบราณจึงมักใช้น้ำผึ้งทาแผลเปื่อยเพื่อฆ่าเชื้อโรค แต่ผลข้างเคียงก็คือทำให้เนื้อเยื่อบริเวณแผลเปลี่ยนสีและแปรรูปกลายเป็นแผลเป็น ส่วนคนจีนโบราณเค้าจะใช้น้ำผึ้งในการดองศพ ลองนึกดูนะว่า น้ำผึ้งเข้มข้นสามารถดองเนื้อเยื่อได้ถึงขนาดนั้น โอ้ว แล้วกระเพาะและลำไส้เราจะเป็นอย่างไร จากคุณ : poogga - [ 9 พ.ย. 50 22:03:32 ]

ความคิดเห็นที่ 2 2. โยเกิร์ต เป็นสิ่งบริโภคที่ไม่เหมาะกับคนเอเชีย เพราะโยเกิร์ตคือผลผลิตของนมวัว ซึ่งคนเอเชียร้อยละ 50 -80  แพ้โปรตีนในนม สามารถทำให้เด็กแรกเกิดเป็นโรคภูมิแพ้ได้ ถึงแม้ว่าการทานโยเกิร์ตจะทำให้ถ่ายท้องได้คล่องก็จริงอยู่ แต่ผลข้างเคียงที่ตามมาล่ะ นั่นก็ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาภูมิแพ้ของคนนั้นๆ หากคุณมีอาการแพ้นมวัว โปรตีนนมวัวก็จะทำให้เยื่อบุลำไส้ระคายเคือง เซลล์เยื่อบุเกิดอาการบวมน้ำ จึงปล่อยสารคัดหลั่งออกมา ขับถ่ายเป็นน้ำเหลวๆ ออกไป ถ้าปล่อยให้ระคายเคืองซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น ก็จะทำให้ภูมิต้านทานคุณปรวนแปร จากแค่อาการแพ้ธรรมดาๆ ก็สามารถพัฒนาการเป็นลมพิษ ผื่นคัน ไปจนถึงหอบหืด และร้ายแรงที่สุกก็คือ โรคลำไส้เรื้อรังค่ะ    3. ท้องผูกต้องแก้ด้วยไฟเบอร์ ต้องทานอาหารพวกเส้นใยอาหารให้มาก การทานโยเกิร์ตผสมน้ำผึ้งมะนาวไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด มีเคสตัวอย่างที่น่าสนใจอยู่เคสหนึ่งของคุณหมอบรรจบ เมื่อคนไข้ท่านหนึ่งซึ่งเป็นคนที่ใส่ใจสุขภาพ ทานข้าวกล้อง ทานผัก ทานปลา ตามแบบไทย จนผลตรวจเลือดของเธอเมื่อ 2 เดือนก่อนที่เธอจะเปลี่ยนวิธีทานนั้นนับได้ว่าเลือดของเธอสวยมาก ไร้ไขมัน สิ่งตกค้างใดใด สะอาดหมดจดจริงๆ  แต่เมื่อ 2 เดือนให้หลัง หลังจากที่เธอหันมาทานโยเกิร์ตเพื่อช่วยแก้ปัญหาท้องผูก ปรากฎว่าผลเลือดของเธอมีคราบไขมันที่กำลังจะจับตัวเป็นก้อน รวมกันอยู่เป็นกลุ่มๆ  ไขมันในเลือดสูง เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคคลอเรสเตอรอลสูงได้ จากคุณ : poogga - [ 9 พ.ย. 50 22:04:15 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอขอบคุณ บทความดีๆ จาก  คอลัมน์ธรรมชาติบำบัด   มติชน สุดสัปดาห์    โดย นายแพทย์ บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล จากคุณ : poogga - [ 9 พ.ย. 50 22:05:05 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เอาไงดีกับชีวิตล่ะเนี่ย 55+ จากคุณ : พระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งแก้มแด๊งแดง - [ 9 พ.ย. 50 22:41:49 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อ่านะ  สับสนขึ้นทันตา ถึงมันอาจจะมีโทษแต่มันก็มีประโยชน์น้าา จากคุณ : L (LUCIFER_GLAY) - [ 9 พ.ย. 50 22:51:17 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ก้อคงต้องชั่งใจเอาแล้วอ่าค่ะว่าโทษมันน่ากลัวมากกว่า ประโยชน์ที่ได้รับมากน้อยแค่ไหน กลับไปทานส้ม กันดีก่า อิอิ จากคุณ : MiwMaker - [ 9 พ.ย. 50 23:12:55 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เท่าที่อ่านๆเจอรู้สึกว่าเรื่องนม (ซึ่งรวมถึงโยเกิร์ต) นี่จะเป็นประเด็นที่ยังหาข้อยุติกันไม่ได้นะ.... เพราะมีนักวิชาการ 2 สายเห็นไม่ตรงกัน......... สายหนึ่งบอกว่ากินแล้วไม่ดี........เป็นเมือก....เป็นมัน.......... ไม่ใช่อาหารที่เหมาะกับคนเอเชีย............. รู้สึกว่าสายนี้จะเป็นพวกชีวจิต.........เน้นผักปลา............. ส่วนอีกสายหนึ่งบอกว่าดี มีประโยชน์........... กินแล้วได้แคลเซียม ร่างกายสูงใหญ่........... เล่นเอาเราไม่รู้จะเชื่อใครเหมือนกัน............. แต่ปรกติก็ไม่ได้กินนมเป็นประจำอยู่แล้ว............. มีกินโยเกิร์ตบ้างนานๆครั้ง................ เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจ............. เพราะเท่ากับเราอยู่ตรงกลางของความเห็น 2 ขั้ว........ แต่ว่าตอนนี้หันมากินยาคูลท์วันละหนึ่งขวดได้หลายเดือนแระ......... เพราะมีคนบอกมาว่าจะทำให้หน้าเด้ง...................5555............. จากคุณ : จิ้มจุ่ม - [ 9 พ.ย. 50 23:16:33 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จะเชื่อจากบทความบทเดียว ที่ไม่มีแหล่งอ้างอิงเหรอคะ หัวข้อบอกว่าหยุดทำร้ายลำไส้ด้วยโยเกิร์ต แต่เนื้อหาพูดถึงโยเกิร์ต นม น้ำผึ้ง มะนาว ตกลงต้องการสื่อว่าโยเกิร์ตไม่ดี หรือว่าสูตรนี้ไม่ดีคะ เราเคยคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร เค้าบอกว่าโยเกิร์ตนี่ควรทาน โดยเฉพาะผู้หญิง เพราะมันช่วยรักษาสมดุลในบริเวณนั้นของผู้หญิงค่ะ แต่อาหารทุกชนิด (ไม่เฉพาะโยเกิร์ต) ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ง่าย ๆแค่ฝรั่ง เรากินไม่เป็นไร น้าเรากินไม่ได้เลยตดไม่หยุด ทานอะไรได้ หรือไม่ได้ ถามตัวเองค่ะ ร่างกายเราจะบอกได้ ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับเรา จากคุณ : แบ๊น แบน - [ 9 พ.ย. 50 23:17:21 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จากที่เรียนมา กินอะไรก็กินให้พอดีค่ะ เพราะพวกนี้มันก็คือจุลินทรีย์ที่ช่วยในการย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย กินมากๆ สักวันนึงระบบย่อยอาหารของเราจะไม่ทำงานเอาค่ะ เพราะว่ามันไม่ได้ทำหน้าที่เลย มีแต่จุลินทรีย์ทำหน้าที่แทน ทานได้แต่ทานให้พอดีค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโยเกิร์ต นมเปรี้ยวเอย...... ส่วนเรื่องการแพ้นมเนี่ย แล้วแต่คนไป การที่คนเราแพ้ เพราะแพ้ whey protein ในน้ำนมค่ะ อาจารย์บอกว่า ถ้าอยากกินนมให้เลี่ยงมากินนมแพะ เพราะมี whey protein น้อยค่ะ .... ส่วนโยเกิร์ตสูตรนี้ เราไม่รู้ว่ามันจะดีหรือไม่ดีอย่างไร อย่างที่บอก ทานอะไรก็ทานแต่พอดี อย่ามากจนเกินไป จนรบกวนระบบการทำงานของร่างกายค่ะ ปล.เหมือนจะไม่มีอ้างอิงค่ะ แต่เรื่องนี้เก็บมาจากที่ได้เรียนมาค่ะ เราค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ได้มั่วชัวร์ (เอิ๊กส์) จากคุณ : เกิดจากความรัก - [ 9 พ.ย. 50 23:24:04 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไขมันในนมน่ากลัวกว่าแคลเซี่ยมที่ได้รับค่ะ เรื่องเกิดเมือกนั้น เป็นข้อห้ามอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีแนวโน้มเป็นเนื้องอก หรือเป็นมะเร็ง เพราะไขมันในนมเป็นที่พักที่แสนดีของพวกเนื้องอก สำหรับผู้หญิงกินนมถั่วเหลืองจะดีต่อสุขภาพมากกว่า ส่วนเรื่องประเด็นน้ำผึ้ง ที่คุณหมอเขียนอาจจะหนักไปหน่อย แต่มีน้ำผึ้งบางชนิดที่มีงานวิจัยในออสเตรเลีย (จากสารคดี) มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อและสมานแผลสูงมาก น้ำผึ้งจากพืชที่ทดลองนั้น มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อยับยั้งการอักเสบได้สูงกว่ายาแก้อักเสบแบบปกติที่ทานกันเป็นยาสามัญซะอีก (ทำการทดลองในจานเพาะเชื้อ) ส่วนเรื่องดองศพ กับเรื่องทำให้เป็นก้อนหรือกลายเป็นแผลเป็นอันนี้ไม่ยืนยันค่ะ เพราะน้ำผึ้งมีฤทธิ์สมานแผล แต่ทำให้เป็นแผลเป็นนี่เพิ่งเคยได้ยิน ส่วนเรื่องน้ำตาลในน้ำผึ้ง ไม่ได้ทำให้อ้วนมากขึ้นหรือน้อยลง เพราะแคลลอรี่เมื่อเทียบกับน้ำตาลจะไม่ต่างกัน แต่ต่างกันตรงที่ น้ำผึ้งเป็นน้ำตาลเชิงซ้อน ทำให้ต้องใช้เวลาในการย่อยยากกว่า ทางโภชนาการมักจะแนะนำให้ทานคาโบไฮเดรตเชิงซ้อนมากกว่าเชิงเดี่ยว เนื่องจากทำให้ย่อยยาก อิ่มนาน และซึมเข้ากระแสเลือดช้า (ทำให้อ้วนน้อยลงแบบอ้อมๆ เพราะไม่ต้องกินเพิ่มเ้ข้าไป) ปล. อ่านมาแล้วทั้งสองกระแส สรุปว่าประมาณนี้ แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 50 23:34:23 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 50 23:31:43 จากคุณ : แอน (แอ่นแอ๊น) - [ 9 พ.ย. 50 23:30:03 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อือม์ที่อ้างอิง มะแน่ใจนะคะ พอดีได้เป็นเมลล์มาอะค่ะ แต่เค๊าในเมลก็บอกว่า " จาก  คอลัมน์ธรรมชาติบำบัด   มติชน สุดสัปดาห์   โดย นายแพทย์ บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล " ค่ะ แต่ตัวเราเองก็ทานน้ำผึ้งเพียวๆ ทุกวันเหมือนกัน ถึงว่าสิ น้ำหนักขึ้นจั๊งงง -_-" จากคุณ : poogga - [ 9 พ.ย. 50 23:30:36 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ลืมบอกไปอย่างนึง เรื่องสูงนี่ ก่อนหน้านี้มีสมมุติฐานเรื่องฮอร์โมนเร่งโตในวัว ซึ่งอาจจะซึมเข้ากระแสเลือดได้ เลยทำให้เด็กโตไว เป็นผู้ใหญ่ไว ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้ในทางวิทยาศาสตร์เป็นไปได้ เพราะเราได้รับการปลูกฝังให้ดื่มนมทุกวัน เป็นเวลายาวนาน อีกอย่างการเลี้ยงโคนมในประเทศ  ก่อนหน้านี้ไม่แน่ใจว่ามีการควบคุมเรื่องการใช้ยาและฮอร์โมนเหมือนระบบฟาร์มสมัยใหม่หรือไม่ แล้วก็คนไทย มีนิสัยจดสืบ (หมายถึง ขีดเส้นไว้ตรงนี้ จะขอแหย่เท้าล้ำเส้นไปหน่อยนึง) บางทีก็เทยาใส่มากไป เพราะคิดว่าดี เหตุนี้ ก็ทำแบบเดียวกันกับการปลูกผัก ฉีดยาฆ่าแมลง ซึ่งมีผลกระทบระยะยาวตามมาทีหลัง จากคุณ : แอน (แอ่นแอ๊น) - [ 9 พ.ย. 50 23:40:56 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ทำไมในยุโรปบอกว่าทานโยเกริตแล้วทำให้การทำงานของลำไส้ดีหว่า หรือคนเอเซียกับคนยุโรปมีสารย่อยสลายโปรตีนในนมไม่เหมือนกัน เพราะคนละพันธ์กัน แล้วพวกลูกครึ่งทำไง .. งง ตั้งสมมติฐานไม่ถูกเลย จากคุณ : สุดท้ายตายเหมือนกัน (zizi lazy) - [ 9 พ.ย. 50 23:48:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เคยอ่านเจอจากกระทู้ในนี้สูตรโยเกริต น้ำผึ้ง มะนาว เห็นสาวๆหลายคนบ่อยกินนานๆจะท้องเสียบ่อยนะคะ จากคุณ : ยัยนู๋พลอย - [ 10 พ.ย. 50 00:08:45 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตรงกับที่ฟังในวิทยุเลยคุณหมอท่านนึงออกมาพูด ....อิอิ จากคุณ : ซานฟราน - [ 10 พ.ย. 50 00:14:39 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตอบคุณ izzy lazy นู๋ ม. เคยดูรายการวิทยาศาสตร์ค่ะ คนเอเซียกับคนยุโรปมีสารย่อยสลายโปรตีนนมที่อยู่ในลำไส้ไม่เหมือนกันค่ะ คนเอเชียบางคนจะแพ้โปรตีนนมวัวรุนแรง ทานแล้วท้องเสียรุนเเรงก็มี และคนที่มีแนวโน้มเป็นมะเร็ง ถ้ารับพวกไขมันนมมากเกินไป (หมายถึงดื่มแบบตั้งแต่เด็กและเยอะมากๆๆๆๆๆ) เป็นเวลานานๆ ก็อาจจะไปกระตุ้นพวกเนื้องอกได้  ตามที่คุณแอนบอกค่ะ (ทั้งไขมันนมและไขมันสัตว์ค่ะ คนที่ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งควรเลี่ยง) และย้ำอีกที "ว่าอาจจะ" เพราะต้องดูเงื่อนไขปัจจัยส่วนตัวอื่นๆ ด้วย ส่วนเรื่องทานโยเกริต น้ำผึ้ง น้ำมะนาว เห็นด้วยกับคุณแอนค่ะ สูตรนี้ดี แต่อาจจะไม่เหมาะกับทุกคน ต้องดูเป็นคนๆ ไป ถ้าใครทานแล้ว ท้องเสียเกินไป ควรจะลดปริมาณการทาน ถ้าใครท้องผูก ก็ทานบ้างได้ สำหรับตัวเอง นานๆ ทานทีค่ะ เพราะไม่ค่อยมีปัญหาด้านการขับถ่าย (อายจังมาบอกตรงนี้) และเน้นทานนมถั่วเหลืองค่ะ สังเกตด้วยว่า ตั้งแต่เราทานนมถั่วเหลืองสม่ำเสมอ ผิวดูใสขึ้นค่ะ แต่น้องคนหนึ่ง ทานนมถั่วเหลืองติดต่อกันเหมือนกัน ไม่เกิดอะไร อย่างที่ว่า เรื่องอาหารและยา เราเหมารวมไม่ได้ค่ะ แต่ละคนก็มียีนส์ การตอบรับจากสารอาหารและการแพ้ต่อสารอาหารไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ควรสังเกตจากตัวเองก่อนและหาข้อมูลทางโภชนาการที่น่าเชื่อถือได้สม่ำเสมอดีที่สุดค่ะ อย่าแตกตื่นนะคะ สาวๆ ลองหางานวิจัยเปรียบเทียบกันเยอะๆ แล้วดูตัวเองให้ดี ว่าเหมาะกับแบบไหน การมีความรู้และการรู้จักตัวเอง ทำให้เรามีสุขภาพที่ดีค่ะ จากคุณ : นู๋ ม. - [ 10 พ.ย. 50 00:22:21 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าถามว่า ลูกครึ่งเป็นอย่างไร อันนี้ไม่ทราบค่ะ ไม่รู้ว่าเคยมีงานวิจัยที่เน้นแต่พวกลูกครึ่งไหม ขอบคุณ จขกท. ที่นำบทความดีๆ มาให้เป็นความรู้ในบอร์ดจ้า แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 50 00:26:53 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 50 00:26:05 จากคุณ : นู๋ ม. - [ 10 พ.ย. 50 00:23:31 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณ จขกท มากๆๆเลยค่ะที่นำมาให้อ่าน จากคุณ : My_Tear - [ 10 พ.ย. 50 00:39:44 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณนะคะที่ความรู้เอามาแบ่งปัน . . . แต่กลับกับเราเลย แต่ก่อนเราเป็นคนไม่กินโยเกิร์ตเลย... เพราะไม่ชอบของเปรี้ยว แต่ด้วยความที่ต้องไปอยู่เมืองนอกสักพักใหญ่ ก็อย่างที่รู้ไม่ค่อยจะมีอะไรกินเท่าไหร่ เอาว่ะ นม กะโยเกิร์ต+คอนเฟรก นี่แหละสะดวก แล้วก็อิ่มท้องสุด กินมันทุกวันด้วยความจำใจ แรกๆ ก็แหวะๆ หลังๆ ชิน ผ่านไปได้สักพัก เราว่าระบบขับถ่ายเราดีขึ้น ถ่ายทุกวันตรงเวลาจากเดิมตอนไหนก็ตอนนั้นแหละ บางทีก็หลายวัน เห็นชัดเลยว่าผิวดีขึ้น อันนี้มีคนบอก ตอนนี้ก็เลยยังกินโยเกิร์ตอยู่ แต่อาจจะไม่อร่อยเท่าที่โน่น จากคุณ : hana_aya - [ 10 พ.ย. 50 01:25:02 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณค่ะ เราเองก็ทานพวกนมวัว หรือ โยเกิร์ตไม่ได้ แม้แต่พวกชีส มายองเนส ยังทานไม่ได้เลย ^^" อดสวยเลยอ่า จากคุณ : ~Arthemis~ - [ 10 พ.ย. 50 03:02:09 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อ่า... เราเองก็เคยแอบคิดเหมือนที่คุณหมอบรรจบบอกไว้เลย เราว่ามันเป็นเหตุเป็นผลอ่ะ ผลิตผลจากนมในสมัยนี้ ก็มีแต่สารเร่งฮอร์โมนเจือปนมาเยอะด้วยอ่ะค่ะ แคลเซียมไม่จำเป็นต้องได้จากนมที่เดียวนะ แต่กระแสแรงไง ขนาดคนในบ้าน คนข้างบ้าน คนในตลาด คนในเน็ต รู้จักสูตรนี้กันหมด จากคุณ : ชุติกาญจน์ - [ 10 พ.ย. 50 07:49:58 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เห็นด้วยกับหนูม.ค่ะ  ไม่ต้องเอเชียคนฝรั่งคนมองโกเลียอะไรหรอก พวกเรากันเองนี่แหละค่ะ  กินอาหารจานเดียวกันบางคนท้องเสีย  ส่วนอีกคนไม่เป็นไรเลย  ลองสังเกตตัวเองดีกว่าค่ะว่าเหมาะกับอาหารประเภทไหน อย่างเรากินนมแล้วไม่ท้องเสียค่ะ  ขนาดป่วยหรือท้องเสียยังกินนมได้เลย  แต่กินชาแล้วท้องผูกมาก บางคนกินกุ้งแล้วแพ้ลมพิษขึ้น  บางคนกินนั่นกินนี่แล้วอาเจียน กินกาแฟแล้วใจสั่น ฯลฯ เพราะฉะนั้นอาหารที่ดีที่สุดคืออาหารที่เหมาะกับร่างกายค่ะ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย - [ 10 พ.ย. 50 08:42:52 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เราอ่ะกินนมวัวไม่ได้ กินนมถั่วเหลืองแทน จากคุณ : ชิฟฟอนคาปูชิโน่ - [ 10 พ.ย. 50 09:46:01 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เชื่อถือได้รึเปล่าเนี่ยะ เด๋วก็เหมือน"กินกุ้งกะวิตามินซี"อีกหรอก จากคุณ : เด็กหญิงสีเหลือง - [ 10 พ.ย. 50 10:28:23 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เพราะมัน อาหย่อย จากคุณ : Sineshine - [ 10 พ.ย. 50 11:38:50 ]

ความคิดเห็นที่ 26 forward เมลล์ใช่มะครับ ส่วนใหญ่เชื่อไม่ค่อยได้ ไอ้เรื่องของนมผมเชื่ออยู่หรอก เพราะบางคนย่อยโปรตีนในนมวัวได้น้อย ทำให้ท้องเสียได้ จากคุณ : AlphaJR - [ 10 พ.ย. 50 11:50:18 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อย่าเชื่อจนกว่าจะพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองครับ ของอย่างนี้ขึ้นอยู่กับคนกินครับว่าจะแพ้หรือไม่ อย่าเชื่อแบบเหมารวมว่าจะต้องเป็นกับทุกคนเลยครับ ปล.ระวังการกินกุ้งกับวิตมินซีด้วยนะครับ จากคุณ : 24 hours. - [ 10 พ.ย. 50 12:13:24 ]

ความคิดเห็นที่ 28 สรุป มากจาก FWD mail ? จากคุณ : Guardian angel - [ 10 พ.ย. 50 12:23:32 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณคะที่ความรู้เอามาแบ่งปัน :) . จากคุณ : Muay_CordonBleu - [ 10 พ.ย. 50 15:00:33 ]

ความคิดเห็นที่ 30 [url]http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87[/url] จากคุณ : บี1และบี2 (บี1และบี2) - [ 10 พ.ย. 50 16:31:46 ]

ความคิดเห็นที่ 31 สรุปให้นะครับ ก้อไม่ต้องกินโยเกริต์ แต่กิน ยาคูลท์แทนหละกัน ไม่แพ้ด้วย เพราะกินตั้งแต่เด็กๆ จากคุณ : hokkway (hokkway) - [ 10 พ.ย. 50 17:14:26 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เห็นด้วยค่ะเรื่องไม่ควรทานโยเกริต์ (มากเกินไป)   ถ้าอยากถ่ายควรทาน อาหารที่มีกากใยสุงมากกว่า พวกแป้งไม่ขัดขาว ผักสด ผลไม้ เคยเป็นคน ท้องผูกมาก เลยเปลี่ยนจากข้าวขาวมาเป็นข้าวกล้อง  ทานผักสดเยอะๆ ทีนี้แหละถ่ายทุกวันสบายม๊ากมาก จากคุณ : มึนโกะ - [ 10 พ.ย. 50 18:56:01 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เรื่องนี้แล้วแต่คนมองจริงๆค่ะ ข้อเท็จจริงคือ อาหารอย่างหนึ่ง มีสารอาหารประกอบอยู่หลายอย่าง แล้วแต่คนจะจับสารอาหารอะไรมาพูด แล้วก็จะพูดถึงข้อดีหรือข้อเสียด้วย 1. น้ำผึ้ง มันก็คือน้ำตาลธรรมชาติรูปนึงนี่ล่ะ ชื่อฟรักโตส เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ซึ่งดูดซึมเข้าร่างกายแสนง่ายดาย แน่นอนว่าการกินน้ำตาล ย่อมได้พลังงานในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเข้าไป เมื่อร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตเกิน ก็จะเอาไปสร้างเป็นไขมันค่ะ เป็นสาเหตุว่าทำไมคอเลสเตอรอลในเลือดจึงสูงขึ้น แต่ในความเป็นจริง คอเลสเตอรอลก็ยังแบ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดี ที่ควารจะมีในร่างกายมากๆ และคอเลสเตอรอลชนิดแย่ที่จะทำให้เราเป็นไขมันในเลือดอุดตันอีก ซึ่งในส่วนนี้ฟอนติสก็ไม่ทราบว่าน้ำผึ้งไปเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดใดมากกว่ากัน 2. โยเกิร์ต ใช่ค่ะ โยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแต่ว่าจะเป็นนมวัว นมแพะ หรืออย่างอื่น(ฟอนติสเคยกินโยเกิร์ตนมถั่วเหลืองด้วยล่ะ) ถูกค่ะ เด็กไทยเกือบ 90% แพ้โปรตีนในนมวัว โปรตีนที่เด็กแพ้นั้น ไม่ได้มีแค่นมวัวนะคะ แพ้ได้ทั้ง ถั่ว ไข่ แล้วก็อาหารทะเลด้วย แต่!!! เกือบทั้งหมดจะค่อยๆหายแพ้ไปได้เองในช่วงอายุขวบปีแรก ค่ะ จริงอยู่ว่าคุณอาจเป็นคนกลุ่มน้อยที่ไม่หายแพ้ แต่ถ้าคุณท้องเสียทุกครั้งที่กินโยเกิร์ต คุณจะยังกินมันอยู่ทำไมล่ะคะ??? เรื่องแคลเซียมในนมนั้น จำเป็นจริงๆสำหรับผู้หญิงค่ะ การกินอาหารที่มีแคลเซียมตั้งแต่วันนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกผุในระยะยาว เนื่องจากกระดูกจะสะสมแคลเซียมมากที่สุดแค่อายุ 35 ปี(ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) เท่านั้นค่ะ หลังจากนั้น กระดูกจะบางลงเรื่อยๆ และบางเร็วขึ้นในช่วงหมดประจำเดือนค่ะ สำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องการการเจริญเติบโต แนะนำให้กินนมพร่องมันเนยค่ะ เดี๋ยวนี้ก็มีขายเยอะแยะนะคะ นมพร่องมันเนยที่เติมแคลเซียมเสริมเข้าไป 3. ท้องผูก ถูกแล้วค่ะ ท้องผูกควรแก้ปัญหาด้วยการกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง นอกจากนี้แล้ว ยังควรดื่มน้ำมากๆ และออกกำลังกายด้วยค่ะ(แค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกาย ^ ^) เพื่อให้มีการกระตุ้นลำไส้ จะได้ถ่ายสะดวกขึ้น รวมถึงจัดเวลาขับถ่ายให้เป็นกิจวัตรค่ะ ตามปกติแล้ว ช่วงเช้าจะเป็นช่วงที่ถ่ายง่ายที่สุด เพราะอาหารที่เรากินไปมื้อเย็นของเมื่อวานจะถูกย่อยและส่งต่อมาที่ลำไส้เพื่อดูดซึมน้ำและเกลือแร่พอดี ถ้าไม่ถ่ายในช่วงนี้ อุจจาระของเราจะถูกดูดซึมน้ำและเกลือแร่ต่อไป ทำให้อุจจาระแข็งขึ้นๆ กลายเป็นท้องผูกต่อมาค่ะ 4. มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นโรคที่มีปัจจัยเกี่ยวข้องมากมายค่ะ ตั้งแต่ระดับพันธุกรรมไปจนถึงสภาพแวดล้อม บางคนที่ไม่มียีนมะเร็งลำไส้ กินอาหารเหลวแหลกยังไงก็ไม่เป็นมะเร็ง(เป็นพวกไขมันอุดตันเส้นเลือดแทน ;P) แต่ถ้าคุณมีญาติลำดับที่1 (พ่อแม่ พี่น้อง) เป็นละก้อ ต้องเอาใจใส่สุขภาพลำไส้ และการขับถ่ายเอาไว้นะคะ แนะนำให้ส่องกล้องตรวจลำไส้เมื่ออายุ 45 ปี หรือ ใช้ อายุของญาติที่เริ่มเป็นมะเร็ง - 10 ปีค่ะ อย่างที่หลายๆท่านพูดมาแหละค่ะ คนเราจะกินอาหารสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งไม่ได้ ควรจะกินอาหารที่หลากหลาย มีสารอาหารครบและเพียงพอต่อความต้องการของแต่ละคนด้วยค่ะ ^ ^ จากคุณ : fontis - [ 10 พ.ย. 50 22:37:55 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ลากหว้ากอ + สวนลุม มาช่วยกะนถกดีกว่า จากคุณ : Garlamare - [ 10 พ.ย. 50 22:39:21 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เข้ามาเพิ่มเติมว่าการเกิดเมือกนั้น จากที่คุยกับหมออายุรเวท ท่านสนับสนุนให้ดื่มนม หรือรับแคลเซียมจากอาหารที่เป็นธรรมชาติมากกว่าอาหารเสริม แต่ถ้าจะดื่มนม แนะนำให้ดื่มนมอุ่น เพราะนมเย็นจะทำให้เกิดเมือกค่ะ อาหารทุกอย่าง ทานได้แต่ทานแต่พอดี และหัดสังเกตตัวเองด้วยว่าเหมาะกับอาหารประเภทไหน จากคุณ : แบ๊น แบน - [ 10 พ.ย. 50 23:29:17 ]

ความคิดเห็นที่ 36 นมถั่วเหลืองก็มีแคลเซี่ยมค่ะ แต่น้อยกว่านมวัว แต่จะให้ได้มาก งาดำมีแคลเซี่ยมสูงกว่านมวัวเป็น 10 เท่า ในขณะที่ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซี่ยมจากนมได้ประมาณ 50% เท่านั้น อีกอย่างคือ กลูโคสที่เปลี่ยนเป็นไขมัน แอนไม่แน่ใจว่ามันเปลี่ยนเป็นคอเรสเตอรอลได้นะคะ ที่ทราบคือ ไตรกลีเซอไรด์คือ ไขมันที่เกิดจากแป้ง คลอเรสเตอรอลน่าจะเกิดจากกรดไขมันมากกว่ามัง อีกอย่าง คงไม่มีคนกินน้ำผึ้งเป็นลิตรเหมือนกินนมหรอกค่ะ ไขมันในนมหน่ะ น่ากลัวจะเป็นคลอเรสเตอรอลมากกว่าน้ำผึ้งอีก ที่จริง ถ้าท้องผูกวิธีที่ดีคือ การเพิ่มไฟเบอร์และดื่มน้ำ ถูกแล้วค่ะ ถ้าอยากจะให้ถ่ายง่ายจริงๆ คือ ตื่นเช้า ดื่มน้ำเปล่า 1 ลิตร ผสมน้ำมะนาว 1 ลูก รวดเดียวจนหมด จะทำให้ถ่ายได้ภายใน 10 นาที แรกๆ อาจจะยากนิดหน่อยโดยเฉพาะคนที่ติดยาถ่ายจนลำไส้ไม่บีบตัวด้วยตัวเอง ทำวิธีนี้ติดต่อกันทุกวัน ร่วมกับวิธีการปรับอาหาร จนสามารถถ่ายได้ตามปกติ ถ้าคิดว่า กินผักน้อยไป ให้กินเม็ดแมงลักค่ะ นอกจากจะเพิ่มกากแล้ว ยังทำให้ลื่นและถ่ายง่ายด้วย ถ้าพูดถึงหัวข้อกระทู้ อยากกินก็กินค่ะ แอนก็ทำโยเกิร์ตกินเองบ้างเหมือนกัน เวลาว่างๆ แต่ชอบทำจากนมถั่วเหลือง เพราะมันน้อยกว่า แต่รสจะเปรี้ยวแหลมกว่านม ราดน้ำผึ้ง ฝานกล้วยลงไปด้วย อร่อยมาก แต่ถ้าถามว่า กินตามสูตรที่ว่าข้างบนเพื่อช่วยเรื่องการขับถ่าย ไม่ค่อยใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่ อ้อ เท่าที่ทราบ จากงานวิจัย การทานแคลเซี่ยมเสริม ไม่ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนในคนที่ได้รับแคลเซี่ยมจากการทานอาหารครบอยู่แล้ว แต่ที่มีการให้ทานกัน เพราะส่วนใหญ่มักจะทานกันไม่ค่อยครบ และการขัดขวางการดูดซึมของแคลเซี่ยมได้หลายรูปแบบ (ต้องได้รับวิตะมินดีด้วยอ่ะ) แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 50 02:11:46 จากคุณ : แอน (แอ่นแอ๊น) - [ 11 พ.ย. 50 02:09:01 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คอนเฟิร์มบทความนี้นะคะ ว่าคุณหมอบรรจบเขียนลงในมติชนสุดสัปดาห์จริงค่ะ ไม่ได้เพียงแค่มาตาม FWD Mail อย่างที่หลายๆ ท่านกลัวหรือสงสัย แต่จะเชื่อหรือไม่ ก็อย่างที่หลายๆ ท่านข้างบนบอกค่ะ เพราะคุณหมอบรรจบ ชุณหสวัสดิกุลนี้ เคยมีงานเขียนที่ว่าด้วย โทษแห่งการกินนม เช่น  กินข้าวกล้องไม่ต้องกินยา กินถั่วงา ปลา ไม่ต้องพึ่งพานม(วัว) จริงๆ แล้วที่เคยอ่านเจอมีอีกนะคะ แต่เสิร์ชไม่เจอ เป็นเรื่องโทษแห่งนมวัวโดยตรงเลย ถ้าจะถามความเห็นเรา คงเหมือนที่หลายๆ คนบอกว่า บางอย่างที่ดีกับบางคน แต่อาจไม่ได้ดีกับทุกคนค่ะ อย่างเราเอง ต้องงดผลิตภัณฑ์จากนมแทบทุกชนิด รวมถึงเนื้อสัตว์ เพราะเป็นคนเลือดกรุ๊ปเอ ซึ่งจะมีตำราที่ว่าด้วยการกินอาหารตามหมู่เลือดบอกไว้ว่า เลือดกรุ๊ปนี้ไม่เหมาะกับการกินนมและเนื้อสัตว์ ที่งด ก็ไม่ได้เพราะอ่านเจอ เพราะเพิ่งทราบแนวคิดนี้ในช่วงไม่เกิน 5 ปี แต่เรื่องงดนม งดเนื้อสัตว์ เรางดมาตั้งแต่ ม.2 จนปัจจุบันนี้ก็ 10 ปีแล้ว และงดเอง ไม่มีใครบอก เพราะรู้จักสุขภาพตัวเองว่ามันไม่เหมาะสม กินทีไรจะปวดท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อยตลอด เดือนที่แล้วทดลองกินโยเกิร์ต ปรากฎว่าท้องอืด+ท้องผูกไปตั้ง 2-3 วัน เลยงดเหมือนเดิม ..... เล่าให้ฟังค่ะ ใครจะเชื่อยังไงก็แล้วแต่สุขภาพนะคะ เพราะทราบมาว่าถ้าเลือดกรุ๊ปโอ จะย่อยโปรตีนในเนื้อสัตว์ได้ดีเลยค่ะ ดังนั้นก็อาจจะเหมาะกับสูตรนี้ก็ได้ จากคุณ : หมี (astro bear) - [ 11 พ.ย. 50 12:00:22 ]

ความคิดเห็นที่ 38 นมถั่วเหลืองมีแคลเซียมอยู่น้อยมากนะคะ นมถั่วเหลืองทำมาจากถั่วเหลือง มีแคลเซียมแต่ก็ปริมาณน้อย ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่านมถั่วเหลืองมีปริมาณแคลเซียมที่มากพอต่อความต้องการ จริง ๆ แล้วไม่ใช่นะคะ เต้าหู้ต่างหากที่มีแคลเซียม เพราะการทำเต้าหู้เค้าจะใส่แคลเซียมคาร์บอเนตลงไป จึงได้แคลเซียมจากตรงนี้ ไม่ใช่จากถั่วเหลือง ซึ่งป็นความเข้าใจผิดกันมากว่าถ้าไม่ดื่มนม ก็ดื่มนมถั่วเหลืองสิ มันทดแทนกันในเรื่องของแคลเซียมไม่ได้ค่ะ ถ้าไม่อยากดื่มนมและอยากได้แคลเซียมก็มีแหล่งแคลเซียมจากธรรมชาติอื่น ๆ ถ้าจะดื่มนมถั่วเหลือง ก็ควรเสริมแคลเซียมจากอาหารอื่น ๆ ด้วยค่ะ ย้ำว่าอาหารทุกชนิดมีดีและไม่ดีในตัวของมันและเหมาะสมกับแต่ละคนไม่เท่ากัน ต้องสังเกตตัวเองค่ะ จากคุณ : แบ๊น แบน - [ 11 พ.ย. 50 13:23:31 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แต่โยเกิร์ต รสธรรมชาติ ดีกับจิมินะ จิงๆ จากคุณ : OMG - [ 11 พ.ย. 50 18:02:57 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ไม่กินโยเกิร์ตอะ กินแล้วเหมือนนมบูดเลยอะคะ กินอะไรก็คงไม่ดีเท่า กินแบบสมดุล สารอาหารครบ 5 หมู่ และมีความหลากหลายนะคะ จากคุณ : momoPanG - [ 12 พ.ย. 50 13:03:35 ]

ความคิดเห็นที่ 41 มีคนโพสต์ในห้องสวนลุมพินีด้วยค่ะ ลองอ่านดูนะคะ ได้คำตอบอีกมุมนึง http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L6010851/L6010851.html จากคุณ : แบ๊น แบน - [ 13 พ.ย. 50 00:17:12 ]