Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    >>>>ชี้แจง กระทู้เรื่องโทษของการดื่มน้ำน้อยค่ะ...ยืนยันว่าไม่ได้ป่วนอย่างที่หลายๆๆคนเข้าใจ<<<<

    หลังจากที่โพสต์บทความ โดย ผศ . ดร . พสุ   เดชะรินทร์     pasu@acc.chula.ac.th
     



     ไว้ให้เพื่อนๆๆทุกคนได้อ่านก็ยังมีบางส่วนที่เข้าผิดคิดว่าเป็นการ ฟอร์เวิร์ดเมลล์ ....บทความนี้มีแหล่งที่อ้างอิงได้ค่ะ ....และเป็นข้อมูลที่ดี และเป็นประโยชน์ ทั้งหมดจะมี 4 ข้อ แต่เราคัดมาแค่ 1 ข้อ เกี่ยวกับเรื่องน้ำ....จากที่ได้เข้าไปอ่านกระทู้พบว่ายังมีหลายคนสงสัยและคลางแคลงใจอยู่เลย นำบทความทั้งหมด 4 ข้อมาให้อ่านนะค่ะ




    4 เรื่องสุขภาพ.....   ที่ทุกท่านที่สนใจอ่าน
    ควรให้ความสำคัญ..หากต้องการเป็นบุคลากรขององค์การ/ต้องการเป็นที่พึ่งให้ครอบครัวไปนานๆ
    ๆๆๆ
    1  . โรค Attention Deficit  Trait

    โดย ผศ . ดร . พสุ   เดชะรินทร์     pasu@acc.chula.ac.th

    ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับ
    ? คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลาย ๆ
    อย่างไปในขณะเดียวกันเช่นในขณะที่กำลังเช็คอีเมลทางคอมพิวเตอร์
    ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้องพร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน
    หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุมก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูลและตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า

    ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่ามีความสามารถมาก
    สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน
    สามารถทำงานได้ออกมาเยอะและดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด

    แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ   ว่า การทำงานในลักษณะ Multitasking นั้น
    กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน   ที่เราเรียก
    Attention  Deficit Trait หรือ ADT
    โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ
    ในที่ทำงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้นทำงานหลายอย่างพร้อมๆ
    กัน   จะต้องตื่นตัวตลอดเวลาไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพัก

    ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่าเป็นโรคนี้หรือไม่ ?

    ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม
    2548 ในบทความชื่อ Why Smart  People Underperform เขียนโดย Edward M.
    Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้งหลาย
    คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit  Disorder หรือ ADD
    มากว่า 25 ปี และโรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย
    โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียนเรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น

    ผู้เขียนบทความนี้เขาพบว่าในช่วงหลังๆ   เริ่มมี ผู้ใหญ่
    เข้ามารับการรักษาในอาการที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้นกันมากขึ้น
    แต่เมื่อวินิจฉัยดูก็ไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น   แต่เป็นโรคอีกชนิดหนึ่ง
    ที่มีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น คุณหมอท่านนี้ เลยตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น
    Attention  Deficit Trait หรือ ADT โดยสาเหตุของ ADT
    จะต่างจากโรคสมาธิสั้นเนื่องจากโรคสมาธิสั้นจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและสภาวะแวดล้อม
     แต่ ADT นั้น   จะมาจากสภาวะแวดล้อมเป็นหลัก

    ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น
    มักจะมีอาการสมาธิสั้นไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ
    ก็จะถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน (
    แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น )
    ไม่ค่อยอดทนมีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ (Unorganized)
    การจัดลำดับความสำคัญและการบริหารเวลา

    โรค ADT นี้มักจะเริ่มก่อเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ
    การที่มีความรู้สึกว่ามีงานด่วนหรือสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆและท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ
     จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน
    หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น
    อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้นเราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ
    ทั้งๆ   ที่กำลังความสามารถและเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา
      ดังนั้นเมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น
    เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลาพยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็ว

    การทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ   กันและขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง
    (Unfocused) แต่ในขณะเดียวกันบุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวายดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

    ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น ?
    ง่ายๆ   ก็คือ ทำให้สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด
    วิเคราะห์และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง
    จะส่งผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก
    จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลงการที่สมองเราจะต้องรับ
    วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆ   เพิ่มมากขึ้น
    ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลงอีกทั้งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น

    โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ
    เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงานที่ต้องการความรวดเร็วและมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น
     สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆมากขึ้นกว่าเดิม
    วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบันก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ
    ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ (
    เรามักจะคิดว่าในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน
    ดังนั้นผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า )

    ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด
     ปุ่มนั้นก็คือปุ่ม " ปิดประตู " เนื่องเพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว
    ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง

    *** ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเป็นโรค ADT
    กันบ้างไหมครับผมลองสังเกตตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนกันครับทั้งสาเหตุและอาการก็เหมือนกับที่คุณหมอเขาเขียนไว้ในบทความของเขาเลยครับเพียงแต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจนะครับ
     ถ้ารู้สึกว่าตนเองเป็น ADT
    เนื่องจากคนแต่ละคนจะมีวิธีการในการบริหารและจัดการกับโรค ADT ที่ต่างกัน
    ( เนื่องจากสมองของคนแต่ละคนต่างกัน ) ***

    จากคุณ : วุ่นวายค่ะ - [ 19 พ.ย. 50 15:02:29 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom