ความคิดเห็นที่ 130
ข้อมูลเพิ่มเติม วิตามินซี (Ascorbic Acid) ทำหน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระและเป็นองค์ประกอบร่วมของเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เช่น เอนไซม์เฟอร์ริกและคิวปริกเมทัลเลี่ยนส์ (Ferric/Cupric Metalions Enzymes) ในขณะเดียวกันวิตามินซียังสามารถทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระได้หลายชนิด มีความเป็นพิษต่ำ และเป็นตัวดึงวิตามินอีมาจากโตโกฟิรอลแรดิคัลได้ แต่ข้อด้อยของวิตามินซี คือ ถูกทำลายได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกแสง ความชื้น ออกซิเจน ความร้อน และด่าง
ร่างกายต้องการวิตามินซีประมาณวันละ 60 มก. ส่วนผู้หญิงมีครรภ์และผู้สูบบุหรี่ต้องการมากขึ้นเป็นประมาณวันละ 140 มก. อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยวและผักใบเขียว การรับประทานวิตามินซีค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากวิตามินซีละลายในน้ำได้ วิตามินซีที่รับประทานเข้าไปจะไปอยู่ในผิวชั้นนอกมากกว่าผิวชั้นในถึง 5 เท่า และมีผลในการช่วยลดปริมาณอนุมูลอิสระในผิว ช่วยสมานแผล ชะลอการร่วงโรยของผิว และป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง
วิตามินซีส่วนใหญ่อยู่ในรูปของกรดแอล-แอสคอร์บิก (L-Ascorbic Acid) ได้แก่ แอสคอร์บิลพาลมิเทต และแอสคอร์บิลฟอสเฟต ซึ่งแอสคอร์บิลฟอสเฟตเป็นวิตามินซีที่ละลายน้ำได้ดีและคงตัวอยู่ได้นานถึง 6 เดือน จึงมีผู้นำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์หลายชนิด ส่วนแอสคอร์บิลพาลมิเทตนั้นละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน จึงใช้เป็นส่วนผสมในครีม โลชั่น และน้ำมัน ข้อดีของสารตัวนี้คือมีค่า pH หรือค่าความเป็นกรด-ด่าง ที่เป็นกลางจึงไม่ระคายเคืองต่อผิว
จากการทดสอบพบว่า การทาวิตามินซีบนผิวสามารถลดอาการบวมแดงหรืออาการไหม้จากแสงแดดได้ โดยหากผสมวิตามินอี ลงไปด้วยก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ได้ผลใกล้เคียงกับครีมกันแดดที่มีออกซิเบนโซนเป็นส่วนประกอบ และหากใช้วิตามินซี วิตามินอี และออกซิเบนโซน ร่วมกันก็จะสามารถป้องกันภาวะพิษจากแสงแดดได้เกือบ 100% อย่างไรก็ตาม วิตามินซีไม่สามารถป้องกันการหย่อนยานของผิวได้ รวมทั้งยังไม่มีผลการศึกษาและทดสอบกับคนจำนวนมาก เพื่อยืนยันว่าวิตามินซีมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดในเรื่องดังกล่าว
AHA หรือ Alpha Hydroxy Acid เป็นกรดอินทรีย์ที่พบได้ในธรรมชาติ และสามารถผลิตสังเคราะห์ขึ้นได้เพื่อใช้เป็นเวชภัณฑ์สำอางค์
AHA ที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติ ได้แก่ Glycolic acid พบได้ในอ้อย, Lactic acid พบได้ในนมเปรี้ยว, Citric acid พบได้ในผลไม้, Malic acid พบได้ในแอปเปิ้ล และ Tartaric acid พบได้ในองุ่น
ในสมัยก่อนตั้งแต่เมื่อชาวอียิปต์มีความรุ่งเรืองทางอารยธรรม พบว่ามีการบันทึกเกี่ยวกับสตรีชาวอียิปต์ที่ใช้นมเปรี้ยวอาบ เพื่อทำให้ผิวหนังมีความนุ่มเนียน และนี่ก็คือการใช้ Lactic acid ซึ่งเป็น AHA ตัวหนึ่ง สำหรับในเมืองไทยเองคงเคยทราบมาว่า มีการใช้ผลไม้หรือผักในการทำให้ใบหน้ามีความเนียนเรียบ ตัวอย่างนี้ก็คงเป็นการใช้ AHA ตามธรรมชาติที่มีด้วยเช่นกัน
ในปัจจุบัน ได้มีการสังเคราะห์ AHA และนำมาผสมอยู่ในเครื่องสำอางค์หลายยี่ห้อ โดยมีความเข้มข้นแตกต่างกัน ตั้งแต่ 3 % ถึง 30 % โดยที่มีคุณสมบัติช่วยในการลดรอยย่นบนใบหน้า สำหรับในทางการแพทย์ความเข้มข้นสำหรับการใช้นั้น มีตั้งแต่ 3%-15% สำหรับให้ผู้ป่วยไปใช้ที่บ้าน และ 30%-70% สำหรับการลอกผิวที่ต้องการผลที่มากกว่า โดยทำการลอกผิวโดยแพทย์
ประโยชน์ของ AHA สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอางค์ (3%-15%) คือ
1. ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน
2. ทำให้ผิวหน้าดูมีน้ำมีนวล
3. ทำให้รูขุมขนไม่เกิดการอุดตัน
4. ช่วยลดการเกิดความมันส่วนเกินและช่วยให้ปัญหาสิวดีขึ้น
ส่วนการใช้ AHA 30%-70% โดยแพทย์นั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่าง ๆ ดังนี้
1. ช่วยทำให้สิวและตุ่มขนอักเสบมีจำนวนน้อยลง
2. ทำให้ฝ้าจางลง
3. ช่วยเรื่องรอยย่นบนใบหน้า
4. ช่วยรักษาผื่นจากแสงแดด เช่น ผื่นดำจากแสง Solar lentigenes, ภาวะเสื่อมสภาพจากแสง Actinic degeneration
ข้อดีของการใช้ AHA peeling คือ ไม่พบว่ามีพิษต่อร่างกาย , การลอกนั้นตื้นดังนั้นจึงมีผลข้างเคียงน้อย และ ผู้ป่วยสามารถจะทนได้ดีต่อสาร
ข้อเสียของการใช้ AHA peeling และเวชภัณฑ์สำอางค์ที่มี AHA คือ ผิวหนังจะมีความไวต่อแสงอุลตราไวโอเลตเพิ่มขึ้น กล่าวคือ อาจมีการไหม้ของผิวได้ง่ายขึ้นเมื่อตากแดด หรือมีความรู้สึกแสบผิวได้มากขึ้น และถ้าหากเป็นผู้ที่ต้องโดนแดดเป็นประจำ อาจมีความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น
ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ใช้ หรือสนใจจะใช้ AHA หรือได้รับการทำการลอกผิวด้วย AHA คือ
1. ควรใช้ยากันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป
2. ควรกางร่มหรือสวมหมวกเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด
3. ควรทดสอบใช้บริเวณข้อพับก่อน เพื่อดูว่ามีการระคายเคืองหรือไม่
4. หากเกิดอาการระคายเคือง ให้หยุดใช้และปรึกษาแพทย์
เอกสารอ้างอิง
Manual of Chemical Peels , Superficial and Medium Depth by Mark G. Rubin, MD, 1995 Chemical Peeling and Resurfacing , Harold J Brody, second edition, 1997 Cosmetic Dermatologic Surgery , edited by Leonard M. Dzubow,1998 ขอบคุณข้อมูลจาก นายแพทย์กิตติพัฒน์ ศีตจิตต์
จากคุณ :
พร่างพราว
- [
5 ม.ค. 51 11:42:14
]
|
|
|