ความคิดเห็นที่ 1 - กรณีกวาวเครือเพิ่มอึ๋ม จำกันได้ไหมคะ? สมุนไพรชนิดนี้ตอนแรกดังมากๆ เรื่องการเพิ่มความอึ๋ม ผลปรากฏว่าไม่เกิน 1 สัปดาห์ ก็มีข่าวออกอย่างที่เราว่า “แพทย์เตือน/กรมชี้/นักวิชาการย้ำ อันตราย ก่อมะเร็ง” ....ปัจจุบันลองดูนะคะ สินค้าเสริมอึ๋มในญี่ปุุ่นผสมกวาวเครือค่ะ น่าเจ็บใจไหมคะ? เราต้องไปซื้อแพงๆ อย่างนั้น โดยสินค้ากวาวเครือที่ขายในญี่ปุ่นยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง ระบุชัดเจน “พืชชนิดนี้ พบได้เฉพาะในดินแดนแถบประเทศไทย และพม่า เท่านั้น!”  ของเราแท้ๆ ไม่พัฒนา ยังจะ ทำให้มันดูอันตราย ต่างชาติเขาเอาไปสร้างมูลค่าเพิ่มกลับมาขายคนไทยแล้ว ดีจริงนะ แพทย์/กรม/นักวิชาการ ขอบคุณมากๆ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจส่งออกกวาวเครือจริงๆ (อาจจะซื้อเหมาโลละไม่กี่บาทแต่ไปสร้างมูลค่าเพิ่ิมกลายเป็นครีมกระปุกละหลายพัน สรุปคนไทยได้แค่ค่าขายวัตถุดิบ อีพี่ยุ่นไม่ได้ปลูกบ้าอะไรเลย ได้มูลค่าเพิ่มไปไม่รู้กี่เท่า) - วิตามินเสริมต่างๆ แม้กระทั่งกรณีกลูต้าไธโอน จำได้ไหมคะ? ตอนนั้นสร้างภาพกันซะน่ากลัวเหลือเกิน อันตรายเหลือกิน....แต่ตอนนี้ อ.ย. ก็รับรองมาเรียบร้อยแล้วค่ะ ตอนนั้นเขาบอกว่า อันตราย เพราะใช้เฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง หรือช่วยผู้ที่ทานยาเกินขนาดเพื่อฆ่าตัวตาย....เรากลับคิดอย่างชาวบ้านๆ ค่ะ ถ้าขนาดคนป่วยหนักอย่างนั้นยังใช้เจ้ากลูต้านี่ได้ ทำไมคนปกติใช้แล้วจะตายขึ้นมาเหรอคะ? อย่างนี้คนป่วยไม่ใช้แล้วตายไปเลยหรอ? อันนี้บอกตรงๆ ว่าคิดแบบบ้านๆ เลยนะคะ ไม่ได้อิงหลักวิชาการใดๆ จำได้ว่าเคยอ่านบทความของแพทย์ท่านหนึ่ง ก็ประมาณนี้ค่ะ “จริงๆ ไม่ต้องฉีดหรือทานเสริมเข้าไปเพราะร่างกายสามารถสร้างกลูต้าฯ เองได้อยู่แล้ว ...(และอื่นๆ จำไม่ได้)....แล้วก็ร่ายยาวมากลายเป็นว่าเป็นปัญหาค่านิยมจากการอยากสวย/หล่อตามแบบดารา นักแสดง คนดังๆ” คือทราบค่ะ ว่าร่างกายสามารถสร้างได้เองอยู่แล้ว แต่มันสร้างในระดับที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ไม่ใช่เหรอคะ? แต่ที่เขากิน หรือฉีดกัน ก็เพื่อให้มันมีปริมาณพอที่จะทำให้ “ขาว” ขึ้น ซึ่งถ้ามันไม่มีอันตราย เราไม่เห็นว่าค่านิยมอยากขาว อยากดูดี เป็น “ปัญหาสังคม” แต่อย่างใด - การทำศัลยกรรม ....โอ้โห.....หลายคนมีภาพฝังใจว่า อันตรายๆ ไม่ได้ๆ ทำได้ไง ไม่เห็นข่าวเหรอ? คนเค๊าทำแล้วนมบูด ดั้งเน่า ฯลฯ คือเราก็เห็นข่าวบ่อยๆ นะคะ พวกนมบูด ดั้งเน่า เนี่ย แต่อยากบอกว่า ถ้่าติดตามข่าวดีๆ แล้ว จะเห็นว่า กรณีพวกนั้น เกิดจากการใช้บริการของหมอเถื่อน (งก อยากจ่ายถูก หรือเชื่อคำโฆษณาเกินจริง) หรือหมอที่ไม่ได้เชี่ยวชาญ ไม่ได้จบด้านนี้โดยตรง หรือไม่ก็เสริมโดยใช้สารที่ไม่ได้มาตรฐาน (กรณีซิลิโคนปั่น) ต่างหาก จะมาเหมารวมว่า “อันตรายๆๆๆๆๆ ศัลยกรรม อันตรายๆๆๆๆ ใครทำก็บ้า โง่ ไม่รู้จักคิด “ อย่างนั้นมันเพื่ออะไรเหรอคะ? ถ้าใช้บริการจากสถานที่ที่มีมาตรฐาน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มันต่างกับหมอเถื่อนมากนะคะ อีกอย่าง ศัลยกรรมก็คือการผ่าตัด ถ้าคิดว่าผ่าตัดเสริมจมูก เสริมนมแล้วอันตรายขนาดนั้น พวกผ่าตัดทำบอลลูน ทำ Bypass หรือประสบอุบัติเหตุต้องเอาเหล็กเข้าเสริมข้อสะโพก หรือผ่าตัดตา ไม่ยิ่งอันตรายกว่าเหรอคะ? เทียบระดับเนี่ย ผ่าตัดหัวใจ หรือคลอดลูก อันตรายกว่ามาก จากคุณ : Love Actually is.. - [ 29 เม.ย. 51 18:24:12 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คือเราเขียนกระทู้นี้ ไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีแพทย์ หรือนักวิชาการที่หวังดีต่อผู้บริโภคเลยนะคะ (ถ้าเราจะเล่นใครสักคน ขอเล่น “สื่อ” ละกันค่ะ ชอบเสี้ยมดีนัก คุณหมอเขาพูดธรรมดา ดันพาดหัวข่าวซะกลายเป็นมะเร็งไปเลย) เราเข้าใจค่ะ บางอย่างอันตรายจริงก็ต้องช่วยๆ กันกำกับดูแลให้เหมาะสม แต่บางอย่าง มันไม่ได้น่ากลัวอย่างนั้น ทำไมไปประโคมสร้างภาพมันซะแย่ไปเลยล่ะ? คนอยากดูดี ไม่ใช่ปัญหาสังคมสักหน่อย ถ้าไม่ได้เข้าขั้นโรคจิตเสพย์ติดอย่างแรง ทิ้งการงาน ครอบครัว ทุ่มเทเงินทองขายบ้านช่องที่นาไปหมกไปมุ่นเรื่องสวยๆ งามๆ ใครๆ ก็อยากดูดีทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวนี้คนสวยๆ หล่อๆ และก็เก่ง ดี มีความสามารถถมเถไป หรือลองมองในสถานศึกษาหรือที่ทำงานของคุณก็ได้ หน้าตาดีๆ และก็เก่งด้วย นิสัยดีด้วยเยอะเลยค่ะ หมดสมัยการแยก “ความงาม” ออกจาก “ความดี”และ “ความเก่ง” แล้วนะคะ อีกอย่างธุรกิจเกี่ยวกับความงาม ถ้าเมืองไทยมีการวิจัย และพัฒนาดีๆ มันสร้างมูลค่าเพิ่มให้ประเทศตั้งเท่าไหร่?? กะอีพืชสมุนไพรข้างรั้วบ้าน เอามันมาวิจัย มาทำดีๆ ส่งไปขายได้กระปุกละเป็นพันๆ ไม่ดีหรือไงคะ? หรือตั้งหน้าขายข้าว ขายมัน ขายปลา ขายวัตถุดิบต่อไป? มูลค่าเพิ่ิมมันเทียบกันไม่ได้เลย ชาวต่างชาติบินมาทำศัลยกรรมที่ไทยตั้งเยอะ เขาบอกว่ามันถูก และคุณภาพดี ถ้าโปรโมตเรื่องนี้ดีๆ ทำเงินให้ประเทศชาติได้อีกเท่าไหร่? ตอนนี้พวกเราดีใจกันที่ข้าวราคาขึ้นถึง 15,000 แล้วใช่ป่ะ? กำไรชาวนาได้เท่าไหร่ เทียบกะอีทำจมูกซิลิโคนแท่งละไม่กี่บาทกับเวลา 1 ชั่วโมงของคุณหมอ มีมูลค่าถึง 20,000 ขึ้นไป ทำไมไม่ส่งเสริม? กลับย่ำมันเสียอีก เราว่าซิลิโคนนี่แท่งนึงถูกกว่าที่ชาวนาลงทุนลงแรงปลูกหว่านดำนาเพื่อให้ได้ข้าวซะอีก มูลค่าเพิ่มขนาดนี้ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้นับไม่ถ้วน ..............ก็ยังจะต่อต้านมันเนาะ.................... จากคุณ : Love Actually is.. - [ 29 เม.ย. 51 18:24:39 ]

ความคิดเห็นที่ 3 หมายเหตุจากผู้เขียน: 1. อนึ่ง ข้าพเจ้ามิได้หวังผลใดๆ หรือมีส่วนได้ส่วนเสียใดกับธุรกิจความงามทั้งสิ้น เป็นเพียงแต่ผู้นิยมชมชอบในความงามเท่านั้น 2. ข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาโจมตีแพทย์ นักวิชาการ หรือหน่วยงานใดๆ และรู้สึกซาบซึ้งในเจตนาที่ดีของทุกท่าน ที่มีจิตเมตตาต่อผู้บริโภค ช่วยกันห่วงใยดูแล หากจะตำหนิ ขอตำหนิ “สื่อ” เท่านั้น ที่อาจมีการประโคมข่าวเกินจริง 3. ข้อความของข้าพเจ้ามิได้อิงหลักวิชาการใด เป็นแต่เพียงความรู้สึกในฐานะผู้บริโภค ที่นิยมเรื่องความงาม 4. บุญกุศลใดหากจะเกิดประโยชน์ต่อผู้ที่ได้อ่านข้อความนี้ ไม่ว่าจะด้านวิสัยทัศน์ หรือการพัฒนาใดๆ (หากจะมี) ขอกุศลนั้นจงสำเร็จแก่พ่อแม่ ครูอาจารย์ ญาติมิตร เจ้ากรรมนายเวร ของข้าพเจ้าด้วยเถิด จากคุณ : Love Actually is.. - [ 29 เม.ย. 51 18:25:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อ่านหนังสือ สวยด้วยใจ ของนายแพทย์อภิธาน สิคะ เราว่าทีเค้าออกมาว่ากัน เพราะว่ามีบางคนให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มาก -เกินไป- จนตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อนค่ะ อีกอย่าง JOYCE ที่ออกมาขายนั่นมันของไทยไม่ใช่เหรอคะ? จากคุณ : blueschizont - [ 29 เม.ย. 51 18:43:47 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ว้าว ความคิดเห็นของจขกท.น่าสนใจมากค่ะ ก็จริงนะที่หลายอย่างมันมีทั้งข้อดีข้อเสีย อันตรายเเละไม่อันตราย สำหรับแหล่มความอยากสวยคือ "แรงผลักดันและความสุขทางใจ" ของผู้หญิง ไม่เห็นจะเป็นปัญหาสังคมตรงไหน คนเครียดสิ เกิดปัญหา "เราเป็นมนุษย์มีสิทธิ์ที่จะมีความสุขตราบใดที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน" ^ ^แหล่มเป็นอีก 1 คน ที่โค...ตะ....ระ รักสวยรักงามค่ะ จากคุณ : แหล่ม - [ 29 เม.ย. 51 18:47:32 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อืมมมมมม เนอะ -*- จากคุณ : _minilanla - [ 29 เม.ย. 51 18:54:29 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ทุกอย่างมีความเสี่ยงไม่ใช่มีค่าเท่ากับศูนย์ เดินทาง ทางอากาศก็มีความเสี่ยง แต่น้อยกว่าเดินทาง ทางบก โอกาสที่จะเจอแจ๊กพอตมันมีทั้งนั้นล่ะ ศัลยกรรมก็เช่นกัน ใครทำแล้วออกมาสวยงามก็น่ายินดีซึ่งเป็นผลส่วนมาก ส่วนผลตรงกันข้ามก็อย่างที่เป็นข่าวฟ้องร้องออกทีวี ลงหนังสือพิมพ์ กลูต้าฯ ตอนนี้เซ็นยินยอมก่อนฉีดหรือเปล่าคะ? เพิ่มเติม ความอยากสวยไม่ใช่ปัญหาสังคมค่ะ แต่ความอยากสวยจะเป็นปัญหากับตัวผู้เลือกเอง กรณีที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 51 19:16:33 จากคุณ : ชิฟฟอนคาปูชิโน่ - [ 29 เม.ย. 51 19:01:50 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ จากคุณ : ทุกอย่างจะผ่านไป - [ 29 เม.ย. 51 19:10:21 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณค่ะ ที่แลกเปลี่ยนความเห็นกัน เรื่อง "ความอยากสวย" ที่เราว่าเนี่ย ถ้ามันไม่ใช่แบบบ้าคลั่ง อย่างบางคนที่เข้าขั้นโรคจิตแบบเสพย์ติดศัลยกรรม หรือแบบว่าพวกที่เป็นโรกอนาร็อกเซีย โบลีเมีย ฯลฯ อย่างนั้นน่ะค่ะ ต้องเข้ารับการบำบัด เพราะนั่นคือปัญหาทางจิตใจ แต่ที่เราหมายถึงนี่คือ ไอ้ความอยากสวยในระดับทั่วๆ ไปเนี่ย แบบไม่มากไป ไม่น้อยไป (พระพุทธเจ้าสอนชัดค่ะ ทางสายกลางดีที่สุด) แต่ทีนี้ไอ้คำว่า "มาก-น้อย" เนี่ย มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย บางทีคนนี้บอกว่าปกติ อีกคนบอกมากไป อีกคนบอกน้อยไป เห็นด้วยกับคำว่า "สวยด้วยใจ" ค่ะ ถ้าภายในสวยด้วย จะดีที่สุด เรานิยมความงาม หมายถึง "ความงามทั้งหมด" ค่ะ ทั้งภายในและภายนอก ถ้าสวยแต่เห็นแก่ตัว ห่วงสวยจนลืมมีน้ำใจ ก็ไม่ไหวค่ะ แต่ถ้าให้ไม่สนใจเลย ปล่อยโทรมคืนสู่สามัญ หน้ามันเยิ้ม สิวเขรอะ เหี่ยวย่นไปหมด เราก็ไม่นิยมค่ะ บทความที่เสนอ แค่อยากให้สังคม เปิดใจให้กว้างบ้าง เราแค่รู้สึกว่าสังคมไทยสมัยนี้ สื่อทำให้มันไปกันใหญ่แล้ว เอะอะ อะไรๆ ก็ "อันตราย" ไปหมด เรื่องสวยงามมาทีไร อันตรายซะทุกอย่าง "ทุกอย่างมความเสี่ยง" เห็นด้วยกับคุณชิฟฟ่อนฯ  100% เลยค่ะ อย่างที่บอก ไม่มีอะไรดีหมด หรือเสียหมด มันมีความเสี่ยง แต่เราแค่รู้สึกว่า ไอ้ค่านิยม "ความอยากสวยคือปัญหาสังคม" นี่มันเกินไป เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดอันตรายเพราะเสริมสวย (ไม่ว่าจะจากการกินวิตามิน การฉีดสาร หรือศัลยกรรม) ก็เช่นเดียวกับว่าไม่ใช่ผู้ป่วยทุกรายจะรอด เพราะการผ่าตัดหัวใจ ต่อให้หมอมือหนึ่งของโลกมาผ่าให้ก็เกอะ ที่คุณ คห. 4 บอกว่ายี่ห้อนั้นๆ เป็นของไทย นั่นเป็นเรื่องที่เรายินดีค่ะ และเราเชื่อว่า ถ้าสังคมเปิดใจให้กว้าง ธุรกิจแบบนี้จะเติบโตได้อีกเยอะ สร้างมูลค่าให้สินค้าไทย และรายได้ของประเทศอีกมาก และเราเห็นด้วยค่ะ ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นค่ะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ ที่สละเวลามาแลกเปลี่ยนกัน เราเขียนซะยาว เกรงใจคนอ่านจะตาย คิดๆ ทุกทีที่ตั้งกระทู้ยาวๆ ว่า คงไม่มีใครทนอ่านแหงๆ เลย.... แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 51 19:19:50 แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 51 19:19:07 จากคุณ : Love Actually is.. - [ 29 เม.ย. 51 19:16:10 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เราว่านะ ทุกอย่างมีผลดีก็ต้องมีผลเสีย อิอิ แต่ว่านะรู้สึกเสียดายของของบ้านเราที่ค้นพบแล้วไปเสร็จประเทศอื่นเพราะเถียงกนเองเนี่ยแหละ จริงๆน่าจะให้ผ่านเพื่อส่งออกอะไรอย่างนี้หรืออาจจะกำกับว่า ฯลฯ เป็นการเตือน ไม่น่าให้เขาแย่งไปเลย เหอๆ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอกหลายเรื่องเลยที่คนไทย เหมือนว่า ถ้าช๊านไม่ได้ก้าวไกลแกก็อย่าหวังจะก้าวไกลเลย ประมาณว่าขี้อิจฉา ฮ๋ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : GermanShapherd - [ 29 เม.ย. 51 19:23:20 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เราว่าเค้าก็คงแค่ไม่อยากให้ผู้หญิงทุ่มเทกับความสวยมากเกินไปมั้งคะ บางทีมันก็ไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต แล้วบางทีก็สร้างอันตรายให้กับร่างกายได้จริงๆนะคะ เราก็ฟังหูไว้หู อย่าไปใส่ใจเลย ถ้าไม่ได้สนใจจริงๆ จากคุณ : Kotoko_ChaN - [ 29 เม.ย. 51 19:31:37 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ความรู้และประสบการณ์ของคนแต่ละคนไม่เท่ากัน เตือนไว้ก็ดีแล้ว ตอนนี้อาหารสัตว์แพงมาก น้ำมันถีบตัวสูง ศก. โลกผันผวน มีเรื่องอื่นให้น่าสนใจกว่าความสวยความงาม เยอะะะะะ จากคุณ : ชมพูพันทิพย์ - [ 29 เม.ย. 51 19:49:11 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อ้ะ มาตอบประเด็นก่อนปิดคอมพ์แระ ไอ้เตือนไว้น่ะ ดีจริงๆ ค่ะ ซาบซึ้งค่ะ แต่ไม่อยากให้ใส่สีตีไข่จนเวอร์เพราะมันไม่ใช่ ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่นอกเหนือจากความงาม คงเป็นประเด็อื่น ที่เราตั้งห้องนี้เพราะมันเกี่ยวกะความงามจ้ะ มิใช่อื่นใด และเราก็นิยมความงามอ่ะ ว่าแต่ว่าก็เพราะเศรษฐกิจมันอย่างนี้อ่ะดิ พี่ไทยเราไม่คิดจะหามูลค่าเพิ่มในสินค้ามั่งเหรอ???? เนี่ยเสนอทางเลือกให้นะเนี่ย....ส่วนเหลือๆ จากผลิตผลทางการเกษตร ถ้าเอาไปขายเป็นอาหารสัตว์ ได้กำไรเท่าไหร่? แต่ถ้านำมาปรับปรุง (เช่นครีมจากข้าว, จากพืชผักต่างๆ) มูลค่าเพิ่มจะเป็นเท่าไหร่?? ซื้อข้าวถุงนึงเนี่ย ยังไม่ได้ครึ่งของราคาครีมทาใต้ตาเลยมั๊ง เสนอทางเลือกแล้วอ่ะจ้ะ ว่าตลาดทางนี้โตได้อีกเยอะ ถ้าไม่ไปปิดกั้นมันหรือตั้งแง่รังเกียจว่า "เรื่องสวยเรื่องงาม เรื่องไร้สาระ" อ่ะนะ เนี่ย รักสวยรักงาม และรักเศรษฐกิจของชาติด้วยน่ะ อยากให้สวยๆ รวยๆ กันทั้งชาติ จะยินดีจริงๆ จากคุณ : Love Actually is.. - [ 29 เม.ย. 51 19:56:45 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อ่านความเห็นของคุณชมพูพันทิพย์ แล้วเรานึกถึงเรื่องดัชนีลิปสติกที่เคยอ่านผ่าน ๆ แฮะ ช่วงใดก็ตามที่เศรษฐกิจตกต่ำ สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือลิปสติกกลับขายดี เพราะผู้หญิงรู้สึกสบายใจที่มีสินค้าชิ้นเล็ก ๆ มาปลอบใจตัวเอง แต่ขาลงคราวนี้จะเป็นยังไงเรื่องดัชนีลิปสติกจะจริงไม่จริง ก็ต้องเตรียมพร้อมแล้วล่ะค่ะ ปล.ขอนอกเรื่องหน่อยนะ อิอิ แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 51 20:09:06 จากคุณ : ชิฟฟอนคาปูชิโน่ - [ 29 เม.ย. 51 20:04:38 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เข้ามาอ่านค่ะ เห็นด้วยเรื่องสื่อ มีหลายกรณีแล้ว ที่ไม่ใช่เรื่องสวยงามอย่างเดียว จะว่าไป โดยส่วนตัว มิถุนาว่าสื่อเป็นผู้ช่วยเสริมเรื่องค่านิยมบางอย่างที่ทั้งผิดและถูก ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวผู้รับสื่อควรจะต้องมีวิจารญาณที่ดีด้วย จากคุณ : มิถุนายน - [ 29 เม.ย. 51 20:12:42 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เราว่าเจ้าของกระทู้อคติไปรึเปล่าคะ  ที่เค้าออกมาเตือนก็ดีแล้วนะเราว่า  เพราะวิตามินกินมากเกินไปก็อันตราย  หรือเครื่องสำอางบางตัวก็อันตรายจริงๆค่ะ  เรื่องสวยงามเป็นเรือ่งปกติ  ใครๆก็ชอบของสวยๆงามๆทั้งนั้น  แต่ถ้ามากเกินไปก็ไม่ดี  ถึงมีคนออกมาเตือนไงคะ อย่างเรื่องผ่าตัดก็เหมือนกัน  หมอเค้าไม่ใช่ผ่ากันง่ายๆนึกจะผ่าก็ผ่าค่ะ  เค้าผ่าต่อเมื่อเห็นว่าจำเป็นและคุ้มที่จะผ่าตัดค่ะ  ซึ่งต่างจากการทำศัลยกรรมที่ผ่าเพื่อความสวยงามเฉยๆค่ะ ลองดูภาพที่เราให้มานะคะ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย - [ 29 เม.ย. 51 20:15:19 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ความสวยงามนี่อยู่ระดับชั้นที4จากข้างล่างค่ะ  คือความต้องการเป็นที่ยอมรับ แต่สำหรับเมืองไทยไม่ใช่แค่เรื่องสวยงาม  แต่เรื่องอื่นๆก็รวนค่ะ   อันล่างสุดถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็ปัจจัยสี่ อันที่สอง(จากล่าง)ก็ความปลอดภัยและความมั่นคงในชีวิต อันที่สามคือความรัก อันที่สี่การยอมรับ สังคม อันที่ห้า นิพพาน  การรู้แจ้ง สังเกตไหมคะ  ว่าบางคนให้ความงามหรือการยอมรับจากสังคม  สำคัญกว่าปัจจัยสี่กับความปลอดภัย  ยอมอดข้าว ยอมไม่มีที่อยู่ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคม  ยอมเสี่ยงสุขภาพและชีวิตเพื่อให้ดูดีขึ้น เพราะเหตุนี้แหละค่ะ  ถึงมีบทความต่างๆออกมาอยู่เนืองๆ  บทความไม่ได้ต่อต้านความงามค่ะ  แต่เตือนถึงอันตรายที่เกิดขึ้นจากการยึดถือความงามมากเกินไปจนเกิดผลเสียต่างหาก จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย - [ 29 เม.ย. 51 20:20:43 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เค้าอิจฉาล่ะมั้ง - -* คนมันจะสวยแล้วทำไมยะ ? จากคุณ : neemJaa - [ 29 เม.ย. 51 21:02:28 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตอนเราเรียน ไอ้ปิระมิดนี้ มันกระโดดได้นะคะ ไม่จำเป็นต้องเรียงตามนี้เสมอไป คนบางคน มีขึ้นหนึ่ง แล้วไปขั้นสุดท้ายเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้อง ขั้นหนึ่งไปสองสามสี่ห้า เสมอไป แต่ขอไม่อธิบายอ่ะ ยาวว เรื่องความงามเป็นอคติ เพราะเมืองไทยเป็นเมืองที่นับถือความดีงามค่ะ .. เอาความดีมาก่อนทุกสิ่ง.. เราถูกสอนมาแบบนั้น แต่ลองเทียบกับในวรรณคดีเหอะ ลองนางขี้เหร่อัปลักษณ์ ก็ไม่มีใครแลเหลียว ส่วนมากก็เจอปุ๊บ หลงใหลในความงามทั้งนั้น.. ที่เป็นอย่ตอนนี้คือการไหล่บ่าทางวัฒนธรรมตะวันตกค่ะ ซึ่งสะท้อนความจริงลึกๆ ออกมา รับได้ไม่ได้ ก็ว่ากันไปค่ะ จากคุณ : หวานใจนายโหด - [ 29 เม.ย. 51 21:54:15 ]

ความคิดเห็นที่ 20 นึกอะไรได้นิดหนึ่ง อยากสวย ไม่ใช่ปัญหาสังคมนะคะ แต่ ความอยากเกินพอดีต่างหาก คือปัญหาสังคม ไม่ว่าอยากอะไรก็ตาม อยากซิ่งรถ อยากหื่น อยากมีแฟนหลายๆคน อยากให้ลูกเป็นเทวดา ล้วนเป็นปัญหาสังคมทั้งนั้น จากคุณ : หวานใจนายโหด - [ 29 เม.ย. 51 22:15:57 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แต่เราไม่เห็นด้วยกับการศัลยกรรมนะคะ คือเราคิดว่าเราอยู่เฉยๆของเราดีๆอยู่แล้วจะไปเจ็บตัวทำไม ถ้าเกิดอะไรขี้นมา มันไม่คุ้มหรอก การผ่าตัดหัวใจ หรือคลอดลูก มันอันตรายกว่ามากก็จริงค่ะ แต่มันจำเป็นต้องทำไงคะ ไม่เหมือนศัลยกรรมที่เราไขว่คว้าที่จะมี แล้วแต่ความเห็นของแต่ละคน ต่างคนต่างจิตใจ เรามีสิทธิออกความคิดเห็นไม่เหมือนกันได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : หนิง ยืมน้องมา (New_JFC) - [ 29 เม.ย. 51 22:18:00 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อย่าเถียงกัน!!!!!!!!!! ทุกคนเกิดมาต้องตายหมด อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น อะไรที่ทำแล้วมีความสุขและคนอื่นไม่เดือดร้อนก็ทำเถอะ ถ้าคิดว่าดีก็ทำ ทุกคนอยากสวย ความสวยเป็นสิ่งที่ดีทำให้เรามีโอกาส มั่นใจ ทำให้การดำเนินชีวิตดีขึ้น แต่ทำในที่ถูกทาง จะเกิดแต่สิ่งดี ปลงกันเถอะ จากคุณ : Bianca - [ 29 เม.ย. 51 23:09:39 ]

ความคิดเห็นที่ 23 "Beauty is a curse" คนที่สวยอยู่แล้วก็ต้องพยายามทำให้มันคงอยู่เป็นอมตะ คนที่ด้อยกว่าก็พยายามไขว่คว้า จากคุณ : หนูสิงห์แดงตัวน้อย - [ 29 เม.ย. 51 23:19:20 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แล้วแต่ความคิด  ใครอยากทำอะไรก็สิทธิของเขา แต่เขาควรรู้ไว้อย่างว่าทุกอย่างที่เป็นของสังเคราะห์หรือรับจากภายนอกร่างกาย  แม้แต่อาหารที่กินทุกวันมีผลกับร่างกายทั้งนั้น  แต่อาหารเรายังมีความรู้มากพอว่ากินได้แค่ไหน  ในขณะที่ยา วิตามิน  ศัลยกรรม มาจากปากคนให้ความรู้  ต่อให้คนที่คิดว่าเรียนมาเยอะแต่ไม่ได้เรียนทางแพทย์ศึกษาผลดีผลเสียเพื่อใช้เองก็อาจตกม้าตายได้ แม้แต่คนที่คิดจะอ่านจากตัว paper วิจัยทางการแพทย์เพื่อตัดคำโฆษณาชวนเชื่อออก  ถ้าไม่ได้เรียนสายแพทย์มา  อย่าคิดว่าจะตีความ paper ใน journal ทางการแพทย์ได้ง่ายๆ  ว่า paper นั้นน่าเชื่อถือแค่ไหน ผลดีผลเสียระดับไหน  แม้แต่ในอดีต  การใช้ยา talidomide เพื่อแก้แพ้ท้องอย่างที่เรียกว่ายาได้รับการรับรองแล้ว  ผลที่ตามมาคือเด็กมีความพิการแต่กำเนิด(แต่แรกๆใครจะคิดว่ามาจากยาล่ะจริงมั้ย)จนตอนหลังต้องถอนทะเบียนยา  ยาคุมกำเนิดที่ถูกถอนทะเบียนไปในอดีตชนิดหนึ่งมีผลต่อทารกเพศหญิงมีความผิดปกติแต่ไปพบในวัยรุ่นแล้วด้วยซ้ำ(กว่าจะเกิดผลเป็นสิบยี่สิบปี) และมียาอีกหลายชนิดที่ได้รับการรับรองแต่สุดท้ายต้องถอนทะเบียนไปในที่สุดหลังจากใช้มาเป็นสิบๆปี  นี่ขนาดยาที่ได้รับการศึกษาวิจัยมาเยอะและขึ้นทะเบียนใช้กันทั่วไปเป็นเวลานานนะ ดังนั้นคนทักก็ฟังไว้บ้างก็ดีค่ะ มะเร็งไม่ได้เกิดได้ในปีเดียว(บางคนเป็นตอนแก่ สังเกตมั้ยคะว่าคนอายุมากขึ้นสมัยนี้เป็นมะเร็งกันเยอะออกข่าวกันจัง) แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 51 23:24:26 จากคุณ : Mavachi (Mavachi) - [ 29 เม.ย. 51 23:23:18 ]

ความคิดเห็นที่ 25 "ทั้งนี้และทั้งนั้น ความต้องการแบบนี้ของผู้บริโภค มาจากค่านิยมทางสังคมที่ผิดๆ พฤติกรรมการอยากเลียนแบบดารา คนดังต่างๆ ที่เชื่อว่าต้องสวย ต้องขาว ฯลฯ เท่านั้น ซึ่งนี้เป็นปัญหาสังคม ที่ต้องได้รับการดูแล" ข้อความนี้เราอ่านแล้วไม่รู้สึกว่าปัญหาสังคมคือตัวผู้บริโภคค่ะ แต่อยู่ที่การนำเสนอแบบผิดๆของสื่อที่พยายามชี้นำในลักษณะเลือกปฏิบัติ เหยียดผิว ฯลฯ ที่เหลือก็เห็นเหมือนคนอื่นๆ เพราะบ่อยครั้งที่มียาอันตรายเล็ดลอดขายแล้วมีคนได้รับอันตรายหลังใช้ยา กระทรวงจะโดนเล่นงานก่อนและหนักที่สุดค่ะว่าไม่เตือนประชาชน มัวทำอะไรอยู่ สำหรับเจ้าหน้าที่ เขาทำหน้าที่ของเขาค่ะ อย่าไปเคืองเลยนะคะ ส่วนคนอื่นที่วิจารณ์เรื่องต่างๆ ก็เหมือนก้อนหินที่เราหยิบมาถือ ถ้ามันหนักนัก ก็วางมันลงค่ะ จากคุณ : สักวันหนึ่ง - [ 29 เม.ย. 51 23:31:38 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เราว่าปัญหามันไม่ได้มาจากแพทย์หรอกค่ะ แต่ปัญหาอยู่ที่สื่อมากกว่า หนังสือพิมพ์มันก็ชอบทำหัวข้อข่าวให้เวอร์ๆ เพื่อเขียนข่าวได้ค่ะ มันขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นเขาอยากจะเล่นข่าวอะไร บางครั้งสัมภาษณ์แพทย์ 1 ช.ม. ย่อเหลือไม่กี่บรรทัด ตัดต่อไม่รู้เท่าไหร่ บางทีก็อย่าเชื่อสื่อบางสื่อมากค่ะ แล้วเรื่องหลายๆอย่างที่ผลิตภัณฑ์ของไทยๆ ไม่ได้รับการพัฒนาไปเท่าที่ควร ก็อาจจะเป็นเพราะว่าบ้านเราด้าน Research & Development ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะค่ะ เพราะต้นทุนส่วนนี้จะสูงมากจนบริษัทใหญ่ๆเขาไม่ค่อยทำกัน พวกที่ทำก็เป็นสมุนไพร OTOP แบบบ้านๆทำกัน ถ้าจะดูความเห็นแพทย์บางครั้งดูคอลัมภ์หรือบทความที่แพทย์เขียน จะเห็นได้ดีกว่าว่าพวกคุณหมอเขาคิดเห็นยังไงบ้างค่ะ === และอีกนาน กว่าประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นองค์กรรัฐหรือเอกชน จะให้ความสำคัญทางด้านวิจัยค่ะ ยังนึกไม่ค่อยออกว่ามีผลิตภัณฑ์อันไหน ยังนึกไม่ค่อยออกว่ามีตัวไหนบ้างที่มาจากการทำวิจัยบ้าง === สำหรับผู้บริโภคแบบเราๆ ก็สวยแบบพอดีๆ ก็แล้วกันค่ะ บางครั้งเราเห็นวัยรุ่นไทยค่อนข้างจะใช้เวลาและเงินกับส่วนนี้มากไปหน่อยค่ะ จากคุณ : la-la-bell - [ 29 เม.ย. 51 23:32:16 ]

ความคิดเห็นที่ 27 จะทำอะไรก็ศึกษาให้ดี ๆ คิดอย่างรอบคอบนั่นแหละค่ะ บทความต่าง ๆ อาจจะจั่วหัวให้น่ากลัว แต่ในบทความอาจจะบอกข้อมูลทั้งสองด้านก็ได้ หรือถ้าไม่ได้บอกข้อมูลทั้งสองด้าน ในฐานะผู้บริโภคก็ควรจะพิจารณา หาข้อมูลเพิ่มเติม ไม่ใช่อ่านอะไรก็เชื่อไปหมด หรือเห็นใครสวยก็อยากตามเค้าไปซะหมด ทางสายกลางค่ะ ใช่ได้กับทุกสิ่ง เห็นด้วยกับพี่ la-la-bell ว่าเห็นกันเยอะ (ไมใช่แต่เฉพาะวัยรุ่น) ที่่ใช้เงินไปกับส่วนนี้อย่างเกินตัวและเกินความจำเป็น จากคุณ : แบ๊น แบน - [ 29 เม.ย. 51 23:48:06 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ที่เค้าเตือนกันก็อาจเพราะว่า ประเทศนี้ไม่ได้มีแต่คนมีการศึกษา มีวุฒิภาวะสูงพอ หรือมีเงินมากมาย ที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้ค่ะ แต่ที่เหมือนๆกันคือ อยากสวย คนอีกมากที่เลียนแบบดารา นักร้อง ชอบเอาเป็นไอดอลก็มีจริง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ถ้าไม่มีการเตือนใดๆ เช่นเรื่องกลูต้า ป่านนี้อาจมีข่าวเด็กสาวป.6 อยากขาวแบบดาราเกาหลี เก็บเงินค่าขนมไปฉีดกลูต้ากับหมอเถื่อน และตายก็เป็นได้ค่ะ สื่อหลายๆอย่างออกจะ สนับสนุนเรื่องความงานจนเกินไปด้วยซ้ำค่ะ โฆษณาต่างๆ ที่ออกมา,การเน้นภาพลักษณ์ดาราว่าต้องขาว ใครดำโดนด่าโดนแซวตลอด เรื่องพวกนี้มันจิตวิทยาสุดๆ ได้ยินได้ฟังทุกวัน ครีมก็ขายดีกันกระหน่ำ อาหารเสริม ยาอะไรที่ได้ยินว่าดี ก็หามากินกันซ้า แบบไม่คิดถึงผลเสีย คิดแต่ว่ามันต้องขาวๆๆ เรื่องพวกนี้มันมีจริง มากมายด้วยซ้ำ ดูง่ายๆ เลยค่ะ เครื่องสำอางปลอม วางขายชิ้นละ 50 คนซื้อกันเพียบ เค้าแทบไม่สนใจกันเลยค่ะ ว่าอาจมีสารอันตราย อาจจะแพ้ อาจจะมีผลเสียระยะยาว การออกมาเบรค มาเตือนแรงๆ บ้าง มันดีต่อคนส่วนรวมค่ะ จากคุณ : GARBAGE - [ 30 เม.ย. 51 00:00:44 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ^ ^ เห็นด้วยค่ะ จากคุณ : nanny_nan - [ 30 เม.ย. 51 00:29:14 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เคยเข้าไปที่ยันฮีกะเพื่อน เจอผู้หญิงคนนึงแปะผ้ากอซเต็มหน้า ทั้งเราทั้งพนักงานนึกว่าเขาจะมาล้างแผล เขาตอบว่า  ป่าว  วันนี้จะทำจมูก พนักงานถามว่า มีนัดเหรอคะ เขาว่า เปล่า  ทำกับใครก็ได้  แต่ต้องวันนี้ หน้ายังบวมจากแผลเดิมอยู่เลยนะนั่น.... คือ  หลายๆคนอยากสวยแต่มีสติ  ก็ทำไปเถอะค่ะ คือหาความรู้เรื่องผลดีผลเสียด้วย อย่างโบทอกซ์  โอกาสไหลเข้าสมองก็มีไม่น้อย แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิดระวังกัน หรืออย่างการทำหน้าอก  มันก็ไม่ได้อยู่กะคุณไปจนตาย แต่ก็ไม่มีหมอคนไหนเตือนนิว่า อีกสิบ ยี่สิบปีผ่านไป คุณต้องกลับมาเปลี่ยนนะ จริงๆแล้ว  ความอยากขาว อยากอึ๋ม  อยากผอม มันก็เริ่มมาจากการปั่นของสื่อทั้งนั้น แม้กระทั่งแฟชั่น  เดินไปซื้อเสื้อที่ตลาดนัด คนขายก็ยังมีบอก อันนี้เหมือนอั้ม อันนั้นเหมือนพัดชา เขาว่าถ้าไม่พูดงี้  ลูกค้าจะไม่ซื้อเสื้อ ถ้าลูกค้าแตะๆ แล้วบอกนี่ ตัวนี้เหมือนอั้มในละครเรื่องนี้นะคะ ลูกค้าส่วนมากจะควักทันที  แบบไม่ต้องลองเลย คิดดูว่า ถ้าเขาไม่ออกมาขู่  มาปรามกันมั่ง มันจะเลยเถิดไปถึงไหน มันไม่ใช่เฉพาะเมืองไทยหรอกค่ะ มันเกิดขึ้นทุกประเทศแหละ อย่างเมกาก็มีปัญหาเรื่องtanning ไงคะ ทำกันจนเป็นมะเร็งกันไปเท่าไรแล้วก็ยังดื้อทำกันอยู่ จากคุณ : na na' - [ 30 เม.ย. 51 05:00:29 ]

ความคิดเห็นที่ 31 หวัดดีตอนเช้าค่ะ ขอบคุณนะคะ มีความเห็นหลากหลายเพียบๆ เลย คืออยากย้ำอีกครั้ง (อย่างที่ย้ำหลายครั้งแล้วในกระทู้) ว่าเราไม่ได้ต่อว่า หรือต่อต้านหน่วยงานหรือบุคคลที่ออกมาตักเตือนนะคะ กลับขอบคุณด้วยซ้ำ ในความกรุณาหวังดีต่อผู้บริโภค เราตำหนิ "สื่อ" เป็นหลักเลยค่ะ   คือการออกมาตักเตือนกัน เป็นเรื่องที่ดี หากข้อมูลนั้นชัดเจน แต่ไอ้การประโคมข่าวกันซะ "แตกตื่น" เอะอะก็อันตรายไปซะหมด มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลยค่ะ นอกจากสะท้อนความเห็นที่ต่อต้าน และไม่ยอมรับในเรื่องเหล่านี้ คือถ้าเป็นห่วงจริงๆ น่าจะเตือนตามความจริงที่มันเป็นเช่น จะทานยาอะไร วิตามินอะไร ก็ควรให้แพทย์เป็นผู้แนะนำ ควรอยู่ภายใต้ความควบคุมดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำศัลยกรรม เช่นควรทำกับแพทย์ที่เชี่ยวชาญ จบสายตรงมา อย่าเห็นแก่ราคาถูก หรือเพื่อนๆ แห่ไปทำ ให้ศึกษาข้อมูลก่อน ประมาณนี้ค่ะ คือเราว่า ไม่เห็นน่าจะใช่เรื่องมาโจมตีต่อต้านกันเลย ยกตัวอย่างหลายรอบแล้วเช่นบางคนไปเช่าพระองค์ละแสนๆ บางคนแต่งเครื่องเสียงรถยนต์ทีละเหยียบล้าน บางคนกระทั่งซื้อปลาตัวละ 2 แสน ซึ่งถามว่าไร้สาระไหม? ถ้าคนไม่สนใจเรื่องนั้นๆ ก็ย่อมไร้สาระ แต่สำหรับคนที่เขานิยม มันก็จำเป็นสำหรับเขา ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ต้องไม่เดือดร้อนใคร แม้แต่ตัวเอง  คือไอ้เอะอะจะมาตราหน้าว่า "เสริมสวย เป็นเรื่องไร้สาระ และอันตราย" เราไม่เห็นด้วยค่ะ สรุปว่า อยากให้มีการช่วยกันดูแล ตักเตือนให้ดีขึ้น แต่อย่าประนามกัน อย่าถึงกับต่อต้าน เพราะมันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนั้น "ทางสายกลาง" ค่ะ อย่าให้มันมากไป อย่าให้มันน้อยไป แล้วมันจะดี จากคุณ : Love Actually is.. - [ 30 เม.ย. 51 09:14:42 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เราไม่เห็นด้วยว่า ความอยากสวย คือ ปัญหาสังคม แต่เราเห็นว่า สังคมตอนนี้มีส่วนทำให้คนอยากสวยกันจนเกินพอดี (นิยามคำว่าเกินพอดีของเราในที่นี้ คือ คนที่ไม่รู็จักคิด แฟชั่นเป็นอะไรก็ตามกระแสไปหมด เอาแต่ว่าอยากสวย ไม่สนใจว่าหน้าที่ของตัวคืออะไร มีเงินพอหรือเปล่า เสี่ยงหรือเปล่า) เคยดูรายการกล่องดำที่สัมภาษณ์เด็กมหาลัยที่รักสวยรักงาม คนนึงบอกว่า การแต่งตัวทำให้เค้ามีความสุข แต่เค้าไม่เคยขาดเรียน ผลการเรียนดีขึ้นด้วยซ้ำ เพราะว่าสุขภาพจิตดีขึ้น >>> อันนี้เราเห็นด้วย เด็กอีกคนนึงบอกว่า ช่วงนี้เครียด เลยไม่อยากเข้าเรียน แล้วก็เลยเรียนตกๆหล่นๆ พิธีกรถามว่าเครียดเรื่องอะไร เด็กตอบว่า ก็ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อคสอ. เครื่องประดับ แล้วก็พูดสรุปๆว่า ไม่รู้ เอาเป็นว่าเครียด >>>> เราดูอันนี้แล้วหดหู่อย่างแรง ไม่รู้ว่าสัดส่วนของเด็กประเภท 1 หรือ 2 มากกว่ากัน ถ้าเด็กส่วนมากเป็นแบบแรก ความอยากสวยคงไม่ใช่ปัญหาสังคม แต่ส่วนตัวเราคิดว่า น่าจะมีไม่น้อยเหมือนกันที่เป็นแบบที่ 2 ซึ่งน่าจะเป็นประเภทที่แค่ว่า อยากสวยตามกระแส ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง ...พวกนี้แหละที่น่าจะทำให้สังคมในอนาคตมีปัญหาได้ ส่วนเรื่องสื่อต่างๆที่ออกมาต่อต้านไว้ก่อน ก่อนที่จะวิจัยออกมาเป็นที่เรียบร้อย เรารู็สึกว่ามาบอกก่อนก็ดีนะ ..แต่บอกเป็นเชิงว่าอยู่ระหว่างการทดลองก้พอ ไม่ต้องต่อต้านแบบเต็มรูปแบบ ...แล้วพอผลออกมาค่อยประกาศออกมาอีกครั้งก็ได้ จากคุณ : เด็กข้างหน้าต่าง - [ 30 เม.ย. 51 09:24:51 ]

ความคิดเห็นที่ 33 บางคนไปเช่าพระองค์ละแสนๆ บางคนแต่งเครื่องเสียงรถยนต์ทีละเหยียบล้าน บางคนกระทั่งซื้อปลาตัวละ 2 แสน - เราก็เห็นประนามกันเหมือนกันนี่คะ  ตอนจตุคามหลายฝ่ายก็ออกมาต่อต้านค่ะ  ต้านกันว่ากันยิ่งกว่าเรื่องสวยๆงามๆอีก จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย - [ 30 เม.ย. 51 10:10:35 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คห. 32...ตามนั้นเลยค่ะ.. จากคุณ : elin - [ 30 เม.ย. 51 10:37:44 ]

ความคิดเห็นที่ 35 สวยแต่พอดี สวยแบบไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง สวยจากข้างใน โดยเฉพาะจิตใจ เราว่าคนสวยขึ้นถ้ามีความคิดดี ๆ นั่นแหละค่ะ จากคุณ : รัตติกัลยา - [ 30 เม.ย. 51 10:37:54 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คุณ Love Actually is..  เรากลับไม่รู้สึกว่าสังคมไทยต่อต้านกระแสความสวยนะคะ ออกจะเป็นกระแสนิยม ไม่งั้นไม่มีโต๊ะเครื่องแป้งหรอก ส่วนสื่อมันก็แล้วแต่ว่าช่วงนั้นจะหยิบข่าวตัวไหนมาเล่นเท่านั้นเองค่ะ  แต่เราก็ไม่เห็นจะรู้สึกว่าแตกตื่น จนต่อต้านนะ เล่นข่าวเป็นพักๆเดี๋ยวก็ซา ส่วนของบางอย่างมันก็เกิดดับเป็นกระแสไปตามวงจรชีวิตสินค้า ตามความเห่อของคนไทย คนที่เขามีวิจารณญาณเขาก็จะพิจารณาได้ ว่าอันไหนจริงไม่จริงค่ะ ความอยากสวยไม่ใช่ปัญหาสังคมหรอก คนไทยชอบคนสวยนะ ไม่งั้นตอนแรกๆ น้องฟ้า นาตาลี คงไม่โด่งดังในเมืองไทยหรอก แม้ตอนนี้จะเงียบๆไป แต่ไอ้ความคิดที่ว่าต้องขาว ต้องผอม ต้องเนียนเรียบ จนสุดโต่ง เป็นค่านิยมที่ทำให้มีพวกหมอเถื่อน ยาเถื่อน ออกมาจนผู้บริโภคเป็นอันตรายนะ   เอ แต่คิดไปคิดมา .. ถ้าเด็กบางคนใช้ชีวิตในโรงเรียนไม่มีความสุข เป็นปมด้อย เพราะเธออ้วน เธอมีสิว เธอดำ โดนล้อทุกวันว่าอีตุ่มอ้วนดำ จนต้องกินยาลดความอ้วน ไปทาครีมที่มีสารตะกั่วให้ขาว ถ้ามีมากๆ ก็อาจจะเป็นปัญหาสังคมได้นา เขียนไปเขียนมา เริ่มงง ว่ามันเป็นปัญหาสังคมหรือเปล่า ความอยากสวยไม่ใช่ปัญหาสังคม เป็นธรรมชาติของผุ้หญิง ซึ่งแม้แต่ผู้ชายบางกลุ่มก็อยากจะดูดี แต่การมีค่านิยมที่ผิด จนทำให้คนไม่มีความสุขหรือทำให้คนยอมเสี่ยงโดยไม่เลือกวิธีการ อาจจะเป็นปัญหาสังคมได้ ==== นอกเรื่อง ... แต่ก็คนไทยค่อนข้างบ้าจี้ เฮโลแห่ซื้อตามกันง่ายหากจี้ถูกจุด ดูในโต๊ะเครื่องแป้งก็ได้ ตอนที่เห่อแป้งน้ำศิริราชก็เห่อจนทากันใหญ่บอกทาแล้วหน้าไม่มัน (จริงๆมันทาแล้วรักษาสิวนะ ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์)   พอบอกว่าใช้ครีมอาบน้ำ china blue แล้วหอมมากก็ขาดตลาดอีก ใช้ครีมเภสัชแล้วขาวก็ทากันเยอะๆ === เพิ่มเติมว่า เห็นด้วยกับคห. 32 ค่ะ แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 51 10:49:27 จากคุณ : la-la-bell - [ 30 เม.ย. 51 10:47:17 ]

ความคิดเห็นที่ 37 "หวานใจนายโหด" โดนใจอย่างแรง ผู้หญิงหลาย ๆ คน ก็อยากสวยจนลืมคิด ระวัง ในผลิตภัณฑ์ที่ตนเองใช้ ผู้หญิงหลาย ๆ คน ก็ยังเยาว์วัยจนคิดไม่ถึง ผลข้างเคียงที่จะตามมา อยากให้หลาย ๆ คนสวยอย่างพอดี สวยอย่างพอเพียง (ไม่ฟุ้งเฟ้อ) สวยอย่างฉลาด ทั้งนี้ มาจากสื่อที่ดีและมีจรรยาบรรณด้วย ในการนำเสนอ เพราะส่วนหนึ่งในการเลือกใช้หรือไม่ใช้ มาจากสื่อและการโฆษณา สื่อปัจจุบันเห็นแก่ผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงิน มุ่งขายข่าว ขายให้ได้ มากกว่าผลประโยชน์ของสังคม จากคุณ : ข้าวโพดซัง - [ 30 เม.ย. 51 11:02:59 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เค้าก็ทำตามหน้าที่ของเค้าล่ะมั้งคะ จากคุณ : LUCIFER_GLAY - [ 30 เม.ย. 51 11:05:13 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อืม..เรามองว่า ความอยากสวย "ไม่ใช่" ปัญหาสังคม อย่างน้อยก็ ณ ตอนนี้นะคะ แต่ที่มีคนมองว่าเป็นปัญหาสังคมอาจเป็นเพราะว่า..เดี๋ยวนี้โฆษณาผลิตภัณฑ์ความสวยความงาม "รุก" เล่นกับความรู้สึก (อยากสวย) ของผู้บริโภคมากขึ้นทุกที ใช้ตัวนี้แล้วผิวขาวใส (สามีรักสามีหลง) ภายใน 7 วัน ใช้แล้วหน้าเด้ง ใช้แล้วเต่งตึงขึ้นทันที ประกอบกับเห็นดาราน่ารักๆสวยๆ ความอยากเป็นอย่างเขาก็มีมากขึ้น ก็ต้องไปหาผลิตภัณฑ์ความงามมาใช้ วัยรุ่นบางคนยังหาเงินเองไม่ได้ แต่อยากใช้ผลิตภัณฑ์นู่นนี่แพงๆ เพราะคิดว่าจะช่วยให้ตัวเองดูดีขึ้นมาได้ เลยต้องหาเงิน (วิธีไหนก็ตามแต่) เพื่อซื้อสินค้าดังกล่าว - เหตุผลประมาณนี้เลยอาจทำให้คนคิดไปว่า ความอยากสวยคือปัญหาสังคม ส่วนเรื่องที่ว่า สังคมไทยมีค่านิยมต่อต้านการพัฒนาด้านความงาม เราเห็นในอีกมุมหนึ่งค่ะ การที่สื่อนำเสนอผลการวิจัยต่างๆที่เกี่ยวกับความสวยความงาม เรามองว่าก็เป็นเรื่องที่ดีนะคะ คือเหมือนเตือนไว้ก่อน มีข่าวให้ได้รับรู้ยังดีกว่าไม่นำเสนอแล้วปล่อยให้ผู้บริโภคงมๆหาข้อมูลกันเองค่ะ จากคุณ : little smile - [ 30 เม.ย. 51 13:50:05 ]

ความคิดเห็นที่ 40 จากที่อ่านมาทั้งหมด คุณรู้ไหม๊คะว่าคนไทยขาดอะไร ??? เราเสียอะไรไปหลายๆอย่างให้กับต่างชาติ เราอยากให้ทุกคนช่วยกันสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ มากกว่าจะมาเถียงกันว่าใครผิดถูกนะ   เรานึกถึง โน้ส อุดม ในเดี่ยว 7 ในช่วงที่เค้าพูดถึงคนไทยยังขาดความ Art ..ทำให้สู้ต่างชาติไม่ได้ ปลากระพงขาว 1 ตัว ราคา 100 บาท ไทย - ต้องเอาไปทอด/นึ่ง ทำน้ำจิ้มราด ใส่จานเปลใหญ่ๆ ผักรองเต็มจาน(ซึ่งคนส่วนใหญ่เขี่ยทิ้ง) ขายจานละ 150บาท กำไร 50บาท ญี่ปุ่น - เอาไปเร่ แบ่งเป็นชิ้นเล็กๆจิ๋วๆ วางบนจานใบใหญ่ๆ มีหัวไชเทา+แครอทซอยนิดๆ กองไว้มุมนึง ตกแต่งด้วยหญ้าปลอมที่ทำจากพลาสติกสีเขียว ขายจานละ 350บาท 1 ตัว ทำได้ 10จาน ขายได้ 3500บาท ไม่ต้องเสียค่าแก๊ส ค่าน้ำมัน ใช้ศิลปะตกแต่งจานจนน่ากิน กำไรอื้อ... คุณคิดว่ามัน Art ไหม๊ !!!!!!! เราว่า มากกกกกกกกกกกกกกกกก แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 51 14:44:19 จากคุณ : RaNang - [ 30 เม.ย. 51 14:38:28 ]

ความคิดเห็นที่ 41 อยากสวยไม่ใช่ปัญหา แต่วัตถุนิยมน่ะปัญหา อยากใช้ คสอ. แพงๆ แล้วเอามาอวดกัน ถ้ามีตังค์ซื้อไม่เดือดร้อนก็โอเค แต่ถ้าไม่มีนั่นสิ ก่อปัญหา บางคนทำงานมีเงินเดือนแล้วยังไม่ค่อยจะพอเลยเพราะคสอ.brandname มันแพงเหลือเกิน  แต่พวกมัธยมขอตังค์พ่อแม่นี่ยิ่งแย่ไปใหญ่ มีหลายคนใช้แป้งมิสทีนปริ๊นเซสแล้วใช้ดีมาก แต่อายชาวบ้านเพราะมันถูก เลยเอา ตลับ refill ของมิสทีนไปใส่ตลับแป้งยี่ห้อ brandname แทน อย่าบอกนะว่าไม่มี หลายคนเชียวล่ะ!!!!! แต่ก็ชื่นชมคนที่กล้าโชว์ว่าเราใช้อะไร ถึงจะถูกก็ช่าง ไม่ยึดติดวัตถุนิยม แต่ไม่ได้จะว่าอะไรคนที่ใช้มิสทีนแล้วใส่ตลับแป้ง brandname หรอกนะ มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ที่พูดนี่เพื่อจะให้ทราบถึงปัญหาวัตถุนิยมว่ามันมีอยู่จริง ก็เท่านั้นเองแหละจ้า จากคุณ : ทางนฤพาน - [ 30 เม.ย. 51 14:40:28 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ความอยากสวยไม่ใช่ปัญหา วัตถุนิยมก็ไม่เชิงว่าเป็นปัญหา ถ้าหามาสนองกิเลสตัวเองได้อย่างไม่เดือดร้อน แต่ปัญหาหลักของสังคม คือคนส่วนใหญ่... - ความรู้ไม่มากนัก ไม่ใช่ลักษณะของผู้บริโภคที่อยากจะรับข้อมูลมากมายก่อนตัดสินใจซื้อ - คล้อยตามคนอื่น/สื่อ/โฆษณา ได้ง่ายมาก - ไม่ประมาณตนเอง วางแผนค่าใช้จ่ายไม่เป็น ซึ่งอาจจะมาจากความรู้ไม่มากหรือคล้อยตามกระแส อยากมีอยากได้ ก็เป็นได้ - ไม่พึงระวังในการบริโภคอะไร ไม่ว่าอาหาร หรือเครื่องสำอางก็เถอะ สังเกตว่าเราแทบจะไม่ระวังตัวกันเลย เห็นเค้าใช้ครีมหน้าใสได้ ก็ใช้ตามโครมๆ นั่นแหล่ะคือปัญหา ที่ต้องไปแก้กันที่ต้นตอ มากกว่า เพราะฉะนั้น พวกแพทย์ที่ออกมาเตือนคือ เค้ากำลังเตือนคนหมู่มากของสังคมมากกว่านะ เราว่า.... จากคุณ : cherovski - [ 30 เม.ย. 51 20:58:45 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เค้าคงเป็นห่วงสุขภาวะของประชาชนมั้งคะ แต่น่าจะมีผลพิสูจน์ที่แน่ชัดก่อน.. แต่กว่าจะเสร็จ ถ้าก่อมะเร็งจริงๆ ผู้ใช้คงไม่รอดล่ะค่ะ เค้าจึงมาเตือนก่อนไงคะ ยังไงผู้ใช้ควรจะเลือกสิ่งที่มั่นใจได้ว่าปลอดภัย เพื่อสุขภาพของตัวเองนะคะ จากคุณ : thejkpb - [ 30 เม.ย. 51 21:55:04 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เนื้อหาแน่นมากเลยค่ะกระทู้นี้ โหวตให้นะคะ จากคุณ : ชุติกาญจน์ - [ วันแรงงาน 07:27:56 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เราว่า อยากสวยไม่ผิดหรอก แต่ถ้าอยากมากไป..มันก้อเกินพอดี เป็นปัญหานะเราว่า ไม่ทำไรกัน ไม่หัดคิดไรใหม่ๆ เอาแต่อยากสวย สวยถูกวิธีไม่ว่า อยากสวยด้วยวิธีโง่ๆ อ่ะ มันก้อสร้างปัญหาได้เหมือนกัน... แต่ก้อว่าไม่ได้ เรื่องส่วนตัว แต่ถ้าเป็นหลายคน มันคือปัญหาสังคมนะ เหมือนคนติดยา ถ้าติดคนเดียว เป็นไรมั๊ย ติดหลายคนส่งผลต่อสังคมแน่นอน.. จากคุณ : ::hinase:: - [ วันแรงงาน 14:17:31 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เอาเป็นว่าสวยใส แต่มีสติไตร่ตรองก่อนแล้วกันเนอะ สวยอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องรู้จักประมาณตนเองด้วยน่ะจ๊ะ จากคุณ : สละไซเดอร์ - [ วันแรงงาน 14:29:45 ]