ความคิดเห็นที่ 1 เหวออออออออออ อีตาพี่อ๊อฟฟฟฟฟ เอาล๊อคอินนู๋มาใช้หรือนี่ ไม่เปงรายๆๆๆ ช่วยตอบหน่อยนะคะ จากคุณ : อิงจ๋า - [ 15 ก.ค. 51 12:38:07 ]

ความคิดเห็นที่ 2 น้ำมันปลาค่ะ  (ไม่ใช่น้ำมันตับปลานะคะ) หากใครยังไม่รู้จักน้ำมันปลาก็ลองอ่านดูได้ค่ะ น้ำมันปลา คือ น้ำมันที่สกัดจากส่วนของเนื้อปลา หนัง หัว และหาง ของปลาทะเลน้ำลึกโดยเฉพาะปลาในเขตหนาว ในน้ำมันปลามีกรดไขมันหลายชนิด แต่ที่สำคัญและมีการนำมาใช้ ทางการแพทย์ คือ กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated fatty acid = PUFA) กรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 มีกรดที่สำคัญอยู่ 2 ชนิด คือ EPA (Eicosapentaenoic = กรดไอ-โคซาเพนตาอีโนอิก) และ DHA (Docosahexaenoic acid = กรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิก) เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ไม่ได้มาจากแหล่งอาหารทะเลเพียงอย่างเดียว ในพืชบางชนิดที่มีกรดแอลฟาไลโนเลนิค (alpha linolenic acid) เมื่อรับประทานเข้าไป ร่างกายจะสามารถเปลี่ยนกรดชนิดนี้เป็นกรด EPA และ DHA ได้ แต่การสร้างนี้เกิดขึ้นได้ช้าและจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่ขาดเอนไซม์ในขบวนการเมตาโบลิซึมนี้ พืชที่พบ คือ น้ำมันลินสีด (linseed oil) ผลวอลนัทและน้ำมันวอลนัท แฟลกซ์สีด (flaxseed) เรปสีด (rapeseed) น้ำมันคาโนล่า น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด ผักขม (spinach) และ ผักกาดเขียว กรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 6 เป็นกรดที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีผลในการลดไขมันในเส้นเลือด พบมากในน้ำมันพืชหลายชนิด เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น แหล่งน้ำมันปลาในธรรมชาติที่ดีที่สุด คือ ปลาทะเล, หอยนางรมแปซิฟิก และปลาหมึก ปลาทะเล เช่น แซลมอน ทูน่า ซาบะ ซาร์ดีน เฮอร์ริ่ง แองโชวี่ ไวท์ฟิช บลูฟิช ชอคฟิช ปลาเทร้า แมคเคอเรล เป็นต้น ปลาทะเลที่มีน้ำมันปลามาก คือ ปลาทู ปลาสำลี ปลารัง ปลากระพง เป็นต้น พบว่าปลาที่จับได้ในธรรมชาติจะมีปริมาณกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ในสัดส่วนที่เหมาะสม ส่วนปลาที่เลี้ยงในบ่อจะมีปริมาณของกรดโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 จากคุณ : ready-go - [ 15 ก.ค. 51 14:29:21 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ประโยชน์ของน้ำมันผลาสำหรับคนวัยทำงาน คนในวัยทำงานมักประสบความเครียดอยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะสมองทำงานหนักเกินไป หรือ อีกนัยหนึ่งเป็นเพราะร่างกายขาด DHA ในปริมาณที่เหมาะสม, DHA จะผ่านเข้าไปเสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาทของเซลล์สมองที่เรียกว่า เดนไดรท์ (Dendrite) ซึ่งทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณและผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้สมองทำงานดีขึ้น หากรับประทานอาหาร ที่มี DHA จำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้สัดส่วนของ DHA ในสมองสูงขึ้น ซึ่งหมายความว่า ความเครียดจะลดลง และทำงานได้ดียิ่งขึ้น ข้อมูลจากhttp://www.pharm.chula.ac.th/physiopharm/2542_sem2/g1/index.html จากคุณ : ready-go - [ 15 ก.ค. 51 14:30:44 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตัวต่อไปนะคะ วิตามินบีรวมค่ะ ทำไมคนทำงานต้องทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับงาน   ไม่มีเวลาเหลือสำหรับกิจกรรมส่วนตัวมากนัก ไม่สามารถหาอาหารที่มีคุณภาพรับประทาน ออกกำลังกาย และพักผ่อนน้อยลง อีกทั้งวิถีการดำเนินชีวิตของบางคนที่สิ้นเปลือง และเสี่ยงต่อสุขภาพโดยรวม  เช่น  สูบบุหรี่   ดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนเพลีย   ไม่มีเรี่ยวแรง สมองไม่สามารถสั่งงานได้ตามปกติ และปฏิกิริยาตอบสนองต่อเรื่องต่างๆ ก็ช้าลง แม้ว่าหลายท่านอาจบอกว่ารับประทานอาหารเป็นประจำครบทั้ง 3 มื้อ แต่ใครจะบอกได้ว่าอาหารที่รับประทานนั้น  ไม่ได้มาจากข้าวที่ผ่านการขัดสีจนขาว   น้ำตาลที่ฟอกจนขาว น้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารเป็นน้ำมันที่นำกลับมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า   ทำให้ขาด Vitamin B ที่สำคัญไป ดังนั้น  แม้ว่าจะรับประทานอาหารตามปกติ แต่ก็ยังคงไม่มีแรงเพียงพอ ในการดำเนินกิจกรรมตามปกติได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอวัยวะที่สำคัญอย่างสมอง สมองของคนเราประกอบด้วยเซลล์สมองนับล้านๆ เซลล์ แต่ละเซลล์ต้องส่งต่อกระแสประสาทนับเป็นหมื่นๆ ครั้งต่อการคิดในแต่ละครั้ง   ยิ่งมีเรื่องกระทบหรือมีความเครียดมาก การส่งต่อกระแสประสาท ของเซลล์สมองในแต่ละเซลล์ก็จะมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเซลล์สมองจึงมีความต้องการพลังงานมากยิ่งขึ้น จากคุณ : ready-go - [ 15 ก.ค. 51 15:03:41 ]

ความคิดเห็นที่ 5 และทุกครั้งที่ร่างกายต้องการพลังงาน ร่างกายก็จะใช้ Vitamin B ในการเป็น Co enzyme ในการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และ ไขมัน ให้เป็นพลังงาน ดังนั้นในผู้ที่ขาด Vitamin B แม้ว่าจะมีการรับประทานอาหารมากเท่าใด สารอาหารเหล่านี้ก็ไม่สามารถแปลงไปเป็นพลังงานสำหรับสมองได้ นอกจากนี้ Vitamin B เป็นวิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำ และไม่สามารถเก็บสะสมในร่างกายได้ จึงต้องได้รับจากการรับประทานอาหารแบบวันต่อวันเท่านั้น ดังนั้นการที่สมองต้องทำงานหนัก ร่างกายก็มีความต้องการ Vitamin B นี้มาก เพื่อสร้างพลังงาน Vitamin B จึงหมดไปจากร่างกายได้เร็ว ผลก็คือสมองจะขาดพลังงานในการส่งต่อกระแสประสาท ก่อให้เกิดอาการต่อเนื่องจากความเครียดได้ง่าย เช่น ภาวะนอนไม่หลับ อาการท้องผูก โรคกระเพาะ หงุดหงิดและฉุนเฉียวได้ง่าย นอกจากนี้สมองยังต้องการสารสื่อประสาท ในการส่งต่อกระแสประสาทที่สมบูรณ์ ซึ่งร่างกายจะใช้ Vitamin B6 Cholin & Inositol ในการสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญอันได้แก่ Acetylcholine, Dopamine & Epinephrine ป้องกันโรคที่เกิดจากความเครียด อาการซึมเศร้าและวิตกกังวล เป็นต้น นอกจากนี้ Vitamin B ยังมีประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพผิวพรรณ ผมและเล็บ ช่วยส่งเสริมการสร้างเซลล์ผิว เส้นผม และเล็บใหม่  ป้องกันการเกิดอาการอักเสบตามผิวหนัง (Eczema, Dermatitis)  ป้องกันมะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) และบำรุงผิวพรรณ เราควรตระหนักถึงความสำคัญในการรับประทานผักสดและผลไม้อันเป็น แหล่งสำคัญของ วิตามินและเกลือแร่หลายชนิดที่ร่างกายต้องการ แต่หากชีวิตในเมือง ทำให้เกิดอุปสรรคในการเลือกรับประทานผักสดและผลไม้  เพื่อให้ได้คุณค่าอาหารที่ครบถ้วน การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทวิตามินและเกลือแร่เสริมชนิดสำเร็จรูป ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้ทำงานควรพิจารณาด้วย จากคุณ : ready-go - [ 15 ก.ค. 51 15:07:00 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มาทำความรู้จักกับประโยชน์ของวิตามิน บี ชนิดต่างๆ ดังนี้ +++วิตามิน บี1 (Vitamin B1, Thiamine)+++ มีส่วนสำคัญในการให้พลังงานโดยเร่งขบวนการเผาผลาญแป้งและน้ำตาล บำรุงระบบประสาทในร่างกาย รวมถึงทำให้กล้ามเนื้อหัวใจและระบบกล้ามเนื้อในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นด้วย +++วิตามิน บี2 (Vitamin B2, Riboflavin)+++ มีส่วนสำคัญในการบำรุงเส้นผม ผิวหนังและเล็บ และเป็นวิตามินที่ให้พลังงานอย่างสูง  ช่วยเร่งขบวนการเผาผลาญสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมัน +++วิตามิน บี3 (Vitamin B3, Niacin)+++ มีส่วนสำคัญในการขยายหลอดเลือดและลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด จึงมักนิยมใช้ในผู้ป่วยในระบบหลอดเลือดและหัวใจ อีกทั้งยังเป็นวิตามิน ที่ร่างกายนำไปใช้ในการสร้างฮอร์โมนเพศ และบำรุงระบบประสาทอีกด้วย +++วิตามิน บี5 (Vitamin B5, Pantothenic Acid)+++ ช่วยในการบำรุงระบบการย่อยอาหาร ผิวหนังและระบบประสาทและต่อมต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะต่อมหมวกไต เป็นที่นิยมในผู้ที่มีอาการตึงเครียด นอกจากนี้ยังช่วยในการสร้างฮอร์โมนต่างๆ  และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ดีขึ้นด้วย +++วิตามิน บี6 (Vitamin B6, Pyridoxine)+++ มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย  ป้องกันการติดเชื้อและเป็นหวัด ส่งเสริมการรับส่งกระแสประสาทในร่างกาย ร่างกายมีความจำเป็นต้องใช้วิตามิน บี6 นี้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง และสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ช่วยในขบวนการเผาผลาญสารอาหารประเภทโปรตีนและไขมันโดยเฉพาะกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว +++วิตามิน บี12 (Vitamin B12)+++ มีความสำคัญต่อขบวนการทำงานของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ เซลล์ประสาทและไขกระดูก ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง  นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบการย่อยและดูดซึมอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น +++ไบโอติน (Biotin)+++ ใช้ในการสังเคราะห์ไกลโคเจน และกรดไขมัน ร่างกายนำไบโอตินนี้ไป ใช้ในการสร้างสารทางพันธุกรรม (DNA) จึงนำไปใช้ในการบำรุงสุขภาพผิว ผมและเล็บได้เป็นอย่างดี +++โคลีน (Choline)+++ ช่วยในการย่อยไขมันให้กลายเป็นโมเลกุลเล็กๆ (Emulsifiers) และรับส่งกระแสประสาทโดยเฉพาะในสมอง ช่วยในการบำรุงความจำ และส่งเสริมการทำงานของตับในการขจัดสารพิษหรือยาออกจากกระแสเลือด +++กรดโฟลิก (Folic Acid)+++ มีส่วนสำคัญในการสร้างสารทางพันธุกรรม (DNA) เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในภาวะการตั้งครรภ์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสมองเสื่อมในเด็กทารก นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือด อ่อนเพลีย ไม่มีแรง รวมถึงภาวะซึมเศร้าด้วย +++อินโนซิทอล (Inositol)+++ มีหน้าที่คล้าย Choline คือช่วยในการย่อยไขมันให้กลายเป็นโมเลกุลเล็กๆ (Emulsifiers) ช่วยในการรับส่งกระแสประสาท บำรุงความจำ และที่สำคัญยังช่วยในการสร้างเซลล์กระดูกใหม่ๆ เซลล์เส้นผม ผิวหนัง และเยื่อหุ้มเซลล์ใหม่ด้วย +++กรดพาราอะมิโนเบนโซอิค (Para-Aminobenzoic Acid, PABA)+++ มีส่วนสำคัญในการสร้าง Coenzyme tetrahydrofolic acid ซึ่งช่วยในการเผาผลาญกรดอะมิโน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อร่างกายต่อไป นอกจากนี้ยังช่วยในการบำรุงเส้นผม และใช้ในการป้องกันแสงแดด ช่วยลดอันตรายจากภาวะแดดเผา และลดอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนังด้วย จากคุณ : ready-go - [ 15 ก.ค. 51 15:12:15 ]

ความคิดเห็นที่ 7 วิตามิน บี เหล่านี้มักจะทำงานร่วมกัน ดังนั้นจึงควรจะแน่ใจว่าร่างกายเราได้รับ  วิตามิน บี เหล่านี้เพียงพอในแต่ละวัน หรือรับประทานในรูปวิตามิน บีรวม (Vitamin B Complex) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการบำรุงระบบประสาทต่างๆในร่างกายให้ทำงานได้ตามปกติ ให้พลังงาน ลดความเครียด และช่วยบำรุง ส่งเสริมสุขภาพ  ผิวหนัง ผม เล็บ ตาและตับให้ดีขึ้น และร่างกายจะมีความต้องการวิตามิน บี เหล่านี้เพิ่มมากขึ้น เมื่อเกิดพยาธิสภาพในร่างกาย การดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ หรือมีความเครียดมากขึ้น จากคุณ : ready-go - [ 15 ก.ค. 51 15:15:25 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ยังไงก็ลองเลือกทานดูนะคะ  แต่ยังไงก็อยากให้ทานอาหารให้ครบ 5  หมู่  จะดีที่สุดนะคะ ขอบคุณข้อมูลจาก  http://pha.narak.com/topic.php?No=22379 จากคุณ : ready-go - [ 15 ก.ค. 51 15:18:32 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ทานอยู่ตัวหนึ่งดีมากๆเลยแต่ เป็นพวกสารแกมมา ออรีซานอล เป็นสารธรรมชาติไม่มีสารเคมีหรือสารสังเคราะห์ ทานแล้วไตไม่ทำงานหนักไม่เสี่ยงเป็นโรคไตและก็มะเร็ง แต่ถ้าอยากรู้เป็นหลังไมล์ดีกว่านะคะเดี๋ยวจะกลายเป็นการโฆษณา เมลล์มาที่ kokuki1206@hotmail.com ก็ได้คะ จากคุณ : kokuki (kokuki) - [ 15 ก.ค. 51 15:29:08 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ลองอ่านข้อมูลนี้ดูก่อนก็ได้นะ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 51 15:44:16 จากคุณ : kokuki (kokuki) - [ 15 ก.ค. 51 15:37:37 ]

ความคิดเห็นที่ 11 รูปไม่ขึ้นคะเอาใหม่ จากคุณ : kokuki - [ 15 ก.ค. 51 15:59:16 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณครับ คุณready-go และ คุณkokuki มีประโยชน์สำหรับผมมากๆเลยครับ ผมจะลองหามาทานดูครับ จากคุณ : อ๊อฟ (อิงจ๋า) - [ 15 ก.ค. 51 16:02:56 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แคลเซียมด้วยมั้ยคะ จากคุณ : Fuya - [ 15 ก.ค. 51 18:09:42 ]

ความคิดเห็นที่ 14 งานที่ผมทำเลิกดึกมากๆ หรือไม่สว่างไม่ได้กลับ อยากขอคำแนะนำ เกี่ยวกับวิตามิน หรือ อาหารเสริมตัวไหนบ้างครับที่ไม่ทำให้อ่อนเพลีย กินแล้วดีตื่นมาสดชื่น แจ่มใส ^ ^ ^ ทำงานโหมหนักแบบนี้ ดูจะอ่อนเพลียมาก ไม่ทราบว่าในชีวิตประจำวันทานอาหารสุขภาพอยู่เปล่าคะ? ถ้าไม่ใช่  แนะนำตามที่เราเคยศึกษามาก็ละกัน  = ทาน Q10 (เพิ่มพลังงานให้เซลล์) ,NAC (ฟื้นฟูimmune system) ,วิตามินBรวม (ระบบประสาท คลายเครียด) ,วิตามินC (immune system และคลายเครียด),กรดอะมิโนรวม(ก่อนนอนนะ ช่วยให้หลั่งโกร๊ธฮอร์โมนได้ดีขึ้น) แล้วก็ลองฝึกโยคะหรือไท้เก็กดูก็ดีนะคะ ทำให้มีแรงทำงานเพิ่มขึ้นจริงๆค่ะ จากคุณ : ชุติกาญจน์ - [ 16 ก.ค. 51 03:26:57 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ลืมไปเลย Magnesium ด้วยอ่ะค่ะ วันละ300-500mg.แล้วแต่ขนาดร่างกาย  จะได้ไม่มีปัญหาเนื้อเยื่อเป็นผังพืด จากการทำงานหนักๆ เราเคยเป็น ช่วงที่ทำรายงานหนักๆ ถึงขนาดว่าสะบักกระด้างจมเป็นเดือนค่ะ  ต้องไปให้หมอแผนไทยนวดถึงจะหาย แล้วก็ น้ำมันปลา อย่างที่ คห.บนแนะนำมาก็สมควรทานค่ะ จากคุณ : ชุติกาญจน์ - [ 16 ก.ค. 51 03:31:27 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เข้ามา ฮา จขกท กะคุณ คห 1 เหอๆ จากคุณ : o_oishi - [ 16 ก.ค. 51 18:23:42 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เด็กทานได้มั้ยคะ จากคุณ : @_เกี๊ยวกุ้งน้ำ_@ - [ 17 ก.ค. 51 12:43:56 ]