ความคิดเห็นที่ 45

สารทําให้ผิวขาว
ผิวหนังทำหน้าที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง คือ คอยปกป้องการรุกรานของสิ่งที่อยู่ภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เชื้อโรค มลภาวะ แสงแดด อื่นๆ เป็นต้น
ในชั้นผิวหนังส่วนนอกที่เรียกว่า Epidermis จะมีเซลล์ชนิดหนึ่งเรียกว่า Melanocytes คอยช่วยปกป้องร่างกายจากรังสีอัลตราไวโอเลต โดยการสร้างสารสีที่เรียกว่า Melanin โดยขบวนการที่เรียกว่า Melanogenesis ( genesis - การสร้าง ) เพื่อช่วยกรองปริมาณรังสีที่จะผ่านเข้าสู่ผิวหนังชึ้นที่ลึกลงไป Melanin แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ
Eumelanins เป็น melanin ให้เฉดสีน้ำตาล หรือสีดำ Phaeomelanins เป็น melanin ให้เฉดสีเหลืองจนถึงน้ำตาลแดง เม็ดสีทั้งสองกลุ่มมีลักษณะที่ต่างกันทั้งคุณสมบัติทางกายภาพ ทางเคมี และชีววิทยา ทุกคนจะมีเม็ดสีทั้งสองชนิดในปริมาณสัดส่วนที่ต่างกัน จึงทำให้สีผิวและสีเส้นผมต่างกัน
ความผิดปกติเกี่ยวกับเม็ดสี แบ่งได้เป็น 2 ระดับความรุนแรง ได้แก่
ลักษณะเม็ดสีที่ผิดธรรมดาเล็กน้อย ได้แก่ การตกกระ ( freckle ), ฝ้า ( chloasma ), Hypermelanosis กรณีที่รุนแรงกว่าข้อ 1 ได้แก่ การเกิด lentigines, solar lentigo, malignant melanomas สารทำให้ผิวขาว ได้มีการพัฒนาให้ได้สารที่ทำให้ผิวขาวขึ้น โดยอาศัยหลักการทำงานรบกวนชบวนการสร้างเม็ดสี ซึ่งมีหลักการออกฤทธิ์ได้หลายวิธี ดังนี้
เลือกทำลาย Melanocytes หรือลดการทำงานของ Melanocytes ทำให้การสร้างเม็ดสีลดลง ยับยั้งการสร้าง Melanosomes ( ส่วนประกอบภายในเซลล์ Melanocytes ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสี Melanin ) และทำให้โครงสร้างเปลี่ยนรูปไป ยับยั้งการสังเคราะห์เอ็นไซม์ Tyrosinase ซึ่งมีความสำคัญในขั้นตอนการสร้าง Melanin ผลิตภัณฑ์ทำให้หน้าขาว หรือผิวขาวขึ้นที่มีจำหน่ายในท้องตลาด จะมีสารที่จะช่วยลดเม็ดสี ซึ่งอาจจะช่วยลดสีของ Melanin ที่ผิวหนัง หรือ ป้องกันการสร้างเม็ดสีใหม่
Kojic acid เป็น metabolite จากเชื้อราจำพวก Aspergillus และ Penicillium โดยสารนี้จะยับยั้งการสร้างเม็ดสีโดยเข้าไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ปริมาณการใช้ 2-4% ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อย ได้แก่ การระคายเคือง, ผื่นสัมผัส Arbutin เป็น Hydroquinone glycoside ออกฤทธิ์โดยเข้าไปแย่งกับ Dopa ที่ Receptor site ของ tyrosinase ปริมาณการใช้ 3-7% อาการข้างเคียงค่อนข้างน้อย ได้แก่ การระคายเคือง, ผื่นสัมผัส Licorice โดยมีสารสำคัญชื่อ Glabridin สกัดมาจาก licorice extract ( สารสกัดจากชะเอม ) ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการทำงานของ tyrosinase อาการข้างเคียงค่อนข้างน้อย ได้แก่ การระคายเคือง, ผื่นสัมผัส Vitamine C ลด melanin intermediate นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจากพืชหลายๆชนิดที่มีการศึกษา ได้แก่ Theaciae ( สารสกัดจาก green tea ) , Compositae ( สารสกัดจาก matricaria ), สารสกัดจาก mulberry นอกจากนี้ยังมีสารที่เกิดจากการสังเคราะห์ ได้แก่
Hydroquinone ปัจจุบันเป็นสารห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์ทาฝ้าที่วางขายในท้องตลาด การใช้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ในขบวนการสร้างเม็ดสี อาการข้างเคียงค่อนข้างมาก ได้แก่ ผื่นระคายเคือง ผื่นแพ้สัมผัส จนกระทั่งเกิดการสร้างเม็ดสีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเกิดลักษณะคล้ายฝ้าถาวร Tretinoin ( Vitamin A acid ) ทำนองเดียวกับ Hydroquinone คือ ห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์ทาฝ้าที่วางขายทั่วไป ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ออกฤทธิ์คล้ายกับ AHA คือ กระตุ้นการหลุดร่อนของเซลล์ผิวหนัง และเร่งการสร้างผิวหนังชั้นใหม่ อาการข้างเคียงค่อนข้างมาก ได้แก่ ผื่นแดง, ผิวลอกมีสะเก็ด, ผิวสีดำไหม้ Azelaic Acid ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน อาการข้างเคียงได้แก่ คัน ผื่นแดง ผิวลอกมีสะเก็ด ผิวสีดำไหม้ Chemical Peels คือการทาสารบางอย่าง ( ได้แก่ AHA , Resorcinol ) ในความเข้มข้นสูงให้เกิดการลอกของผิวอย่างรุนแรง เป็นวิธีที่ได้ผลเร็ว แต่มีข้อเสียมาก คือ อาจเกิดการติดเชื้อ เกิดเนื้อตายได้ ได้ผลจริงหรือไม่ ? สำหรับในกลุ่มสารเคมี ได้แก่ Hydroquinone, Tretinoin, Azelaic Acid และ Chemical peel ให้ผลไม่น่าพอใจนัก และมีอาการข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งจากการติดตามของคณะกรรมการอาหารและยา พบรายงานการแพ้อยู่บ่อยๆ อันได้แก่ ทำให้ผิวดำขึ้น เกิดฝ้าถาวร ผื่นแพ้ เกิดการลอกแดง ไหม้ จึงไม่อยากแนะนำให้ใช้ยาในกลุ่มนี้เอง นอกจากการใช้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง สำหรับในกลุ่มที่มาจากธรรมชาติ อันได้แก่ Arbutin, Licorice, Vitamin C ซึ่งมีรายงานการวิจัยว่าช่วยลดสีของเม็ดสีได้ แต่ก็ต้องอาศัยเวลายาวนานกว่า น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้ที่จะซื้อหามาใช้เองและผู้ที่เป็นไม่มาก อย่างไรก็ตาม ถ้าพบว่าเกิดผลข้างเคียง ผื่นแดง ระคายเคือง ก็ควรหยุดใช้ทันที อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเกิดเม็ดสีเข้มขึ้นนั้น สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการที่ผิวหนังสร้างเม็ดสีเพื่อกรองแสงและรังสีที่มากระทบ ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดซึ่งมีประสิทธิภาพน่าจะเป็นวิธีการป้องกัน และรักษาที่ดี และยังช่วยป้องกันการเสื่อม ( aging ) ของผิวหนังด้วย อ้างอิงจาก http://www.geocities.com/HotSprings/Bath/8143/cosmetic_whitening.html ต่อค่ะ เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสภาพและหน้าที่ของผิว ประการแรกคือ
กระบวนการเสื่อมสลายทางชีวภาพโดยธรรมชาติที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และ การทำลายที่ถูกสะสมจากการคุกคามจากสภาพแวดล้อม การทำความสะอาดด้วยสบู่ หรือสารชำระล้างที่ไม่เหมาะสม การสัมผัสกับสารซักล้างและมลพิาต่างๆเป็นเวลาหลายๆปี การเสื่อมสภาพของผิวที่เกิดจากปัจจัยภายใน (Endogenous skin aging)
ถูกกำหนดโดยลักษณะทางพันธุกรรมในลักษณะเช่นเดียวกับอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกาย ซึ่งการเสื่อมสภาพจากปัจจัยภายในนี้เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ อย่างไรก็ตามการเสื่อมสภาพของผิวที่เกิดจากลักษณะทางพันธุกรรมจะเกิดขึ้นช้ากว่าการเสื่อมสภาพของผิวที่เกิดจากสภาพแวดล้อมที่มากระทบ เช่น บริเวณร่างกายที่ได้รับการปกปิด เช่น ลำตัว จะเสื่อมช้ากว่าส่วนของร่างกาย เช่น ใบหน้า แขน ขา ที่ต้องกระทบกับสิ่งแวดล้อม เช่น แสง UV
การเสื่อมสภาพของผิวจากแสงแดด ( Photoaging )
สัญญาณเริ่มต้นที่บ่งบอกถึงการเสื่อมสภาพของผิวจะปรากฏเมื่อช่วงอายุ 30-40 ปี ซึ่งมันมิใช่บ่งบอกว่าเกิดจากปัจจัยภายในเท่านั้น แต่ในความจริงแล้วการเสื่อมสภาพของผิวเบื้องต้นนี้จะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ผิวได้รับสิ่งที่มากระทบจากภายนอก เช่น แสงอาทิตย์ อากาศ ฤดูกาล และลักษณะการสร้างเม็ดสีของผิว การเสื่อมของผิวที่เกิดจากแสงแดดจะทำให้ผิวมีลักษณะดูแก่ก่อนวัย ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างอย่างเด่นชัดจากผิวที่เสื่อมตามธรรมชาติ เพราะร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมเซลล์ชั้นหนังกำพร้าที่ถูกทำลายได้
การเสื่อมสภาพของผิวที่เกิดขึ้นตามวัย และที่เกิดขึ้นจากแสงแดด ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดการเปลี่ยนสภาพและหน้าที่ของผิว ผลลัพธ์ที่ปรากฏจากปัจจัยทั้งสองนี้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก แต่เราสามารถบอกความแตกต่างได้คือ ผิวที่เสื่อมจากแสงแดด จะเกิดก่อนวัยอันสมควร และพบในบริเวณที่มักจะสัมผัสโดยตรงกับแสง ผิวที่เสื่อมจะมีโครงสร้างและส่วนประกอบของผิวที่เลวลงในทุกๆชั้นของผิว กล่าวคือ ในชั้นหนังแท้ พบว่ามีเส้นใยอิลาสติกลดลง สูญเสียความยืดหยุ่น ลักษณะผิวที่ปรากฏมีลักษณะบาง ปราศจากความยืดหยุ่น มีริ้วรอย และหย่อนยาน ต่อมเหลือ และต่อมไขมันหลั่งสารลดลง การปกป้องผิวของไฮโดรไลปิดฟิล์มเสื่อม ผิวจึงแห้ง หลุดลอก บอบบาง แพ้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อทำความสะอาดผิวด้วยสารละลายด่าง
จากคุณ :
พร่างพราว
- [
17 พ.ย. 51 13:35:55
]
|
|
|