ความคิดเห็นที่ 1 ขอเริ่มเรื่องโศกนาฏกรรมแห่งความงาม เรื่องแรกที่ดิชั้นอ่านแล้วคิดว่าเป็นการทรมานร่างกายที่สุดแสน การมัดเท้าของสตรีชาวจีน จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 21:12:34 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โจวกุ้ยเจิน แม่เฒ่าวัย 86 เจ้าของเท้าดอกบัวทองคำ ซึ่งมิเคยย่างกรายออกไปเกินกว่ากำแพงดินของหมู่บ้านหลิวอี้ว์ มณฑลหยุนหนัน (ยูนนาน) กระทั่งเมื่อเธอเริ่มเต้นรำประกอบแผ่นเสียง เธอจึงเริ่มมีโอกาสได้ออกไปยลโฉมโลกภายนอก ที่จำต้องอุดอู้อยู่ในหมู่บ้านนั้น มิใช่ว่าเธอมิอยากออกไปท่องโลกกว้าง ทว่า ความเชื่อคร่ำครึในสังคมจีนที่ “ขนาดเท้าเป็นมาตรฐานตัดสินคุณค่าของผู้หญิง ยิ่งเล็กยิ่งงาม” ทำให้แม่เฒ่าโจวถูกจับมัดเท้าแต่เด็ก จนเท้าของเธอมีรูปร่างผิดแผกจากมนุษย์ทั่วไป ด้วยมีขนาดเท่าซองบุหรี่ ส่วนกระดูกเท้านั้นเล่า ก็งองุ้มผิดธรรมชาติ จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 21:13:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 O_O มาแอบปาดดดด รอติดตามชมค้าา จากคุณ : white_valentine - [ 22 พ.ย. 51 21:14:37 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มาตรความสวยงาม ที่สังคมชายเป็นใหญ่ตั้งขึ้น เพื่อสนองตัณหาของตนนั้น กลับเป็นเครื่องพันธนาการสตรี ซึ่งถูกจองจำให้อยู่เหย้าเฝ้าเรือน ด้วยเท้าทั้งสองข้างของเธอถูกมัดตรึง จำกัดการเติบโตให้อยู่ในรองเท้าดอกบัวทองคำขนาดเล็กเพียงไม่กี่นิ้ว พอๆกับอิสรภาพของเธอที่ถูกรัดตรึงโดยสภาพสังคมที่กำหนดให้สตรีเป็นเพียงวัตถุสนองตัณหาความใคร่ของชาย จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 21:14:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ปาดดดดดดดดด มารออ่านค่า คห.2 แอบน่ากลัวเนาะ จากคุณ : yanglob - [ 22 พ.ย. 51 21:15:56 ]

ความคิดเห็นที่ 6 แม่เฒ่าโจว เอื้อนเอ่ยเรื่องราวของชีวิตห้วง 3 แผ่นดินของเธอว่า ก่อนประธานเหมาสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ.1949 นั้น ชีวิตของพวกเธอแสนจะสุขสบาย ด้วยสังคมยังคงมีกระแสนิยมความงาม โดยวัดจากขนาดของเท้า ยิ่งเท้าเล็กเท่าไหร่ยิ่งหมายถึง โอกาสที่มากขึ้นเท่านั้น เท้าดอกบัวทองคำของแม่เฒ่าโจว ทำให้เธอได้มีโอกาสแต่งงานกับชายหนุ่มรูปหล่อ ฐานะดี ซึ่งชีวิตสมรสของเธอก็ดำเนินไปอย่างสุขสม แม้จะต้องแต่งงานถึง 2 ครั้ง             กระทั่งยุคปฏิวัติจีนใหม่ของพรรคค้อนเคียว ที่พิชิตชัยชนะในปี ค.ศ. 1949 นั้น ชะตาของแม่เฒ่าก็ถึงจุดพลิกผัน เมื่อบ้านของเธอถูกยึด พ่อแม่สามีคนที่ 2 ถูกทุบตีจนตาย เนื่องจาก ครองทรัพย์สินจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับสังคมคอมมิวนิสต์ โจวถูกริบทรัพย์สิน จนเธอจำต้องยอมก้มหน้ารับชะตากรรม ทำงานหนักในคอมมูน ทั้งที่เท้าทั้งสองข้างก็มิอำนวยให้เธอใช้แรงงงาน จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 21:16:31 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ที่ภูเก็ตซักสามสี่สิบปีก่อนก็มีคับ พวกลูกสาวนายเหมือง รุ่นย่ารุ่นยายผมละแหละ เท้ายิ่งเล็กก็ยิ่งบ่งบอกถึงฐานะด้วย ว่าเป็นคนร่ำรวยขนาดไหน รองเท้าที่ใส่ก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้เช่นกันคับ ว่าแล้วก็รอดูต่อ... จากคุณ : Mr.Tsunami - [ 22 พ.ย. 51 21:18:04 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เคยเห็นใน forward mail เหมือนกันค่ะ เห็นแล้วก็... นึกสงสาร แต่สมัยนั้นมันคงเ็ป็นแฟชั่นที่ว่า้ด้วย กระแสนิยมจริงๆ  นึกดีใจที่ได้เกิดมาในประเทศ และสังคมที่ผู้หญิงได้รับอิสระจริงๆ เลยนะเนี่ย จากคุณ : amuro4ever - [ 22 พ.ย. 51 21:21:05 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เพื่อที่จะได้เท้าขนาดเล็ก ซึ่งเรียกขานกันว่าเท้าดอกบัว (ในรายที่เล็กมากจะเรียกดอกบัวทองคำ) สาวน้อยวัย 6 ปี จะถูกนำตัวมาบิดงอรวบนิ้วเท้าทั้ง 5 เข้าหากัน จากนั้น จึงพันด้วยผ้าลินินขาวสะอาด ไล่จากหัวแม่เท้ายันปลายเท้าอย่างแน่นหนา กระทั่งกระบวนการแสนทรมานดังกล่าวผ่านไป กระดูกเท้าของหญิงสาวเหล่านั้น จะค่อยเติบโตอย่างผิดรูปผิดร่างภายใต้รองเท้าเล็กกระจิดริด ซึ่งพวกเธอแต่ละคนจะทำขึ้นใช้เอง             เมื่อเยื้องย่างด้วยท่าอ้อนแอ้นแลดูสวยงาม ความเจ็บปวดแสนสาหัส ราวเข็มพันเล่มกลับทิ่มแทงพวกเธอมิรู้จบ เท้าที่ถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา จนเป็นแผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น แต่ด้วยความจำยอม ปล่อยให้ประเพณีจองจำอิสรภาพ พวกเธอจึงต้องจำทน ให้เท้าที่ดูสมส่วนสวยงามตามธรรมชาติ ต้องกลายสภาพเป็นเท้าคนพิการตลอดชีวิต ด้วยผู้หญิงเชื่อว่า การมัดเท้าจะช่วยยกระดับทางสังคม และเสริมความงามให้กับหญิงสาว จนในที่สุด เท้าของหญิงสาวกลายเป็นเครื่องตัดสินอนาคตชีวิตสมรส และความพึงพอใจทางกามารมณ์ที่ชายพึงมีต่อหญิง ฉะนั้น หญิงสาวแดนมังกรจำนวนมาก จำต้องพิกลพิการเพราะวัตรปฏิบัติ สนองตัณหาชายดังกล่าว ขอบคุณข้อมูล และ เข้าไปอ่านเรื่องแม่เฒ่าได้จากเว็บ http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&order_reply=0&post_id=1208840 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 51 21:50:40 จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 21:23:32 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ได้ประโยชน์ดีค่ะ  ขอนอนกินหนมรออ่านด้วยคน^^ จากคุณ : ชะนีน้อยหอยดอง - [ 22 พ.ย. 51 21:25:10 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ปัจจุบันประเพณีการมัดเท้าอาจจะจางหายไป ชาวโลกอาจจะตื่นตกใจที่ได้เห็นเรื่องราวของแม่เฒ่าชาวจีน เมื่อเหลียวกลับมามองปัจจุบัน ผู้หญิงก็ยังคงทรมานเท้าตนเองเพียงแต่รูปแบบเปลี่ยนไป เราไม่มัดเท้า แต่เรา เขย่งเท้าแทน จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 21:30:24 ]

ความคิดเห็นที่ 12 น่าสงสารคุณยายนะคะ จากคุณ : triyapa - [ 22 พ.ย. 51 21:30:30 ]

ความคิดเห็นที่ 13 น่าสงสาร+น่ากลัว จากคุณ : ฝนเอยฝนตก - [ 22 พ.ย. 51 21:33:45 ]

ความคิดเห็นที่ 14 การสวมรองเท้าซ้นสูงเป็นระยะเวลานาน ๆ จะทำให้กระดูกเท้าผิดรูปไป จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 21:34:08 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สมัยก่อนมีมัดเท้า สมัยนี้ก็ใส่รองเท้าส้นสุงกันจน สุงเกิน เช่นล่อไป 7 นิ้วแล้ว สุงมาเกินไป ใส่นานแล้วมีปัญหาทั้งเอง ทั้งขา แน่นอน สุดท้าย บทเรียน เท้าดอกบัวก็มิได้ สอนอะไรสาวๆ ปัจจบันกันเลยครับ เพราะก็จำยอมเจ็บเมื่อย ให้ดุสวยในรองเท้าส้นสูงอยู่ดี  ผมว่าใส่กันให้พอดีๆ จะดีกว่าครับส้นสัก 1-2 นิ้วก็พอแล้ว ไม่ต้องใส่แม้เจ้า 3 นิ้ว 4 นิ้ว 5 นิ้ว เห้นว่าอีกไม่นานจะมีรองเท้าส้นสุงมากๆๆ จน แทบจะใช้ปลายเท้าเดินเป็นนักบัลเลย์แล้ว จากคุณ : Anqueetas - [ 22 พ.ย. 51 21:42:05 ]

ความคิดเห็นที่ 16 การพันเท้าให้เล็กนั้น นอกจากจะเพื่อไม่ให้ผู้หญิงไปไหนมาไหนแล้ว จากการวิจัยของฝรั่งทำให้ทราบว่า ผุ้ที่ทำการพันเท้า กล้ามเนื้อตั้งแต่บริเวณสะโพกลงไปจะต้องเกร็งมากในการเดินแต่ละครั้ง ซึ่งนั่นคือการทำให้ปากช่องคลอดกระชับอยู่ตลอดเวลา เพื่ออะไรคงไม่ต้องบอกนะคะ ไว้ถ้าใครสนใจอ่านเป็นภาษาอังกฤษแบบละเอียดจะหาข้อมูลมาแปะให้ค่ะ จากคุณ : เห็ดอ้วน - [ 22 พ.ย. 51 21:42:27 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ยังไม่นับอันตรายจากการข้อเท้าพลิก และเส้นเลือดขอด การสวมซ้นสูง ทำให้ผู้หญิงขาเรียวและเดินสะโอดสะองค์อ้อนแอ้น วัตถุประสงค์เพื่อความงามเช่นกัน จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 21:42:43 ]

ความคิดเห็นที่ 18 มี celebs หลายต่อหลายคนที่ยอมทนเจ็บเท้าเพื่อความงามเช่นกัน จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 21:44:33 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เจ๊วิค ก็เป็นอีกคนที่โดนเม้าท์ว่ายอมทำศัลยกรรมเท้าเพื่อให้สวมรองเท้าซ้นสูงแบบล้ำ ๆ ได้ จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 21:45:54 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เวลานี้แม่เฒ่าเองก็อาจจะอัศจรรย์ใจในรองเท้าซ้นสูงยุคใหม่ เช่นกัน จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 21:48:55 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้ามัด เท้า  เพื่อให้ช่องคลอดกระชับ  นี้  สุดยอดดดดดดดดเลยครับ คิดได้ยังไงเนี่ยยย จากคุณ : BIZZARE - [ 22 พ.ย. 51 21:53:45 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เราเตี้ย แถมยังไม่ชอบเขย่งเท้าอีกต่างหาก จากคุณ : น้องพอใจไม่พอใจ - [ 22 พ.ย. 51 21:55:50 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 51 22:00:27 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 51 21:59:36 จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 21:58:03 ]

ความคิดเห็นที่ 24 โศกนาฏกรรมแห่งความงาม เรื่องที่ 2 Corset วิวัฒนาการของเสื้อชั้นในสตรี จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:03:18 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ตามอ่านอยู่นะคะ จากคุณ : Bubble_eis - [ 22 พ.ย. 51 22:04:05 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อ่านด้วยใจจดจ่อ จากคุณ : Mrs.Beblow - [ 22 พ.ย. 51 22:07:02 ]

ความคิดเห็นที่ 27 Corset คือ ชุด ชั้นในผู้หญิงที่สวมเพื่อให้สะโพกและหน้าอกเข้ารูปทรง เอวบาง จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:09:07 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เน็ตด๋อย ๆ ค่อย ๆ โพสไปนะคะ แบบไม่กดดันตัวเองมาก ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่เข้ามารอชม จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:10:01 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เห็นเท้าแล้ว สยดสยองมากเลยค่ะ ฮือ ขนาดแค่ส้นสูงเรายังไม่ค่อยใส่เลย นานๆ มากจะใส่ที แล้วก็สองนิ้วครึ่งอย่างมาก ส้นสูงมากๆ ปลายแหลมมากๆ นี่เราใส่ไม่ได้เลย แค่ส้นสูงพวกนั้นเรายังมองว่าคนใส่ทรมานตัวเองเลยนะ เป็น Tormented shoes ตามสำนวนของเจ๊คิม (Samantha จาก sex and the city) เจอบีบเท้านี่...เด็กๆ ไปเลย ฮือ แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 51 22:11:32 จากคุณ : =p o o k p u i= - [ 22 พ.ย. 51 22:10:06 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อยากรู้ ๆ ๆ ๆ ๆ มาปูเสื่อนั่งรอนอนรอด้วยคน จากคุณ : triyapa - [ 22 พ.ย. 51 22:11:03 ]

ความคิดเห็นที่ 31 รออ่านอยุ่ค่ะ เป้นกำลังใจในการโพสนะคะ จากคุณ : เปรียวฝ้าย - [ 22 พ.ย. 51 22:11:44 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ค่านิยมเรื่องความงาม มีมาแต่ไหนแต่ไร ถ้านิยมว่า งาม ก็สามารถอดทนได้ เฮือก จากคุณ : อาซิ่ม - [ 22 พ.ย. 51 22:12:08 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ปาดเล็กน้อย ถึงปานกลางค่ะ เฮ้อออ อยากสวย เป็นคำทีทำให้ผู้หญิงทรมานมากๆ ค่ะ จากคุณ : nymphnim - [ 22 พ.ย. 51 22:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ปาดดดดดค่ะ เราชอบคนใส่ croset จังค่ะ แต่รัดไปมันก็ไม่สวยเลย จากคุณ : Stariliz - [ 22 พ.ย. 51 22:20:49 ]

ความคิดเห็นที่ 35 กลัวแล้วจร้า จากคุณ : iamrainbow - [ 22 พ.ย. 51 22:21:48 ]

ความคิดเห็นที่ 36 นักประวัติศาสตร์แฟชั่นบันทึกไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชุดชั้นใน รวมถึงทัศนคติของผู้คนต่อชุดชั้นใน เกิดขึ้นในราวช่วงทศวรรษที่ 1830-1839 ชุดชั้นในเริ่มมีมากชิ้น ขึ้นยาวขึ้น และกลายเป็นอาภรณ์ที่ “ต้อง” สวมใส่เป็นประจำทั้งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ถือว่า การไม่สวมชุดชั้นในแสดงถึงความสกปรก หยาบช้า ต่ำชั้น ละเลยมารยาทและศีลธรรมอันดีงาม การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เชื่อกันว่าเกิดจากปัจจัยร่วมสามประการ คือ หนึ่ง-ความเฟื่องฟูของลัทธิเจ้า-ระเบียบของสมัยวิกตอเรียน (ค.ศ. 1837-1901 ) และกฎเกณฑ์ในยุคนั้นที่กำหนดว่าการแต่งกายสุภาพต้องเป็นเช่นไร ก่อนศตวรรษที่ 19 ชุดชั้นใน (ถ้าสวมใส่) เป็นแบบที่เรียบง่ายมาก ประกอบด้วยเสื้อกับกางเกงในตัวหลวมยาวในบางกรณีชุดชั้นในได้รับการออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของชุดเสื้อผ้าที่สวมใส่ในโอกาสเฉพาะ เนื่องจากไม่ได้มีจุดประสงค์ให้ชุดชั้นในปรากฏแก่สายดาบุคคลอื่นใดนอกเหนือจากผู้สวมใส่ดังนั้นชุดชั้นในที่กระชับ ดูดี จึงไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปให้ความสนใจเลย ยกเว้นแต่ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นที่นิยมให้สตรีมีเอวคอดกิ่ว อกตั้ง เสื้อชั้นในแบบที่เรียกว่า เสื้อรัดลำตัวสตรี (corset) จึงถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:21:57 ]

ความคิดเห็นที่ 37 corset ก็ทำให้กระดูกผิดรูปไปเหมือนกัน แต่เราเรียกมันว่าเอวคอด จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:24:23 ]

ความคิดเห็นที่ 38 กว่าจะออกมาเป็นหุ่นนาฬิกาทรายได้ รัดกันจนลมจับไปเลย จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:25:24 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ปาดด้วยคน เท้าดอกบัว น่ากลัวมาก ทำมันตรงกลางมันแยกอ่ะ จากคุณ : กุ้งแห้ง_ตัวอ้วน_พุ่งป่อง - [ 22 พ.ย. 51 22:26:10 ]

ความคิดเห็นที่ 40 น่ากลัวจัง เราไม่ยอมทรมานตัวเองขนาดนี้พื่อความงามเด็ดขาด จากคุณ : tormay - [ 22 พ.ย. 51 22:27:02 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เคยสงสัยกันไหมว่า รัดแบบนี้ตับไตใส้พุงไปอยู่ไหนหมด จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:27:09 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คงไม่ต้องบอกนะคะ ว่ามันจะทรมานแค่ไหน กว่าเจ้าของหุ่นจะพอใจตามกระแสนิยม จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:31:30 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มาให้กำลังใจ รอดู ^^ จากคุณ : เต้าหู้ ผู้กู้โลก - [ 22 พ.ย. 51 22:32:45 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ปัจจุบัน corset กลายเป็นแฟชั่น ที่ไม่รัดรึงเท่าเก่า แต่เรามี ชุดชั้นใน โอนามิ เมกาดอท มาแทน วัตถุประสงค์เดิม เพื่อรูปร่างงามสมส่วน จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:33:41 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ส่วน corset ก็กลายเป็นเข็มขัดสไตล์หนึ่ง  ที่ยังคงทำให้เรานึกถึงการทรมานตน ของหญิงสาวยุคโบราณที่ต้องการรัดรูปร่างให้เข้าทรง จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:35:38 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ไอ้เจ้า corset นี้ก็น่ากั่ว อีกเช่นกัน ทำไปได้ แต่ผู้ชายสมัยก๋อน ก็มีใส่ corset ของผุ้ชายเหมือนกัน เอาไว้เก็บพุงไม่ให้มันออกมามากนัก   แต่พูดตรงๆ สมัย renassance นี้ corset นี้ใส่กันไปได้ไง    แต่สมัยนี้ก็บ้ากันไม่แพ้สมัยก่อน ยิ่งรองเท้าส้นสุงไม่มีส้นนี้ มันเหลือเชื่ออะ ใส่กันไปได้ไง คิดถึงแรงกดมหาศาลที่เท้า ว่ามันจะปวดขนาดไหน จากคุณ : Anqueetas - [ 22 พ.ย. 51 22:35:45 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เดี้ยวนี้มีการตัดนิ้วก้อยที่เท้าแล้วนะคะ ทำให้ เท้าใส่้ไซร้เล็กลง และเท้าดูเล็กและเรียวเวลาใส่รองเท้า เค้าบอกนิ้วก้อยที่เท้าไม่เห็นและไม่จำเป็น เพราะในปัจจุบัน การออกแบบรองเท้าสวยๆ ด้านหน้าจะเล็กและแคบมากกกก แล้วก็มีการตัดข้อนิ้วเท้าให้สั้นลงหรือให้เท่ากัน อย่างเช่น นิ้วชี้เท้าทั้งสองให้เท่ากันเพื่อให้ เวลาใส่นิ้วเท้าสวยขึ้น เคยดูในรายการศัลยกรรมทางทรูวิชั่น ^^ จากคุณ : princessizz - [ 22 พ.ย. 51 22:37:43 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ^^ โหดจังค่ะ จากคุณ : Melodysixty - [ 22 พ.ย. 51 22:40:50 ]

ความคิดเห็นที่ 49 และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเซ็กซี่ของสาว ๆ หุ่นนาฬิกาทราย จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:41:56 ]

ความคิดเห็นที่ 50 และกลายเป็นสัญลักษณ์และแรงบันดาลใจในการสร้างชุดชั้นในที่แสนเซ็กซี่ในยุคปัจจุบัน จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:42:54 ]

ความคิดเห็นที่ 51 รอชมค่ะ อยู่เป็นเพื่อนนะค่ะ จากคุณ : ข้าวซอยตัด - [ 22 พ.ย. 51 22:43:54 ]

ความคิดเห็นที่ 52 โศกนาฏกรรมแห่งความงาม เรื่องที่ 3 การใส่ห่วงที่คอและแขนขา ของกะเหรี่ยงคอยาว จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:45:30 ]

ความคิดเห็นที่ 53 - -" ยอมขนาดนั้นเลย จากคุณ : บานชื่นรื่นรมย์ (ZiNNiAz) - [ 22 พ.ย. 51 22:45:34 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ในหมู่ชนเขาชาวกะเหรี่ยงเผ่าปาดองหรือชนเผ่าปาดอง (Padong) เป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งอาศัยอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนพม่า  ถือว่าผู้หญิงคอยาวเป็นผู้หญิงสวย หญิงชาวปาดองจะสวมห่วงทองเหลืองที่คอและ แขนขา และจะเพิ่มจำนวนห่วงมากขึ้นเมื่อ มีอายุเพิ่มขึ้น การสวมห่วงค้ำคอไว้ตลอดเวลา ห่วงจะดันให้คอดูยาวกว่าปกติ แต่เคยมีการพิสูจน์ในวงการแพทย์ โดยการเอ็กซเรย์ได้ผลออกมาว่าความจริงแล้วคอปาดองจะไม่ยาวขึ้นกว่าคนธรรมดา กระดูกคอยังคงเท่าเดิม แต่ห่วงจะไปกดกระดูกช่วงไหล่ให้ลู่ต่ำลงไปจนดูว่าคอยาวกว่าปกติ จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:49:29 ]

ความคิดเห็นที่ 55 กระทู้นี้ดีจังเลยค่ะ เราไม่ได้ใส่รองเท้าส้นสูง แต่เหมือนกระดูกเท้าจะเปลี่ยนค่ะ กลัวอยู่นะนี่ จากคุณ : ThatsNoon - [ 22 พ.ย. 51 22:49:47 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เข้ามาติดตามชมค่ะ สมัยก่อน ผู้ชายกำหนดกฎที่โหดร้ายกับผู้หญิงไว้เยอะจริงๆ จากคุณ : ปลายลมหนาว - [ 22 พ.ย. 51 22:50:51 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ผู้หญิงชาวปาดองมีอายุได้ 3-5 ปีก็จะเริ่มใส่ห่วงแล้ว เดิมห่วงคอทำด้วยทองคำแต่ปัจจุบันเป็นทองเหลืองจากประเทศพม่า ชาวปาดองบางคนใส่ห่วงหนักถึง 15กิโลกรัม การสวมห่วงคอมีความเชื่อหลายอย่าง เช่น เป็นการแสดงฐานะ และกันการแต่งงานข้ามเผ่ารวมถึงกันภูตผีปีศาจ จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:51:44 ]

ความคิดเห็นที่ 58 โอว แต่ละอย่าง ลำบากเหลือแสน จากคุณ : Dead Poet Society - [ 22 พ.ย. 51 22:52:35 ]

ความคิดเห็นที่ 59 มีท่อนหนึ่งของบทความเรื่อง กะเหรี่ยงคอยาว ที่คุณ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เขียนไว้ที่มติชนรายสัปดาห์  วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 24 ฉบับที่ 1232 กว่าว่า " ขอให้สังเกตด้วยนะครับว่า ประเพณีการสวมกำไลคอมีเฉพาะผู้หญิง ผู้ชายกะเหรี่ยงยังคงคอสั้นตามธรรมชาติ เมื่อตอนที่อยู่ในพม่า ฝ่ายคอสั้นคงมีบทบาทหน้าที่หลายอย่างในการดำรงชีวิต เท่ากับที่ฝ่ายคอยาวก็คงมีบทบาทหน้าที่อีกหลายอย่างซึ่งไม่ใช่การโชว์คอแลกเงิน พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในวัฒนธรรมของเขา ย่อมมีการแบ่งบทบาทหน้าที่ระหว่างคนต่างวัย, ต่างเพศ, ต่างสถานะ ฯลฯ เหมือนคนในวัฒนธรรมอื่น ๆ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ประเพณีการสวมห่วงทองเหลืองให้ดูคอยาวนั้น เป็นการทำความไม่สมประกอบ (deformity) ให้แก่ร่างกาย เช่นเดียวกับการรัดเท้าเพื่อให้อุ้งเท้ามีรูปปลายอวัยวะเพศของหญิงในบางนิกายของบางศาสนา, หรือแม้แต่การกินหมากเพื่อให้ฟันดำของไทย คิดอย่างนี้แล้วก็น่าตกใจนะครับว่า ความพยายามจะรักษาคอกะเหรี่ยงให้ยาวไว้นั้น คือความพยายามที่จะให้มนุษย์กลุ่มหนึ่งสร้างความไม่สมประกอบแก่ตนเอง เรื่องฉุกใจอย่างที่สองก็คือ ถ้าพูดถึงความไม่สมประกอบกันอย่างเคร่งครัดต่อความแล้ว คนสมัยนี้ใช้ความไม่สมประกอบเป็นเครื่องมือทำมาหากินหรือเลื่อนสถานะทางสังคมของตนอยู่ไม่น้อย ศัลยกรรมเสริมความงามที่ทำกันเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้ทำเพื่อแก้ไขความไม่สมประกอบ แต่เพื่อสร้างความไม่สมประกอบให้แก่ร่างกายของตนเอง (คือผิดจากธรรมชาติของตัว) ถ้านิยามอย่างนี้ แม้แต่ทาลิปสติกก็เป็นการสร้างความไม่สมประกอบอย่างหนึ่ง เอ หรือว่ามนุษย์เราใช้มาตรฐานความไม่สมประกอบเป็นเครื่องวัดความงามกันในทุกวัฒนธรรมล่ะหว่า " ขอบคุณข้อมูลและสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2004q1/article2004march30p3.htm  และ http://oldforum.serithai.net/index.php?topic=1007.0 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 51 23:03:58 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 51 22:59:01 จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 22:56:54 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ลองคิดสภาพตัวเองคอยาว ๆ แบบนี้แล้วเลี้ยงลูก จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:01:49 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นอาจารย์ที่เรานับถือในผลงานและมุมมองของท่าน คนนึงเลยค่ะ จากคุณ : น้องพอใจไม่พอใจ - [ 22 พ.ย. 51 23:02:18 ]

ความคิดเห็นที่ 62 หรือทอผ้าทำงานหาเลี้ยงครอบครัว คงลำบากน่าดู จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:02:40 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เท้าใหญ่ เอาหนา อย่างเรา คงจะเป็นไพร่ธรรมดาต่อไป .. จากคุณ : la-la-bell - [ 22 พ.ย. 51 23:05:18 ]

ความคิดเห็นที่ 64 รออ่านต่อค่ะ รูปในคห.2 น่ากลัวมากๆ ขอบคุณ จขกท ที่นำมาฝากค่ะ จากคุณ : Teru Teru Bozo - [ 22 พ.ย. 51 23:05:32 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เทียมไม่ได้เลยกับการเคี้ยวหมากเพื่อให้ฟันดำของสาวไทยสมัยโบราณ (คุณยายน่ารักมากมาย) จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:06:02 ]

ความคิดเห็นที่ 66 การทาลิปติกเป็นการสร้างความงามแบบชั่วคราว ทาตอนเช้า ลบตอนเย็น ไม่น่าจะเป็นการสร้างความไม่สมประกอบแก่ร่างกายค่ะ จากคุณ : น้องพอใจไม่พอใจ - [ 22 พ.ย. 51 23:06:39 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เห็นแล้วทรมานน่าดู จากคุณ : สลัดผักรวม - [ 22 พ.ย. 51 23:11:26 ]

ความคิดเห็นที่ 68 อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ โดยเฉพาะเรื่องแรก ... ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ จากคุณ : esprit_pawin - [ 22 พ.ย. 51 23:13:50 ]

ความคิดเห็นที่ 69 โศกนาฏกรรมแห่งความงาม เรื่องที่ 4 การเหยีดสีผิว ขาวสว่างกระจ่างใสเท่านั้นที่เราต้องการ จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:13:54 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ใครเป็นคนกำหนดหนอว่าคนผิวดำ ไม่งาม ไม่หล่อ ค่านิยมแบบนี้ทำร้ายชาวผิวสีจำนวนมากให้ขาดความมั่นใจและมีปมในใจเรื่อยมา จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:16:25 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ข้อความเดิม : " แม้แต่ซุบเปอร์สตาร์ผู้มากความสามารถ ที่ทุกคนอิจฉา ก็ยังยอมทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าใกล้ความงามแห่งผิวขาวแบบพิมพ์นิยม " จากข้อความเดิม ขอแก้ไขเป็น : แม้แต่ซุบเปอร์สตาร์ผู้มากความสามารถ ที่ทุกคนอิจฉา ก็ยังพบกับปัญหาเรื่องสีผิว *********** เพิ่มเติมข้อความใหม่ เนื่องด้วยตามความเห็นที่ 377 และ 378 ของคุณ kwangMJ ขอตอบทีละประเด็นดังนี้ คำถามที่ 1. เรื่องของไมเคิล แจ็คสัน ...ถ้าไม่รู้จริงก็อย่าพูดดีกว่านะคะ ไม่รู้คุณเอามาจากไหน หรือคิดเองแต่งเอง แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพิมพ์ลงในนี้เลย แม้ แต่นิดเดียว... ตอบ = เรื่องทุกเรื่องที่ได้พิมพ์ลงในกระทู้นี้ มีข้อมูลอยู่ 3 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นข้อมูลที่ จขกท ได้หามาจากอินเตอร์เน็ตและหากได้คัดลอกมาจากเว็บใด จะทำการอ้างอิงเอาไว้ ส่วนที่ 2 เป็นความคิดเห็นของ จขกท เองซึ่งเป็นคำพูดทั่ว ๆ ไป และ ส่วนที่ 3 เป็นการแสดงความคิดเห็นของผู้เข้าชมกระทู้ ซึ่ง จขกท ได้ทำการบ้านมา แต่อาจจะไม่มากพอ คำถามที่ 2. ไมเคิืล ไม่ได้อยากขาว จนทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเป็นคนขาว เค้าไม่ได้ฉีดผิว เค้าำไม่ได้ฟอกผิว ... สิ่งที่เค้าทำคือการทำลายเซลล์ เนื่องจากไมเคิลเป็นโรคด่างขาว Vitiligo ลองเสิจดูในกูเกิลนะคะ คุณจะเห็นภาพ เป็นในหมู่คนฟิวสี จะเป็นด่างสีขาวขึ้นตามผิวหนัง เกิดขึ้น 1 ใน 100 ของคนผิวสี ไมเึคิลก็โชคร้ายน่าดู เป็นหนึ่งใน 100 ใครเป็นแล้วไม่มีทางรักษาได้ บริเวณที่เซลล์เม็ดสีผิดปรกติแล้วไม่สามารถรักษาได้ ตัวไมเคิลเอง เป็นที่บริเวณ คอ หน้า มือ ขา ... หาภาพดูค่อนข้างยาก ปรกติไมเคิลใส่แขนยาว ขายาวอยู่แล้ว บริเวณใบหน้าก็มีการแต่งหน้าช่วย เมื่อไม่มีทางรักษา จึงจำเป็นต้องเลือกทางออกที่ดีที่สุด ในสถานะนั้น ไมเคิลไม่มีทางเลือกใดดีกว่าการยอมทำลายเซลล์เม็ดสี และผิวจะค่อย ๆ ขาว ขาวกว่าคนขาวทั่วไป ...... แค่อยากจะอธิบายว่า ไมเคิล แจ็คสันไม่ได้กลายเป็นคนขาว เพราะอยากขาว ตอบ = ก่อนพิมพ์กระทู้นี้ จขกท ได้หาข้อมูลเรื่องการทำศัลยกรรมของ ไมเคิลมาซึ่ง ได้อ่านในส่วนของความเห็นที่คุณ kwangMJ กล่าวไว้เช่นกัน จากเว็บ  http://www.dek-d.com/board/view.php?id=930214  แต่สาเหตุทที่ จขกท ได้โพสว่า "แม้แต่ซุบเปอร์สตาร์ผู้มากความสามารถ ที่ทุกคนอิจฉา ก็ยังยอมทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าใกล้ความงามแห่งผิวขาวแบบพิมพ์นิยม" นั้นเพราะข้อมูลที่หาได้ มี 2 กระแส และกระแสที่ 2 กล่าวว่า  ไมเคิลแจ๊คสัน ทำการที่เปลี่ยนสีผิวตัวเองด้วยวิทยาการทางการแพทย์จากผิวดำให้เป็นขาวซีดอย่างในปัจจุบัน http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%A5_%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99   แต่ไม่มีข้อสรุปในเรื่องนี้คือไม่มีใครทราบข้อเท็จจริง ว่า ไมเคิล ตั้งใจฉีดยายับยั้งการสร้างเม็ดสี หรือตั้งใจทำให้ตนเองเป็นด่างขาว หรือเป็นการเจ็บป่วยตามธรรมชาติ รู้แต่เพียงว่า ไมเคิล อาจจะ " ไม่มีทางเลือกใดดีกว่าการยอมทำลายเซลล์เม็ดสี และผิวจะค่อย ๆ ขาว ขาวกว่าคนขาวทั่วไป " ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่มีการแสดงความคิดเห็นเอาไว้ในห้องโต๊ะเครื่องแป้ง http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2008/06/Q6712968/Q6712968.html   คำถามที่ 3. สิ่งที่เค้าเป็นมันเป็ฯเหตุผลที่มากพอ นี้เป็นทางออกที่ดีที่สุด แม้ตอนนี้สีผิวของเค้าจะขาว แต่ใจเค้าคือ แอฟริกัน-อเมริกัน เค้าคือคนผิวดำ เค้าภูมิใจที่เกิดเป็นคนดำ ไม่เป็นความจริงเลยที่คุณบอกว่าเค้าอยากขาว ตอบ = เรื่องนี้วัดยากมาก รวมทั้ง จขกท เองก็ไม่อาจทราบได้เนื่องด้วยมันเป็นสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ อย่างไรก็ดี จขกท ขอแสดงความรับผิดชอบในการโพสความเห็นของ จขกท เองที่อาจจะไม่ครบถ้วนกระบวนความ จึงจะขอแก้ไขความเห็นที่ 71 และ 73 และ 77  คะ โดยขอคงข้อความเดิมเอาไว้ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 51 12:06:42 จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:18:32 ]

ความคิดเห็นที่ 72 อ่านแล้วเศร้าเหมือนกันนะคะ เพื่อความงามยอมทรมานทุกอย่างเลย จากคุณ : ลูกแม่ดอกบัว - [ 22 พ.ย. 51 23:21:35 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ข้อความเดิม : " จนเรียกได้ว่ากู่ไม่กลับ คงทำมาหมดทุกวิธี ทั้งฉีด ทั้งกิน ทั้งผ่า ที่โป๊ะ ปลูกถ่ายเซลล์ จนตอนนี้ขาวแล้ว ไม่เหลือความเป็นคนผิวสี ยกเว้นภาพถ่ายในอดีต ไม่รู้ว่าใจของไมเคิล จะถูกเยียวยาจากความขาวของผิวปัจจุบันหรือยัง " จากข้อความเดิม ขอแก้ไขเป็น : จากการเสริชหาอ่านในอินเตอร์เน็ต พบว่าข้อมูลเรื่องการเปลี่ยนสีผิวของไมเคิล แตกออกมาเป็น 2 กระแส   กระแสที่ 1  ไมเคิล ป่วยเป็น โรคด่างขาว ภาษาแพทย์เรียกว่า วิทิไลโก (vitiligo) เป็นโรคที่เม็ดสีถูกทำลาย ทำให้ผิวเป็นสีด่างขาวขึ้น โรคนี้พบได้บ่อยเหมือนกัน สาเหตุของโรคยังไม่ชัดเจน สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากเซลล์ประสาทที่ผิดปกติมาทำอันตรายเซลล์สร้างเม็ดสีที่อยู่ข้างเคียง ร่างกายอาจจะทำลายเม็ดสีของตัวเอง เป็นโรคภูมิแพ้อย่างหนึ่ง และเซลล์เม็ดสีอาจทำลายตัวเอง ทั้งหมดจบลงด้วยการที่เซลล์เม็ดสีถูกทำลาย จึงเกิดรอยด่างขาวขึ้น และสีขาวนี้จะวิธีการรักษาคือ พยายามให้เซลล์สร้างสีหันกลับมาทำงาน หรือทำลายเซลล์สร้างสีให้หมดไปทั้งร่างกาย เพื่อกลายเป็นคนขาวไปเลย ซึ่งไมเคิล แจ๊กสัน เลือกอย่างหลัง (ขอบคุณข้อมูลและสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก http://www.dek-d.com/board/view.php?id=930214) กระแสที่ 2 ไมเคิล ทำการที่เปลี่ยนสีผิวตัวเองด้วยวิทยาการทางการแพทย์จากผิวดำให้เป็นขาวซีดอย่างในปัจจุบัน (ขอบคุณข้อมูลและสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%A5_%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99) รู้แต่ว่าในปัจจุบันไมเคิล ไม่เหลือความเป็นคนผิวสี ยกเว้นภาพถ่ายในอดีต ซึ่งคงไม่มีใครทราบได้ว่าไมเคิล  รู้สึกอย่างไรกับผิวสีขาว ***หากมีแหล่งข้อมูลที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนถูกต้องและสามารถเชื่อถือได้ จขกท ยินดีแก้ไขและขอโทษเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการโพสข้อมูลที่ผิดพลาด*** แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 51 12:20:55 จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:22:10 ]

ความคิดเห็นที่ 74 เห็นรองเท้าแล้วเจ็บค่ะ เราแค่รองเท้าส้นสูงสองนิ้วกัดเรายังเหวี่ยงทิ้งแทบไม่ทัน ทรมานมากๆ จากคุณ : ป่ามป๊าม - [ 22 พ.ย. 51 23:23:17 ]

ความคิดเห็นที่ 75 อ้อ นึกว่าตูใส่รองเท้าสูงๆลำบากอยู่คนเดียวซะอีก 555+ จากคุณ : -:GhosT_Princezz:- - [ 22 พ.ย. 51 23:24:28 ]

ความคิดเห็นที่ 76 อ่านแล้วเศร้าเหมือนกันค่ะ มีอีกเรื่องที่สาวเกาหลีทำศัลยกรรมค่ะ จากคุณ : สวยบนดอย - [ 22 พ.ย. 51 23:24:29 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ข้อความเดิม : " อาจจะมีผู้หญิงผิวสี อยากเปลี่ยนสีผิวให้ขาวเหมือนกันถ้าทำได้เงินถึงเหมือนแจ๊คสันแต่ที่เห็นตอนนี้ ก็มีแต่แจ๊คสันที่ทำได้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ " จากข้อความเดิม ขอแก้ไขเป็น : ปัจจุบันโฆษณาเรื่องค่านิยมความขาวนั้น มีกันให้เห็นอย่างกลาดเกลื่อน ทุกอย่างมักจะเน้นเรื่องความขาวกระจ่างใสเป็นหลัก ซึ่งกลุ่มเป้าหมายก็คือผู้หญิง จนทำให้ผู้หญิงจำนวนมากพยายามที่จะเปลี่ยนสีผิวของตัวเองให้ขาว มีการตั้งกระทู้ถามหาสารที่ทำให้ผิวขาวกันไม่เว้นแต่ละวันและโฆษณายังพยายามยัดเยียดให้ผู้หญิงเชื่อว่า ผู้หญิงที่มีผิวขาวเท่านั้นจึงจะเป็นที่ต้องการ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 51 12:50:29 จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:25:07 ]

ความคิดเห็นที่ 78 มีบทกลอนของเด็กอัฟริกัน ผู้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจาก UN มาฝากคะ When I born, I black : เมื่อผมเกิด ผมผิวดำ When I grow up, I black : เมื่อผมโตขึ้น ผมก็ยังผิวดำอยู่ When I go in Sun, I black : เมื่อผมอยู่ใต้แสงแดด ผมก็คงยังผิวดำ When I scared, I black : เมื่อผมกลัว ผมก็ผิวดำ When I sick, I black : เมื่อผมป่วย ผมก็ยังผิวดำ And when I die, I still black : และเมื่อผมตาย ผมก็ยังคงผิวดำ And you white fellow : และคุณ...เพื่อนมนุษย์ผิวขาว When you born, you pink : เมื่อแรกเกิด คุณมีผิวสีชมพู When you grow up, you white : เมื่อคุณโตขึ้น คุณมีผิวสีขาว When you go in sun, you red : เมื่อคุณอยู่ใต้แสงแดด คุณมีผิวสีแดง When you cold, you blue ; : เมื่อคุณหนาว คุณมีผิวสีน้ำเงิน When you scared, you yellow : เมื่อคุณกลัว คุณมีผิวสีเหลือง When you sick, you green : เมื่อคุณป่วย คุณมีผิวสีเขียว And when you die, you grey : เมื่อคุณตาย คุณมีผิวสีเทา And you calling me colored?? : และคุณเรียกผมว่า คนผิวสี แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 51 23:34:48 จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:33:25 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ได้ความรู้มากดี กระทู้นี้คนน่าจะได้อ่านกันเยอะๆ จากคุณ : บีมิล - [ 22 พ.ย. 51 23:33:37 ]

ความคิดเห็นที่ 80 งั้นเรามาโหวตกระทู้นี้กันดีกว่าค่ะ จากคุณ : น้องพอใจไม่พอใจ - [ 22 พ.ย. 51 23:38:39 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ถ้าเอาทั้งหมดมาอยู่ในผู้หญิงคนเดียวกันจะเกิดอะไรขึ้น โอ้ว... เท้าเล็ก เอวคอดกิ่ว คอยาว ฟันดำ  @_@a จากคุณ : Miss_Snowflake - [ 22 พ.ย. 51 23:38:50 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ..น่าสนใจมาก ๆ จากคุณ : tasteless water - [ 22 พ.ย. 51 23:45:28 ]

ความคิดเห็นที่ 83 โศกนาฏกรรมแห่งความงาม เรื่องที่ 5 ผอมเพรียวเรียวชะลูด เราเคยได้โพสกระทู้ celebs ที่มีปัญหาเรื่องอาการร่างกายปฏิเสธอาหาร http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2008/10/Q7103386/Q7103386.html เอาไว้ขออนุญาตใช้รูปจากกระทู้เดิม ***แก้ไขสะกดคำผิด แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 51 23:48:10 จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:47:02 ]

ความคิดเห็นที่ 84 กระทู้นี้คงเป็นกระทู้ที่นำความสะเทือนใจมาสู่ใครหลายคน ขอบคุณเจ้าของกระทู้นี้มาก เข้ามาอ่านมาดูแล้วได้ความคิดมุมมองใหม่มาใช้กับตัวเองด้วย ขอบคุณจริงๆ สวยเท่าที่เราพอจะสวยได้ ไม่ต้องไปดัดแปลงจนเกินพอดี ความสวยไม่คงที่ แต่ความดีสิคงทน จากคุณ : สาวใช้ ณ สแตมฟอร์ด บริดจ์ - [ 22 พ.ย. 51 23:47:24 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ถ้าเป็นตามคห.บน คงประหลาดพิลึกค่ะ จากคุณ : ladyvivi - [ 22 พ.ย. 51 23:49:00 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ดีใจมากคะที่เพื่อน ๆ ชอบ เราอยากให้คำว่าสวย กว้างกว่าที่เป็นอยู่ จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:49:18 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ความอยากผอมที่เคยพูดไว้ ทำให้เกิดโรคร่างกายปฏิเสธอาหารขึ้นมา โรคนี้เป็นโรคทางจิตที่ร่างกายจะรู้สึกผิดเมื่อรับประทานอาหารและ จะเห็นตนเองอ้วนอยู่ตลอด ทั้ง ๆ ที่เหลือแต่โครงกระดูก จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:54:18 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ตามอ่านมาตั้งแต่สามทุ่ม มาให้กำลังใจจขกท.ค่ะ จากคุณ : annie_gnd - [ 22 พ.ย. 51 23:54:41 ]

ความคิดเห็นที่ 89 เหอๆๆ เกิดเป็นผู้หญิงมักจะต้องทำอะไรเพื่อให้ตัวเองสวยงามในสายตาคนอื่น แต่บางครั้งต้องทนทรมานเนอะ ค่านิยมในสังคมนี้บางครั้งก็ทำร้ายเราได้เหมือนกัน อย่างที่เจ้าของกระทู้บอกไว้เลย จากคุณ : น้องเต้าหู้กับปาท่องโก๋ - [ 22 พ.ย. 51 23:59:13 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ทั้งหมดทั้งปวงก็เพื่อแฟชั่น เพื่อให้ใส่เสื้อผ้าได้อย่างที่เห็นตามทีวี แม๊กกาซีนและแคทวอล์ก จากคุณ : sampim - [ 22 พ.ย. 51 23:59:21 ]

ความคิดเห็นที่ 91 น่ากลัวมากกว่าสวยค่ะ >.< จากคุณ : พระจันทร์อ้วน - [ 22 พ.ย. 51 23:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 92 เพราะเราต้องการสวย จึงไม่สามารถเลือกกินได้ตามใจ เลือกไม่ได้จริง ๆ ที่จะสวยแบบอวบ ๆ ถ้าอยากเป็นพิมพ์นิยม ความเจ็บปวดทุกอย่างเพื่อความผอม เพื่อลดสัดส่วน การดูดไขมัน การฉีดคาร์บ๊อกซี่ การทานยาลดความอ้วน การอดอาหาร จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 00:04:09 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นะคะ เห็นว่าวิทยานิพนธ์ชิ้นนี้เกี่ยวกับความงาม เลยทำลิงค์มาให้ตามไปดูกัน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจทางด้านนี้ http://library.cmu.ac.th/digital_collection/etheses/detail.php?id=21749&word=วาทกรรม# ผู้แต่ง  อุ่นใจ เจียมบูรณะกุล   ชื่อเรื่อง วาทกรรม "ความสวย" อัตลักษณ์วัฒนธรรมการบริโภค : กรณีศึกษานักศึกษาหญิงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากคุณ : น้องพอใจไม่พอใจ - [ 23 พ.ย. 51 00:06:57 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ทนทรมานไปเพื่ออะไร เพื่อให้ใคร ๆ ชมว่าผอมแล้วภูมิใจแต่ต้องแลกมาด้วยความหิว ความเจ็บ ความเบลอ จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 00:07:05 ]

ความคิดเห็นที่ 95 รออ่านด้วยค่ะ ชอบมากๆ จากคุณ : bam-NY - [ 23 พ.ย. 51 00:10:23 ]

ความคิดเห็นที่ 96 โอย อ่านแล้วแทงใจ จึ๊กๆ (กำลังไดเอท นั่งหิวข้าวอยู่เนี่ย) จากคุณ : เมี๊ยวหง่าว - [ 23 พ.ย. 51 00:11:34 ]

ความคิดเห็นที่ 97 โศกนาฏกรรมแห่งความงาม เรื่องที่ 6 ศัลยกรรมพลาสติก ***แก้ไขสะกดคำผิด แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 51 12:38:25 จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 00:13:47 ]

ความคิดเห็นที่ 98 มีผู้หญิงจำนวนมากตกเป็นทาศการโฆษณาเกินจริง เรื่องการมีผิวและใบหน้าไร้ที่ติ จุดด่างดำดื้อ ๆ หรือ ริ้วรอยตามวัย จนยอมเจ็บตัวเพื่อให้มีใบหน้าตามแบบที่ตนเองจินตนาการ ขออนุญาตใช้ภาพบางส่วนจากกระทู้เดิม ความสวยไม่คงที่ http://www.pantip.com/cafe/woman/topic/Q7177399/Q7177399.html จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 00:18:28 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เป็นกระทู้ที่ยาวจริง ๆ มาอยู่เป็นเพื่อน จขกท. ต่อค่ะ (ตะกี้แว้บไปอาบน้ำมาแป๊บนึง) จากคุณ : triyapa - [ 23 พ.ย. 51 00:20:39 ]

ความคิดเห็นที่ 100 เมื่อเราแก่ หรือผิวเริ่มมีการเสื่อมสภาพลงตามวัย หรือไม่พอใจส่วนใดส่วนหนึ่งบนใบหน้า มีผู้หญิงจำนวนมากเลือกที่จะทำศัลยกรรมเพื่อวันนี้ เพื่อพรุ่งนี้ แต่เราต้องคิดเผื่อสิบยี่สิบปีข้างหน้า ที่จะมีผลกระทบตามมาด้วย จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 00:21:29 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ขออนุญาตปาด คอมเม้น : ดูแล้วน่ากลัวจริงๆ ความงามกับผู้หญิง ยิ่งสวย ยิ่งแฝงด้วยนัยยะอันตรายทั้งสิ้น ตั้งแต่เท้าจรดหัว จากคุณ : อาจจะแก่ - [ 23 พ.ย. 51 00:24:01 ]

ความคิดเห็นที่ 102 อยู่เป็นเพื่อนครับ ตามอ่านตลอด ได้สาระ+ความรู้มากครับ จากคุณ : ผมจะเป็นผู้รักษากฎหมาย - [ 23 พ.ย. 51 00:24:31 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : poojo_ke - [ 23 พ.ย. 51 00:26:30 ]

ความคิดเห็นที่ 104 แต่ผู้หญิงบางส่วนก็ยอม เพียงขอให้ส่องกระจกแล้ว ได้คิ้ว ตา ปาก แก้ม จมูก อย่างที่เราฝันไว้ จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 00:26:38 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ก้มลงมองเท้าเบอร์7ของตัวเอง ดีแล้วที่เกิดในประเทศไทย และสมัยนี้ มีเรื่องสงสัยอย่าง เราลองสังเกตเท้าผู้หญิงหลายๆคน นิ้วนาง(เท้า)จะงุ้มไปทางนิ้วกลางทุกคน แต่ของผู้ชายไม่เป็น อย่างนี้เป็นเพราะรูปแบบของรองเท้านักเรียนที่เราใส่ตั้งแต่เด็กหรือเปล่าคะ จากคุณ : *+*ข น ม ผิ ง ข้ า ง เ ต า*+* - [ 23 พ.ย. 51 00:28:04 ]

ความคิดเห็นที่ 106 เรื่องเท้าอาม่านี้ แอบสงสารนะ T_T จากคุณ : rudd_luv - [ 23 พ.ย. 51 00:31:03 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ถึงบอกว่าความสวยมันเป็นเรื่องของความพอใจจริง ๆ คะ พอใจที่จะทำ จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 00:31:40 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ชอบกระทู้นี้มากๆๆๆ แล้วก้อชอบกลอนที่เด็ก อัฟริกัน  เขียนมาก มันสะท้อนอะไรได้ดีจริงๆ สมควรได้รับรางวัลมากๆ จากคุณ : porcy - [ 23 พ.ย. 51 00:33:12 ]

ความคิดเห็นที่ 109 เป็นคนนึงที่เท้าใหญ่นะ ไม่สวยเอาซะเลย แต่เมื่อไม่นานมานี้ พี่สาวเอา เรื่องการทำศัลยกรรมเท้าโดยการตัดนิ้วมาเล่าให้ฟัง ....เราไม่ยอมเสียอวัยวะเพื่อเรื่องแบบนี้แน่ๆ..... รองเท้าบางแบบต้องทำใจ ใส่ไม่ได้ช่างมัน!!! จขกท.คะ ขอบอกว่าอ่านทุกตัวอักษร แต่รูปมองได้ไม่เต็มตาอ่ะค่ะ - -" สยองมาก จากคุณ : นางสาวมินิ (นางสาวมินิ) - [ 23 พ.ย. 51 00:34:16 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ขอบคุณที่เอามาให้อ่านค่ะ จากคุณ : กากี่นั๊ง - [ 23 พ.ย. 51 00:34:32 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ยังงรออ่านอยู่ค่ะ พร้อมกับทำรายงานไปด้วย อยู่เป็นเพื่อนคุณ sampim ติดตามตั้งแต่ความเห็นสิบกว่าๆ จะรอจนจบค่ะ (จริงๆยังทำรายงานไม่เสร็จ แอบแวบมาดูกระทู้เรื่อยๆ) จากคุณ : มิโนริ - [ 23 พ.ย. 51 00:36:00 ]

ความคิดเห็นที่ 112 น่ากลัวครับ แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 51 00:37:03 จากคุณ : ชาเขียว - [ 23 พ.ย. 51 00:36:31 ]

ความคิดเห็นที่ 113 เพราะถ้าถามว่า ริมฝีปากแบบไหนสวยที่สุด เราก็คงเลือกอยากมีริมฝีปากตามความพอใจของเราที่เราเห็นว่าสวย จริงไหมคะ จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 00:42:49 ]

ความคิดเห็นที่ 114 การรัดเท้าเป็นค่านิยมที่แฝงการกดขี่สตรีเพศค่ะ ไม่ใช่เพื่อความสวยงาม เพราะสมัยก่อนเขาจะคิดว่าผู้หญิงฉลาด ก็กลัวว่าจะเดินทางไปไกลๆ พูดง่ายๆคือไม่อยากให้เปิดหูเปิดตา ก็เลยเป็นค่านิยมในการรัดเท้า โดยอ้างเพื่อความสวยงาม จากคุณ : อมราวดี - [ 23 พ.ย. 51 00:43:00 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ปรบมือให้ค่ะ มีสาระมากเลย ขอบคุณมากนะคะที่เอามาแบ่งปันให้เพือ่นๆได้อ่าน จงภูมิใจในตัวเอง ภูมิใจในสิ่งที่มี จากคุณ : Lady On The Net - [ 23 พ.ย. 51 00:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีดี นะคะ ^^ จากคุณ : อลิซ ในดินแดนไม่มหัศจรรย์ - [ 23 พ.ย. 51 00:51:57 ]

ความคิดเห็นที่ 117 เสริมเรื่องมัดเท้าอีกเรื่องค่ะ ในประเทศจีนสมัยก่อน กษัตริย์มีกิ๊กหลายคน (ขออนุญาตใช้ศัพท์ธรรมดา) และประสบปัญหาว่าไม่สามารถให้ความอบอุ่นได้อย่างทั่วถึง ประสบปัญหา ด้านการบริหารการจัดการ สาวๆในสต๊อคแอบหนีไปหาผู้ช่วยให้ความอบอุ่น แทน เลยต้องหาวิธีป้องกัน ซึ่งก็ได้แก่การรัดเท้าให้เดินเหินไม่ถนัด ทีนี้ต่อมาเลยเกิดค่านิยมว่าสาวๆใน ราชสำนักรัดเท้า ถือเป็นแฟชั่นไฮโซไป ประชาชีเลยอยากไฮโซบ้าง พากัน รัดเท้าเป็นทิวแถว ไม่รวย นั่งกินนอนกินจริงทำไม่ได้ -*- ซึ่งมันก็จริง คนทำไร่ไถนา เท้าปุกขนาดนั้นคงไถนาไม่ไหวแน่ จากคุณ : นางสาวมินิ - [ 23 พ.ย. 51 00:52:06 ]

ความคิดเห็นที่ 118 น่ากลัวทุกอันเลยอ่า ของเราขัดกับทุกอันเลย ตีนใหญ่ 39 ใส่รองเท้าแล้ว ดูแย่กว่าคนเท้าเล็กจริงๆ เราใส่รองเท้าส้นโครตเตี้ย เพราะว่าถ้าส้นสูงแล้วส้นแหลม ส้นเข็ม เราเดินไม่ได้ มันชอบไปติดตรงร่อง เดินแล้วจะหัวทิ่มให้ได้เลย หุ่นทรงกระบอก + พุงก็ยื่น (เป็นพุงมหาสเน่ห์นะ 555) คอเราสั้น ผิวเราสองสี อยู่กับเพื่อนๆ เราก็ดำ แต่ถ้าอยู่กับคนทั่วไปเช่นบนรถเมล์ เราก็ขาว แล้วเราก็ไม่ได้ศัลยกรรม จากคุณ : Blue_cAraMel - [ 23 พ.ย. 51 00:53:50 ]

ความคิดเห็นที่ 119 เช่นเดียวกันคะ ถ้าถามว่าผู้หญิงในภาพนี้ใครสวยที่สุดก็ควรจะต้องเลือกผู้หญิงที่สวยในแบบของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องมีคนที่สวยที่สุดเหมือนกันเพียงคนเดียว จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 00:56:23 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ลงชื่ออ่านนะคะ บางรูปน่ากลัวจัง >< แล้วก็ รู้สึกดีกับตัวใหญ่ๆ + เท้าเบอร์ 7 - 8 ของตัวเองขึ้นอีกเยอะเลยอ่ะค่ะ แหะๆ จากคุณ : แม่นางจันทร์เจ้า - [ 23 พ.ย. 51 00:57:08 ]

ความคิดเห็นที่ 121 เราควรจะลองขยายความคำว่าสวยและน่าเกลียดกันใหม่ ซึ่งเราอาจจะพบว่าสองคำนี้จำกัดความไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 00:58:49 ]

ความคิดเห็นที่ 122 มองภาพสะท้อนของสังคมใหม่ ต่อต้านการโฆษณาที่กดขี่ทางเพศ และรูปร่าง เพราะผู้หญิงทั้งโลกไม่ได้มีแต่ผู้หญิงผอม ทำไมต้องผอมเพียงอย่างเดียว จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 01:04:57 ]

ความคิดเห็นที่ 123 อ่านแล้วได้ข้อคิดมากมายเลยค่า ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่เอาบทความดีๆมาลงนะค่ะ เรื่องความสวยเป็นเรื่องพูดยากค่า ตราบใดที่คนเรายังไม่พอใจในตัวเอง มันกะจะไม่มีที่สิ้นสุด ขอแอบแทรกเล็กน้อยปัจจุบันเราว่าคนหน้าตาเหมือนกันมากขึ้นนะค่ะ เพราะคนนิยมทำศัลยกรรมกานเยอะจนเราว่าไม่มี เอกลักษณ์เฉพาะแต่ละบุคคลอ่าค่า โดยส่วนตัวเรากะเป็นคนหน้าตาธรรมดาละมะมีดั้งเลยด้วยซ้ำเราเคยอิจฉาคนที่เขาหน้าตาดีนะค่ะ แต่พอโตมาเรากะได้เรียนรู้ ว่าถึงเราจาไม่สวยแต่เราก็มีความน่ารักในแบบของเราค่า(สไตล์หมวยๆ)  แล้วอีกอันที่สำคัญเราว่าพอใจในแบบที่เราเป็น จาทามให้เรามีความสุขละเมื่อเรามีความสุขหน้าตาเรากะจะเบิกบานทามให้ดูสดใสไงค่ะ จากคุณ : chocolar - [ 23 พ.ย. 51 01:07:02 ]

ความคิดเห็นที่ 124 เราเป็นคนเท้าเล็กมากค่ะ หาไซส์รองเท้าใส่ไม่ได้เลย ไม่เคยมีรองเท้าที่พอดีกับเท้าสักคู่ มีแต่รองเท้าที่เหลือเป็นนิ้วทุกคู่ ไม่เข้าใจว่า  ตัดนิ้วก้อยที่เท้าทำไม ?? เราอยากผอมมากค่ะ อยากขาวมากด้วย ยอมทำเกือบทุกทาง   แต่พอตอนที่ป่วยกินอะไรไม่ได้ ผอมสมใจอยาก  แต่ทรมานมาก   ทำไมผอมแล้วรู้สึกไม่มีความสุข   สิ่งที่อยากได้ตอนนี้คือ  สวยเท่าที่มี  ร่างกายแข็งแรง   ขอบคุณที่เอาข้อมูลดีๆมาแบ่งปันนะค่ะ ตอนนี้เราจะสวยอย่างมีสติ ( ใครว่าเราไม่สวย  แต่ไฟสลัวๆ ส่องกระจกก็แอบเข้าข้างตัวเองนิดนึงละกันเนาะ ) จากคุณ : มู๋แก้มยุ้ย - [ 23 พ.ย. 51 01:07:44 ]

ความคิดเห็นที่ 125 และปลดแอกตัวเราเองออกจากพันธนาการแห่งความงาม ที่ทำให้เราทุกข์ รู้จักสร้างความสุขให้กับตัวเอง มีความสุขจากความไม่สมบูรณ์แบบ เพราะหากผู้หญิงอ้วน หรือคนผิวดำ เป็นคนครองสื่อโฆษณา บางทีสาวผอม และสาวขาวโอโม่ อาจจะกลายเป็นปมด้อยแทนก็ได้ ลองคิดเล่น ๆ ว่าดีไซน์เนอร์ไม่ทำเสื้อผ้าไซค์ S M L ทำแต่ XL ขึ้นไป ห้องแป้งคงจะมีแต่สาวไซค์ เล็กมาโพสหาเสื้อผ้า จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 01:09:22 ]

ความคิดเห็นที่ 126 โอ้วเรื่องตัดนิ้วเท้านี่สุดยอดดด ความรู้ใหม่นะเนี้ย น่ากลัวจัง จากคุณ : thank u teacher - [ 23 พ.ย. 51 01:10:47 ]

ความคิดเห็นที่ 127 ชอบความคิดเห็นที่ 122 ค่ะ สื่อ + โฆษณานี่มีผลมากนะคะ ถึงผู้รับสารจะมีวิจารณญาณก็เหอะ แต่พอสื่อประโคมกันกรอกหูเข้า ชี้ไปในแนวเดียวกันเข้า มันก็มีผลค่ะ! จากคุณ : แม่นางจันทร์เจ้า - [ 23 พ.ย. 51 01:11:51 ]

ความคิดเห็นที่ 128 มีสาระมาก ๆ เลยค่ะ อ่านกระทู้นี้แล้วต้องย้อนดูตัวเอง จากคุณ : pakacayor - [ 23 พ.ย. 51 01:18:04 ]

ความคิดเห็นที่ 129 และเมื่อเราแก่ชรา เราคงเป็นคุณยายแสนซ่าส์ คุณย่าแสนซนที่มีแต่ความสุข เพราะเรารู้สึกเคารพความงามแห่งริ้วรอยแห่งวัยและตัวตนที่แท้จริงของตัวเราเองค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกระทู้ตั้งแต่ต้นจนจบมาก ๆ นะคะ จากคุณ : sampim - [ 23 พ.ย. 51 01:18:59 ]

ความคิดเห็นที่ 130 ประวัติศาสตร์เรื่องเท้าของจีนมีอยู่ว่า  สนมของฮ่องเต้ราชวงศ์(ช่างมันเหอะจำไม่ได้ละ)  รัดเท้าให้เล็กและขึ้นไปรำบนแท่นดอกบัวที่สร้างสูงจากพื้นอย่างสวยงาม  ทำให้ฮ่องเต้พอใจมาก  ค่านิยมนี้จึงเริ่มมีมาเรื่อยๆ  ผู้หญิงยุคที่รัดเท้าจะผอมมากค่ะเพราะถ้าน้ำหนักมากจะทำให้เท้ารับน้ำหนักไม่ได้  บางคนรัดไว้จนเท้าเน่าก็มีค่ะ  จะมีกฎว่าห้ามให้ผู้ชายเห็นเวลาถอดรองเท้า  เพราะเท้าจะโดนรัดจนเหม็นรุนแรงมาก ภาพประกอบการใช้เท้าเล็กเพื่อกามารมณ์  ถ้าเห็นว่าติดเรทเกินไปลบทิ้งก็ได้นะคะ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย - [ 23 พ.ย. 51 01:21:06 ]

ความคิดเห็นที่ 131 เป็นกระทู้ทีดีมากๆ ขอโหวตให้เลยค่ะ ถ้าจะสวย(ตามคำนิยามของคนอื่น)แล้วต้องเป็นทุกข์ ก็สวยในแบบของตัวเองแล้วเป็นสุขดีกว่านะ ถึงแม้จะสวยสำหรับตัวเองคนเดียวก็ตาม 555++ เราไม่เคยคิดทำศัลยกรรมเลยแถมมองว่าไร้สาระสุดๆด้วย แต่มีบางทีแอบอดข้าวลดน้ำหนักเหมือนกันเพราะอยากผอม ฮุฮุ ว่าแต่ ส่วนหนึ่งที่ผู้หญิงต้องทรมาณก็มาจากผู้ชายนะคะเนี่ย เค้าไม่นึกถึงใจผู้หญิงบ้างหรือไง เท้าเป็นแบบนั้นก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว พวกผู้ชายนี่ช่างเห็นแก่ตัวจัง สงสารผู้หญิงจีนสมัยก่อนมากๆเลย จากคุณ : Nameless Monster - [ 23 พ.ย. 51 01:27:30 ]

ความคิดเห็นที่ 132 มาอยู่เป็นเพื่อนค่ะ อ่านเพลินเลย ได้ความรู้ใหม่ๆด้วย จากคุณ : สวยเลือกมาก - [ 23 พ.ย. 51 01:30:01 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ปรบมือให้ จขกท. ค่ะ จากคุณ : triyapa - [ 23 พ.ย. 51 01:32:46 ]

ความคิดเห็นที่ 134 ขอบคุณคะที่นำเสนอเรื่องราวมีสาระแบบนี้มาให้อ่าน อ่านแล้วก็กลัวอ่ะค่ะ เง้ออออ ผู้หญิงเราช่างมีความพยายาม หลายๆอย่างพอทำกันไปเยอะๆก็กลายเป็นค่านิยมไปโดยไม่รู้ตัว อย่างตอนนี้ก็คิดอยู่นะคะว่าเรื่องทำศัลยกรรมกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่พอได้อ่านแล้วแบบ น่ากลัว >.< จังเลยอ่ะค่า แบบคุณแม่จะคอยบอกตลอดเลยว่า เราควรพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี สุดท้ายแล้วร่างกาย ความสวยงามมันก็เป็นแค่สิ่งปรุงแต่งขึ้นมา ยังไงมันก็ต้องสลายไปอยู่ดี ตัวเองเชื่อว่า ผู้หญิงทุกคนมีความสวยภายในตัวเองแหละคะ เพียงแต่ว่าเราต้องรู้จักที่นำมันพรีเซนออกมาให้ได้ สวยจากภายในดีกว่าสวยจากภายนอกเยอะเลยคะ จากคุณ : สาวนิสต้า (caez_nista) - [ 23 พ.ย. 51 01:33:15 ]

ความคิดเห็นที่ 135 วุ๊ย!!! อิขั้นเพิ่งรู้ว่าไอ้เท้าปุกๆ เหม็นๆเนี่ยมีประโยชน์เหมือนกัน 1.ช่องคลอดกระชับ เพราะเดินไปขมิบไป 2.ผอม ฐานมันไม่มั่นคง ตึกจะใหญ่ก็ใช่ที่เนอะ 3.ใช้ทำแทน Blow Jobได้ด้วย >_<  ------>คห.130 เค้าว่ามานะ แก้พิมพ์ผิด&ตกค่ะ แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 51 22:17:19 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 51 22:15:42 จากคุณ : นางสาวมินิ - [ 23 พ.ย. 51 01:38:10 ]

ความคิดเห็นที่ 136 เข้ามาโหวตค่ะ จากคุณ : Rinta - [ 23 พ.ย. 51 01:51:22 ]

ความคิดเห็นที่ 137 สาระมากๆ  โหวตให้แล้วนะคะ  หมดกิ๊ฟไปตั้งแยะแน่ะ แบบว่าถูกใจ จากคุณ : GuAomFreeWay - [ 23 พ.ย. 51 01:52:49 ]

ความคิดเห็นที่ 138 ความคิดเห็นที่ 135   วุ๊ย!!! อิขั้นเพิ่งรู้ว่าไอ้เท้าปุกๆ เหม็นๆเนี่ยมีประโยชน์เหมือนกัน 1.ช่องคลอดกระชับ เพราะเดินไปขมิบไป 2.ผอม ฐานมันไม่มั่นคง ตึกจะใหญ่ก็ใช่ที่เนอะ 3.ใช้ทำ Bow Jobได้ด้วย >_<  ------>คห.130 เค้าว่ามานะ จากคุณ : นางสาวมินิ   - [ 23 พ.ย. 51 01:38:10 ] ................................ blow job  ต้องใช้ปากค่ะ เพราะ blow แปลว่า เป่า คงจะใช้ตีงเป่าไม่ล่ายย จากคุณ : A Magical Moment - [ 23 พ.ย. 51 01:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 139 ((ความคิดเห็นที่ 47   เดี้ยวนี้มีการตัดนิ้วก้อยที่เท้าแล้วนะคะ ทำให้ เท้าใส่้ไซร้เล็กลง และเท้าดูเล็กและเรียวเวลาใส่รองเท้า)) ..... พูดไม่ออกค่ะ ถ้ามันไม่สำคัญ แล้วทำไมคนเราเกิดมามี10นิ้วล่ะนั่น TT^TT แอบกลัว โศกนาฏกรรมทุกเรื่องจริงๆ **ขอบคุณที่เอาสาระดีๆมาให้อ่านกันค่ะ** จากคุณ : xjko - [ 23 พ.ย. 51 01:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 140 ความคิดเห็นที่ 135 คุณนางสาวมินิ แหะๆๆ ขอโทษค่ะ คำว่า bow คุณคงหมายถึง blow มั้งคะ ที่แปลว่า เป่า หรือ blow someone a kiss (ส่งจูบ) น่ะค่ะ เพราะฉนั้น blow job ก็เป็นงานที่ต้องใช้ปากทำ อร๊ายยย์!!!!!! ใช้เท้า ส่งจูบให้ใครเค้าคงไม่รับมั้งคะ จากคุณ : Rinta - [ 23 พ.ย. 51 02:02:30 ]

ความคิดเห็นที่ 141 กระทู้ดีมีสาระมากๆค่ะ เขียนได้น่าอ่านมากมาย ขอบคุณมากๆนะคะ แต่แอบมาฮาคห.138นี้อ่ะ blow job  ต้องใช้ปากค่ะ เพราะ blow แปลว่า เป่า คงจะใช้ตีงเป่าไม่ล่ายย จากคุณ : A Magical Moment อิอิอิ จากคุณ : alekay - [ 23 พ.ย. 51 02:13:25 ]

ความคิดเห็นที่ 142 อ่านแล้วสยองเนอะ ทำอะไร ก็ให้พอดี ดีกว่า สวยก็แบบธรรมชาติให้มา ให้ดูแลสุขภาพให้ดี มีความสวย และความสุข ตามวัยดีกว่า โหวตค่ะ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ ที่เอาเรื่องมีสาระมาให้อ่านค่ะ จากคุณ : BoomK - [ 23 พ.ย. 51 02:45:12 ]

ความคิดเห็นที่ 143 ช็อคมากเลยค่ะ ตอนเห็นเท้า จากคุณ : piganat - [ 23 พ.ย. 51 03:19:19 ]

ความคิดเห็นที่ 144 น่าสงสารเท้าอาม่าอ่ะ T.T จากคุณ : @ri - [ 23 พ.ย. 51 06:17:07 ]

ความคิดเห็นที่ 145 ขอบคุณสำหรับเรื่องเตือนใจดีดีนะคะ จากคุณ : ลูกแพร แช่อิ่ม - [ 23 พ.ย. 51 06:18:58 ]

ความคิดเห็นที่ 146 ท่องไว้สวยแบบพอเพียงๆ ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ภาพมายา จากคุณ : หลานสาวชาวนา - [ 23 พ.ย. 51 06:37:55 ]

ความคิดเห็นที่ 147 เรื่องเท้าดอกบัวทองคำ นี่โชคดีที่ผู้หญิงได้ปลดแอกซะที มาแจมด้วยคน "ศัลยกรรมทำพิษ เสพติดมีดหมอ" นางฮัง เมียวคู ชาวเกาหลีใต้ วัย 48 ปี เข้าผ่าตัดใบหน้ามานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น จนแพทย์ไม่ยอมทำให้อีกต่อไป ผลสุดท้ายใช้น้ำมันทำอาหารฉีดหน้าตัวเองแทนซิลิโคน ส่งผลให้เสียโฉมอย่างรุนแรง อันนี้ต้องขอบอกว่า "สวยเลือกทำตัวเอง" ^^" ที่มา http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1192268 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 51 06:59:21 จากคุณ : ชิฟฟอนคาปูชิโน่ - [ 23 พ.ย. 51 06:58:18 ]

ความคิดเห็นที่ 148 ชอบกระทู้นี้จังเลยค่ะ มีสาระมากๆ ^o^ จากคุณ : Angelini - [ 23 พ.ย. 51 07:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 149 กระทู้ดี มีสาระ ชอบค่ะ ขอบคุณ จขกท. ที่เอาเรื่องดีๆ มาแบ่งปันกันนะคะ จากคุณ : littleonion - [ 23 พ.ย. 51 07:53:04 ]

ความคิดเห็นที่ 150 สยดสยอง จริงๆ เราไม่ต่อต้านคนทำศัลยกรรมนะคะ ถ้าทำแล้วสวยขึ้นดีขึ้นก็ทำไปเถอะ โดยเฉพาะคนที่มีอาชีพในวงการบันเทิง เรามองว่ามันเป็นการลงทุนน่ะค่ะ ที่เราไม่ทำเพราะเรากลัวเจ็บเท่านั้นเอง แค่ฉีดยาเรายังจะเป็นลม เรากลัวเข็มอ่ะ ถ้าทำแบบพอดีๆ เราก็...สุดแต่เขาอ่ะ ไม่ว่ากัน จากคุณ : =p o o k p u i= - [ 23 พ.ย. 51 09:09:07 ]

ความคิดเห็นที่ 151 ขอสวยในแบบของเรา สวยแบบพอดี  ไม่อันตราย ไม่ทรมาณดีกว่า เห็นแล้วสยองแทนจังเลย จากคุณ : mikajue - [ 23 พ.ย. 51 09:09:24 ]