ความคิดเห็นที่ 1 ครับ วันนี้ผมจะมาคุยกันแบบกึ่งๆวิทยาศาสตร์ในเรื่องอาการแปลกๆที่เกิดขึ้นระหว่างนั่งรถแท๊กซี่ครับ เกิดจากอะไรได้บ้าง และเราจะทำอะไรได้บ้าง อาการที่ว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง 1. Carbon monoxide Poisoning อาการที่พบได้บ่อยเวลาหลายๆคนขึ้นรถแท๊กซี่ก็คือ เมื่อขึ้นไปแล้วเกิดอาการเวียนหัวมึนงง อยากจะหลับ พยายามฝืนลืมตาให้ตื่นขึ้นก็แล้ว แต่ว่าก็จะไม่ไหว ... หลังจากลงจากรถมาแล้วก็มึนๆงงๆ จำเหตุการณ์ไม่ค่อยชัดเจน ไม่ว่าอาการ เวียนหัว งง ง่วง คลื่นไส้อาเจียน จำเหตุการณ์ไม่ได้ จำหน้าตาคนขับหรือทะเบียนรถไม่ได้ และ หลับไปเป็นวันๆ ... อาการเหล่านี้เข้าได้กับอาการ "ถูกพิษของคาร์บอนมอนออกไซด์" ครับ ซึ่งก๊าซตัวนี้เกิดได้จากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์รถคันนั้นและเกิดการรั่วซึมเข้ามาทางใดทางหนึ่ง ซึ่งเมื่อก๊าซตัวนี้เข้าไปจับกับเม็ดเลือดแดง ก็จะก่อเกิดสารที่เรียกว่า COHb (carboxyhemoglobin ) ทำให้เม็ดเลือดนั้นขนส่งออกซิเจนไม่ได้ ร่างกายก็จะเกิดอาการของการขาดออกซิเจนขึ้น โดยอาการจะไปเกิดที่สมองเป็นอาการดังที่กล่าวมาครับ ในคนปกติในสังคมทั่วไป มีค่า COHb ได้ที่ 1-2% ครับ ส่วนในคนที่สัมผัสกับคาร์บอนมอนออกไซด์บ่อยๆเช่นคนที่สูบบุหรี่ ตำรวจจราจร หรือ คนขับรถที่มีรูรั่ว อาจจะมีค่า COHbได้สูงถึง 10% ข้อสงสัยแรก : รถแท๊กซี่ก็ดูดี ไม่น่ามีรั่วนะ คำตอบ : การรั่วไม่รั่วต้องตรวจสอบครับ เพราะสารนี้ไม่มีกลิ่นไม่มีสี   ถ้ามีรูรั่วเยอะๆนั่งรถแป็บเดียวได้กลิ่นควันเสีย คนขับรถคงรู้ตัวและเอาไปซ่อมแล้ว ... แต่ถ้าหากการรั่วเกิดขึ้นช้าๆน้อยๆในระดับที่เราไม่ได้กลิ่นไอเสียตัวอื่นๆ ร่วมกับเรานั่งรถเป็นระยะทางไกลๆ นั่นจะทำให้เกิดอาการครับ ข้อสงสัยสอง : ทำไมคนขับไม่เป็นแต่เราเป็น คำตอบ : จริงๆควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วครับ เพราะเค้าขับทุกๆวัน ดังนั้นหากเค้าได้รับคาร์บอนมอนออกไซด์ติดต่อกันเป็นเวลานานร่างกายก็จะมีการปรับตัวช้าๆ โดยการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากเราเอาเลือดคนขับรถที่มีการรั่วของก๊าซนี้ไปตรวจ ก็จะพบว่ามีระดับของ COHb สูงร่วมกับมีความเข้มข้นของเลือดสูงกว่าปกติ การแก้ไขหรือจัดการ ดูข้างล่างครับ จากคุณ : cookiecompany - [ 17 ธ.ค. 51 13:18:04 ]

ความคิดเห็นที่ 2 2. เมารถ  : กลิ่น อาหาร นอนไม่พอ อาการเมารถหรือ Motion Sickness เป็นอาการที่เกิดจากการที่ระบบประสาทที่ควบคุมการทรงตัวทำงานไม่สัมพันธ์กันครับ ซึ่งระบบการทรงตัวของคนเราจะประกอบไปด้วย   " ดวงตา - เส้นประสาทที่กล้ามเนื้อ - ระบบประสาทในหู - สมอง " [ภาพประกอบ ฝีมือคุณหมอแมว - -] จากคุณ : cookiecompany - [ 17 ธ.ค. 51 13:22:43 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ส่วนตัวผมว่าคุณหมอแมว เขียนเรื่องที่ดูยาก ๆ ให้อ่านได้ง่าย ๆ ดีนะครับ ในการนั่งรถ เรารับรู้ว่ารถเคลื่อนตัวโดย ตาเรามองเห็นว่าเราเคลื่อนไปในทิศทางไหน ระบบประสาทกล้ามเนื้อเรารับรู้ว่าเรานั่งยังไงเอนซ้ายขวาแบบไหน ระบบประสาทในหูบอกว่าเรานั่งในมุมใดองศาใด สุดท้าย สมองของเราจะบอกประมวลผลว่าเราไปในทิศแบบไหน ตัวอย่างกรณีที่เราจะมึนงงเมารถได้ง่ายขึ้นคือ - เราไม่ใช่คนขับ : การที่เราไม่ใช่คนขับทำให้เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเราจะเคลื่อนต่อไปอย่างไร กล้ามเนื้อและดวงตาจึงปรับตัวไม่ทัน ... ส่วนคนขับเค้ารู้ตัวล่วงหน้าก่อนว่ารถจะวิ่งไปมาแบบไหน ดังนั้นจึงไม่งง - คนขับขับเร่งและเบรกไม่ดี : พวกเบรกกระตุก ออกตัวแรง เล่นคลัทช์ วิ่งฉวัดเฉวียน ทำให้ดวงตาซึ่งกำลังมองไปทางด้านหน้าปรับไม่ทัน รถก็กระชากไปทางซ้าย กล้ามเนื้อและหูบอกว่าไปทางซ้าย แต่ตายังมองตรง พอส่งสัญญาณไปสมอง สมองก็แปลผลผิด เกิดอาการงง - กระจกรถฝ้าหมอกมัว : กระจกที่มัวจะทำให้ตาของเราโฟกัสตำแหน่งการมองไม่ได้ ดังนั้นสัญญาณจากตาที่ไปสมองก็จะผิดปกติไป - สิ่งรบกวนหรือสิ่งที่ทำให้เราอาเจียนเวียนหัวง่ายขึ้น ไม่ว่ากลิ่นในรถที่เหม็น / เสียงรบกวนของเครื่องยนต์ / อาหารที่เรากินก่อนขึ้นรถ (กินมากไปหรือกินอาหารมันๆ) / รายการวิทยุการเมืองที่ด่าเสียงสูงๆดังๆ  ... ของพวกนี้ก็ทำให้เราอาเจียนเวียนหัวได้ง่ายขึ้น อ้อ อีกอย่างครับ ... บางคนอดนอนมาหลายๆวัน พอมาขึ้นรถเบาะนุ่มๆก็หลับครับ จากคุณ : cookiecompany - [ 17 ธ.ค. 51 13:24:47 ]

ความคิดเห็นที่ 4 3. เจอยานอนหลับ บางคนมีความรู้สึกว่างุนงงง่วงนอนจริงๆ และสงสัยว่าเกิดจากยานอนหลับ มาวิเคราะห์สั้นๆครับ - ยานอนหลับแบบฟุ้งกระจายหรือระเหย ... พวกนี้คนจะใช้คงต้องระวัง เพราะว่าถ้าวางไว้ในรถแล้วตัวเองย่อมโดนไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีที่บอกว่าเปิดกระจก / หันแอร์ไปทางคนนั่ง / หรือว่าออกจากรถไปฉี่ ... ของพวกนี้ไม่แน่นอนและมีการพูดในเชิงวิทยาศาสตร์มานานแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ - ยานอนหลับแบบกิน ... มีบางคนชอบพูดถึงยานอนหลับ พวกโรฮิปนอล ดอร์มิคุม ของพวกนี้ก็ไม่ได้หากันง่ายๆและต้องใช้ในรูปกิน (บางคนชอบบอกว่าแท๊กซี่ละลายยาพวกนี้ในน้ำแล้วเอาไปป้ายที่ช่องแอร์หรือพ่นใส่ผิวหนัง ... โอ้ว ฉีกตำรายาเขวี้ยงทิ้งไปเลย) ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้รับของมากินจากแท๊กซี่คุณก็ไม่น่าจะเจอยานอนหลับได้ครับ กรณีที่เป็นไปได้ที่คุณคือ คุณไปกินอาหารหรือน้ำแล้วไปเจอแก๊งค์ที่หย่อนยานอนหลับลงแก้วน้ำหรืออาหาร แล้วบังเอิญคุณหลุดจากพวกมันมาขึ้นแท๊กซี่พอดีครับ .... กรณีนี้เจอได้ง่ายกว่าและเป็นไปได้กว่าเป็นไหนๆครับ ถ้าจะคิดในแง่ทางเศรษฐศาสตร์นะครับ ถ้ามียาพวกนี้จริง ราคาต้องแพงมาก โอกาสที่ใช้แล้วผู้โดยสารมีเงินน้อยกว่าก็มีมาก (ไม่คุ้ม) , หรือจะเอาไปข่มขืนสาวๆก็ไม่คุ้ม เพราะราคายาพวกนี้แพงกว่าไปลงอ่างเป็นไหนๆ ต่อไปจะเป็นข้อควรทำเมื่อเกิดอาการแปลกๆบนรถครับ เป็นวิธีที่ผมเห็นว่าเป็นวิทยาศาสตร์และไม่เกินเลยความจริงครับ ..... เพราะเรื่องพวกนี้ เราควรจะทำอะไรบางอย่าง แต่เราควรจะทำให้อยู่ในแนวทางที่สมเหตุสมผล ... ไม่ใช่ตื่นตระหนกจนเกินขอบเขตครับ (ยังพิมพ์อยู่ครับ... ขอไปซักผ้าก่อน) ------------------------- คุณหมอแมวติดภารกิจใหญ่หลวง ต้องไปซักผ้าครับ จิตวิญญาณในการให้ความรู้อันยิ่งใหญ่ ย่อมมาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่งเฉกเช่นกัน ไม่มีภาพประกอบการซักผ้านะครับ :) จากคุณ : cookiecompany - [ 17 ธ.ค. 51 13:27:04 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ภาพตัดกลับมา หลังจากคุณหมอแมว เสร็จภารกิจการซักผ้าแล้ว ว่าด้วยสิ่งที่ควรทำหากเจอเหตุการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ควรทำ "ก่อน" จะขึ้นTaxi 1. ก่อนออกจากบ้านควรบอกคนที่บ้านว่าจะเดินทางไปไหน 2. ควรรู้ว่าระหว่างทางจากบ้านไปยังที่ทำงานหรือสถานที่ที่ไปประจำ มี "สถานีตำรวจ" และ "โรงพยาบาล" ไหนบ้าง 3. ควรรู้ว่าเส้นทางที่เราจะไปเรียกว่าอะไร ที่จริงควรจะพอรู้ๆไว้บ้างนะครับ เพราะเราจะเดินทางไปไหนมาไหน คนที่บ้านย่อมเป็นห่วง  ถ้าระหว่างการเดินทางเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาหรือว่ามีคนในบ้านที่ไปทำงานแล้วหายไป อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ว่าจะติดต่อสถานีตำรวจหรือโรงพยาบาลไหนว่ามีอุบัติเหตุกับคนชื่อนี้บ้างหรือเปล่า อีกประการนึง หากเราเกิดการสงสัยในความน่าเชื่อใจของTAXI แล้วยกโทรศัพท์มาคุย ... การที่เราบอกตำแหน่งเราได้ ย่อมฟังดูไม่เป็น "หมู" ให้เคี้ยวเล่นเหมือนคนที่บอกว่า "ไม่รู้ว่าอยู่ไหน" 4. ถ้ารู้สึกว่าแปลกๆตั้งแต่แรก อย่าเรียกแท๊กซี่ที่หน้าร้านนั้น ... เช่น สงสัยว่าโดนวางยาและกินอาหารนั้นไปแล้ว ก็ให้ไปขอความช่วยเหลือเลย ... มิฉะนั้นถ้ายังอยากขึ้นแท๊กซี่ ก็เลือกที่ที่ห่างออกไปเช่นฝั่งตรงข้าม (ข้อ 4 ในกรณีที่นอยด์มาก กลัวว่าแท๊กซี่ร่วมมือกับแก๊งค์ตกทอง) ------------- ส่วนตัวผมว่าข้อ 4 นี่ คุณหมอแมวรอบคอบดีนะครับ เกิดคนร้ายทำงานเป็นทีม สองจังหวะ เรากะจะหนีขึ้น Taxi ก็เสร็จเลย :( จากคุณ : cookiecompany - [ 17 ธ.ค. 51 13:33:34 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สิ่งที่ควรทำเมื่อรู้สึกบนรถว่าแปลกๆไม่น่าไว้ใจ บางคนกลัวว่าการกระทำบางอย่างบนรถแท๊กซี่ของเรา อาจจะทำให้คนขับเค้าไม่พอใจว่าเราไปมองเค้าเป็นโจร ... แต่เท่าที่ลองสอบถามมา คนขับแท๊กซี่ส่วนใหญ่จะกลัวผู้โดยสารมากกว่า และถ้าเรามีท่าทางไม่ค่อยวางใจแท๊กซี่ แท๊กซี่บางคนอาจจะรู้สึกอุ่นใจว่าเราไม่น่าจะใช่โจร ดังนั้นบางอย่างก็ไม่ต้องอายครับ ทำได้โดยเลือกวิธีพูดวิธีทำสักนิดไม่ให้น่าเกลียด 1.  โทรบอกคนที่บ้านให้ออกมารับ ก่อนโทรมองสภาพแวดล้อมหาจุดหาตำแหน่งก่อน เมื่อโทรแล้วก็บอกไปเลยว่า ตอนนี้เราอยู่ตรงไหน (ทำเป็นชำนาญในเส้นทาง...จริงๆอาจจะเพิ่งมองป้ายตะกี้เอง)     บอกให้คนที่บ้านออกมารับ (หรือถ้าไม่อยู่บ้านก็เนียนๆไป แต่เปิดเสียงเบาๆหน่อยแล้วกัน) บอกอาการที่เป็น บอกสีรถ และป้ายทะเบียนไป ... บอกปลายสายไปด้วยว่าสาเหตุที่เราบอก เพื่อจะได้รู้ว่าเป็นคันนี้ จะได้รับถูกคัน (จริงๆเราบอกเพราะไม่ไว้ใจต่างหาก) ตัวอย่าง "ฮัลโหล พี่เอ ตอนนี้น้องตามาถึงแยกสะพานควายตรงหน้าโรงแรมสุดาแล้วนะ เดี๋ยวพี่เอมารับหน้าปากซอยหน่อยนะพอดีน้องตางงๆหัว ... แท๊กซี่สีเขียวเหลือง ป้ายทะเบียน AS-1234 กรุงเทพ" วันนี้ควรไปตกลงกับคนที่บ้านหรือคนใกล้ตัวครับ ... ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ให้ใส่ใจนิดนึง ถือว่ามีเรื่องผิดปกติแล้ว 2.  ให้จอดรถขอลงเมื่อเห็นว่าไม่น่าไว้ใจ ไม่ว่าคุณจะง่วง งง เมารถ หรืออะไรก็ตาม และรู้สึกว่าคนขับที่นั่งใกล้ๆไม่น่าไว้ใจ ก็ให้เล็งๆจุดที่จะลงไว้ โดยอาจจะเป็นจุดที่มีคนพลุกพล่าน ใกล้โรงพยาบาล หรือว่าเห็นตำรวจกำลังโบกรถอยู่ ... เมื่อเห็นจุดที่ต้องการแล้ว ก็ให้บอกแท๊กซี่ให้จอดและอย่าลืม "จ่ายเงินค่าโดยสาร" ครับ แท๊กซี่ตามปกติเห็นคุณจะลงก่อนถึงที่หมายและมีเงินในมือ ต้องจอดอย่างแน่นอน ... ถ้าไม่จอดมักจะผิดปกติ ถึงตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับทำไมให้ขอลงในที่ที่มีคนพลุกพล่าน ก่อนลงอย่าลืมจดหรือจำป้ายทะเบียนรถ/สีรถไว้ด้วย 3.  ถ้าอาการมันดูแปลกๆให้ขอความช่วยเหลือแล้วไปโรงพยาบาล ถ้าคุณลงมาจากรถด้วยอาการที่มึนงงมาก ง่วงจัด หรืออาการผิดปกติอย่างชัดเจน ถ้าไปต่อไหว ให้เปลี่ยนTaxiแล้วไปต่อยังโรงพยาบาลใกล้ๆ ถ้าคุณคิดว่าเดินทางต่อไม่ไหว ให้ไปหาตำรวจจราจรแถวนั้น ขอให้เขาช่วยเหลือ ... ถ้าไม่ไหวจริงๆให้หาร้านสะดวกซื้อ หรือร้านค้า บอกให้เค้าตามตำรวจหรือรถพยาบาล โดยคุณเองก็อาจจะโทรบอก191เองด้วย จริงๆถ้าเป็นไปได้ผมแนะนำให้หาตำรวจมากกว่า ... เพราะว่ากันตามจริงคนที่เค้าไม่รู้จักคุณ เค้าก็ไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นแก๊งค์ต้มตุ๋นจะมาหลอกเค้าหรือเปล่า คุณหมอแมวเขียนดีใช่ไหมละครับ รอบคอบและเข้าใจง่าย :) จากคุณ : cookiecompany - [ 17 ธ.ค. 51 13:36:37 ]

ความคิดเห็นที่ 7 4.  ถ้าสงสัยว่าโดนวางยาไม่ว่าจากไหน ก็แจ้งความด้วย ถ้าสมมุติว่าคุณสงสัยมากๆว่าจะโดนวางยานอนหลับระหว่างไปกินอาหารนอกบ้าน เมื่อตำรวจพาไปถึงโรงพยาบาลแล้ว ก็บอกหมอว่าสงสัยอะไรยังไง เรื่องการตรวจหาสารพวกนี้เป็นประเด็นทางกฎหมายครับ ... ปกติต้องมีตำรวจร่วมด้วย ต้องมีการแจ้งความ ถ้าคุณดุ่มๆเข้าไปแล้วบอกว่าจะขอตรวจ ต่อให้จ่ายเงินเองหมอก็มักจะไม่ตรวจให้ ... 5.  โทรแจ้งตำรวจหรือรายการวิทยุ บางคนอาจจะมองว่าเกินไปหรือตื่นตูม ... ซึ่งก็แล้วแต่เหตุการณ์ครับ แต่การแจ้งผมว่ามีประโยชน์ เพราะ ถ้าหากรถแท๊กซี่คันดังกล่าวมีการแจ้งว่าผิดปกติบ่อยครั้ง ก็จะเกิดการตรวจสอบ เผลอๆอาจจะเจอว่าแท๊กซี่คันนั้นรั่ว มีก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์รั่วก็ได้ และคุณอาจจะได้รับการสดุดีในรายการวิทยุของแท๊กซี่ว่าได้ช่วยชีวิตคนขับรถไว้คนนึง :) สรุปสิ่งที่ควรทำ - วางแผนในครอบครัวเรื่องสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ครับ ... รวมไปถึงเรื่องคนในบ้านหาย ไฟไหม้ ภัยพิบัติ รถชน รถตกน้ำ โจรขึ้นบ้าน ฯลฯ ... ของพวกนี้ควรจะทำทุกบ้านครับ ไม่เกินกว่าเหตุแต่อย่างใด อย่างน้อยตอนไปอยู่บ้านปู่ ปู่ผมก็ซ้อมแผน ... เคยใช้ครั้งนึงตอนที่ไฟไหม้ในซอยหลังบ้าน (แต่ที่ซ้อมแผ่นดินไหว หวังว่าคงไม่ได้ใช้นะ) - อย่าลืมการจดเบอร์ทะเบียนรถ และสีรถ - ทำความรู้จักเส้นทางประจำของคุณ และเส้นทางเลี่ยงอื่นๆ (เผื่อวันไหนรถติดTaxiพาไปทางอื่นแล้วบอกว่าทางลัด) - เมมเบอร์บ้านในชื่อ "บ้าน" เผื่อนอนสลบไสลไม่ได้สติสมประดี ตำรวจหรือพยาบาลจะได้โทรไปบอกที่บ้านได้ (ถ้าอยู่คนเดียว ก็เมมเบอร์ "แม่" "พ่อ") เบอร์โทรที่ควรรู้และพกไว้ 1644   สวพ. 91 รายการวิทยุจราจร 1137   จส.100 รายการวิทยุจราจร 1669   ศูนย์สั่งการระบบรถโรงพยาบาล ... เอาไว้โทรเวลาตามรถโรงพยาบาล (ต้องบอกชื่อ ที่อยู่ สถานที่เกิดเหตุ) xxxxxxxx เบอร์โทรโรงพักในละแวกบ้าน (สถานีเดียวก็พอมั้งครับ นอกนั้นใช้191) จบแล้วครับ ... ขอไปกวาดบ้าน ล้างจาน ตักอึแมวต่อล่ะครับ [แต่ภาพประกอบคือแมวผมเอง :P] จากคุณ : cookiecompany - [ 17 ธ.ค. 51 13:39:13 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จบเนื้อหาวิชาการ บรรยายโดยคุณ หมอแมว ครับ อันนี้มาดูเรื่อง กรณีศึกษาปิดท้าย โดยคุณหมอแมวเอง :) ------------ วันนี้จะมาขอเล่าประสบการณ์ของตนเองครับ เกี่ยวกับประสบการณ์อาการหลับแบบไม่รู้ตัวในรถแท็กซี่ เหตุการณ์จริง เกิดเมื่อ 6 สค. 2549 ครับ ... แจ้งรายการวิทยุรายการหนึ่งไปด้วย ผมนั่งแท๊กซี่ขึ้นจากบางขุนนนท์ เพื่อจะไปหมอชิต เมื่อขึ้นไปแท๊กซี่มีท่าทีแปลกๆ ลุกลี้ลุกลนตลอดเวลา ระหว่างทาง คนขับควักยาดมมาสูดตลอดเวลา ย้ำว่าตลอดเวลา คาจมูก... ขับไปจะกดแตรแบบไม่มีเหตุผล หันซ้ายหันขวาบ่อยๆ ช่วงไปสะพานพระราม7 ขับเลนขวาสุด ความเร็ว40km/h .... เราก็เร่งบอกว่ากำลังรีบ คนขับก็เงียบ ... พอขึ้นสะพานพระราม7เป็นทางตรงระยะหนึ่ง ได้ยินเสียงกรนสองครอก... ก่อนที่จู่ๆก็เกิดหักซ้ายกระทันหัน...จากเลนขวาสุด ปาดเข้าเลนซ้ายสุด (ชนอะไรไม่รู้นิดนึง) ก่อนที่คนขับ จะหักกลับเข้ามาก่อนบ่นว่า "ถนนไม่ดี" ... มาถึงหมอชิตด้วยใจระทึก จากนั้นแจ้งรายการวิทยุรายการหนึ่งไปเพราะเกรงว่าคนขับขับออกไปแล้วอาจจะเกิดอุบัติเหตุ แต่ทางนั้นบอกว่าต้องแจ้งทางอื่น ไม่รู้ว่าวันนี้ลุงแท๊กซี่คนนั้นยังอยู่ดีหรือเปล่า - -'' จากคุณ : cookiecompany - [ 17 ธ.ค. 51 13:41:01 ]

ความคิดเห็นที่ 9 Credit : คุณหมอแมว คนดังแห่งหว้ากอครับ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7328809/X7328809.html ============== ผมเองไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้นะ แต่อยากเล่าไว้เรื่องนึง เพื่อนผมตอนนั้นเป็นนักศึกษาสาวน่ารักคนนึงเลยละ เรียก Taxi ตอนหัวค่ำไปมหา'ลัย รู้สึกว่าจะไปทำกิจกรรมค่ายหรืออะไรสักอย่าง แถว ๆ ม เกษตรฯ ปรกติ ของ ผญ ก็ต้องนั่งเบาะหลังใช่ไหมละครับ ซึ่งก็ดีกว่าแน่นอน เพราะไกลกันกับคนขับ เพื่อนผมก็บอกทางให้ขับไปเส้นนี้ ๆ พอถึงแยก บอกให้เลี้ยวขวา คนขับดันเลี้ยวซ้ายครับ เพื่อนผมก็ตกใจ บอกว่าไม่ใช่ทางนี้ ! แต่คนขับเฉยเมย ไม่สนใจ ยังคงขับต่อไป... เพื่อนผมก็หัวไวนะครับ ผลักประตูรถเลย คนขับก็คงคาดไม่ถึง ก็เลยต้องเหยียบเบรค เพราะขับต่อไม่ได้แน่ ๆ พอเบรคปุ๊บ เพื่อนผมก็วิ่งลงจากรถ ดีครับที่มันยังเป็นถนนเส้นหลักอยู่ และไม่ดึกมาก จึงมีรถวิ่ง เพื่อนผมก็เลยวิ่งข้ามฟากหนีไป คิดดูว่าถ้าตอนนั้นมันสัก 4 - 5 ทุ่มแล้ว และเพื่อนผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ปล่อยให้ Taxi วิ่งจากเส้นหลักเข้าซอยเล็กก่อนจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ? ถ้าคิดด้วยเหตุผล อาจมีคนแย้งว่า Taxi อาจหวังดี มีทางลัดกว่านั้น ? แต่ถ้าสมมติผมมีแฟน แล้วแฟนเจอแบบนี้ ผมว่าเราเอาเหตุผลไว้คิดถึงทีหลังตอนกลับถึงบ้านโดยปลอดภัยแล้วดีกว่า สติ เป็นสิ่งสำคัญจริง ๆ นะครับ ถ้าเป็นผม เจอเหตุการณ์ทำนองนี้บ้าง ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะตัดสินใจได้แบบนี้รึเปล่าด้วยซ้ำ PS. ไม่ได้ถามเธอแฮะว่าจ่ายค่า Taxi รึเปล่า แต่ถ้าให้เดา สงสัยจะไม่ XD จากคุณ : cookiecompany - [ 17 ธ.ค. 51 13:48:36 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ดีมากๆเลยค่ะ พิจารณาแล้วจริงเลย เคยขึ้นรถตู้จากบางกะปิจะไปรถใต้ดินลาดพร้าว อุตสาห์เลือกรถคันรุ่นใหม่ ขึ้นไปจากดีๆอยู่ สักพักแป็ปเดียวให้ตายซิ มึนมากถึงมากที่สุด จะอ้วก หันไปคุยกับผู้หญิงข้างๆ ไม่เห็นเค้าจะเป็นไร อดทนไปถึงที่ ลงไปทรุดเลย เดินประคองตัวไปเข้ารถไฟฟ้า ที่รู้คือคนขับขับได้ฉวัดเฉวียนมาก เรานั่งหน้า + ข้างนอกก่อนขึ้นอากาศอ้าวมาก บทเรียนที่ได้คือ ถ้าจะเป็นลม รถใต้ดินไม่ให้คุณไปนะ แต่พนักงานดีมาก ตกใจกันใหญ่ เปิดห้องและมีเตียงให้นอนพัก เอาบัตรประชาชนไปจดด้วย(คงกลัวแอบไปขึ้น^^) และพอค่อยยังชั่วก็เดินไปส่งขึ้นแท็กซี่ และขอโทษด้วยที่ไม่ให้ไป กลัวผู้โดยสารไปเป็นลมอีกเพราะอากาศข้างล่างและคนเยอะ ก็ เราก็เชื่อว่ามันเป็นเพราะหลายอย่างข้างต้นนั่นแหละ แต่ก็ระวังตัวเสมอนะ แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 51 13:50:26 จากคุณ : amnok - [ 17 ธ.ค. 51 13:48:42 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณนะค่ะ คุณ : cookiecompany เป็นประโยชน์มาก ๆค่ะ จากคุณ : pakacayor - [ 17 ธ.ค. 51 13:48:54 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณน่ะค่ะ ^^ จากคุณ : Snow-Cream (Snow-Cream) - [ 17 ธ.ค. 51 13:53:16 ]

ความคิดเห็นที่ 13 น้องแมว # 7 น่ารักมากกกกก มันอ้วนท้วนสมบูรณ์ หรือมันท้องคะนั่น ปล. ขอบคุณค่ะที่ก๊อปมาที่นี่ด้วย จากคุณ : ธันวา (Hokage) - [ 17 ธ.ค. 51 14:02:19 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณคุณ คุ้กกี้มากนะคะ แมวอ้วนน่ารักจัง ที่บ้านก็เคยมีแมวอ้วนอย่างนี้ แต่แก่ตายไปแล้วว จากคุณ : Anna_Molly - [ 17 ธ.ค. 51 14:23:34 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณคุณ cookieฯ ค่ะ จากคุณ : iLHaNLiSM - [ 17 ธ.ค. 51 14:26:47 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ที่บ้านเคยมีธุรกิจให้เช่าแท๊กซี่ แต่หลายปีมากแล้วนะ ปัญหาเรื่อง Carbon monoxide Poisoning นี่เป็นเรื่องจริง และเจอบ่อยมาก เวลาที่ขึ้นไปนั่งบนแท๊กซี่ในอู่ของตัวเองจะรู้เลยว่ามันเป็นยังไง เรามีเพื่อนผู้ชายอยู่คน ขึ้นรถแท๊กซี่ไปก็เกิดอาการแบบเดียวกับที่สาว ๆ ระแวงว่าโดนวางยานั่นแหละ แต่เค้าไปหาหมอ แล้วผลตรวจก็ออกมาว่าเป็น Carbon monoxide Poisoning วิธีที่เราใช้ประจำเพื่อแก้ปัญหานี้เวลาที่จำเป็นต้องขึ้นรถแท๊กซี่ก็คือ เอาพวกวาเป้กซ์ หรือพวกยาดมหยดบนผ้าเช็ดหน้า คอยเอาขึ้นมาดม เวลาได้กลิ่นแปลก ๆ มันจะพอช่วยได้ จากคุณ : hang around - [ 17 ธ.ค. 51 15:02:38 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เราเคยโดนป้ายยาที่ BTS สยามตอนที่คนแย่งๆกันออกมาจาก BTS น่ะค่ะ ตอนที่เราเดินออกจาก BTS คนก็ทั้งกรูเข้าแล้วแย่งกันออก พอออกมาได้แล้วก็มาเจอกลุ่มคนที่จะแย่งลงบันได ไม่รู้ตัวเลยค่ะว่าโดนตอนไหนเพราะว่าโดนเดินเบียดไปเบียดมา ตอนนั้นจำได้ว่าเดินมาได้สักพักรู้สึกมือสั่น ตัวเริ่มสั่น ลอยๆ เหมือนจะวูบ เหมือนเท้าไม่ได้แตะพื้น สักพักก็มีผู้หญิงสองคนเข้ามาจับแขนเราทั้ง 2 ข้าง ตอนนั้นมึนแบบเงยหน้าไม่ขึ้นเห็นแต่ว่าทั้งสองคนใส่กระโปรง รู้ตัวว่าโดนแน่ๆ เลยตัดสินใจกัดลิ้นตัวเองค่ะ ความเจ็บมันเลยจี๊ดทำให้แบบตื่นตัว แล้วรีบสะบัดแล้ววิ่งเข้าไปที่ siamดิสไม่กล้ามองไปข้างหลัง รีบจ้ำเดิน เอาเล็บจิกฝ่ามือตลอดเวลาให้ตัวเองเจ็บๆเข้าไว้ ไม่กล้านั่งข้างทางด้วยกลัวโดนประกบแล้วกลัวความเจ็บจะหมดฤทธิ์ เลยวิ่งเข้าฟูจิ แล้วพยายามพูดกับพนักงานว่า พี่มาคนเดียวนะไม่มีใครมากับพี่ พี่จะเป็นลมขอชาร้อนๆหน่อย จำได้ว่านั่งอยู่ในฟูจินานมากๆๆๆๆ จนรู้สึกดีก็โทรหาเพื่อนให้มารับ เจ็บลิ้นไปเกือบเดือน ฝ่ามือมีแต่แผลเล็บจิก แต่โชคดีที่รอดมาได้ แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 51 17:49:57 แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 51 17:46:38 จากคุณ : ผู้หญิงมีอนาคต - [ 17 ธ.ค. 51 17:42:30 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แมวหรืองูเหลือมกินเด็กคะนั่น ตัวใหญ่มากกกกกกกกกก น่ารักอ่า  ชอบแมวๆๆๆๆๆมะอาวๆๆๆๆ (เสียงแมวร้องอะนะ ) จากคุณ : paparazzie - [ 17 ธ.ค. 51 19:55:08 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณมากครับที่เอามาให้อ่านกัน จากคุณ : stevyboy26 - [ 17 ธ.ค. 51 21:05:19 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เราเชื่อเรื่อง คาร์บอนมอนอกไซด์นะคะ เพิ่งเจอมา ไม่ใช่ taxi ด้วย เป็นพี่ที่ทำงาน รถก็ไม่ได้เก่านะ วิออสนี่แหละ แต่กลิ่นในรถไม่ไหวเลยค่ะ พี่เค้าขับจึ้กๆ ด้วยแหละ มึนนนนนนนนนนนนตึ้บ เรายังไม่เคยเจอที่เค้าว่าเป็นยาสลบบนแท็กซี่อ่ะค่ะ ยกเว้นกลิ่นรถจริงๆ อ่ะค่ะ สาวๆ อย่าเพิ่งปริวิตกกันไปก่อนเลยเนอะ อ่อ พกยาดม หรือน้ำหอมกลิ่นที่ชอบเอาไว้ด้วยก็ดีค่ะ เวลาเจอกลิ่นรถ กลิ่นแก็ส จะได้ยกมาดม เราใช้ได้ผลนะ วิธีนี้ จากคุณ : pompoko - [ 17 ธ.ค. 51 22:18:58 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แปลกนะ   เราเองก็เคยโดนมากับตัว   เล่าไปยาวมาก   ขอกลับมาลบดีกว่า ไม่อยากเป็นคนบ้า  ในสายตาใครๆ แล้วก็แปลกอีกเหมือนกัน    ที่อาการจะเกิดขึ้นในเฉพาะรถแท็กซี่ ขึ้นรถส่วนตัว  หรือรถเพื่อน  รถญาติ  รถคนรู้จัก  ขึ้นมาเป็นสิบๆปี  ไม่ยักกะเกิดอาการเลยสักคัน และถ้ามันไม่มีจริง  ทำไมเพื่อนเรา  ที่หมดสติไปบนรถแท็กซี่ พอฟื้นขึ้นมา  พบว่านั่งพิงเสาไฟฟ้าอยู่ริมถนน  พร้อมกับของหายเกลี้ยง หรือว่าแท็กซี่คนนั้น  ไม่มีน้ำใจ พาไปส่งโรงพยาบาล   ต้องเอามาทิ้งไว้ริมถนน กระทู้ของเรา  เคยขึ้นกระทู้แนะนำในหว้ากอ  และเป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ไปทั่ว เราเขียนถึงอาการ  พฤติกรรมของคนขับ  และวิธีเอาตัวรอด   ก็เหมือนกับเรื่องผีนั่นแหละ ... ถ้าใครไม่เคยโดนกับตัว   ก็คงไม่มีวันเชื่อ  ว่าผีมีจริง นอกจากคนที่เคยเจอมากับตัว  ถึงจะรู้ดี   .. ฉันใดก็ฉันนั้น  ...... แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 51 22:46:12 จากคุณ : cottonfactory - [ 17 ธ.ค. 51 22:39:56 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ใครเจอแท็กซี่ไม่น่าไว้ใจ บอกให้จอดก็ไม่จอดเนี่ย ใช้มุกเปิดประตูเลยครับ รับรองจอดทุกราย จากคุณ : supertarokung - [ 17 ธ.ค. 51 23:16:10 ]

ความคิดเห็นที่ 23 สรุปก็กลายเป็นไสยศาสตร์ไป จากคุณ : atheist - [ 18 ธ.ค. 51 05:42:28 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ก็เหมือนกับเรื่องผีนั่นแหละ ... ถ้าใครไม่เคยโดนกับตัว   ก็คงไม่มีวันเชื่อ  ว่าผีมีจริง นอกจากคนที่เคยเจอมากับตัว  ถึงจะรู้ดี   ..  มันก็เหมือนกับเรื่องผีนั่นแหละ  มีเล่ามาทั้งโลก เป็นร้อยๆพันๆปี    มีแต่เขาเล่าว่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  เขา เล่า ว่า  เขาไม่กี่คน เล่ามา ..  แต่คนนับล้านคน นับร้อยล้านคน นับพันๆล้านคน  เวลานับสิบๆปี นับร้อยๆปี  ไม่เคยมีใครเจอ  มีแต่คนเจอ ไม่กี่คน (ใครก็ไม่รู้)  คนอื่นอยากเจอมั่ง ก็ไม่เห็น  และผีเองก็ชั่งกะรั้ย !!!!  ลงทุนหลอกคนอื่นทั้งที .. หลอกแค่ไม่กี่คน และไม่กี่หน ก็เลิกรา  และตลกที่สุดคือ .. มนุษย์ชาตินับพันๆล้านคน เมื่อร้อยปีที่แล้ว  มาถึงตอนนี้ ซี้ม่องเซ็กกันไปหมด  ก็ควรมีผีนับพันๆล้านตัว  แต่ไหงสละสิทธิหลอกคนเล่นหมด ทุกตัวเลยหว่า  น่าสนใจมาก .. ว่าทำไม  ทั่วทั้งโลกรวมกัน ถึงมีผีไม่กี่ตัว จากผีนับพันๆล้านตัว  ถึงได้อภิสิทธิ "หลอก" สาวแก่แม่ม่าย  แต่พอจะไปให้หลอก ให้สัมภาษณ์  (จะได้ดัง และออกรายการสามสิบยังโง่มั่ง)  ดันไม่เจอซักหน หรือซักตัว  -----------------------------  ผมไม่ตอบเรื่อง taxi รมยาให้มาก  แต่ขอ ท้า ... จ่ายสดๆทันที 10,000 (หนึ่งหมื่น) บาท  ท้่ามาหลายปีแล้ว  จนทนไม่ไหว ขี้เกียจพิมพ์ซ้ำซาก  ต้องทำ blog ขึ้นมา  ตามนี้เลย  http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=roenthai&month=06-2008&date=22&group=7&gblog=9  -----------------------------  เข้ามาแย้ง ..  เพราะผมย้ำกับเด็กสาวๆที่ทำงาน ในเรื่องขึ้นแท็กซี่เสมอๆ (มีให้ต้องดูแลเยอะ )  ถ้ามัวกลัวแต่เรื่องเก๊ๆ อย่างยาสลบ  ความกลัว จะทำให้ขาดสติ  เมื่อไร้สติ การกระทำทุกอย่าง ก็ทำอย่างไร้ปัญญา  มองข้ามสิ่งที่เป็นอันตรายแท้จริง  เพราะมัวแต่กลัวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  โดยไม่รู้ว่า  ต้องกลัวอะไร ต้องระวังอะไร ชีวิตถึงจะปลอดภัย  -----------------------------  สุดท้าย ...  ผีอาจมีจริง  แต่สิ่งที่เห็น ไม่เคยจริง จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 18 ธ.ค. 51 07:29:13 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ที่แท้ก็เป็นพิษของ คาร์บอ นม อน อก ไซด์ นี่เอง....... จากคุณ : ไม่มีเหตุผลยากๆ ให้หนักใจ - [ 18 ธ.ค. 51 08:50:35 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ จขกท ที่มีแมวน่ารักนี่เอง คราวก่อนได้อ่านเรื่องเพื่อนผู้หญิงชอบมากเลย คราวนี้ก็มีสาระดีๆมาฝากด้วย ใจดีจังเลย แอบปลื้ม จากคุณ : ชอบ จขกท จัง (AmazingNine) - [ 18 ธ.ค. 51 10:45:10 ]

ความคิดเห็นที่ 27 รถเก่า รถใช้แก๊ส แอร์ไม่เย็น รถมีกลิ่นอับไม่สะอาด นั่งนานๆ เขย่าๆ ไปมา ก็ทำให้เวียนหัว คลื่นไส้อาเจียน ปวดหัวได้นะคะ ยิ่งคนขับขับไม่ smooth ด้วยแล้ว เดี๋ยวเบรค เดี๋ยวเบรค เราเป็นบ่อย โดยเฉพาะรถ taxi รถตู้เนี่ยละ จากคุณ : อัปสรสวรรค์12 - [ 18 ธ.ค. 51 13:22:35 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณค่ะ ต่อไปจะได้รู้ว่าควรทำอะไรยังไงค่ะ จากคุณ : nymphnim - [ 18 ธ.ค. 51 13:39:14 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่รู้ซิคะ  ไม่รู้ว่ามีจริงไม๊ แต่ระวัง เอาไว้น่าจะดีที่สุด เกิดเป็นผู้หญิงแสนลำบาก  ข่าวโดนข่มขืนก็มีอยู่ทุกวี่ทุกวัน จากคุณ : ยอดฝีมือซื่อบื้อ - [ 18 ธ.ค. 51 19:59:03 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อย่าว่าแต่รถแท๊กซี่เลย รถส่วนบุคคลบางคัน ขึ้นไปยังมึน อยากจะอาเจียนเลยค่ะ ก็ลองมองทั้ง 2 แง่เหมือนเป็นการหาความรู้ใส่ตัวไว้ดีกว่าค่ะ เข้าใจคนที่คิดว่าไม่เจอกับตัวก็ไม่รู้ แต่ก็ควรคิดถึงหลักความจริงที่ว่า ถ้าคนขับปล่อยยาสลบออกมาจริง... แล้วคนขับเค้าไม่หลับคาพวงมาลัยไปก่อนเราหรือคะ? อยู่ใกล้กว่าอีก... ระวังได้ค่ะแต่ไม่ต้องถึงกับระแวง ไม่งั้นจะเกิดเป็นการอุปทาน.. จากคุณ : ธันวา (Hokage) - [ 18 ธ.ค. 51 20:33:29 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ทุกวันนี้เวลาขึ้นแท็กซี่ทั่วไปก็เวียนหัวจะแย่แล้วค่ะ ไม่รู้ทะเลาะกับเมียหรือว่ายังไง กระทืบคลัทช์กระแทกเบรกอยู่นั่นแหละ จะอ้วก ขอบคุณมากสำหรับกระทู้ดีๆ ค่ะ จากคุณ : ป่ามป๊าม - [ 18 ธ.ค. 51 22:33:17 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ประสบการณ์ตรงและโชกโชน คือ อยากอาเจียน .. เพราะว่า รถเหม็น ..- -'เป็นบ่อยมากค่ะ .. แต่บทความสนุกและมีประโยชน์มากเลยค่ะ จากคุณ : greenmania - [ 18 ธ.ค. 51 23:54:08 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณค่ะ เดินบนฟุตบาท กลัวโจรวิ่งราว โจรกรีดกระเป๋า อยู่บนรถแท็กซี่ กลัวโดนจี้ ปล้น ชีวิตและทรัพย์สิน ก็ต้องระวัง และภาวนาทุกวันว่า "เพี้ยง ขอให้เราอย๋าเจอเหตุการณ์ร้ายๆเลย สาธุ" จากคุณ : ปอย ฮายาชิ - [ 19 ธ.ค. 51 04:58:03 ]

ความคิดเห็นที่ 34 รถที่แอร์ไม่เย็น อากาศไม่หมุนเวียนในรถก็เป็นค่ะ ขนาดรถเบนซ์ยังทำเอามึน พอลงรถน้องสาว เอ๊ะ ทำไมมันงงๆ ขาสั่น วันนี้ได้คำตอบแล้ว ขอบคุณ จขท. ค่ะ จากคุณ : Powered_Pink - [ 19 ธ.ค. 51 09:14:23 ]

ความคิดเห็นที่ 35 Rating เจ้าจูเนียร์ท่าจะแซงเนื้อหาของกระทู้นี้ไปแล้วซะละมั้งครับนี่ :P จากคุณ : ตวงสิทธิ์ - [ 19 ธ.ค. 51 10:52:10 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เหม็นแก๊ซผสมใบเตย มาก มาก เลยค่ะ จากคุณ : HTK - [ 19 ธ.ค. 51 11:41:59 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่มีใครอยากบอกว่า ตัวเองถูกหลอก หรอกครับ... เหมือนผมแหละครับ พอบอกสิ่งถูกๆมีแห่งยืนยันให้ดู ถูกด่ากลับมา... เอาน่าซักวันคงต้องเห็นผล : ) จากคุณ : กระดาษไม่มีเยื่อ - [ 19 ธ.ค. 51 12:51:11 ]

ความคิดเห็นที่ 38 สิ่งที่ไม่มีมันพิสูจน์ยากกว่ามีเยอะครับ ถ้าพิสูจน์ว่ามีได้ก็จบ แต่ไอ้ของที่มันไม่มีแล้วเชื่อว่ามีอ่ะ พิสูจน์ยังไง เค้าก็จะพูดโยงไปเรื่องอื่นอยู่ดี สรุป มีหรือไม่มี ก็ระวังเอาไว้หน่อยละกันครับ จากคุณ : คนเดินบนดิน - [ 19 ธ.ค. 51 13:15:06 ]

ความคิดเห็นที่ 39 จริงๆเรื่องนี้ผู้แนะนำก็ไม่ได้ว่าว่าไม่ให้ผู้หญิงระวังตัวครับ ก็แนะนำให้ระวังตัวถ้าเกิดเหตุการณผิดปกติจะแก้ไขอย่างไร เพียงแต่อธิบายเพิ่มเติมว่าสาเหตุของการผิดปกติจริงๆแล้ว มาจากสาเหตุอะไร ข้อสังเกต ถ้าปายยา ยาแรงมากขนาดซึมผ่านหนังได้ อย่างรวดเร็ว ทำไมคนป้าย ไม่น๊อคไปก่อน ยาแรงแบบนั้นคงจะต้องมีราคาแพงและหาซื้อยากมหาศาล ถ้ามีการวางยาในรถซึ่งเป้นระบบปิด ทำไมคนขับไม่สลบทั้งที่น่าจะอยู่ใกล้ จุดวางยามากกว่า อากาศในรถก็อากาศเดียวกัน คงวางยาในอากาศ แล้วกำหนดให้สลบเป็นคนๆไปไม่ได้ เรื่องกินยาแก้ไปก่อนเท่าที่ทราบ ยาแก้จะให้หลังจากที่โดนยา ใช้แก้ให้ฟื้นและต้องฉีดกันถ้ายาสลบ มันแรงขนาดนั้น คงจะฉีดกันแล้วไปใช่ในตู้ยาสลบไม่ได้แบบในหนัง อันนี้รายระเอียคงต้องถามเภสัช กะวิสัญญีแพทย์ผมศึกษาข้อมมูลมาแค่นี้ครับ ^_^ จากคุณ : จอมมารเพนกวิ้นฟ้า - [ 19 ธ.ค. 51 16:32:52 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณค่า จากคุณ : immeasurable191 - [ 19 ธ.ค. 51 19:05:33 ]

ความคิดเห็นที่ 41 +ให้แมว!! จากคุณ : nobra - [ 20 ธ.ค. 51 09:23:16 ]

ความคิดเห็นที่ 42 หลังจากอ่านกระทู้แล้วก็คิดว่ามันเป็นไปได้ทั้งหลายกรณีค่ะ ทั้งที่เกิดจากภาวะอื่นหรือความเข้าใจผิด    หรือโดนปล่อยยาจริงๆ หรือไม่โดนปล่อยยาแต่คนขับมีวิธีอย่างอื่น เราคิดว่ามีประสบการณ์เรื่องโดนมอมยาและไม่มอมยา  เรื่องเกิดเมื่อประมาณเดือนมกราคม  บ้านเราอยู่สะพานใหม่นั่ง taxi ไปกลับระห่างบ้านและที่ทำงานทุกวันแถวเพชรบุรีตัดใหม่ ตอนเช้าเนี่ยไม่มีปัญหาเพราะเรียกรถศูนย์ตลอด แต่ตอนกลับจะเรียกจากหน้าบริษัททุกวันเพราะเวลากลับไม่แน่นอนและขี้เกียจรอรถศูนย์  เวลาเรียกรถก็อยู่ระหว่าง 3 ทุ่มถึงประมาณเที่ยงคืนแล้วแต่ว่า teleconference จะเสร็จตอนไหน วันนั้นเราเรียกรถประมาณเกือบสี่ทุ่มครึ่งได้หน้าตึก พอขึ้นรถเสร็จ คนขับตัวอ้วนหน้าจีนหน่อย ก็หันมามองเราเต็มตัว รถเค้าติดไฟอะไรในรถสักอย่างสีฟ้าๆ เหมือนในเธคอ่ะ ก็เลยพอมองเห็น พอเราบอกว่าไปสะพานใหม่ เค้าก็หันมาทั้งตัวมามองแล้วก็คุยกะเรา ซึ่งก็เอะใจนิดนึง เพราะส่วนมากคนขับจะไม่หันมาทั้งตัวแบบนี้ แค่หันหน้าหรือมองกระจกหลังเอา   จากนั้นเค้าก้ถามว่าจะให้ไปทางไหน เราก็บอกไปทางรัชดาแล้วเข้าเมเจอร์รัชโยธิน เกษตร แล้วก็ตรงไปสะพานใหม่  หลังจากนั้นเค้าก็เริ่มชวนคุยประมาณว่าให้เราระวังนะ เพราะตรงที่เราเรียกรถค่อนข้างมืด เพราะหน้าตึกเค้าปิดไปส่วนใหญ่ไปล่ะ เวลาถือกระเป๋าก็อย่าถือข้างที่มันติดกับถนน เดี๋ยวจะโดนมอเตอร์ไซด์ขับมากระชากไป แล้วก็เล่าว่าวันนี้มีฝรั่งโดนตีหัวและก็กระชากกระเป๋าไปด้วย แย่จริงๆ เลยอะไรประมาณนั้น ตอนหลังเราก็เลยเข้าใจว่าเค้าคงพูดให้เรารู้สึกไว้ใจประมาณนั้น ปกติยอมรับว่าเหนื่อยก็จะมีนั่งเคลิ้มๆ หลับในรถบ้าง แต่รอบนี้แค่ปิดตาเฉยๆ พอรถติดไฟแดงตรงแยกเมเจอร์ เราก็เริ่มหายใจไม่ออก ใจสั่น มือสั่น ก็เลยลืมตาขึ้นมา เราก็เห็นเค้ามองเราจากกระจกหลัง ที่สำคัญที่ทำให้เรามั่นใจว่าเราโดนแนๆ คือ เค้าเห็นกระจกด้านคนขับถูกลดลงมาประมาณ 2 นิ้วได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยมีคุณลุง taxi เตือนเราว่าให้ระวังว่าถ้าเห็นคนขับลดกระจกลงมาประมาณนี้แล้วแช่ทิ้งไว้นานๆ เนี่ยเพื่อระบายอากาศให้ตัวเองจะได้ไม่เมายา แยกนี้รถจะติดไฟแดงประมาณ 10 - 20 นาที เราก็เริ่มรู้สึกไม่มีสติหนักเข้า ตอนนั้นไม่กล้าเปิดประตูรถออกไป พอดีเอาโน้ตบุ๊กมาด้วย ก็เลยโทรศัพท์ไปหาน้องที่ทำงาน พยายามคุยกะเค้าบอกเค้าว่าเราอยู่บนรถนะ ตอนนี้อยู่ตรงเมเจอร์ แล้วคุยเรื่องงานสั่งงานกะน้องเค้า น้องเค้าก็งงเพราะเราพูดไม่ค่อยเป็นประโยค พูดซ้ำไปซ้ำมา พอดีไฟเขียวเค้าเห็นเรายังไม่วางโทรศัพท์ คนขับก็เลยหันไปทำอะไรซักอย่างกับช่องแอร์แล้วก็เอากระจกขึ้นเหมือนเดิม เราก็เลยบอกให้เค้ารีบจอดหน้าเซเว่น เค้าก็มองหน้าแล้วก็จอด เรานั่งพักดื่มน้ำจนปกติแล้วก็กลับบ้าน หลังจากนั้นเราก็ยังคงต้องนั่งแทกซี่ทุกวัน แต่เราไม่กล้าหลับตาอีกเลย จะคอยสังเกตตลอดเวลา ทุกครั้งที่มือคนขับป้วนเปี้ยนไปที่ช่องแอร์ ตอนนี้ก็เลยตัดสินใจซื้อรถแล้วเพราะไม่รู้วันมันจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ แล้วเราจะรอดแบบครั้งนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ส่วนเรื่องที่เกิดจากภาวะอื่นหรือเข้าใจผิด ก็เคยมี ก็หลังจากเกิดเหตูการณ์เมื่อเดือนมกรา ก็ยังคงนั่งรถแทกซี่ทุกวันเหมือน คอบรับค่ะว่ามันระแวงไปตั้งแต่สภาพรถ หน้าตาคนขับและพฤติกรรมของเค้า ต้องสังเกตตลอดเวลา บางครั้งเข้าไปนั่งก็จะรับรู้ได้ถึงความน่าจะเป็นที่จะเกิด เมื่อเดือนก่อนเจออีกแต่มันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าใช่เพราะว่าเราไม่ปล่อยให้มันเกิด   เราเรียกรถหน้าตึกเพื่อกลับบ้านประมาณห้าทุ่มได้ เราก็บอกให้ไปทางรัชดา เค้าก็บอกว่ารถมันติด เราก็บอกงั้นไปเลียบทางด่วนรามอินทราแล้วขึ้นทางด่วนล่ะกัน เราก็บอกให้เค้ากลับรถ กลับเสร็จแทนที่จะเลี้ยวไปขึ้นทางด่วน ดันขับเลยไปทางพัฒนาการ เราก็บอกว่าทำไมไม่เลี้ยว เค้าบอกว่าลืม เราก็บอกให้ลงสะพานแล้วกลับรถไปทางเดิม เค้าก็เลี้ยวไปรามคำแหง จะไปทำไมเนี่ย แล้วเราก็ไม่คุ้นแถวนั้น เค้าไปจนถึงแยกบางกะปิอีก  เราพยายามบอกให้เค้ากลับรถ เค้าจะพยายามอ้างตลอดเวลาว่าถ้ากลับรถแล้วรถติดกลัวเราจะเสียค่ารถเพิ่ม เราก็บอกไม่เป็นไร เค้าก็พยายามจะพาไปทางที่เค้าจะไปให้ได้ เค้าบอกต้องไปรับอีกคนแถวนนท์ตอนเที่ยงคืนครึ่งพอดี ไปทางนี้ดีแล้ว สุดท้ายไปออกนวมินทร์ 50 มันเริ่มเปลี่ยวมากๆๆแล้ว ถ้าเลี้ยวเข้าซอยไหนเราตายแน่ ก็เลยโทรศัพท์ไปหาน้องที่ทำงานอีก แต่คราวนี้เราพูดภาษาอังกฤษตลอด เราก็บอกน้องว่าเราอยู่บนแทกซีนะ สถานการณ์ไม่ดีเลย น้องเค้ารู้เรื่องที่เกิดกับเราตอนมกราด้วย ก็เลยเข้าใจได้ในทันที เค้าก็ให้เราบอกทะเบียนรถ น้องเค้าก็นั่งไล่ ก ข ค เลขและก็ลำดับจนครบ เราไม่กล้าบอกเลขทะเบียนตรงๆ เป็นภาษาอังกฤษ เดี๋ยวคนขับจะไหวตัว น้องก็บอกให้เราลงรถเลย ให้บอกว่าเค้าจะออกไปรับ เราก็บอกให้คนขับจอด ตอนแรกเค้าไม่ยอมจอด บอกว่าตรงนี้มันเปลี่ยว เดี๋ยวเลยไปหน่อย เราก็บอกหน้าเซเว่นนี่แหล่ะ แล้วก็ให้เงินเกินไป  อ้อลืมไปคนขับเนี่ยพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องด้วยอ่ะ ไม่แน่ใจว่าเค้าเมาหรือเป็นอะไร แต่เค้าไม่ได้ต้องการพาเราอ้อมเพื่อเอาเงินเพิ่มแน่ๆ เรานั่งแทกซี่ทุกวันมา 5 ปีแล้วคิดว่าดูออกค่ะ ยังไงก็อยากให้ทุกคนระวังตัวนะค่ะ โดยเฉพาะผู้หญิงอย่างเราๆ ค่ะ จากคุณ : fiat_marketing - [ 20 ธ.ค. 51 22:39:41 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอเล่าให้ฟังนิดนึงนะคะ  เคยเจอรถแท๊กซี่ที่ขึ้นไปแล้วเกิดอาการเวียนหัวเหมือนกัน แต่ไม่ใช่โดนมอมยาแน่ๆ เพราะพี่แท๊กซี่แกเล่นขับรถแล้วไม่เปิดแอร์ รถอัลตีส ท่อแอร์มันเล็กแล้วก็ระบบแอร์มันไม่ดีอยู่แล้ว แล้วถ้าซวยจะเจอแอร์เหม็นเน่า  คันที่เรานั่ง เค้าไม่เปิดแอร์ เค้าคงจะประหยัดน่ะ พอลูกค้ามาเค้าก็รีบเปิดแอร์ใหญ่เลย กลิ่นอับมันก็คลุ้งไปทั้งคัน อึดอัดมาก จบแทบอยากจะกระโจนลงรถเลยค่ะ แล้วเรานั่งไปก็จากดินแดงไปเกษตร ประมาณครึ่งชม.ได้ ก็พอจะทนไหวค่ะ แต่ไม่กล้าบอกแท็กซี่ ก็นั่งไปกลั้นหายใจไปตลอดทาง พยายามสูดอากาศให้น้อยที่สุดค่ะ แต่ถ้าใครเจอรถประเภทนี้ แนะนำให้หาคันใหม่แล้วอ้างว่าลืมของก็ได้ค่ะ เพราะเปิดประตูเข้าไปก็จะรู้เลยว่ามัน.....เหม็นอับมากๆๆๆๆ จากคุณ : ยัยใบเตย - [ 21 ธ.ค. 51 01:40:02 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณค่ะ ได้ความรู้และเทคนิคต่างๆไว้ใช้เยอะเลย ปกติ ถ้ากลับดึกๆ จะพิมเมสเสจส่งไปว่า ว่าขึ้นแท๊กซี่อยู่นะ แล้วก็พิมเลขทะเบียนไปด้วย ส่งไปให้ที่บ้าน บางทีก็แฟน หรือเพื่อนค่ะ ส่วนใหญ่เค้าจะรู้แล้วโทรกลับมาคุยเป็นเพื่อนค่ะ ส่วนตัวนั่งแท๊กซี่บ่อย แต่ยังไม่เคยเจอในลักษณะ เวียนหัว มึนงง ค่ะ ส่วนมากที่เจอจะเป็นคนขับแปลกๆมากกว่า เช่น ชวนคุยแต่เรื่องโปรโมชั่นมือถือ การเมือง การศึกษา มีครั้งนึงเจอ ถามคำถามแปลกๆ มีแฟนรึยัง คบมานานรึยัง และพยายามคุยเรื่องเพศ >_< ทั้งที่คนขับเป็นผู้หญิง - -" แต่ที่แปลกสุด และกลัวสุดคือ เคยเรียกแท๊กซี่ตอนประมาน 3-4 ทุ่ม เราจะกลับบ้าน ถามคนขับว่า ไป.....ไหมคะ? เค้าตอบตกลง พอก้าวขึ้นรถปุ๊บ กลิ่นพวกยาแผนโบราณ ฟุ้งมากกกกกกกกกกกกกก แล้วก็เปิดคาถาสวดมนต์ ไม่ใช่ภาษาไทยซะด้วย ฟังแล้วน่ากลัว แปลกๆ บนรถนี่วางแต่พระเครื่องแล้วก็เครื่องรางของขลังเต็มไปหมด คนขับก็สักยันต์ แล้วก็หน้าตาแบบ ไม่เป็นมิตรเอาซะเลย ตอนนั้นกลัว แต่มันไม่ไกล จากจุดที่ขึ้นประมาณ 15 นาทีก็จะถึงบ้านละ เลยโทรหาแฟน ให้คุยเป็นเพื่อนหน่อย ระหว่างนั้น คนขับ ขับกระชาก เบรคกระทันหัน พอไม่ทันไฟเขียวก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะ ฉุนเฉียว เหมือนไม่พอใจ (ไม่เหมือนคนอยู่ในศีลในธรรมเลย) เราก็คุยกะแฟนไปเรื่อยๆ มีหัวเราะกะแฟนบ้าง เค้าก็หันมามองแบบเอียงมาทั้งตัวเลย ทำหน้าไม่พอใจ เรากลัวมากกกก เลยสงบปากสงบคำเป็นการด่วน พอตอนลง ยื่นเงินให้ ตวาดใส่เราว่า ไม่รับ วางลงที่นี่ เราก็วางลงไปตรงที่ระหว่างเบาะหน้านั่นแล น่ากลัวมากเลย เหมือนคนเล่นของมากกว่าคนถือศีลนะเนี่ย จากคุณ : น้องแมวอ้วน. - [ 21 ธ.ค. 51 22:25:12 ]

ความคิดเห็นที่ 45 พึ่งนึกออก เลยเข้ามากระทู้อีกรอบ .. อาศัยเป็นที่แจ้งเตือน เพราะบรรยากาศก็ประมาณนี้ เวลาก็ประมาณนี้เช่นกัน .. หนาว เย็น สบาย น่าไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติ รับลมหนาว อย่าประมาทคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) เป็นอันขาด ------------------------------------------------- เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 2 ม.ค. 2547 พ.ต.ต.บุญรัตน์ ตันหยง สารวัตรเวร สภ.อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ รับแจ้งเหตุ นักท่องเที่ยวเสียชีวิต ภายในเต็นท์ที่พัก บริเวณสนามหน้า ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ดอยอินทนนท์ ต.บ้านกลาง จึงรุดไปตรวจสอบ ภายในเต็นท์พบศพผู้หญิง กับเด็กชายเสียชีวิตรวม 3 ศพ สภาพศพเด็กทั้งคู่นอนตาย ในถุงนอนสีเขียวขี้ม้าโผล่ เพียงส่วนศีรษะออกมามีน้ำลายฟูมปาก ส่วนศพผู้หญิงอยู่ในชุดเสื้อไหมพรมสีเขียว มีน้ำลายฟูมปากเช่นกัน และมีเศษอาหารที่อาเจียนออกมา ที่ปลายเท้าพบเตาอั้งโล่แต่ถ่านดับมอดแล้ว ที่พื้นใต้เตาอั้งโล่เป็นผ้าร่มรองเต็นท์มีรอยถูกไฟไหม้เป็นวงกว้างขนาดเท่าพื้นเตาอั้งโล่ และบริเวณเหนือศีรษะมีตะเกียงน้ำมันก๊าดล้มตะแคงกลิ่นน้ำมันเหม็นคลุ้ง ขณะเดียวกันมีคนเจ็บ 1 ราย ถูกนำส่งสถานีอนามัยบ้านกลางไปก่อนแล้วจนอาการดีขึ้น ได้เดินทางกลับมาที่เกิดเหตุทราบชื่อนายวรุต หรือเอก เจริญโชติพานิชย์ อายุ 38 ปี บ้านเลขที่ 18/912 หมู่บ้านเปียมสุข อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เมื่อนายวรุตเข้ามาดูศพในเต็นท์ถึงกับเข่าอ่อนร่ำไห้โฮ ระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย ชื่อนางอิงอร เจริญโชติพานิชย์ อายุ 38 ปี ภรรยา ส่วนเด็กทั้งสองเป็นลูกชายชื่อ ด.ช.วศิน หรือน้องไวท์ อายุ 12 ขวบ และ ด.ช.ศิริวิทย์ หรือน้องวิน อายุ 11 ขวบ ทั้งคู่เป็นนักเรียนโรงเรียนรุ่งโรจน์ศึกษา ใน กทม. นายวรุต เล่าว่า ได้พาภรรยาและลูกมาเที่ยวฉลองปีใหม่ที่เชียงใหม่ โดยเดินทางมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. เข้าพักที่โรงแรมเชียงใหม่ฮอลิเดย์ในตัวเมืองเชียงใหม่ ต่อมาวันที่ 1 ม.ค. ได้ขึ้นมาเที่ยวชมความงามบนดอยอินทนนท์ หลังเที่ยวชมจนทั่วก็เดินทางกลับลงมา ขณะผ่านหน้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ขณะนั้นเป็นเวลาค่ำมืดเห็นมีนักท่องเที่ยวกางเต็นท์นอนเต็มไปหมด จึงชวนภรรยานอนค้างบนดอย เพราะหากขับรถลงไปไม่ชำนาญทางเกรงจะไม่ปลอดภัย นายวรุตเล่าต่อว่า จากนั้นได้ไปเช่าเต็นท์ที่ทาง อุทยานฯเตรียมกางไว้แล้วในราคา 500 บาท กับเตาอั้งโล่ 50 บาท และตะเกียงน้ำมันก๊าดอีก 50 บาท ซึ่งภรรยาและลูกอ่อนเพลียจากการเดินทางมาทั้งวันได้เข้านอนแต่หัวคํ่า โดยภรรยาได้นำเตาอั้งโล่เข้ามาตั้งไว้ที่ปลายเท้า และจุดตะเกียงไว้ที่หัวนอน จากนั้นช่วงประมาณ 4 ทุ่ม ตนได้เข้านอนโดยปิดไฟตะเกียงเรียบร้อย จนกระทั่งเช้า ตื่นขึ้นมารู้สึกวิงเวียนศีรษะมึนงง จึงจับตัวลูกชายพบว่าตัวแข็งทื่อ ส่วนเมียก็นอนนิ่งไม่ไหวติง เชื่อว่าเกิดเหตุร้ายขึ้น จึงรีบคลานออกมานอกเต็นท์ ร้องตะโกน ขอความช่วยเหลือจนมีคนมาช่วยพาส่งไปรักษาที่สถานีอนามัย "ผมไม่เคยขึ้นมาเที่ยวดอยอินทนนท์ และไม่เคยนอนเต็นท์มาก่อน ไม่รู้ว่าต้องปฏิบัติกันอย่างไร ขณะไปเช่าเตาอั้งโล่กับตะเกียงน้ำมันก๊าดกับทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ก็ไม่ได้ให้คำแนะนำอะไรเลย เรื่องนี้ไม่คิดจะฟ้องร้องอะไร แต่ทางอุทยานฯก็น่าจะรับผิดชอบบ้าง ผมสร้างครอบครัวมายาวนานแต่ต้องมาจบทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร" นายวรุตกล่าวอย่างสิ้นหวัง [ตัดออก เนื้อหาไม่สำคัญ] ------------------------------------------------- การเผาไหม้ ... ต่อให้สมบูรณ์ ก็ยังเกิด CO อยู่ดี CO .. ทำให้ง่วง ซึุม และหมดสติ โดยไม่รู้ตัว และต่อให้รู้ตัวบ้าง ก็ทำอะไรไม่ได้ .. "ส่วนศพผู้หญิงอยู่ในชุดเสื้อไหมพรมสีเขียว มีน้ำลายฟูมปากเช่นกัน และมีเศษอาหารที่อาเจียนออกมา" คนจะอาเจียน .. จะ ต้อง ยังรู้สึกตัวอยู่ ขนาดรู้สึกตัว และอาเจียน .. ยังไม่มีแรงคลานออกมานอกเต้นท์เพื่อเรียกให้คนช่วย "จนกระทั่งเช้าตื่นขึ้นมารู้สึกวิงเวียนศีรษะมึนงง จึงจับตัวลูกชายพบว่าตัวแข็งทื่อ ส่วนเมียก็นอนนิ่งไม่ไหวติง เชื่อว่าเกิดเหตุร้ายขึ้น จึงรีบคลานออกมานอกเต็นท์ร้องตะโกน" พ่อบ้าน .. ผู้ชายนะครับ แข็งแรงกว่ามาก โดนเท่าๆกัน ยังไม่ไหว .. ต้อง "คลาน" ออกมา การคลานออกมานอกเต้นท์ มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ .. ผู้ใหญ่โตๆ หนึ่งคน และ เด็กอายุ 11-12  ขวบ สองคน .. คลานไม่ไหว ถึงตายคาที่  เต้นท์ไหนๆ ก็ตาม มันมีรูโหว่ ให้อากาศไหลเข้าออกได้อยู่แล้ว  ออกซิเจนในเต้นท์ มีมากเกินพอแน่นอน  ตัดปัญหาเรื่องออกซิเจนไม่พอไปได้เลย  เพราะถ้าออกซิเจนไม่พอ หรือ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มากเกิน เ้ต้นท์อื่นๆ ที่ปิดมิดกว่า ... ตายเรียบ อย่าประมาทคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) เป็นอันขาด แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 51 07:47:49 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 51 07:47:08 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 22 ธ.ค. 51 07:46:40 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ระดับ CO ที่ทำให้ถึงตาย ... 0.05% เท่านั้น  มีในอากาศ แค่ หนึ่งในสองหมื่น ก็ทำให้ถึงตายได้  ปริมาณน้อยกว่านั้น .. หนึ่งในสองแสน (0.005%) ทำให้หมดสติ ทั้งๆที่รู้ตัวล่วงหน้า ..  ... ถ้าใจไม่แข็งพอ ร่างกายไม่เข้มแข็งพอ  ...  ต่อให้รู้ตัวว่า กำลังจะหมดสติ (และมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย .. อย่างเช่นคลื่นไส้ อาเจียน ฯลฯ ) .. ก็ไม่มีทางหนีรอด  แต่คนที่โดน CO ปริมาณน้อยมากๆๆๆๆ เป็นประจำ จะทนได้ จนถึง 0.5%    ในขณะที่ คนที่ไม่เคย ... โดน CO 0.5% จะตายในเวลาไม่เกินสามสิบนาที  ------------------------------------------------------------  CO มีพิษ ทั้งประเดี๋ยวประด๋าว (acute) และระยะยา่ว  คนที่ไม่เคยโดน .. แล้วไปโดนเข้า ที่ระดับต่ำๆ (น้อยกว่า 0.01%)  - ใน 5-15 นาทีแรก จะมีอาการใจสั่น ใจเต้นเร็ว  - ถัดมา 15-30 นาที จะมีอาการ ปวดหัว มึนงง สับสน คลื่นไส้ หรืออาเจียน  ในคนที่หัวใจ หรือปอด ไม่แข็งแรง อาจมีอาการหัวใจขาดเลือด หัวใจเต้นผิดปกติ หรือ หยุดหายใจ  ปัญหาหนักอกของพิษ CO แบบปุ๊บปั๊บอีกอย่าง คือ .. ต่อให้หลังจากนั้นอีก 2-3 วัน (ไม่ได้โดน CO แล้ว) คนที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ ก็ยังมีอาการได้  มีอาการได้เป็นอาทิตย์ๆ  อาการที่ว่า มีตั้งแต่ความจำระยะสั้นเสื่อม (บางคนเป็นถึง dementia ), สติปัญญาลด หรือเสียหาย, ใจสั่นกระตุก, เดินผิดปกติ, พูดจาผิดปกติ, สายตาเสียหาย จนถึงเป็นโรคจิตซึมเศร้า (depressive illness, ICD-10 code F32.2)  (ทั้งหมด เป็นความเจ็บป่วยทางร่างกาย ไม่ใช่ทางจิตใจ ... เข้าเครื่องเอกซเรย์แบบ PET scan จะพบความผิดปกติอย่างมาก)  อาการที่ว่าในย่อหน้าบน (delay sequelae) .. เกิดได้นานถึงหนึ่งเดือน  และเกิดได้ในคนถึง 15% .. หนึ่งในหก ของคนที่โดน CO ระดับต่ำมาก (น้อยกว่า 0.01%) .. จะมีอาการต่อเนื่องยาวนานเป็นเดือน  ยิ่งคนอายุึมาก หรือ หมดสติเมื่อโดน CO ระดับต่ำมาก .. ยิ่งมีโอกาสเกิดอาการอย่างที่บอกได้สูงกว่าคนที่ไม่หมดสติ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 22 ธ.ค. 51 08:03:56 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เมืองไทยเรา เป็นเมืองร้อน    CO ในบ้าน ไม่ค่อยมี .. เพราะเราไม่ปรุงอาหารในบ้านปิดสนิท  ต่างจังหวัด เครื่องยนต์เผาไหม้สมบูรณ์ ... CO ก็ไม่ค่อยมี  แต่คนกรุงเทพ .. เดินถนนเมื่อไหร่ ได้ CO เมื่อนั้น  เวลาผ่านสี่แยกใหญ่ๆ .. ลองชายตามองป้ายบอกสภาวะมลพิษบนถนนกรุงเทพ ตรงนั้นดูนะครับ  บางที่ บางแห่ง ตอนรถติดหนัก .. ระดับ CO คือ 0.02%  ถ้าคิดว่า CO ระดับนี้ ... น่ากลัว  เอารถของคุณเอง ไปวัดระดับ CO ได้ครับ .. ตรวจสภาพรถประจำปี เขาต้องวัดอยู่แล้ว    รถใหม่ ป้ายแดงๆ ด้วย ... วัดดูได้เลย  แล้วจะรู้ว่า ... ภัยร้ายจาก CO ใกล้ตัวเราเองแค่ไหน  ---------------------------------  เมืองไทยเรา เป็นเมืองร้อน  CO ไม่ค่อยสะสม ทั้งที่มีมาก  แต่เมืองหนาว .. หน้าหนาว  บ้านปิดมิดชิด  และต้องมีการสร้างความร้อน  ถ้าใช้ไฟฟ้า ก็ไม่ค่อยมีปัญหา  แต่บ้านที่ใช้แก๊ส ในการทำความร้อน  ตายกันทุกหน้าหนาว  ตายกันประจำ ตายกันบ่อย  โดยเฉพาะผู้หญิง เด็ก และคนชรา  ซึ่งร่างกายไวต่อ CO มากเป็นพิเศษ  ในอเมริกา .. คนเจ็บป่วยเพราะ CO ปีละประมาณ 20,000 คน  และประมาณ 2,000 คน (10%) .. ตาย  ---------------------------------  CO เป็นแก๊ส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส  มนุษย์ ไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่า มี CO ในอากาศที่หายใจเข้าไป จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 22 ธ.ค. 51 08:14:04 ]

ความคิดเห็นที่ 48  ที่่พยายามพิมพ์มาเยอะแยะ เพราะอยากให้ระวังสิ่งที่ต้องระวัง  อย่ามัวแต่กลัว สิ่งที่ไม่สำคัญ จนขาดสติ ขาดปัญญา  CO ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ... คนที่หายใจเข้าไป จะมีสติเลอะเลือน จนถึงหมดสติได้  คนขับแท็กซี่ดีๆมีเยอะ  คนขับแท็กซี่เลวๆ มีน้อย แต่ใช่ว่าจะไม่มี  คนขับแท็กซี่เลวๆ .. ถึงจะเลว แต่ไม่โง่  แค่ใช้ความสังเกตุึนิดหน่อย ก็จะพบว่า  เออ .. รถเช่าคันนี้ มันแปลก  ตอนดึกๆ อากาศเย็นๆ ..  ... ถ้ารับผู้หญิงขึ้นมา ...  นั่งไปซักพัก จะคอพับคออ่อน ง่วงนอนกันเป็นแถวๆ เรียกก็ไม่ค่อยรู้สึกตัว  คุณคิดว่า แท็กซี่ ที่เลว และไม่โง่  พบเห็นความจริงข้อนี้ .. จะคิดอะไรต่อ จะวางแผนอะไรต่อ?  ---------------------  ผมถึงเตือนนักเตือนหนา  อย่ามัวแต่กลัว สิ่งที่ไม่สำคัญ จนขาดสติ ขาดปัญญา  กลิ่นเหม็น กลิ่นอับ กลิ่นธูป กลิ่นแปลกๆ ฯลฯ  มันไม่ค่อยน่ากลัว (แต่น่ารำคาญ และ่น่ารังเกียจ)  ไอ้ที่ไม่ได้กลิ่นเลยตะหาก .. ที่น่ากลัว  ---------------------  ทำไมผมถึงกล้าฟันธงในเรื่องนี้  เพราะผมเกือบตาย ในรถของผมเองมาแล้ว    รถที่ท่อไอเสียรั่ว ตรงรอยต่อระหว่างเครื่อง กับท่อไอเสีย  จะปล่อยไอเสียปริมาณเล็กน้อยออกมา ... ด้านหน้ารถ แทนที่จะเป็นหลังรถ  แอร์รถยนต์ จะดูดอากาศภายนอกเข้ามาผสมอากาศภายในเสมอ .. ประมาณ 5%-10%  CO เข้ามาตามอากาศพวกนี้แหละ  ที่ฟันธง เพราะเอาเครื่องวัด CO ลองวัดดูเลย (ราคาไม่กี่พัน)  CO ในแนวกระแสลม .. วัดที่หน้าแอร์ ... สูงถึง 0.005% - 0.010%  ยิ่ีงเปิดแอร์แรงๆ ปริมาณ CO ยิ่งสูง  และที่บริเวณที่นั่งด้านหลัง .. ซึ่งลมจะระบายออกจากรถ  (รถทุกยี่ห้อ ออกแบบให้ลมในรถ ระบายออกหลังเบาะหลังทั้งนั้น)  CO สูงถึง 0.020% - 0.025%  ยิ่งรถติดๆ CO ยิ่งสูง  ..    ถ้าปิดแอร์ .. และเปิดหน้าต่าง  ปริมาณ CO ลดวูบ เหลือไม่ถึง 0.005% (ต่ำสุดที่เครื่องจะวัดได้)  ---------------------  สองสามวัน หลังจากที่ผมรู้พิษภัยของ CO ... กับตัวเอง ...  ผมเอาเครื่อง ไปวัดปริมาณ CO ที่เบาะหลัง  ...  0.05% ...  เขาว่าแมว มีเก้าชีวิต  ตอนนี้ ผมเหลือแค่เจ็ดเองมั้ง แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 51 08:37:56 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 22 ธ.ค. 51 08:34:39 ]

ความคิดเห็นที่ 49 จริงๆแล้วก็น่าคิดนะครับว่าทำไมเวลาขึ้นรถคันอื่นแล้ว ไม่เมา ไม่งง ไม่เป็นอะไร แต่ขึ้นแท็กซี่ที่ไรได้เรื่องทุกที จากพิษของ Carbon monoxide ที่เกิดขึ้นได้ง่ายในสภาพบนถนนทั่วไปนี่ร้ายแรงพอควรเลยครับ ซึ่งมันจะมากพอให้คนที่ไปได้พบสภาพนี้เป็นประจำ มึนงงหลับไหลได้ง่าย สาเหตุหนึ่งของการที่่เกิดในแท็กซี่มากกว่า นั่นคือการที่ไม่ดูแลเอาใจใส่ต่อสภาพรถดังเช่นรถที่เป็นรถส่วนตัวครับ รถแท็กซี่เป็นรถที่มีการเปิด-ปิดประตูบ่อยมาก แน่นอนว่ายางที่ซีลไม่ให้เสียงและอากาศจากภายนอกรั่วไหลเข้าไป ย่อมเกิดการยุบการสึกเป็นธรรมดานะครับ ลองดูก็ได้ ก่อนขึ้นแท็กซี่ที่ดูอายุนิดนึง เอามือจับๆยางซีลประตูดูครับ นิ่มเละ และน่าจะต่างจากรถบ้านที่ใช้กันนะครับ  แล้วอย่างนี้จะเอาเนื้อที่ไหนไปดันประตูได้สนิทเล่า... จริงๆรถยนต์จะมีรูระบายอากาศเล็กๆนะครับที่เอาไว้ระบายความดันในรถได้ แต่ก็คงไม่กว้่างพอให้อากาศเกิดการถ่ายเทอย่างเร็วหรอกครับ จากคุณ : sivpeer - [ 22 ธ.ค. 51 08:40:13 ]