ความคิดเห็นที่ 3

ข้อมูลเท่าที่คุณ จขกท ให้ไว้มันน้อยไปอ่ะคะ แนะนำไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่า ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเป็นยังไง อายุเท่าไหร่ อยากเน้นบำรุงด้านไหน มีโรคประจำตัวรึเปล่า เอาเปนว่าลองเลือกดูที่ตรงกับที่ต้องการบำรุงแล้วกันนะคะ แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ถ้าหลักๆนี่แนะนำ ซี ค่ะตัวอื่นๆรอ คห อื่นๆนะคะ
Vitamin B1
อาการชาตามปลายมือปลายเท้า ลดอาการเมื้อยล้าตามกล้ามเนื้อ (Fatigue) บรรเทาอาการซึมเศร้า (Depression) วิตกกังวล (Anxiety) นอนไม่หลับ (Insomnia) และอาการทางประสาทจากการติดเหล้า (Alcoholism's nerve system) อาการชักกระตุกตามอวัยวะต่างๆ หรือ พูดไม่ชัด จากการเกิดการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง(Sclerosis) และไขสันหลัง (Multiple Sclerosis) อาการชาตามใบหน้า (Bell's Palsy, Facial Nerve Paralysis) ช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องผูก โดยกระตุ้นการหลั่งกรด Hydrochloric Acid อาการเบาหวาน (Diabetes Melletus)
Vitamin B2 ช่วยเร่งขบวนการเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรต และไขมัน เพื่อให้เกิดเป็นพลังงานในรูป ATP (Adenosine Triphosphate) มีส่วนสำคัญในการบำรุงเส้นผม ผิวหนังและเล็บ ป้องกันอาการอักเสบต่างๆ ของผิวหนังเช่น สิว (Acne), Eczema, Dermatitis etc. บำรุงสุขภาพของดวงตา ทำให้การมองเห็นดีขึ้น ป้องกันอาการล้าของสายตา และต้อกระจก ลดอาการเครียดของกล้ามเนื้อ (Fatigue) จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเซลล์
Vitamin B3 ให้พลังงาน ทำให้ร่างกายสดชื่นได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจาก ไนอาซิน (Niacin) หรือ วิตามินบี 3 (Vitamin B3) ช่วยในการสลาย Glycogen ที่สะสมอยู่ที่ตับและกล้ามเนื้อออกมาเป็นกำลังงาน มีผลกระตุ้นให้การทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น และควบคุมระดับ Cholesterol และTriglyceride ในกระแสเลือด เป็นสารสำคัญในขบวนการสร้างฮอร์โมนเพศ เช่น เอสโตรเจน (Estrogen) โปรเจสเตอโรน(Progesterone) ในผู้หญิง และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ในผู้ชาย พบว่ามีผลทำให้ ผิวพรรณ ลิ้น และอวัยวะต่างๆ ในระบบทางเดินอาหารมีสุขภาพดี มีส่วนช่วยในการผลิตเม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell)
Vitamin B5 กระตุ้นให้มีการหลั่ง Cortisone ที่ต่อมหมวกไตมากขึ้น ทำให้สามารถลดความเครียดได้ดี (Antistress) และเพิ่มขบวนการเผาผลาญในร่างกายให้มากขึ้น รวมถึงกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ดีขึ้นด้วย ช่วยในการป้องกันอาการริ้วรอยแก่ก่อนวัย (Anti-aging & Wrinkle) ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น เพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ บำรุงผิวหนังและระบบประสาทให้ทำงานได้ดีขึ้น
Vitamin B6 ใช้ในขบวนการเผาผลาญสารอาหารประเภท Amino Acids และกรดไขมัน เพื่อนำไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และยังจำเป็นในขบวนการสร้างฮอร์โมนและสารสื่อประสาทต่างๆในร่างกายเช่น Serotonin, Melatonin หรือ Dopamine จึงนิยมใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตประสาทเช่นอาการซึมเศร้า เครียด เป็นต้น ช่วยลดระดับ Homocysteine ในร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการเกิดอาการอุดตันของคลอเรสเตอรอลในหลอด เลือด (ทำให้เกิดอาการโรคในระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงอาการสมองเสื่อม Alzheimer's Disease ด้วย) มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อและเป็นหวัด ใช้ในการสร้างเม็ดเลือดเแดง และสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ช่วยลดอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) เช่นอาการปวดคัดหน้าอก อาการบวมน้ำ ช่วยให้การรับส่งกระแสประสาทในร่างกายดีขึ้นอีกด้วย
Vitamin B12 มีความสำคัญต่อขบวนการทำงานของเซลต่างๆในร่างกายโดยเฉพาะเซลประสาทและไขกระดูก ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระตุ้นการเจริญเติบโตในเด็กและระบบการย่อยอาหารและดูดซึมอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเร่งขบวนการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ ให้เกิดเป็นพลังงาน จึงนิยมเรียกวิตามินนี้ว่า Energy Vitamin ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ (Fatigue) มีส่วนสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรม DNA และ RNA
Biotin เป็น Vitamin B ชนิดหนึ่งช่วยในการเผาผลาญสารอาหารต่างๆโดยเฉพาะ Folic Acid ให้เป็นพลังงาน มีส่วนสำคัญในการสร้างสารทางพันธุกรรมคือ DNA และ RNA ทำให้ร่างกายสามารถสร้างเซลล์ผิวหนัง, ผม และเล็บใหม่แทนที่เซลล์เก่าที่ตายไปได้อย่างต่อเนื่อง ป้องกันอาการผมหงอกก่อนวัย (Graying Hair Progression) ป้องกันอาการเล็บเปราะ (Brittle Nail)
Folic Acid เป็นวิตามิน บี (Vitamin B) ชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ในการสร้างสารทางพันธุกรรมคือ DNA ทำให้ร่างกายสามารถสร้างเซลล์ผิวหนัง, ผม และเล็บ มีส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์ประสาทสำหรับทารกในครรภ์มารดาด้วย การที่มารดาในระยะตั้งครรภ์ได้รับ Folic Acid ในปริมาณที่เพียงพอจะสามารถป้องกันอาการพิการทางสมองในเด็กแรกเกิด (Neural Tube Syndrome) ได้ รวมถึงอาการพิการทางแขน ขา หัวใจและอื่นๆ บรรเทาอาการซึมเศร้า (Depression) โดยร่างกายจะใช้ Folic Acid ในการสร้าง S-Adenosyl Methionine (SAM) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญตัวหนึ่งในสมอง ลดอัตราการเกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (ลดการเกิดสภาวะเส้นเลือดแข็งตัว Artheriosclerosis) โดยร่างกายจะใช้ Folic Acid ในการควบคุมระดับของ Homocysteine ในกระแสเลือด
Vitamin C วิตามิน ซี เป็นวิตามินที่ป้องกันการเกิดปฎิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นที่ดี จึงป้องกันความเสื่อมของเซลล์และพบว่ามีผลในการเกิดเซลล์ที่ผิดปกติต่าง ๆ เช่น เซลล์มะเร็งได้ (Anti-Cancer) ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสดีขึ้น และพบว่าลดอัตราการติดเชื้อไวรัสหวัดได้ มีผลในการทำให้สุขภาพของผนังหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะหลอดเลือดเล็ก ๆ (Capillaries) ที่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ เช่น ดวงตา ฯลฯ และ ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดแข็ง เช่น เส้นเลือดขอดได้ ทำให้การทำงานของต่อมหมวกไต (Adrenal Grand) ดีขึ้น ส่งผลให้การผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ เป็นไปได้ด้วยดี ช่วยลดอัตราการเป็นหมันในชาย และทำให้สเปริม์แข็งแรงเคลื่อนที่ได้ดีขึ้น ลดอัตราการเกิดอาการของเก๊าท์, ข้ออักเสบ, ภาวะผื่นแพ้ต่าง ๆ หรือการติดเชื้อไวรัส ลดอันตรายจากโลหะหนักหรือสารพิษต่าง ๆที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อม
Vitamin D วิตามินดีช่วยทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมเอาแคลเซียม (Calcium) และฟอสฟอรัส (Phosphorus) เข้ามาใช้ประโยชน์ในร่างกายได้ดีขึ้น มีผลทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง แนะนำให้ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและฟันรับประทาน สตรีในวัยหมดประจำเดือนมีความจำเป็นต้องรับประทาน เนื่องจากวิตามินดีช่วยลดปัญหาการเกิดภาวะกระดูกพรุนจากการขาดแคลเซียมได้ พบว่าการรับประทานวิตามินดีควบคู่กับวิตามินเอ มีผลในการลดอัตราการเกิดหวัด (Cold) และนิยมแนะนำให้ผู้อยู่ในภาวะเบาหวาน (Diabetes) ต้อกระจก (Cataract) ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวพรรณรับประทานเป็นอาหารเสริม
Vitamin E มีคุณสมบัติการเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นที่ดีเลิศ (Potent Antioxidants) ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ต่างๆได้เป็นอย่างดี ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดเซลล์มะเร็ง (Cancer) ที่อวัยวะต่างๆได้ * มีผลในการเพิ่มอัตราส่วนของ HDL ต่อ LDL จึงให้ผลดีต่อผู้ที่มีปัญหาในเรื่องระดับโคเลสเคอรอลในเลือดสูง (High Blood Cholesterol) โดยเฉพาะในภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardio-Vascular Disease) ทำให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกัน (Immune System) ดีขึ้น สามารถทนทานต่อเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆในร่างกายได้มากขึ้น ลดการเกิด ไลโปฟุสซิน (Lipofuscin) ที่ทำให้เกิดกระแก่ที่ผิวหนังได้ ซึ่งไลโปฟุสซินเกิดจากปฏิกิริยา อ๊อกซิเดชั่นของไขมัน และวิตามิน อี จะไปยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาดังกล่าวได้ แนะนำให้ทานร่วมกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีน้ำมันมาก เช่น Evening Primrose Oil, Borage Oil, Fish Body Oil เป็นต้น เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นจากกรดไขมันที่หลงเหลือจากการใช้ ประโยชน์ของร่างกาย อันเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดกระแก่ได้ ช่วยเร่งให้ขบวนการสมานแผลในเซลล์ร่างกายเร็วขึ้น ลดการเกิดเนื้อเยื่อแผลเป็น (Keloid) ลดอัตราการเป็นหมันในเพศชาย (Impotent)
Vitamin K ช่วยในการสร้าง Prothrombin ทำให้เกล็ดเลือดเกาะตัวกันได้ดีขึ้น ช่วยในการห้ามเลือด และสมานแผล ช่วยลดอาการปวดในผู้หญิงที่มีประจำเดือนมามากผิดปกติ * ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ในหญิงมีครรภ์
เครดิตจาก http://pha.narak.com
จากคุณ :
yachawee
- [
22 ม.ค. 52 12:49:21
]
|
|
|