PANTIP.COM : Q7508839 สาวจิ้นทั้งหลาย...ฉีดวัคซีน HPV (มะเร็งปากมดลูก) กันรึยังจ๊ะ [โภชนาการ]

ความคิดเห็นที่ 5

^
|
|
|
รูปข้างบน คือ หูดหงอนไก่ค่ะ

เกิดได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง

"ฉีดวัคซีน HPV ครบ 3 ครั้ง ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้หมดเลย และไม่ต้องกลับมาฉีดอีก" ขอเน้นอีกรอบว่า "เป็นความเชื่อที่ผิด" นะคะ
ใครอย่าเผลอเข้าใจอย่างนี้เชียว
ตอนแรกเบ็บก็ได้รับข้อมูลอย่างนี้เหมือนกัน แต่เป็นข้อมูลประเภทปากต่อปาก
จนมาถึงเวลาเราจะฉีดนี่แหละ ถึงต้องมาศึกษา

Human Papilloma Virus (HPV) หรือ เชื้อไวรัสแพปพิลโลมา เป็นเชื้อไวรัสชนิดนึง ขอเรียกสั้นๆว่า HPV ซึ่งเจ้าเชื้อนี้เป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูก รวมทั้งเซลล์ผิดปกติของปากมดลูกและหูดที่อวัยวะเพศ

ส่วนมะเร็งปากมดลูก เป็นการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ปากมดลูก(ส่วนล่างของมดลูก)
ผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูกเกือบทุกราย เริ่มจากการติดเชื้อ HPV

เชื้อ HPV ไม่ได้มีแค่ 1, 2, 3, 4 สายพันธุ์นะคะ
แต่มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ และพบว่ามีเชื้อ HPV ประมาณ 40 สายพันธุ์ ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก

เชื้อ HPV กลุ่มนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อยตามศักยภาพในการก่อมะเร็ง ได้แก่
1. กลุ่มความเสี่ยงสูง คือ เชื้อ HPV ที่ทำให้เกิดรอยโรคหรือมะเร็ง เช่น เชื้อ HPV สายพันธุ์ 16, 18, 31, 33, 35 และ 39 เป็นต้น
ซึ่งพบการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ได้บ่อยที่สุดของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก

2. กลุ่มความเสี่ยงต่ำ คือ เชื้อ HPV ที่ทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ ซึ่งกลุ่มนี้มีศักยภาพก่อมะเร็งต่ำหรือไม่ก่อมะเร็ง เช่น เชื้อ HPV สายพันธุ์ 6, 11 เป็นต้น

ทุกคนที่ได้รับเชื้อ HPV จะเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือหูดที่อวัยวะเพศหรือไม่?

ไม่ สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ได้รับเชื้อ HPV กลไกป้องกันของร่างกายจะสามารถกำจัดเชื้อได้เอง อย่างไรก็ตามสำหรับบางคนเชื้อบางชนิดอาจทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ หรือการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของปากมดลูกแต่ยังไม่ใช่มะเร็ง

และสำหรับหญิงที่ไม่สามารถกำจัดไวรัสชนิดนั้นๆได้ ก็อาจเกิดความผิดปกติขึ้นกับเซลล์บุผิวปากมดลูก ซึ่งเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านี้ หากตรวจไม่พบหรือไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ระยะก่อนเป็นมะเร็งและมะเร็งได้ โดยส่วนใหญ่แล้วการเกิดมะเร็งปากมดลูกจะใช้เวลาหลายปี แต่ในบางรายซึ่งพบไม่บ่อยอาจเกิดขึ้นได้ภายในระยะเวลา 1 ปี คุณควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลคุณเกี่ยวกับการทำ Pap test (หรือที่เรียกกันว่า Papanicolaou smear) ซึ่งจะช่วยในการตรวจหาความเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปากมดลูกที่น่าสงสัยว่าจะเกิดโรค

อาการของผู้ติดเชื้อ HPV

สตรีที่แต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์แล้ว มีโอกาสติดเชื้อ HPV ได้ง่าย เนื่องจากเป็นเชื้อที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายโดยการสัมผัส หรือการมีเพศสัมพันธ์ แต่การติดเชื้อส่วนใหญ่จะหายไปได้เอง มีส่วนน้อยที่เชื้อยังคงอยู่จนก่อให้เกิดรอยโรคและมะเร็งปากมดลูกในที่สุด

การติดเชื้อ HPV ที่ปากมดลูกจะไม่มีอาการผิดปกติให้เห็นชัดเจน คือ ไม่มีตกขาว ไม่มีไข้ ไม่มีผื่นคัน และไม่มีเลือดออกผิดปกติ ดังนั้น ต้องใช้วิธีตรวจหาเชื้อ HPV ที่ปากมดลูกที่เรียกว่า แปปสเมียร์ (Pap smear) จะช่วยค้นหาความผิดปกติในระยะก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งถ้าไม่ได้รับการตรวจพบและรักษาก็จะดำเนินโรคเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ ซึ่งใช้เวลานาน 10-15 ปี

ผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน HPV

โดยทั่วไปการฉีดวัคซีน HPV มีความปลอดภัยสูง ไม่พบอาการข้างเคียงที่รุนแรงอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ได้แก่ ไข้ พบประมาณร้อยละ 10 และบริเวณที่ฉีดวัคซีนอาจมีอาการปวด บวม แดง และคัน เป็นอยู่ชั่วคราวและหายไปเอง

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

-วัคซีนเป็นวัคซีนป้องกัน แต่ไม่ใช่วัคซีนสำหรับรักษาในกรณีที่เกิดรอยโรคจากการติดเชื้อไวรัส HPV แล้ว

-วัคซีนนี้ไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัส HPV ชนิดที่ไม่ตรงกับวัคซีนได้ ซึ่งความผิดปกติดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้จากเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่ไม่ได้อยู่ในวัคซีน และไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น HIV หรือหนองในได้

-ขณะนี้ยังไม่ทราบระยะเวลาที่วัคซีนจะมีผล แต่จากข้อมูลพบว่า 5 ปีหลังฉีดภูมคุ้มกันยังคงสูง ระยะเวลาที่วัคซีนคุ้มครองได้ยังต้องติดตามกันต่อไป

-เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรให้วัคซีนตั้งแต่ก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก แต่ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แล้วก็ยังคง

-การฉีดวัคซีน HPV ไม่สามารถใช้ทดแทนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ ผู้ที่ได้รับวัคซีน HPV แล้ว ยังคงต้องมีการตรวจแปปสเมียร์ประจำทุกปี หรือตามแพทย์นัด

สรุปคร่าวๆก็คือ การรับวัคซีนสามารถคุ้มกันได้ประมาณ 5 ปี และจะมีประสิทธิภาพสูงสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์
แต่ถ้าเคยมีแล้ว และหากติดเชื้อHPV ก็ไม่สามารถรักษาเชื้อที่ติดได้ แต่จะเป็นการป้องกันเชื้อใหม่ที่จะได้รับหลังการฉีด

ชนิดของวัคซีน HPV

ในประเทศไทย มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV 2 ชนิด คือ
Gardasil และ Cervarix
แต่ช้าก่อนค่ะ...มีตัวไหนบ้างที่ผ่าน FDA อเมริกาแล้ว
แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 52 14:51:06

จากคุณ : [[babeberry]] - [ 9 ก.พ. 52 20:14:48 ]