ความคิดเห็นที่ 1 เคยรักษาสิวมานานกับคลินิค ลองหลากหลายสถานบริการ ซึ่งแต่ละที่มักจะยัดยากินให้คนไข้เสมอ หายไม่หาย หมอก็สั่งยา แต่ยามันก็ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น บางทีไม่เคยบอกว่าเป็นยาอะไร มีผลอะไร บอกแต่ว่าให้กินไปควบคู่กับยาทา คนไข้หลายคนก็ไม่ถาม กินไปเรื่อย จนวันหนึ่งเกิดผลตามมายังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ...................................................................................................................... ฝนเคยกินยาสิวหนักมากในช่วงหนึ่ง ช่วงที่ไม่ศึกษาและไม่สนใจว่ายาตัวนั้นมันช่วยอะไร มาวันหนึ่งก็รู้สึกคันบริเวณจุ๋มจิ๋มมาก ก็ยังอดทนคิดว่าไม่มีอะไร จนไม่นานก็รู้สึกว่าตกขาวผิดปกติ มันเป็นสีขุ่นแรกๆ และเป็นสีเขียวแบบน้ำมูกเด็ก มีกลิ่นนิดหน่อย ฉี่ก็แสบขัด กระเพาะปัสสาวะอักเสบง่ายมากกกก ช่วงนั้นเป็นมันเดือนละครั้งกว่าจะหายก็หลายอาทิตย์ แสบคันอย่างผิดปกติ มารู้ภายหลังว่าเราก็ติดเชื้อแคนดิดาด้วย จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 13:06:10 ]

ความคิดเห็นที่ 2 “เชื้อแคนดิดา แอลบิคันส์” หรือจะเรียกกันสั้นๆว่า “แคนดิดา” คือเชื้อยีสต์ ซึ่งเป็นเชื้อราชนิดหนึ่ง ชอบเกิดและชอบอาศัยอยู่ในช่องคลอดคุณผู้หญิง และสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าเริ่มมีเชื้อเข้าไปในร่างกาย ก็จะชอบเข้าไปอาศัยในช่องท้องโดยเฉพาะส่วนที่เป็นลำไส้ ...................................................................................................................... อาการรุนแรงมากๆ ที่ฝนประสบมากับตัวเอง คือ ใส่กางเกงในไม่ได้เลย เพราะมันจะไหลเปียกโชก ประหนึ่งเหมือนเมนส์มา แต่เป็นสีขาว ไหลเป็นน้ำโจ๊กกก ต้องใส่ผ้าอนามัย หรือไม่งั้นก็ต้องนอนอย่างเดียว จะได้ไม่ไหลเปรอะเปื้น แสบคันบ่อยมาก :-) !! ชีวิตได้อยู่พักหนึ่ง บร๊ะเจ้า !! นี่ละน๊า.. ผลของการรักษาสิวแบบไม่ลืมหูลืมตา โห.. ทรมาน อายก็อาย กว่าจะหายก็นาน การรักษาหมออาจให้ยาเหน็บไม่ก็ยากินแล้วแต่อาการคนไข้นะคะ ฝนได้ยากินเป็นคีโทโคนาโซนค่ะ ให้กินควบคู่กับยาสิวทุกครั้ง ตอนนี้ถ้าได้ไปหาหมอสิว.. ฝนจะบอกว่ามีโรคประจำตัว คือ เชื้อราในช่องคลอด หมอจะได้ทราบไว้ เพราะว่ายาปฏิชีวนะที่หมอสั่งมันมีผลข้างเคียง นับว่าเป็นประโยชน์แก่ตัวเองนะจ๊ะ อย่าปล่อยให้อาการลุมลามเลย เพื่อนๆ ผู้หญิงทั้งหลายควรบอกหมอให้คำนึงถึงเรื่องนี้เสมอนะ (ภาพประกอบ : จาก Internet นะคะ เซิร์จคำว่า เชื้อรา ช่องคลอด) จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 13:07:38 ]

ความคิดเห็นที่ 3 วันนี้ฝนได้แนบความรู้มาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันนะคะ ขอบคุณข้อมูลเสริมจาก รศ.นพ. ธีระพงศ์ เจริญวิทย์ ตกขาว มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น ระดูขาว ประจำเดือนขาว หรือมุตกิต หมายถึงอะไรก็ตามที่ถูกขับออกทางช่องคลอดซึ่งไม่ใช่เลือด ไม่จำเป็นต้องมีสีขาวเท่านั้น อาจเป็นสีเหลือง สีเหลืองปนเขียว หรือสีน้ำตาลก็ได้ ลักษณะการตกขาวแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 1 ตกขาวปกติ 2 ตกขาวผิดปกติ ...................................................................................................................... ตกขาวปกติ พบในภาวะที่ปกติ ธรรมชาติเป็นส่วนผสมของสิ่งที่ขับออกจากต่อมต่างๆ ของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกช่องคลอด ปากมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูก รวมทั้งหลอดมดลูก การตกขาวตามปกติจะเพิ่มมากขึ้นในสภาวะดังต่อไปนี้ เช่น ช่วงเวลาใกล้การตกไข่ประมาณวันที่ 13-14 ของรอบเดือน ก่อนมีระดู 2-3 วัน เป็นช่วงที่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงเพิ่มมากขึ้น ระหว่างการตั้งครรภ์จะมีการหลุดร่วงของเซลล์บุผนังช่องคลอดแลน้ำเมือก จากต่อมบริเวณปากมดลูกเพิ่มมากขึ้นและขณะร่วมเพศ การกระตุ้นหรือเล้าโลมทางเพศจะมีการสร้างน้ำเมือกขาวใส ไม่มีกลิ่นออกมา นอกจากนี้ในทารกแรกเกิดเพศหญิงอาจพบการตกขาวภายหลังคลอด ซึ่งเป็นผลจากได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากแม่ ...................................................................................................................... ตกขาวผิดปกติ จะมีปริมาณตกขาวมากขึ้นมีสีและกลิ่นผิดปกติ ก่อให้เกิดความรำคาญ อาจมีอาการคัน ปวดแสบร้อนบริเวณปากช่องคลอด หรือบริเวณใกล้เคียง ถ่ายปัสสาวะแสบขัด และมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ (ภาพประกอบ : จาก Internet นะคะ เซิร์จคำว่า เชื้อรา ช่องคลอด) จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 13:08:55 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สาเหตุตกขาวผิดปกติ ได้แก่ การติดเชื้อจากพยาธิในช่องคลอด (Trichomonas vaginalis) เชื้อรา เชื้อหนองใน เชื้อแบคทีเรียต่างๆ ที่มักพบในเด็ก และเชื้อไวรัส ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณช่องคลอด และอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก รวมทั้งในสตรีที่หมดระดูแล้วเยื่อบุช่องคลอดบางลง มีความต้านทานต่อการติดเชื้อน้อย จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 13:09:16 ]

ความคิดเห็นที่ 5 รศ.นพ.ธีระพงศ์ กล่าวว่า ยาปฏิชีวนะนี่แหละตัวดี เพราะบางคนเป็นหวัดเรื้อรัง หรือเป็นสิว ต้องกินยารักษาอย่างต่อเนื่อง ตัวยาจะไปทำลายเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราในช่องคลอดที่อาศัยอยู่อย่างสมดุล ทำให้มีโอกาสเป็นเชื้อราและมีปัญหาตกขาวเกิดขึ้น ยกตัวอย่างมีคุณแม่คนหนึ่งพาลูกสาวมาหาหมอเพราะตกขาวมาก ทั้งที่ลูกไม่ได้ไปยุ่งกับใคร พอซักประวัติจึงรู้ว่ากินยารักษาสิวมานานแล้ว (ภาพประกอบ : จาก Internet นะคะ เซิร์จคำว่า สิว) จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 13:10:07 ]

ความคิดเห็นที่ 6 วิธีการสังเกตตกขาวมีดังนี้ ถ้ามีลักษณะเป็นเมือกใส ไม่มีกลิ่น ให้นึกถึงว่ามีไข่ตกหรือมีอารมณ์เครียด แต่ถ้ามีลักษณะเหนียวใสถึงขาวขุ่น มีกลิ่นคาวเหมือนปลาเน่า ให้นึกถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย ถ้ามีสีเขียวปนเหลือง เป็นฟองมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีอาการคันร่วมด้วย ให้นึกถึงพยาธิในช่องคลอด ถ้ามีสีขาวเกาะเป็นก้อนคล้ายแป้งเปียก มีกลิ่นเหม็นอับให้นึกถึงการติดเชื้อราของช่องคลอด ซึ่งมักจะมีอาการคันร่วมด้วยเป็นๆ หายๆ จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 13:10:43 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ในกรณีของเชื้อรานั้นสาเหตุส่วนหนึ่งอาจมาจากสามีเป็นเชื้อราแต่ไม่ได้รักษาเพราะไม่มีอาการ มีเพียงภรรยาที่มารักษาแต่ไม่หายเสียทีสุดท้ายก็ต้องนำสามีมาตรวจรักษาด้วย ส่วนการรักษาตกขาวผิดปกติจะรักษาตามสาเหตุ เช่น เป็นพยาธิในช่องคลอด ต้องนำคู่นอนมารักษาด้วยและให้ยาในขนาดเท่ากัน ถ้าเป็นเชื้อราให้ยาสอดช่องคลอดหรือยารับประทานโดยควรรักษาคู่นอนด้วย มิฉะนั้นผู้ป่วยจะกลับเป็นซ้ำอยู่บ่อยๆ ภาวะต่างๆ เช่น การตั้งครรภ์ เบาหวาน ภูมิคุ้มกันต่ำ การเจ็บป่วยเรื้อรัง การใช้ยาปฏิชีวนะ การให้ยาสเตียรอยด์ หรือยาเม็ดคุมกำเนิด เป็นเวลานานๆ คนอ้วนมากๆ มีส่วนช่วยให้เกิดเชื้อราระดูขาวได้ (ภาพประกอบ : จาก Internet นะคะ เซิร์จคำว่า อ้วน) จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 13:12:15 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ในการป้องกันการติดเชื้อในช่องคลอดนั้น นพ.ธีระพงศ์ แนะนำว่า การทำความสะอาดทวารหนักนั้น ผู้หญิงทุกคนควรเช็ดจากหน้าไปหลัง เนื่องจากผู้หญิงมีช่องคลอดและทวารหนักอยู่ใกล้กัน จึงมีโอกาสที่จะติดเชื้อสูง เวลาที่เข้าห้องน้ำสาธารณะ ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรใช้น้ำฉีดทำความสะอาดหลังปัสสาวะเสร็จ แค่ใช้กระดาษทิชชูซับก็พอแล้ว กลับมาบ้านค่อยล้างออก แต่ด้วยความเคยชินปัสสาวะเสร็จต้องล้าง เพราะคิดว่าสกปรกซึ่งไม่เป็นความจริง ปัสสาวะแค่ทำให้เกิดกลิ่นเท่านั้น ...................................................................................................................... การใช้หัวฉีดทำความสะอาด คนที่ใช้ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ามีการตกขาวหรือมีเชื้อโรคอะไร ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรฉีดน้ำทิ้งก่อน และการใช้น้ำฉีดทำความสะอาดทำให้เกิดความอับชื้นมีโอกาสเป็นเชื้อราสูง จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 13:13:24 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ควรหลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอดโดยเด็ดขาด เพราะมีคนไข้บางคนทำความสะอาดแบบหมดจดจริงๆ ล้วงเข้าไปทำความสะอาด หรือใช้น้ำยาเข้าไปทำความสะอาดในช่องคลอด ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิด เพราะช่องคลอดมีความสมดุลในตัวอยู่แล้ว ทำความสะอาดแค่ภายนอกใช้น้ำอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว เหมือนกับการล้างหน้า ถ้ารู้สึกว่าหน้าเหนียวเหนอะหนะก็ล้างหน้า อาจเป็นวันละ 2 ครั้งก็พอแล้ว ส่วนใหญ่ที่แนะนำ คือ ทำความสะอาดตอนอาบน้ำ โดยใช้น้ำธรรมดาไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาอะไร นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการให้ผ้าอนามัยแบบสอดเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองติดเชื้อ แต่บางคนติดใส่ผ้าอนามัยแบบสอด มีไม่มีก็ใส่เอาไว้ก่อน ซึ่งความจำเป็นที่ต้องใส่ทุกวันหมอว่าไม่มี ...................................................................................................................... รศ. นพ.ธีระพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อใดก็ตามที่ตกขาวมีสีเปลี่ยน กลิ่นผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย ไม่ควรไปซื้อยามากิน หรือมาเหน็บเอง เพราะอาจไม่ตรงตามอาการที่เป็น การรักษาก็ไม่ได้ผล และไม่ควรปล่อยปละละเลยเพราะอาจทำให้เชื้อโรคลุกลามเกิดการอักเสบ เป็นฝีที่ปีกมดลูกต้องผ่าตัดจนถึงขั้นต้องตัดมดลูก หรือปีกมดลูกทิ้งไป ...................................................................................................................... อย่ากินยาสิวเยอะ จนลืมนึกถึงผสเสียที่จะเกิดกับระบบภายในร่างกายของเรานะคะ ด้วยความปรารถนาดี จากคนเคยเป็น จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 13:15:12 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แหล่งอ้างอิงประกอบ : http://healthnet.md.chula.ac.th/text/forum1/leukoria/index.html บวกประสบการณ์ตรงจ้า จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 13:17:38 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เคยเป็นตกขาวค่ะ คุณหมอให้ยาเหน็บมาก็ต้องใช่เวลา พอดีไปตรวจภายในกับคุณหมอเลยได้รู้ว่าเป็น จากคุณ : ashtray - [ 3 มิ.ย. 52 13:32:44 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ยาสิวที่ว่า  ชื่อยาอะไรคะ จากคุณ : princessizz - [ 3 มิ.ย. 52 13:54:07 ]

ความคิดเห็นที่ 13 โอ๊ว หน้าใสสุดๆ อิจฉาค่ะ เรื่องตกขาว เอ่อ ไม่เคยกินยาสิวค่ะ แต่ก็มีตามปกตินะคะ ก่อนเป็นประจำเดือน แต่เคยติดเชื้อช่วงหัดว่ายน้ำ ขอบคุณข้อมูลที่มีประโยชน์ค่ะ จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง - [ 3 มิ.ย. 52 13:59:10 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เฮ้  เราเพิ่งไปหาหมอเรื่องตกขาวมาเหมือนกัน หมอบอกว่ามาจากความอับชื้น กินยาปฏิชีวนะมากๆ พักผ่อนน้อย ภูมิต้านทานร่างกายไม่ดี เรากินโรแอคฯ ติดต่อกันประมาณ 3 เดือนอ่ะ เลิกกินไปได้เดือนนึงแล้ว แต่ก้อมีอาการคันๆ ครั้งนึง  ครั้งล่าสุดตกขาวสีเขียวอ่อน แบบที่คุณจขกท เล่ามาเลย ... ไม่อยากกินยาแรง เลยหยุดไป ยอมหน้ามันเหมือนเดิม ไม่ยักรู้ว่า ได้ของแถมเป็นตกขาวมาอีก  ได้ตรวจภายในไปเลย - -" ถ้ามีอาการผิดปกติ ไปหาหมอนะจ๊ะ หมอไม่น่ากลัว หมอบอกว่า ดีแล้วที่ไม่ได้กินยาอะไรเองมาก่อน เพราะว่าจะทำให้วินิจฉัยยากจ้ะ จากคุณ : คุณคนที่ใส่เสื้อสีชมพูนั่นน่ะ - [ 3 มิ.ย. 52 14:03:28 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณค่ะ ^^ จากคุณ : wilawan_h - [ 3 มิ.ย. 52 14:13:23 ]

ความคิดเห็นที่ 16 กระทู้แบบนี้..... ต้องโหวต....ค่า... ^_^ จากคุณ : bemynails - [ 3 มิ.ย. 52 14:22:33 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ยาที่ว่าก็คือ...พวกยาสิวที่หมอจัดให้ อย่างเช่น ยาแก้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อ ซึ่งประโยคนี้จะเป็นคำพูดที่คุณหมอบอกเราแบบกว้างมาก อีกอย่างก็ไม่เคยบอกผลที่ตามมาเมื่อกินไปมากๆ แต่เอาเข้าจริงๆ เราควรนำชื่อสามัญทางยามาค้นข้อมูลดูเรื่องข้อดี - ข้อเสียด้วยจ้า หรือเอาชัวร์ๆ ถามหมอไปเลยว่ากินแล้วจะเป็นอย่างไร ควรกินติดต่อนานแค่ไหนถึงจะหยุดกิน ที่แน่ๆ ฝนกินอาม๊อคซี่ติดต่อกันนาน รวมทั้งโรแอคฯ ด้วย อาการดังกล่าวก็สำแดงฤทธิ์ได้น่ากลัวค่ะ จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 14:27:08 ]

ความคิดเห็นที่ 18 พอดีกินยาแก้สิวเหมือนกันคะ กินจำพวกโรแอค แต่ว่าไม่ได้ทานยาปฎิชีวนะ งั้นถ้าเรากิน ยาจำพวกนี้ เวลาเป็น หวัด รักษา อาการอักเสบ ก็เสี่ยงต่อ  การเป็นโรคนี้ด้วยใช่ไหมคะ พอดี เราขี้สงสัยค่ะ แฮะ ๆ^^ จากคุณ : princessizz - [ 3 มิ.ย. 52 14:42:36 ]

ความคิดเห็นที่ 19 น่ากลัวจังค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : icysoda - [ 3 มิ.ย. 52 14:46:36 ]

ความคิดเห็นที่ 20 โหวดกระทู้แล้วนะคะ กระทู้มีประโยชน์มาก ๆ ค่ะ จากคุณ : SnOwY~SeAsOn - [ 3 มิ.ย. 52 14:48:58 ]

ความคิดเห็นที่ 21 กินติดต่อ ถ้ากินนานเกิน 3 อาทิตย์ก็มีสิทธิ์ค่ะ หมอบอกมาอีกทีนะคะ ^O^ หมอบอกกับฝนเองว่ามันจะฆ่าเชื้อหมด  ไม่ว่าหู คอ ผิวหนัง ร่วมถึงจุ๋มจิ๋มด้วย พอมันสะอาดเกินไป ก็ทำให้ติดเชื้อง่ายจ้า เพราะเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราในช่องคลอดที่อาศัยอยู่ไม่สมดุล จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 14:53:20 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แนะนำให้ทานนมเปรี้ยวที่มีแลคโตบาซิลลัสทุกวันค่ะ เพราะที่ช่องคลอดของเราจะมีเจ้าแลคโตคอยดูแลอยู่ กินเข้าไป จะช่วยไปเพิ่มกองทัพแลคโตในการกำจัดเชื้อราต่างๆได้นะ สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นอะไรผิดปกติ ก็จะช่วยทำให้ตกขาวน้อยลง และน้องสาวก็จะไม่มีกลิ่นด้วยค่ะ ^^ จากคุณ : หมาน้อย กบ ก๊บ - [ 3 มิ.ย. 52 14:56:41 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ฝนก็ดื่มนมเปรี้ยวทุกเช้าจ้า เพื่อไปเสริมส่วนที่เสียไป เคยถ่ายรูปเก็บไว้เหมือนกัน ^^ โยเกิร์ตก็ทานนะจ๊ะ จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 15:04:07 ]

ความคิดเห็นที่ 24 กำลังกินยารักษาสิวอยู่เลย อันตรายจริงๆค่ะ จากคุณ : ซูชิหน้ามึน (yoopy55) - [ 3 มิ.ย. 52 15:05:03 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เริ่ดค่ะ  ประดับความรู้  โหวตค่ะ โหวต จากคุณ : หน่วยย่อย889 - [ 3 มิ.ย. 52 15:28:39 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อึ๋ย . น่ากลัวจังเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับความรุ้ค่ะ โหวตค่ะโหวต จากคุณ : นักคุ้ยกระบะ - [ 3 มิ.ย. 52 15:40:17 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เข้ามาโหวตด้วยคน..กับสิ่งที่เพิ่งรู้จากการกินยาแก้สิว เพราะเป็นตกขาวบ่อย ๆ เลยเพิ่งรู้ส่วนหนึ่งของสาเหตุ ที่ผ่านมา..ไปหาหมอสิว..มักได้กินแต่ยาแก้อักเสบ..ส่วนตัวโรฯ..กินมาก ๆ แล้วปากแห้งไปหมด..ยอมกลับมามีสิวเหมือนเดิม ตอนหลังหมอจึงแนะให้กินยาคุมฯ เพื่อควบคุมฮอร์โมนจะดีกว่า จากคุณ : นภาดา - [ 3 มิ.ย. 52 15:43:26 ]

ความคิดเห็นที่ 28 -*-  กำละ  พึ่งกินยาแก้อักเสบสำหรับสิวไป  1 สัปดาห์เต็มๆ แต่ก็ไม่มีอาการข้างเคียงนะ  สงสัยเพราะยาคูส์ช่วยไว้   จากคุณ : MBA ฮาเฮ - [ 3 มิ.ย. 52 16:10:01 ]

ความคิดเห็นที่ 29 มีประโยชน์มากมายเลยจ้าน้องฝน  พี่หญิงโหวตให้ อีก  1 เสียงนะคนสวย จากคุณ : ตัวเล็กอ้วน - [ 3 มิ.ย. 52 16:29:06 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณทุกท่านที่โหวตให้ค่ะ เป็นครั้งแรกตั้งแต่เล่นพันทิพแล้วได้เป็นกระทู้แนะนำจากเพื่อนๆ ที่อ่าน ฝนอยากแชร์ความรู้เรื่องนี้ เพราะบางคนเป็นสิว รักษาสิวแต่กลับได้ของแถม ฝนโชคดีหน่อยแค่กินยาก็หาย  แต่ทำให้การรักษาสิวในครั้งต่อไป ฝนจะระวังเรื่องยามากค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ปล.ใครที่ไม่ได้เป็นก็ขอให้นำไปเล่าให้เพื่อนที่รักษาสิวฟังนะคะ มันจะเป็นประโยชน์มากมาย อย่าให้ต้องเป็นก่อนแล้วจึงบอกต่อเลยจ้า จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 16:33:36 ]

ความคิดเห็นที่ 31 โหวตค่ะ เราโชคดีไม่เคยกินยาแก้สิว แต่เคยกินแก้อักเสบ ดีที่ไม่เป็นอะไร จากคุณ : osaru no monkichi - [ 3 มิ.ย. 52 16:41:48 ]

ความคิดเห็นที่ 32 โหวตค่ะ จากคุณ : กระบี่ในใจ - [ 3 มิ.ย. 52 16:47:39 ]

ความคิดเห็นที่ 33 กำลังสงสัยว่าหัวฉีดที่ใช้น่ะ มันจะติดได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ แสดงว่าคนที่มีเชื้อเอาไปให้แบบจ่อติดเลยนะถึงติดหัวฉีดมาได้ เพราะคนปกติไม่ได้ฉีดแบบจ่อขนาดนั้นแน่ๆ ต่อไปต้องระวังแล้ว จากคุณ : Alex on the rock - [ 3 มิ.ย. 52 16:47:47 ]

ความคิดเห็นที่ 34 กระทู้ที่มีประโยชน์มากๆค่ะ ช่วงนี้สิวเริ่มกลับมาบุกอีกแล้ว คงเพราะเครียด และนอนดึก -ไม่ได้นอนเลยก็มี คุณหมอที่ พร... ให้ยามาทานเป็นแคปซูล ชมพู-ขาว กับเม็ดสีเขียวรีๆเล็กๆ ยังไม่มีผลข้างเคียง แต่เข้าไปหาหมออีกครั้งต้องถามให้ได้ว่ามันคืออะไร ถ้ามีผลกับมดลูกแบบนั้นไม่ไหวเหมือนกัน ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากๆเลยค่ะ จากคุณ : ZakUrA_mO - [ 3 มิ.ย. 52 16:47:57 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ได้ความรู้เยอะมากเลย แต้งกิ้ว ๆ ค่ะ จากคุณ : CaraMelLatte - [ 3 มิ.ย. 52 16:52:52 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณนะคะ     จะได้เอาไปบอกเพื่อนๆ บ้าง               จากคุณ : ปุยหิมะ - [ 3 มิ.ย. 52 16:53:43 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เวลาไปรักษาสิวก็จะบอกหมอว่าเราไม่เอายากินอยู่แล้วค่ะ ยอมหายช้า เพราะเราเองก็มีโรคประจำตัวอยู่ ทำให้ไม่กล้ากินยาอื่นนอกจากหมอประจำโรคสั่ง ส่วนอันนี้เป็นความรู้ใหม่ค่ะ ขอบคุณมากๆเลย^^ จากคุณ : คูชิคูชิ - [ 3 มิ.ย. 52 17:16:16 ]

ความคิดเห็นที่ 38 มาโหวตให้อีกเสียงค่ะ จากคุณ : นู๋แฟนแฝดนู๋เคียว - [ 3 มิ.ย. 52 17:20:32 ]

ความคิดเห็นที่ 39 รู้สึกว่าจะมีอาการที่ว่าบ้าง แต่จะนคันจุ๋มจิ๋มด้านนอกมากกว่า ตกขาวไม่ถึงกับเขียวอะค่ะ แต่ก็ทานยาพวกนี้มานานเหมือนกัน ต้องเริ่มสังเกตบ้างแล้ว ต่อไปนี้ต้องกินพวกนมเปรียวยาคูลมากขึ้นล่ะ ถ้าเปลี่ยนพวกยาสิว เป็น ฮอร์โมน มันจะตกข่วไหมคะ แหะ แหะ อยากทราบเหมือนกันค่ะ ตอนนี้เลิกกินมาเกือบเจ็ดแปดเดือนแล้ว เพราะรู้สึกว่า ทานโลแอคแล้วมันแห้งไปหมด พอหยุดทาน สิวมาอีก เป็นวงเวียนที่ย่ำแย่เลยรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไปเอา ไม่พึ่งยาทานดู ซึ่งก็ไม่ดีขึ้นเท่าไร เพราะต้องใช้เวลา ช่วงนี้นอนน้อยด้วย เครียดด้วยอืมมม หลาย ๆ อย่าง ขอบคุณ จขกท. มาก ๆ ค่ะ ที่มาให้ความรู้ จากคุณ : kazuharu - [ 3 มิ.ย. 52 17:33:13 ]

ความคิดเห็นที่ 40 อ้าว ยาอะไรอ่ะครับ โรแอคป่ะ ถ้าใช่ ผู้ชายจะตกขาวมะนี่ T^T เห็นหมอบอกมันมีผลกับคอเรลตอรอลในเลือดอย่างเดียว จากคุณ : ผืนแผ่นดิน - [ 3 มิ.ย. 52 17:34:49 ]

ความคิดเห็นที่ 41 แล้วคุณฝนทำยังไงถึงหายเป็นสิว ล่ะคะ จากคุณ : หนูได้อมยิ้มแล้วค่ะ - [ 3 มิ.ย. 52 18:00:30 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณZakUrA_mOคะ แคปซูลสีชมพูขาวเราก็คยทานเหมือนกัน เคยถามหมอ หมอบอกว่าปเนยาแก้อักเสบเหมือนที่ใช้รักษาหวัดนั่นแหละค่ะ อันที่จริงเรา แรกๆเราก็ไม่จำชื่อยานะ พอหลังๆจำได้แล้วบอกชื่อยาหมอ หมอถึงกับบอกว่าไม่ต้องจำก็ได้ เรานี่งงเลย ทำไมไม่ให้จำหรือว่าไม่ต้องจำล่ะ ก็คนมันสมองดี ฮ่าๆๆๆๆ(ไม่เกี่ยวกันแล้ว) จากคุณ : kats - [ 3 มิ.ย. 52 18:08:21 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ฝนรักษาสิวด้วยกินยาสิว พวกด๊อกซี่กับอาม๊อคซี่ค่ะ  แต่สำหรับโรแอคฯ งดเลยจ้า เคยมีผลข้างเคียง ฝนเองจะกินยาเฉพาะตอนเป็นสิว และกินไม่ให้นานเกิน 2 อาทิตย์ เพราะไม่งั้นอาการมันก็จะเริ่มมา ถ้ามีอาการที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ก็จะกินคีโทโคนาโซนแบบเม็ด หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่เดี๋ยวนี้นานๆ จะกินยาสิวสักที ก็เพราะเราไม่อยากกลับไปเป็นอีก โหดร้ายยย เคยลองกินยาคุมเพื่อปรับฮอร์โมนดูนะคะ ดีมากๆ เลย แต่ตอนนี้หยุดไป เลยทำให้มาเป็นอีกรอบ ส่วนเรื่องการดูแลตัวเองก็นอน 4 ทุ่ม ตื่นหกโมงเช้า จริงๆ แล้วก็ทำตามคำแนะนำในเวปที่อ่านเจอทั้งนั้นนะคะ ทำทุกอย่างไม่กินเหล้า ดูดบุหรี่ ไม่กินนมเนย ไม่กินของหมัก อาหารทะเล ฯลฯ คือ พยายามเลี่ยงหมด  แต่สิวก็ขึ้น คุณหมอบอกว่าฝนเป็นสิวฮอร์โมนอ่ะค่ะ T^T V V V V V V ยาชมพูขาวที่คุณ ZakUrA_mO ได้เป็นแบบนี้หรือเปล่าคะ ถ้าใช้มันเป็นอาม๊อคซี่ค่ะ ฝนก็หาซื้อตามร้านขายมาอีกที เม็ดละ 3 บาท แผงละ 30 บาทค่ะ จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 18:23:13 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ตอบคุณ ผืนแผ่นดิน >> ฝนไม่รู้อาการข้างเคียงของผู้ชายอ่ะ แฟนฝนกินก็บอกไม่เห็นเป็นอะไรนอกจากปากแห้ง ผู้อ่านที่เป็นผู้ชาย แล้วเคยมีอาการแปลกๆ จากการกินยามาเล่าสู่กันฟังบ้างนะจ๊ะ จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 18:28:35 ]

ความคิดเห็นที่ 45 หูยยยย น่ากลัวมากๆ ยังงี้เราจะรู้ได้ไงว่า ยาตัวนี้มันอันตราย+มีผลข้างเคียง เพราะปกติเวลาไปหาหมอที่คลินิก หมอไม่เคยบอกชื่อเลย ต้องรอให้เป็นก่อนหรอเนี่ยยย อย่างงี้จะเรียกว่าหมอขาดจรรยาบรรณแพทย์ดีมั้ยเนี่ย จากคุณ : zerjes - [ 3 มิ.ย. 52 18:35:02 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณคุณฝนนะคะ สำหรับ กะทู้ดีๆ มีประโยชน์ เคยแอบบ ( ไมต้องแอบบ =='') เข้าไปอ่านในบล๊อกคุณฝนหลายหนแล้ว มีประโยชน์มากมายจริงๆ ค่ะ ปล. มาริโอ้ .. ใช้ดีจริงๆจ้า.. ให้เพื่อนใช้ เพราะตอนนี้ ไม่มีสิวแล้วว ขอบคุณน๊า... จากคุณ : tea_lamon - [ 3 มิ.ย. 52 18:37:22 ]

ความคิดเห็นที่ 47 พูดจริงๆนะ หมอตามคลีนิค ถามไปก็ไม่เคยจะบอกว่าให้เรากินยาอะไร บอกแค่ว่ามันเป็นยาแก้อักเสบ แล้วเราก็ถามต่อ แล้วยาอะไรหล่ะคะ พี่แกก็เลี่ยงมากๆอ่ะ กลัวเราไปซื้อยากินเองมั้ง คลีนิคพี่แกขายยาแพงมากกกกกกกกกกก (คลีนิคที่คนฮิตไปหากันอ่ะค่ะ) แต่บางคลีนิคอาจจะบอกก็ได้นะว่ายาอะไร แต่เค้าคงไม่บอกข้อเสียหรอก คงแค่ถามว่าแพ้ยาอะไรแค่นั้นแหล่ะ ส่วนมากยารักษาสิวที่เค้าให้กิน(เพื่อนๆเคยกินกันมั้ย แคปซูลเขียวเข้ม) คือ doxycyclin ซึ่งยานี้ทำให้เราไวต่อแสงมากขึ้นด้วย และถ้ากินยาปฏิชีวนะติดต่อกันนานๆ เป็นเดือนๆ ไม่ว่าจะรักษาโรคอะไรก็ตาม มีโอกาสที่จะติดเชื้อราทางช่องคลอดได้ง่ายมากๆ บางรายอาจมีอาการท้องเสียได้ด้วย ดังนั้น เวลาเราได้รับยามา ก็ถามหมอให้ดีๆนะคะ ว่ายาอะไร ตอนนี้ไม่ได้ไปหาหมอแล้ว ถ้าหมอให้ยากินมาอีก จะถามจนเค้าจนมุมเลย เบื่อ!!!! อ้อ ตอนนี้ไม่รู้มีกฏหมายออกมารึยังนะคะ ไม่แน่ใจ แต่น่าจะมีแล้วแหล่ะ ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะรู้ว่าตนเองได้รับยาอะไร ห้ามแพทย์ปิดบัง จากคุณ : buski - [ 3 มิ.ย. 52 18:54:29 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ไหนก็เขียนเรื่องยาสิวแล้ว งั้นขอแนบให้เพื่อนๆ อ่านแล้วกันนะคะ พอดีมีข้อมูลอยู่ เคยอัพไว้ในบล๊อค แต่คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านท่านอื่นๆ เช่นกัน ................................................................................................................................. ข้อมูลยา อะม็อกซิลลิน (Amoxcillin) เป็นยาพวกเดียวกับแอมพิซิลลิน (Ampicillin) ซึ่งสังกัดอยู่ในกลุ่มเพนิซิลลิน เนื่องจากยานี้ดูดซึมทางลำไส้ได้ดีกว่า ใช้ขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของแอมพิซิลลิน รวมทั้งใช้กินหลังอาหารได้ จึงนิยมใช้ยานี้แทนแอมพิซิลลิน Ampicillin เป็นยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้กว้างขวาง ทั้งชนิดแกรมบวก (Gram-positive) และแกรมลบ (Gram-negative) ใช้รักษาโรคติดเชื้อของระบบอวัยวะ ดังต่อไปนี้ 1. ทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดที่มีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน คออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ ปอดอักเสบ ไซนัสอักเสบ ครู้ปจากแบคทีเรีย 2. หู เช่น หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน 3. ทางเดินอาหาร เช่น บิด ไทฟอยด์ เหงือกอักเสบ แผลอักเสบจากการถอนฟัน 4. ทางเดินปัสสาวะ และอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ ท่อปัสสาวะอักเสบ หนองใน 5. ผิวหนัง เช่น แผลเปื่อย แผลอักเสบ ฝี ตุ่มหนอง พุพอง ประเภทยา  >> ชนิดแคปซูล 250 มก. และ 500 มก. >> ชนิดน้ำเชื่อม 125 มก. ต่อช้อนชา และ 250 มก. ต่อช้อนชา ขนาดและวิธีใช้ 1. สำหรับโรคติดเชื้อทั่วไป ผู้ใหญ่ ให้ครั้งละ 250-500 มก. ทุก 8 ชั่วโมง หรือวันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหาร และก่อนนอน เด็ก ให้วันละ 30-50 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือจะแบ่งให้ตามน้ำหนักตัว โดยให้เป็นชนิดน้ำเชื่อม (125 มก.ต่อช้อนชา) หรือ ชนิดแคปซูล (250 มก.) ดังนี้ ต่ำกว่า 6 กก. ให้ครั้งละ 1/2 ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้ง 7-12 กก. ให้ครั้งละ 1 ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้ง 13-18 กก. ให้ครั้งละ 1 1/2 ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้ง 19-35 กก. ให้ครั้งละ 2 ช้อนชา หรือ 1 แคปซูล วันละ 3-4 ครั้ง มากกว่า 35 กก. ให้ขนาดเท่าผู้ใหญ่ ทั้งหมดนี้ให้กินหลังอาหาร และก่อนนอน เป็นระยะนานประมาณ 5-10 วัน แล้วแต่ชนิดของโรค (สำหรับบิดชิเกลลาให้นาน 5 วัน, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ 3 วัน) 2. สำหรับไทฟอยด์  ผู้ใหญ่ ให้ครั้งละ 500 มก. วันละ 4 ครั้ง เด็ก ให้วันละ 50 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แบ่งให้วันละ 3-4 ครั้ง ให้กินนาน 14 วัน 3. สำหรับโรคหนองใน ให้กินครั้งเดียว 3 กรัม (ขนาด 500 มก. 6 แคปซูล หรือ 250 มก. 12 แคปซูล) อาจให้โพรเบเนซิด 1 กรัมร่วมด้วย ผลข้างเคียง >> อาจทำให้มีอาการอาเจียน ท้องเดิน หรือแพ้ยาได้ ข้อควรระวัง 1. อาจมีอาการแพ้ เป็นผื่นคัน ลมพิษได้ คนที่แพ้ยานี้ หรือกลุ่มยาเพนิซิลลิน ห้ามใช้ยานี้ 2. อาจมีผลข้างเคียง คือ จุกแน่นท้อง ท้องเดิน ข้อห้ามใช้ >> ยานี้อาจทำให้มีอาการแพ้แบบเพนิซิลลิน คนที่แพ้ยานี้ห้ามใช้ Credit : http://www.thailabonline.com/ & http://www.geocities.com/isanconsumer/d0110.html ภาพทั้งหมดคือ ยาฝนเอง มีหลายสี เพราะหลายยี่ห้อ แต่ก็ 500 มก.เท่ากัน ราคาร้านขายยาตกเม็ดละ 2-3 บาท แผงละ 30 บาท จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 18:56:07 ]

ความคิดเห็นที่ 49 สำหรับ Doxycycline Doxycycline เป็นยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ฤทธิ์ของมันก็คือการฆ่าเชื้อแบคทีเรียนั่นเอง ยาตัวนี้อยู่ในกลุ่มเดียวกับ Tetracycline เพียงแต่ Tetra นี้มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก (ทำให้ฟันเหลือง) ประโยชน์ทางด้านผิวหนัง Doxy ช่วยในการรักษาสิว (acne vulgaris) ที่เป็นสิวอักเสบ โดยออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ Propionibacterium acne ซึ่งเชื่อว่าเป็นตัวการทำให้เกิดสิว และเชื่อกันว่ายาช่วยลดการสร้างไขมันในรูขุมขนด้วย อย่างไรก็ตามสิวเป็นโรคที่เกิดจากหลายๆปัจจัย ดังนั้นการรักษาด้วยยาเพียงชนิดเดียว วิธีเดียว อาจจะไม่ได้ช่วยทำให้หายได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา ข้อบ่งใช้ >>  เป็นยาในกลุ่มเดียวกับเตตราไซคลีน แต่มีข้อดี คือ ใช้ขนาดน้อยกว่า (มักใช้กินวันละครั้ง) และทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน น้อยกว่าเตตราไซคลีน 1. ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียทั้งชนิดแกรมบวก และแกรมลบ เช่น อหิวาต์ ไข้รากสาดใหญ่ เล็ปโตสไปโรซิส 2. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในเทียม ซิฟิลิส ฝีมะม่วง 3. ใช้รักษามาลาเรีย ร่วมกับควินิน ประเภทยา >> ชนิดเม็ด และชนิดแคปซูล 100 มก. มีชื่อทางการค้า เช่น ดอกซิน (Doxin), ดอกไซคลีน (Doxycline), ไวบราไมซิน (Vibramycin) เป็นต้น ผู้ป่วยเป็นสิวและกำลังรักษาโดยการกินยา doxycycline แต่อาการไม่ดีขึ้น การที่ผู้ป่วยใช้ยาดังกล่าวแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเนื่องมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้ - ระยะเวลาในการรักษากว่าจะเห็นผลต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือนหรือมากกว่าขึ้นกับการตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วยแต่ละราย - การกินยาไม่สม่ำเสมอหรือกินยาพร้อมกับนมหรือยาลดกรดรวมทั้งผลิตภัณฑ์นม ซึ่งการกินร่วมกันจะส่งผลลดการดูดซึมยา doxycycline ทำให้การออกฤทธิ์รักษาสิวได้ไม่เต็มที่ - การดูแลรักษาความสะอาดของใบหน้า การแคะ แกะ เกาบริเวณใบหน้า หากไม่มีปัจจัยดังกล่าว อาจต้องหาสาเหตุอื่นที่ทำให้การรักษาด้วยยา doxycycline ไม่ได้ผล ถ้าไม่ได้เป็นสิวอักเสบรุนแรงก็ไม่ควรใช้ isotretinoin (เจ้าโรแอคฯ เม็ดละ 40-45 บาท : เม็ดสีม่วง ไม่ก็สีเหลืองแล้วแต่ยี่ห้อ) เนื่องจากยา isotretinoin นี้มีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างอันตรายและรุนแรง ซึ่งผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมักสัมพันธ์กับขนาดยาที่ผู้ป่วยได้รับ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาจเกิดภาวะซึมเศร้า ผิวหนังและเยื่อบุแห้ง ริมฝีปากอักเสบ ปวดเมื่อย การตัดสินใจใช้ยาตัวนี้จึงต้องคำนึงถึงข้อดีข้อเสียของยาตัวนี้ก่อน และจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานที่มีประสิทธิผลมากที่สุดในการรักษาสิวอักเสบ ได้แก่ - tetracycline - doxycycline (Vibramycin) - minocycline (Minocin) - erythromycin การใช้ยาดังกล่าวในการรักษาสิวอักเสบผู้ป่วยจะได้รับยาเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก (ขนาดยาแต่ละวันสูง) ให้ใช้ไปจนอาการสิวดีขึ้น ปกติใช้เวลาประมาณ 3-6 สัปดาห์ ระยะต่อมา (ขนาดยาแต่ละวันต่ำ) ให้ใช้ยาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อควบคุมอาการสิว Doxycycline ควรเริ่มต้น: ครั้งละ 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ระยะต่อมา : วันละ 50-100 มิลลิกรัม ( 1 เม็ด พอ ) ที่สำคัญในการรักษา เราจำเป็นต้องปฏิบัติตัวให้ถูกต้องด้วย เช่น หลีกเลี่ยง การแคะ แกะ เกาสิว เนื่องจากถ้าสิวเกิดอักเสบจะทำให้เกิดรอยดำหรือรอยแผลเป็น และอาจกระตุ้นทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้นได้ ควรสังเกตและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้สิวขึ้นได้ เช่น เครียด นอนน้อย หรือสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคืองของผิวหนัง เช่น ของฉุน ฝุ่น ควัน แสงแดด เหงื่อ ราคาที่ร้านขายยา ขายอยู่เม็ดละ 1.5 - 2 บาท ค่ะ ถ้าเป็นแผง แผงละ 20 บาท แต่ถ้าเป็นร้านหมอก็เหมือนอาม๊อคซี่อ่ะ ตกประมาณเม็ดละ 8-10 บาท Credit : http://drug.pharmacy.psu.ac.th/wbfile/1711254915033.doc A_R_T BloG , อ.ภก.อภิรักษ์ วงศ์รัตนชัย : http://www.pha.nu.ac.th จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 18:58:40 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ... จากคุณ : booklovers - [ 3 มิ.ย. 52 19:00:29 ]

ความคิดเห็นที่ 51 Roaccutane ( Credit คุณโอ๋ชฎาแหลมเพิ่มเติมให้ฝนในคอมเม้นท์จีบัน) ยาโรแอคคิวแทน เป็นยาที่ค่อนข้างได้ผลสำหรับ รักษาผู้เป็นสิวที่ค่อนข้างรุนแรงนะคะ เมือใช้ในปริมาณที่เหมาะสมกับบุคคลนั้นๆ ซึ่งแพทย์จะทำการคำนวนให้ค่ะ ผลที่อาจจะเกิดขึ้นขณะรับประทานยา -หลังรับประทานยาได้ 1-2 สัปดาห์ ผิวหนังและศรีษะจะเริ่มมันน้อยลงหรือแห้งกว่าเดิม -ในผู้ป่วยบางรายเมือรับประทานยาไป 1-2 สัปดาห์ อาการของโรคอาจเป็นมากขึ้นชั่วคราว แล้วค่อยๆ ลดลงเมื่อรับประทานยาต่อไป ถ้าสงสัยกรุณาสอบถามแพทย์ผู้รักษา -อาการจะเริ่มทุเลาหลังจากรัปประทานยาไป นาน 3-4 สัปดาห์ โดยจะเป็นน้อยลงไปเรือ่ยๆ จนถึงปลายเดือนที่ 4 อาการส่วนใหญ่จะหายไป และต้องใช้ยาติดต่อกันจนครบคอร์สเพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นอีก -ยานี้ไม่สามารถแก้รอยแผลเป็นที่มีมาก่อนการรักษาได้ ข้อควรทราบ >> สำหรับผู้ป่วยหญิง << ยานี้เป็นยาอันตรายต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อทารกจึงจำเป็นที่ผู้ป่วยหญิงจะต้องปฎิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด -ในระหว่างการรักษาด้วยยานี้ห้ามมิให้ผู้ป่วยตั้งครรภ์ ถ้าผู้ป่วยคิดว่าอาจจะตั้งครรภ์ ควรตรวจสอบการตั้งครรภ์ก่อนการรักษาด้วยยานี้ -ผู้ป่วยต้องป้องกันการตั้งครรภ์โดยการใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างเคร่งครัดตลอดเวลาที่รับประทานยานี้ และจะตั้งครรภ์ได้หลังจากหยุดใช้ยานี้แล้วอย่างน้อยหนึ่งเดือน -ถ้าผู้ป่วยตั้งครรภ์ขณะที่รับประทานยานี้หรือตั้งครรภ์ภายใน 1 เดือน หลังจากหยุดใช้ยาให้ผู้ป่วยแจ้งให้แพทย์ทราบทันที -ผู้ป่วยต้องงดให้นมบุตร ขณะที่รักษาด้วยยานี้ >> สำหรับผู้ป่วยชาย << ยานี้ไม่มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้ชาย ไม่ทำให้เป็นหมัน และไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติต่อสเปริม์แต่ประการใด การปฎิบัติตน...เมื่อเกิดอาการข้างเคียง อาการข้างเคียง อาจจะเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยที่รับประทานยา ส่วนใหญ่เป้นอาการที่ไม่ร้ายแรงและจะทุเลาหรือหายไปเมื่อรับประทานยาต่อ อาการข้าเคียงมักจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการใช้ยา แพทย์ผิวหนังสามารถแนะนำวิธีเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นมีดังนี้ 1. อาการข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด คือริมฝีปากแห้ง ปากแห้งและผิวหนังแห้ง การใช้วาสลีนหรือขี้ผึ้งทาปาก หรือใช้โลชั่นทาผิวจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้ 2. ในบางรายอาจมีใบหน้าแดงกว่าปกติ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกเท่านั้นซึ่งจะทุเลาและหายไปได้เอง 3. บางรายอาจมีอาการแห้งของเยื่อบุโพรงจมูก การใช้วาสลีนทารูจมูกวันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้อย่างดี 4. ผูที่ใส่คอนแทนเลนส์อาจมีอาการตาแห้งได้ให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดตา 5. ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีผิวหนังไวต่อแสงแดดกว่าปกติ ดังนั้นขณะรับประทานยา ควรหลีกเลี่ยงแดดจัด ๆ หรือใช้ครีมกันแดดทาป้องกัน 6. ในบางรายอาจพบอาการข้างเคียงือื่น ๆ ได้บ้าง แต่น้อยรายมาก หากมีอาการควรกลับไปพบแพทย์ผู้รักษา จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 19:03:20 ]

ความคิดเห็นที่ 52 สำหรับการไปหาคุณหมอที่คลินิคแล้ว ถูกคุณหมอนำน้ำแสบๆ จิ้มให้นั่นคือ กรด TCA ในความเห็นนี้... >> ฝนจึงได้แนบข้อมูลมาให้เพื่อนๆ อ่านเพิ่มเติมกันนะคะ ขออนุญาตนำรูปภาพมาจากในอินเตอร์เน็ต ค้นหาด้วยคำว่า TCA จ้า ................................................................................................................................... TCA เป็นการลอกหน้าเพื่อรักษาริ้วรอย รอยแผลเป็นสิวซึ่งใช้กรดเคมีในการทำ โดยต้องทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญเพราะเป็นกรดที่มีความรุนแรง เราจะเห็นมีบางคลีนิคจะมีให้บริการ TCA ทำให้ผิวลอก ขจัดผิวชั้นบนสุดออก ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ถูกทำลายจากสภาวะแวดล้อมเช่นแสงแดด, ลม การละเลยที่จะดูแลผิว การลอกชั้นผิวที่อยู่บนสุดออก จะทำให้ผิวใหม่ที่ขึ้นมาเรียบเนียน ลบริ้วรอยตื้น และช่วยปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอให้ดีขึ้น >> ข้อดีของการใช้วิธีนี้ << คือมีลักษณะที่ทาง่ายและซึมเข้าสู่ผิวได้ดี ผลที่จะได้รับคือผิวที่สดใสขึ้น และดูมีชีวิตชีวามากขึ้น วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้กันมาหลายปีในการรักษาริ้วรอยบนใบหน้า, จุดด่างดำ, ฝ้ากระ, รอยแตกลายจากการตั้งครรภ์ และปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดกับผิวตื้น เช่นผิวที่ถูกแสงแดดทำลาย (รวมถึงผิวระยะก่อนเป็นมะเร็ง) สิว, รอยแผลจากสิว, ตกกระ, ริ้วรอยบาง ๆ และรอยตีนกา และแผลตื้น ๆ วิธีการนี้เป็นหนึ่งในนวัตกรรมการทำให้ผิวคืนสภาพได้อย่างง่ายและได้ผลดี >> วิธีการรักษา << เมื่อทาน้ำยาลงไปที่ผิว จะทำให้เซลล์ผิวชั้นบนสุดแห้งและลอกออกในหลายวันต่อมา เมื่อผิวเก่าลอกออกไปแล้ว ชั้นผิวใหม่ก็จะขึ้นมาแทนที่ เป็นผิวที่เนียนเรียบและสีผิวสม่ำเสมอ ระยะเวลาการทำทรีทเม้นต์นี้ประมาณ 15-30 นาที ระหว่างนั้นจะรู้สึกเหมือนผิวไหม้น้อย ๆ จนแทบไม่รู้สึก ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชาเพื่อระงับความเจ็บปวดจากการทำทรีทเม้นต์ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรจะต้องทำต่อเนื่องทุก 3-6 เดือน หลังการทำทรีทเม้นต์แล้วควรล้างหน้าวันละสองครั้งด้วยสบู่อ่อน ๆ แล้วตามด้วยครีมบำรุงผิวทุกครั้ง ผิวหน้าอาจแดงบ้างเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่กี่วันผิวจะคล้ำขึ้น ผิวจะแตก เป็นแผ่นๆ แล้วก็ลอกออก โดยปกติแล้วกระบวนการลอกสะเก็ดจะใช้เวลาประมาณ 4-7 วัน และจะไม่มีแผล หรือการตกสะเก็ดใด ๆ เกิดขึ้น เมื่อผิวเก่าหลุดออกไปแล้วผิวใหม่ก็จะขึ้นมาเป็นสีแดงเรื่อ ๆ เมื่อกระบวนการลอกเสร็จสิ้นลงก็เริ่มแต่งหน้าได้ตามปกติ ออกไปทำงานได้ปกติแต่อาจยังไม่มั่นใจในสภาพของตัวเองนัก ผู้เข้ารับการทำทรีทเม้นต์นี้ปกติจะเข้าสังคมได้ตามปกติภายใน 7 วัน ที่สำคัญคือจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นประจำทุกวันติดต่อกันในระยะ 2 สัปดาห์แรก แล้วผิวใหม่ที่ขึ้นมาเป็นสีแดงก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในสัปดาห์ต่อ ๆ ไป >> การดูแลผิวหลังทำทรีทเม้นต์ << หลังทำทรีทเม้นต์แล้ว ผิวที่ขึ้นใหม่จะยังอ่อนแอและไวต่อแสงแดดอยู่ในช่วง 6-8 สัปดาห์ ดังนั้นในช่วงนี้จึงควรป้องกันผิวโดยใช้ครีมกันแดด, หมวก และหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดด อ้างอิง : เรียบเรียงและแปลโดย Acnethai.com แก้ไข ** เขียนคำตกหล่น** แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 52 19:10:51 จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 19:08:49 ]

ความคิดเห็นที่ 53 มาโหวตจ้า เดี๋ยวจะมาช่วยแปะเพิ่ม ข้อมูลเก่าๆ ทีเ่คยพิมพ์ไว้นะค๊า จากคุณ : ชฎาแหลม - [ 3 มิ.ย. 52 20:02:07 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เอกสารที่ร้านหมอให้มาของยาโรแอคคิวเทนโดยเฉพาะนะคะ คำแนะนำในการใช้ยา -รับประทานยาหลังอาหารทันที ห้ามผู้ป่วยเคี้ยวหรือดูดแคปซูล -เมือผู้ป่วยลืมรับประทานยาครั้งใด ห้ามนำเอาไปรวมกับยาครั้งต่อไปให้มาขึ้นเป็นอันขาด -ในการรักษา ผู้ป่วยจะต้องใช้ยานี้ติดต่อกันให้ได้ปริมาณยารวมต่อหนึ่งคอรส์ของการรักษาเท่ากับ 120 มก./ นน ตัว 1 กก. -ห้ามนำยาที่แพทย์สั่งจ่ายสำหรับผู้ป่วยรายใดรายหนึ่งไปให้ผู้อื่นรับประทาน แม้ว่าผู้นั้นจะมีอาการเดียวกับผู้ป่วย การใช้ยาจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผิวหนังโดยเคร่งครัด -ไม่ควรบริจาคโลหิตขณะอยู่ในช่วงการรักษาด้วยยานี้ จะบริจาคโลหิตได้หลังจากหยุดใช้ยาแล้วอย่างน้อยหนึ่งเดือน -ให้เก็บยาไว้ในที่ที่เด็กเอื้อมไม่ถึงตลอดเวลา -ห้ามตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรขณะรับประทานยานี้ (เด็กอาจพิการได้ ต้องหยุดยาอย่างน้อย 1 เดือน แต่ว่าหยุดไว้นานๆ เลยก็จะดีกว่ากันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ ฉะนั้นคนที่มีแฟนหรือว่ามีครอบครัวแล้วต้องคุมกำเนิดให้ดีที่สุด แล้วถ้าอยากมีน้องต้องปรึกษาหมอก่อนจะมีค่ะ) -ต้องแจ้งแพทย์ผู้รักษาทราบเสมอว่าท่านกำลังรับประทานยาอย่างอื่นอยู่ด้วยหรือไม่ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฎิกิริยากับยานี้ ถ้ารับประทานร่วมกัน ผลที่อาจจะเกิดขึ้นขณะรับประทานยา -หลังรับประทานยาได้ 1-2 สัปดาห์ ผิวหนังและศรีษะจะเริ่มมันน้อยลงหรือแห้งกว่าเดิม (สำหรับชฎาแหลมเอง ทาได้ทุกอย่างค่ะ บำรุงปกติเลย ครีมที่ทาระหว่างรักษานี้ดูเหมือนจะถูกดูดซึมไปบำรุงผิวได้ดีมกาๆ เลยค่ะ ส่วนปากแห้ง ลอกกกก เตรียมลิปมัน หรือวาสลีนพกติดตัวเลยค่ะ ถ้าปากแห้งลอกมา ให้เช็ดคราบที่ลอกออกแล้วเติมลิปมันตลอดทั้งวันค่ะ ถ้าใช้คอนแทคเลนส์อาจตาแห้งกว่าปกติก็พกพวกน้ำตาเทียมไปหยอดเอาค่ะ) -ในผู้ป่วยบางรายเมือรับประทานยาไป 1-2 สัปดาห์ อาการของโรคอาจเป็นมากขึ้นชั่วคราว แล้วค่อยๆ ลดลงเมื่อรับประทานยาต่อไป ถ้าสงสัยกรุณาสอบถามแพทย์ผู้รักษา -อาการจะเริ่มทุเลาหลังจากรัปประทานยาไป นาน 3-4 สัปดาห์ โดยจะเป็นน้อยลงไปเรือ่ยๆ จนถึงปลายเดือนที่ 4 อาการส่วนใหญ่จะหายไป และต้องใช้ยาติดต่อกันจนครบคอร์สเพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นอีก (ทางที่ดีกินให้ครบคอร์สแล้วกินคุมไว้อีกระยะค่ะ ถ้าหายแล้วเลิกเลย จะกลับมาได้ไว หมอบอกว่าคนที่เป็นสิวแบบนี้ และอายุ 20 ขึ้นไปแล้วยังมีสิวมากก กินยานี้แล้ว 80 % หายขาด แต่อาจกลับมาได้อีก ก็คนเราผลิตฮอร์โมนตลอดนะคะ ฉะนั้นหายให้หายไปเลยก็คงมีคนบางส่วนที่โชคดี แต่ชฎาแหลมกินครบคอร์สหายไป 5 ปีค่ะ ก็กลับมาอีกแต่ว่าก็ไม่ต้องกลัวว่ามันจะมาหนักแบบทีแรกเพราะว่าคนเราอายุมากขึ้น ฮอร์โมนก็ไม่พุ่งแบบวัยรุ่นค่ะ ชฎาแลมเลยกลับมากินอีกจะให้ครบคอร์สค่ะอายุมากขึ้นก็กลับมานอ้ยลงๆค่ะ) -ยานี้ไม่สามารถแก้รอยแผลเป็นที่มีมาก่อนการรักษาได้ (แต่ถ้ามีแผลเป็นตอนระหว่างกินยา หายเกลี้ยงค่ะหน้าใสเด้ง) ข้อควรทราบ สำหรับผู้ป่วยหญิง ยานี้เป็นยาอันตรายต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อทารกจึงจำเป็นที่ผู้ป่วยหญิงจะต้องปฎิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด -ในระหว่างการรักษาด้วยยานี้ห้ามมิให้ผู้ป่วยตั้งครรภ์ ถ้าผู้ป่วยคิดว่าอาจจะตั้งครรภ์ ควรตรวจสอบการตั้งครรภ์ก่อนการรักษาด้วยยานี้ -ผู้ป่วยต้องป้องกันการตั้งครรภ์โดยการใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างเคร่งครัดตลอดเวลาที่รับประทานยานี้ และจะตั้งครรภ์ได้หลังจากหยุดใช้ยานี้แล้วอย่างน้อยหนึ่งเดือน -ถ้าผู้ป่วยตั้งครรภ์ขณะที่รับประทานยานี้หรือตั้งครรภ์ภายใน 1 เดือน หลังจากหยุดใช้ยาให้ผู้ป่วยแจ้งให้แพทย์ทราบทันที -ผู้ป่วยต้องงดให้นมบุตร ขณะที่รักษาด้วยยานี้ สำหรับผู้ป่วยชาย ยานี้ไม่มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้ชาย ไม่ทำให้เป็นหมัน และไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติต่อสเปริม์แต่ประการใด การปฎิบัติตน...เมื่อเกิดอาการข้างเคียง อาการข้างเคียง อาจจะเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยที่รับประทานยา ส่วนใหญ่เป้นอาการที่ไม่ร้ายแรงและจะทุเลาหรือหายไปเมื่อรับประทานยาต่อ อาการข้าเคียงมักจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการใช้ยา แพทย์ผิวหนังสามารถแนะนำวิธีเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นมีดังนี้ 1. อาการข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด คือริมฝีปากแห้ง ปากแห้งและผิวหนังแห้ง การใช้วาสลีนหรือขี้ผึ้งทาปาก หรือใช้โลชั่นทาผิวจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้ 2. ในบางรายอาจมีใบหน้าแดงกว่าปกติ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกเท่านั้นซึ่งจะทุเลาและหายไปได้เอง 3. บางรายอาจมีอาการแห้งของเยื่อบุโพรงจมูก การใช้วาสลีนทารูจมูกวันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้อย่างดี 4. ผูที่ใส่คอนแทนเลนส์อาจมีอาการตาแห้งได้ให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดตา 5. ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีผิวหนังไวต่อแสงแดดกว่าปกติ ดังนั้นขณะรับประทานยา ควรหลีกเลี่ยงแดดจัด ๆ หรือใช้ครีมกันแดดทาป้องกัน (อันนี้แนะนำเอสพีเอสสูง ๆ เลยค่ะ ชฎาแหลมใช้ kanebo its be switch sarasara 50+++ ขวดสีน้ำเงิน มันซึ่มไวดี ไมมันไม่ว่อก) 6. ในบางรายอาจพบอาการข้างเคียงือื่น ๆ ได้บ้าง แต่น้อยรายมาก หากมีอาการควรกลับไปพบแพทย์ผู้รักษา โรแอคคิวเทนนี่มันมี 3 แบบค่ะเท่าทีรู้มานะคะ 1.มีแบบ ทาด้วย แต่หมอบอกว่าดูดซึมน้อยมาก กินจะดีกว่ามากดูดซึมได้มากเท่ากับผลในการรักษาก็จะดีขึ้นด้วย 2. แบบกินแคปซูลรูปโดม มีแบบ 10 มลและ 20 มล. อันนี้ของดั้งเดิมของเมืองนอก เรากินแบบ 20 มล. เม็ดละ 65 บาท วันละ 1 เม็ดค่ะ อันนี้แล้วแต่หมอจ่ายยาให้นะคะ 3. แบบกินแคปซูลธรรมดา มีแบบ 10 มลและ 20 มล. เรากินแบบ 20 มล. แต่ไทยทำเอง ราคาถูกกว่าของเมืองนอกมาก ที่เรากิน 20 มล ประมาณเม็ดละ 45 บาทค่ะ หมอบอกว่าผลที่ได้จากการรักษาทั้งไทยทั้งของนอก ของไทยคนไข้ 90% ที่กินก็บอกว่าเหมือนกันกับยานอกแต่ว่า อยู่ที่ความเชื่อมั่นเหมือนกันนะคะว่าเชื่อไทยทำหรือว่าของดั้งเดิม (ส่วนตัวเคยกินของไทยผลไม่ดีเท่าของออริจินอลค่ะ คือ สิวกลับมาไวกว่าเดิม แต่อาการร้ายแรงน้อยลงกว่าสมัยวัยรุ่นมาก ตะก่อนสิวซ้อนสิว หัวช้างหัวม้า มากันทั้งฟาร์ม หายได้นับว่าบุญหัวมากๆ ค่ะ) ถึงโรแอคฯ จะมีคนบอกกล่าวเรื่องอันตรายมากมาย แต่ยาทุกชนิดก็มีข้อดีข้อเสีย ต้องเรียนรู้ เข้าใจถึงตัวยาที่เรากำลังจะกิน ผลข้างเคียงที่จะเกิด มีอะไรให้สอบถามคุณหมอที่รักษาให้กระจ่าง ชฎาแหลมเอง ทำความเข้าใจในส่วนนี้ และทราบว่าต้องใช้เวลาค่ะ อีกอย่างตอนนั้นเป็นเยอะมาก หาหมอหลายปีไม่หาย มาหายเพราะโรแอคฯ ต้องขอบคุณยาตัวนี้ จากที่ทราบข่าวต่างๆ ว่ากินยาตัวนี้แล้วเสียชีวิต อาจจะเป็นการทานยาเิกินขนาดหรือ ทานร่วมกับยาชนิดอื่นๆ หรือ ผู้เสียชีวิตอาจจะเป็นโรคที่มีผลกับยาค่ะ ฉะนั้นก่อนจะทานยา หรือ บอกว่ายานี้ดีไม่ดีอย่างไร ขอให้ศึกษาและเข้าใจถึงผลต่างๆ ที่กล่าวมาเบื้องต้นให้ถี่ถ้วนค่ะ ถ้าไม่ได้เป็นสิวมากกกกกกมาย ก็ไม่้จำเป็นต้องทานค่ะ เพราะสิวก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง คนเป็นโรคก็ต้องรักษาด้วยยาเฉพาะทางจึงจะได้ผลดี และหายได้ค่ะ แต่ตอนนี้เลิกทานยาโรแอคมาหลายปีแล้วค่า ใช้เรตินเอ และยาอื่นๆ ช่วยๆ กันจ้า อ้อ สำหรับคนมีฮอร์โมนอยู่ผลิตกันตลอดเวลาแบบนี้ สิวย่อมกลับมาได้เสมอ ทำได้แค่ป้องกัน และ ทำให้ที่มีอยู่ค่อยๆหาย ไอ้จะทำให้ไม่มีสิวอีกเลยคงไม่ได้นะคะ ขออภัยยาวมากกค่ะ เอิ๊กๆ แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 52 20:24:07 จากคุณ : ชฎาแหลม - [ 3 มิ.ย. 52 20:13:00 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ป้าคนนึงล่ะที่เวลาไปหาหมอรักษาสิว แล้วบอกหมอว่า ไม่อยากได้ยากิน แต่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าผลข้างเคียงจะเป็นแบบที่ฝนเล่าให้ฟัง รู้แค่ว่า ไม่ค่อยกิน ไม่อยากกิน เลยบอกหมอว่าไม่เอายา แหะ ๆ จากคุณ : ป้าจะอิ๊บ (jipnaja) - [ 3 มิ.ย. 52 20:14:03 ]

ความคิดเห็นที่ 56 โอว มีอาการคันเหมือนกันก็รักษากันจนหาย มาเห็นกระทู้คุณฝนนี่แหละถึงได้รู้ว่าเพราะเรากินยาฆ่าเชื้อไป 7 วันเต็มๆ เลยคันซะใหญ่โต จากคุณ : lynhui - [ 3 มิ.ย. 52 20:32:08 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อย่างนี้นี่เอง ... ขอบคุณสำหรับความรู้มากค่ะ เคยหาสาเหตุว่ามันมาจากไหน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ไปทำอะไร๊ที่ไหนเลย แต่ตกขาวผิดปกติ จนตอนนี้หายแล้วค่ะ เพิ่งจะรู้สาเหตุขอบคุณมากๆค่ะ จากคุณ : I-nae - [ 3 มิ.ย. 52 20:36:06 ]

ความคิดเห็นที่ 58 อ่านบล็อคของพี่ฝนมาโดยตลอดค่ะ ให้ข้อมูลเรื่องสิวดีมากๆ จากคุณ : Peeppyza (peeppyza) - [ 3 มิ.ย. 52 20:43:34 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เรากินยารักษาสิว จนเกือบเป็นโรคกรดไหลย้อน เพราะมันทำลายระบบย่อยอาหารเราเกือบหมดเลย อาหารไม่ย่อย ท้องป่องไม่ยุบ เรอตลอดเวลา ทรมานสุดสุด จากคุณ : ลิงดำ - [ 3 มิ.ย. 52 20:50:46 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณคุณโอ๋ที่นำข้อมูลมาเสริมนะคะ  ^O^ สาวๆ ที่เคยมีปัญหาก็มาโพสกันได้จ้า  จะได้เป็นการแชร์ประสบการณ์ หากใครเก็บกระทู้นี้ไว้ ในอนาคตจะมีประโยชน์ต่อการเลือกกินยาและสามารถบอกต่อไปยังผู้รักษาสิวท่านอื่นๆ ค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่เคยเข้าไปอ่านบล๊อคฝนนะจ๊ะ ฝนพยายามเขียนเรื่องสิวๆ ไว้ เพราะอยากให้ทุกคนมีกำลังใจรักษาสิวค่ะ อย่าท้อนะจ๊ะ สู้ๆ ตอนนี้ฝนก็เป็นสิว ก็สู้ต่อไปเพราะได้กำัลังใจดีๆ จากผู้อ่านและเพื่อนบ้านในบล๊อคด้วยค่ะ จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 3 มิ.ย. 52 20:55:11 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เคยทานเหมือนกันค่ะ แต่หยุดไปแล้ว ทานไม่มากหรอกค่ะ ส่วนตัวคิดว่าไม่อยากเอาสารเคมีเข้าร่างกายมากๆ อาจไม่ดีต่อเรา ส่วนบางท่านอาจบอกว่าให้กินนมเปรี้ยวที่มีแลคโตบาซิลลัสนั้น เพื่อทดแทน normal flora บริเวณช่องคลอด เท่าที่เรารู้มานั้นมันคนละ species หนิคะ  คงแทนกันไม่ได้ เพราะที่กินเข้าไปจะเข้าไปเสริม normal flora บริเวณลำไส้นะคะ จากคุณ : RAW 264.7 - [ 3 มิ.ย. 52 21:02:00 ]

ความคิดเห็นที่ 62 พวกเรามาสู้กะอ้ายยยย สิว ต่อไปเน้อ มีสิวแปลว่ายังวัยรุ่นอยู่ไง ก๊ากกก วัยรุ่นตอนปลาย -*- จากคุณ : ชฎาแหลม - [ 3 มิ.ย. 52 21:22:43 ]

ความคิดเห็นที่ 63 vote จากคุณ : artchinese - [ 3 มิ.ย. 52 21:57:21 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ไม่ใช่แค่ยาสิวอย่างเดียวนะคะที่ทำให้เกิดตกขาว พวกน้ำยาทำความสะอาดจุดซ้อนเร้นก็เหมือนกัน ไม่ควรใช่ทุกวัน เมื่อก่อนก็เคยใช่น้ำยาทำความสะอาดจุดซ้อนเร้นล้างทุกวัน แล้วก็สงสัยว่าทำไม่ถึงได้มีตกขาวมากก็ไม่ได้คิดอะไร พอดีไปอ่านห้องสวนสุมเค้าบอกว่าล้างแค่น้ำสะอาดก็พอ พอเลิกใช่อาการตกขาวก็น้องลงมากเลยค่ะ ตอนนี้ก็ไม่ค่อนมี อยากจะฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ จากคุณ : หลานสาวชาวนา - [ 3 มิ.ย. 52 22:06:18 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ข้อมูลดีๆ แบบนี้รับไปเลย 1 คะแนน จากคุณ : เซนทาโร่ - [ 3 มิ.ย. 52 22:25:35 ]

ความคิดเห็นที่ 66 งึๆ กินamoxcillinอยู่งะ พอดีเหงือกตรงฟันคุดอักเสบปวมเป่ง ทั้งแก้ม ทั้งต่อมน้ำเหลืองใต้กราม มีamoxcillin,flagyl,ponstan แต่กินแค่ประมาน5วัน-1สัปดาห์ กลัวจัง แต่ต้องกินให้หมดT^T ขอบคุณ จขกท นะคะ ที่ให้ความรู้ จากคุณ : cactus_demon - [ 3 มิ.ย. 52 22:26:33 ]

ความคิดเห็นที่ 67 มีประโยชน์มากเลย ขอบคุณ จขกท มากๆนะค่ะ ^^~ จากคุณ : แมว[ไม่]ดื้อ - [ 3 มิ.ย. 52 22:36:51 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เพิ่มเติมอีกนิดค่า พอดีเคยเป็นเหมือนกัน เพราะยารักษาสิวเนี่ยล่ะ เวลากินยารักษาเชื้อราในช่องคลอดล่ะ ห้ามกินแอลกอฮอล์เด็ดขาด เพราะจะทำให้เชื้อดื้อยาค่า (คุณเภสัชฯ บอกมา) ขอบคุณพี่ฝนมากๆ นะค้าที่เอาข้อมูลดีๆ มาแบ่งปันสาวๆ :) จากคุณ : ผักบุ้งชุบแป้งทอด - [ 3 มิ.ย. 52 22:58:07 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เราก็พึ่งเป็นค่ะ...รู้สึกคันและแสบมาก... ตอนแรกก็อายๆไม่กล้าไปหาหมอ.. แต่หลังๆไม่ไหว มันเจ็บเหลือเกิน.. ครั้งแรก หมอจะให้ใช้ยาสอด เราบอกว่าไม่เอาไม่อยากสอด ขอเป็นยากินแทน.. หมอก็ให้มา สรุปไม่หายค่ะ ทนไม่ไหว กลับไปหาหมออีกที ทีนี้หมอก็บังคับว่ายังไงใช้ยาสอดดีกว่า เราก็เลยจำยอม พอกลับมาบ้านก็วางทิ้งไว้อยู่สามวัน ไม่กล้าอ่ะ คนมันไม่เคย กลัวๆ อายๆ สอดยังไงฟะ.. สุดท้ายทนไม่ไหวคุยกับคุณแฟนอยู่ต่างประเทศ คุณแฟนก็ปลอบใจแล้วก็ให้กำลังใจจนกล้าทำ ตอนสอดเข้าไปนะ อูย...แสบมาก T_T มันคงมีเชื้อโรคมากเลยสินะ แล้วก็กลั้นใจพยายามนอนให้หลับ สุดท้าย..พอตื่นมาวันรุ่งขึ้น โอ้วววววววว หายแสบแล้วดีขึ้นอย่างกับปาฏิหารย์ T_T รู้งี้สอดตั้งนานก็จบละ มาฝากถึงเพื่อนๆที่อาจจะเป็นช่วงนี้ เพราะว่าฝนตกบ่อย กางเกงในอาจอับชื้นได้นะคะ ^_^ อย่าอายที่จะไปหาคุณหมอ เพื่อสุขภาพของเราค่ะ จากคุณ : Lil kittenz - [ 4 มิ.ย. 52 00:45:21 ]

ความคิดเห็นที่ 70 มาโหวตให้คุณฝนค่ะ ข้อมูลดีดีอย่างนี้ ต้องสนับสนุน จากคุณ : Molly_Nanny - [ 4 มิ.ย. 52 00:52:05 ]

ความคิดเห็นที่ 71 มีช่วงนึงรักษาสิวทานยาประเภทแก้อักเสบ ฆ่าเชื้อไปสักพัก พบกว่าตัวเองคันตรงนั้นมากๆๆ แบบไม่ไหวแล้ว ยุบยิบเหมือนมึอะไรข้างใน ช่วงนั้นประจำเดือนเพิ่งหมดเลยใช้แผ่นอนามัย ตอนช้าตื่นมาตกขาวเป็นสีเขียวอี๋ เต็มแผ่นจนไม่เหลือสีขาวให้เห็น จำได้ว่าวันนั้นต้องไปสอบ ก็นั่งสอบอย่างทรมานมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นั่งสอบนี่บิดไปบิดมา พอมาหาข้อมูลอ่านในเน็ตเค้าว่ายารักษาสิวมีส่วนมากๆ และก็การอับชื้น หรือว่าเชื้อโรคที่เกิดจากการใช้ห้องน้ำสาธารณะ หลีกเลี่ยงการใช้สายฉีดชำระ ใช้เป็นทิชชู่แทน เช็ดให้แห้ง ไม่ให้ชื้นนะคะ เลิกทานยาแก้สิว ก็หายเป็นปกติค่ะ จากคุณ : น้องแมวอ้วน. - [ 4 มิ.ย. 52 01:13:03 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ตอนนี้รักษารอยสิวเหมือนกาน แพ้ฝุ่นอีกแล้ว มาให้กำลังใจคุณฝนค่า จากคุณ : F1ying H@ck3r - [ 4 มิ.ย. 52 04:53:52 ]

ความคิดเห็นที่ 73 Very useful ka. K.Fon Soo! Soo! naaaa จากคุณ : yr_naughty_annie - [ 4 มิ.ย. 52 05:19:39 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ขอบคุณที่มาร่วมแชร์ความรู้กันนะจ๊ะ   ใช่เลย! อาการที่นั่งบิดไป บิดมาเพราะความคันนี่มันทรมานมากๆ วันทั้งวันต้องคอยแต่มากังวลใจเรื่องตรงนั้น จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 4 มิ.ย. 52 07:22:50 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ไม่แน่ใจว่า มาช้าไปรึเปล่า เพื่อนๆ น้องๆ คะ อย่าพึ่งตื่นตกใจกันนะคะ การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการหวัดที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย จำพวกอะม๊อกซี่ซิลลิน หรือ ด๊อกซี่ซิลลิน (ที่นำมาใช้รักษาสิวอักเสบ) จะต้องทานอย่างน้อย 5 วัน ความจริงแล้วการทานยาแค่ 5 วัน จะยังไม่สามารถกำจัดเชื้อได้หมดนะคะ จะต้องทาน 7 วัน และ 10 วัน สำหรับเชื้อ Strep (ที่อาจทำให้เกิดข้ออักเสบ/กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ)ค่ะ ดังนั้นการทานยาเพียง 7 วัน - 14 วัน ในบางรายที่มีการติดเชื้อในทางเดินหายใจลึกๆ เช่น หลอดลม หรือ ปอด จึงเป็นสิ่งจำเป็น และ ไม่ได้ทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องคลอดแต่อย่างใด อย่าค่ะ .... อย่าพึ่งหงุดหงิดว่า แล้วที่ชั้นเป็นนี่มันยังไงกัน ข้อมูลที่น้องฝนบอกมาเป็นความจริง แต่ความจริงนี้ อยู่บนหลักความจริงอีกข้อ คือ ต้องมีปัจจัยเสริมค่ะ ปัจจัยเสริม คืออะไร 1 การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน....ย้ำว่า นาน ค่ะ ไม่ใช่ แค่ 2 สัปดาห์แล้วต้องเป็นกันทุกคน 2 ทำไมบางคนทานไปได้แค่ 3 วันแล้วเกิดอาการคัน (บางคนกินเป็นปีก็ไม่เป็นนะคะ) คนกลุ่มนี้ ส่วนมากแล้วจะมีภาวะเสี่ยงร่วมด้วยค่ะ   -  แฟนมีเชื้ออยู่ เวลามีเพศสัมพันธ์ก็เกิดการติดเชื้อซ้ำได้   -  ทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน หรือ ทานอาหารหมักดองเป็นประจำ (ฮอร์โมนในร่างกายขาดความสมดุล ส่งผลถึงภาวะของช่องคลอด)   -  อาจเป็นอาการแพ้ ไม่ใช่การติดเชื้อก็ได้ เชื้อราที่ช่องคลอดเป็นสิ่งที่มีเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้หญิงทุกคนค่ะ แต่ที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้เพราะ เรามีเชื้อแบคทีเรียที่ดีคอยควบคุมบริเวณสุดรักของเราให้อยู่ในภาวะสมดุล การทานอาหารที่ส่งเสริมเชื้อดีๆเหล่านี้ก็คือ การทานพวกพรีไบโอติกหรือการเสริมเชื้อพวกโพรไบโอติก เข้าสู่ร่างกาย ทั้งพรีไบโอติกและโพรไบโอติกนี้จะทำให้เกิดสมดุลของทางเดินอาหาร ส่งผลถึงสมดุลและค่าความกรด-ด่างของเลือด และจะมีผลต่อเนื่องไปถึงอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกาย การแนะนำให้ทานนมเปรี้ยวเพื่อต้านการติดเชื้อบริเวณช่องคลอดก็เป็นสิ่งที่ใช้ได้ค่ะ ส่วน Roac ไม่ทำให้การเสียสมดุลของช่องคลอดค่ะ ใจร่มๆ เดินทางสายกลาง อย่ากลัวจนแตกตื่น อย่าประมาทจนขาดสติ เรื่องการได้รับข้อมูลต่างๆในการรักษา เป็นสิทธิของผู้ป่วยอย่างเราค่ะ แพทย์จะปฏิเสธไม่ได้ ถ้าเราถามแล้วแพทย์ไม่ยอมตอบเราร้องเรียนได้เลยค่ะ แต่ถ้าอยากรู้ก่อนจะร้องเรียน หรือมีข้อสงสัยอะไร ปรึกษากับเภสัชกรได้เลยค่ะ (แม้ว่าจะไม่ได้ซื้อยาที่ร้าน) พวกเราเภสัชกรยินดีให้คำปรึกษาค่ะ ไม่ว่าจะเป็นที่โรงพยาบาลหรือที่ร้านยา เรามีความสุขที่ได้แก้ปัญหาให้ผู้บริโภคค่ะ จากคุณ : เฉลว - [ 4 มิ.ย. 52 09:47:26 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ขอบคุณ จขกท. และคุณ เฉลวที่ให้ความรู้ ข้อเตือนใจ และความกระจ่างค่ะ แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 52 09:50:00 จากคุณ : i'm not superman - [ 4 มิ.ย. 52 09:48:31 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ดีใจด้วยนะคะที่สิวหายแล้ว   แต่ก็ต้องรักษากันต่อไปเนาะ   เก็บเข้าคลังกระทู้ก่อนละ ------------------------------------------------------------------------------ น้ำยาล้างจุดซ่อนเร้น เราเอามาล้างก้นค่ะ แหะๆ จากคุณ : น้องพอใจไม่พอใจ - [ 4 มิ.ย. 52 10:01:57 ]

ความคิดเห็นที่ 78 จริงๆ เรือ่่ง นี้ ไม่ได้เกิด จากยาสิว โดยตรง แต่เกิด จาก การกิน ยาปฏิชีวนะ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน หรือ กินบ่อยๆ ไม่ว่า จะกินเพื่อรักษาสิว รักษาหวัด หรือ กิน เพราะ เข้าใจ ว่ามันคือ ยาแก้อักเสบ แล้วพอปวดนั่นนู่นนี่ ก็กิน สาเหตุ ที่เป็น แบบ นี้ เพราะ ร่างกายคนเรามีเชื้อโรคดี อยู่ เพื่อป้องกัน เชื้อโรคร้าย ที่จะเข้ามารุกรานร่างกายเรา ดังนั้น เวลาเรากินยาฆ่าเชื้อ เข้าไป ยามันไม่เลือกว่า จะทำลายเชื้อดี หรือ ร้าย มันทำลายหมด ดังนั้น พอ เชื้อโรคดี ในร่างกายเรา ตาย เราก็จะโดนเชื้อร้าย จากภายนอกรุกรานได้โดยง่าย ที่ คุณจขกท ยกมาให้เป็นเพียงตัวอย่างนึง ซึ่งถือว่าไม่รุนแรง บางคน เป็นมาก ถึงขั้น ติดเชื้อ ในลำใส้ ก็มี ดังนั้น เจ็บป่วย อะไร ก็อย่าซื้อยา ฆ่าเชื้อ หรือ รบเร้าให้หมอ จ่ายยาฆ่าเชื้อให้โดยไม่จำเป็น  ซึ่งที่เจอ บอ่ยๆ คือ เวลาเป็นหวัด ธรรมดา หลายคน จะพยายามไปเอา ยา ฆ่าเชื้อ มาทาน ซึ่ง จริงๆ ไม่จำเป็น เพราะหวัดธรรมดา เกิดจากเชื้อไวรัส ยา๋ฆ่าเชื้อ ทำลายได้เฉพาะแบคทีเรีย และหวัด  สามารถหายได้ด้วยตัวเอง ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน จากคุณ : gre_t2w - [ 4 มิ.ย. 52 11:38:25 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ขอบคุณที่มาให้ความรู้นะคะ เป็นประโยชน์มากเลยค่ะ หนมปังไม่เคยกินยารักษาสิวเลยค่ะ เพราะไม่มีสิว หรือถ้ามีก็ปล่อยให้มันหายเองตามธรรมชาติอ่ะค่ะ ไม่ชอบกินยา ขี้เกียจหาหมอ - -'' จากคุณ : หนมปังช็อกโก้ - [ 4 มิ.ย. 52 11:41:01 ]

ความคิดเห็นที่ 80 สุดยอดเลย ยกนิ้วให้คุณฝน มีประโยชน์มากๆ ตอนเราเป็นสิวก็พึ่ง อาม๊อกซี่ เอาเหมือนกัน แต่ต้องให้เป็นเยอะๆก่อนค่อยกิน กลัวผลข้างเคียงเช่นกัน จากคุณ : กระต่ายลอยคอ - [ 4 มิ.ย. 52 13:41:58 ]

ความคิดเห็นที่ 81 กระทู้ดี มีประโยชน์อย่างนี้ ต้องโหวดเท่านั้นค่ะ จากคุณ : tarzangang - [ 4 มิ.ย. 52 13:50:41 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ฝน ป้าชอบรูป คห 7 ขอเซฟนะ โหวตให้ความรู้ดี ๆ ที่ฝนหามาฝากด้วยจ้า จากคุณ : Dress Code - [ 4 มิ.ย. 52 14:29:20 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เพิ่มอีกนิด เห็นด้วยกับคห 9 ของฝนค่ะ คุณหมอเคยบอกมา แล้วก็พวก แคร์ฟรี แผ่นอนามัยบาง ๆ นะ ไม่ควรใส่ตลอดเวลา ช่องคลอดมันต้องการการระบายอากาศ ใส่มากมันอับค่ะ น้องหายใจไม่ออกอึดอัด เมื่อก่อนตอนสาว ๆ ฮิตเสื้อบอดี้สูท ป้าใส่หลายชั้นมาก ชั้นที่ 1 แผ่นอนามัย ชั้นที่ 2 กุงเกงใน ชั้นที่ 3 เสื้อบอดี้สูท ( จะมีกระดุมแป๊ะ อยู่ตรงนั้น ) ชั้นที่ 4 กางเกงยีนเอวต่ำฟิต ๆ เชื่อมั๊ยนังนู๋ทั้งหลาย สาวรุ่นป้าสมัยนั้น น้องสาวไม่สบายกันเป็นแถวอ่ะ ( ตอนนั้นฮิตเพราะ ใหม่เจริญปุระใส่นำแฟชั่นค่ะ ) เอาแค่น้องไม่อึดอัดก็พอนะค๊ะ แต่อย่าให้ถึงกับน้องออกมาเผชิญโลกภายนอก เลย อึ๋ย มันหลอน จากคุณ : Dress Code - [ 4 มิ.ย. 52 14:42:49 ]

ความคิดเห็นที่ 84 T T เครียดเลยค่ะ สรุปว่า ยาฆ่าเชื้ือนี่เราไม่ควรกินเหรอคะ เอ่อ คือเราไม่ได้กินยาแก้สิวนะคะ แต่ของเรามันคัน แล้วก็มีตกขาวเมือกๆ แถมบางครั้งมีเลือดออกอีก รู้สึกแย่มากๆ T T เคยไปซื้อยาสอด ที่ร้านขายยา (โดยเภสัช) เค้าให้ยา สอด GYNECON-T  ยาแก้คัน และยาฆ่าเชื้อ มาอ่ะค่ะ ช่วงอาทิตย์ก่อนอาการมันหายไป เราเลยหยุดกิน มาช่วงนี้เป็นอีกแล้ว เราควรกินยาฆ่าเชื้อ ต่อมั้ยคะ ขออภัยหากเขียน งงๆ เป็นคนเล่าเรื่องไม่เก่งอะค่ะ ขอคำแนะนำทีนะคะ กลุ้มใจมากมาย จากคุณ : poisonlove - [ 4 มิ.ย. 52 16:39:30 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ลองปรึกษาเภสัชดูไหมคะ ฝนไม่แน่ใจอ่ะ ไม่กล้าตอบ กลัวผิดพลาด T^T ส่วนตัวไม่เคยใช้ยาสอดด้วยจิ .. ใครพอมีความรู้มาตอบคุณ poisonlove นะจ๊ะ ถ้ามีตกขาวปนเลือด ระวังเป็นมดลูกอักเสบนะ เคยเห็นคนใกล้ตัวเอง น่ากลัววว ปล. ยาฆ่าเชื้อ = อาม๊อคซี่ ( ยาสิวที่หมอนิยมสั่งให้ผู้ป่วยรักษาสิวไว้สำหรับฆ่าเชื้อเช่นกัน ) จากคุณ : ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์ - [ 4 มิ.ย. 52 16:54:18 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ขอบคุณที่มาเตือนค่ะ ช่วงที่ผ่านมากิน doxy ไป 2 อาทิตย์ เเต่ทนผลข้างเคียงไม่ไหว ผลข้างเคียงของ doxy คือกินเเล้วมันจะอ้วก บางทีก็ปวดหัว เลยเปลี่ยนมากิน clyndamycin >_< จะพยายามกินให้น้อยที่สุด จากคุณ : Rachel Green - [ 4 มิ.ย. 52 16:58:46 ]

ความคิดเห็นที่ 87 มดลูกอักเสบ  !!! กลัวอ่ะ T T ไม่เคยไปตรวจภายในเลย ขอคำแนะนำในการไปได้มั้ยคะ ทำอะไรไม่ถูกเลย (เราอยู่แถว ราชเทวีอ่ะ ไป รพ ไหนดี) จากคุณ : poisonlove - [ 4 มิ.ย. 52 17:06:27 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ฝนกลายเป็นหมอรักษาสิวไปแล้ว หุหุ  ปรสพการณ์เยอะมาก แต่เจ๊ไม่มีปัญหาสิวเท่าไรอ่ะ   มีแต่ปัญหา เรื่องรูขุมขนกว้างและหย่อน ยานนนนน กรึ๊ยยย สู้ต่อไป ฮึบๆ จากคุณ : makeup - [ 4 มิ.ย. 52 18:39:21 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ขอบคุณ จขกท ที่มาเล่าสู่กันฟัง เราตกขาวเป็นประจำเหมือนกัน แต่ไม่ได้ สังเกตว่าเป็นชนิดไหน ต้องไปตรวจภายในดูบ้าง โหวตๆ จากคุณ : นางฟ้าสุดสวย - [ 4 มิ.ย. 52 20:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ผลข้างเคียงของ Roac อีกอย่างที่อยากจะเตือนก็คือทานแล้วจะมีโอกาสเป็นคีลอยด์ได้ง่ายมากกกกกกก  เมื่อร่างกายมีแผลตามจุดเคลื่อนไหวมาก หรือจุดที่ตึงผิว อย่างหน้าอก ไหล่ คาง กราม  ....บางคนเป็นสิวอักเสบมาก ระหว่างที่ทานยาอยู่ บางคนคิดว่าไำม่ต้องทายา เพราะกินโร แล้วมันจะหายเอง แต่ผิดถนัด!!!!!! โรเป็นแค่การป้องกันสิวที่จะเกิดขึ้นใหม่เท่านั้น ถ้ามีสิวแล้วควรทายาแบนเซค ให้มันยุบลง อย่าปล่อยให้เกิดเป็นแผล  เพราะว่ามันจะกลายเป็นคีลอยด์ ที่รักษาไม่หายไปตลอดชีวิต  ....ผมก็เป็นอ่า   T T จากคุณ : หล่อดูดีมีระดับ - [ 4 มิ.ย. 52 21:34:43 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ขอบคุณสำหรับความรู้และคำแนะนำดี ๆ ค่ะ จากคุณ : amarmmy - [ 4 มิ.ย. 52 21:52:57 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ขอบคุณที่เอามาฝากค่ะ มีประโยชน์มากเลย เพื่อนเราชอบไปหาหมอสิว เราจะแนะนำให้เพื่อนอ่าน น่ากลัวจัง จากคุณ : mezzanotte - [ 5 มิ.ย. 52 10:31:34 ]

ความคิดเห็นที่ 93 มีประโยขน์มากๆ  ร่วมด้วยช่วยโหวตอีกหนึ่งคนค่ะ จากคุณ : ชะนีน้อยหอยดอง - [ 5 มิ.ย. 52 10:33:39 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ขอบคุณสำหรับสิ่งที่เอามาแบ่งปันค่ะ ถึงตอนนี้สิวจะบุกเต็มหน้า แต่ก็ไม่เคยกินยารักษาสิวอะ กลัวมากเรื่องกินยา จากคุณ : n_nan_na - [ 5 มิ.ย. 52 14:14:09 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ของเราตรงกันข้ามแฮะ ก่อนเรากินยาสิว (Amoxy กับ keto) เราคันจิ๊มิ๊มากเลย ไม่รู้แพ้ตกขาวหรือเปล่า แต่พอกินยาสิว ก็หายคันนะ แต่ปากแห้งขึ้นเท่านั้น อ่อ ...เรากินยาคุมไปด้วย ไม่รู้เกี่ยวมั้ย จากคุณ : pompoko - [ 5 มิ.ย. 52 14:43:19 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ว๊ายๆๆ ยาสีขาวชมพูเคยกิน ..ด้วยยยย  ค่ะ >< แต่หนูไม่กินติดต่อกันมั้งเลยไม่เป็นอะไร เห้อ โชคดีของจิ๊มิ๊ จากคุณ : Shakeit - [ 5 มิ.ย. 52 19:08:03 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ขอบคุณ จขกท และผู้มีส่วนร่วมให้ความรู้ทุกคนนะคะ ที่ช่วยนำความรู้และสาระดีๆมาฝากกัน จากคุณ : SuPerHyPerOverUltraGLUE - [ 6 มิ.ย. 52 00:41:05 ]

ความคิดเห็นที่ 99 โหวตให้ค่า ขอบคุณมากนะคะ มีประโยชน์มากๆเลยหละ เราเองก็เคยกินยาสิว แต่โชคดีกินแล้วหายเลยกินไม่นาน ^^" จากคุณ : SuperMJ - [ 6 มิ.ย. 52 11:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ขอบคุณมากค่า เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าไอ้อาการตกขาวไหลออกมาเหมือนเมนส์เนี่ยเพราะกินโรแอค เรายังดีที่ไม่ติดเชื้อ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความรู้นะคะ ไม่กล้าแตะอีกแล้ว ยาสิวน่ากลัวจริงๆๆ ตอนนี้ไม่ได้กินแล้ว หุหุ จากคุณ : PixieChick - [ 6 มิ.ย. 52 16:08:10 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ผมเคยกินนะ จะบอกว่าหายเร็วมากๆ แต่ว่ามันก็มีผลค้างเคียง เจ้าแรกที่ผมไปหาเนี่ย เขาให้กินแล้วผมปวดท้องเลย เลยบอกเขาไปว่าไม่ขอรับยาทาน แล้วก็เลิกไปรักษาที่นั่นเลย ส่วนเจ้าที่สองที่ไปหา อยู่แถว ๆ ม.เกษตร ไม่บอกชื่อร้านเนอะ ร้านนี้เขาก็รักษาดีช่วงแรกๆก็ให้ยาทามาทาบำรุงหน้า หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ ให้ยามากินควบคู่กับยาทา มันก็เห็นผลจริงๆครับ เมื่อกินยาเข้าไปสิวมันก็เริ่มลด หน้าก็หายมัน ตอนนั้นก็ดีใจ แต่ช่วงนั้นที่มีข่าวในทีวีออกมาว่ากินยาเนี่ยมันทำลายตับ หลังจากนั้นผมก็เลิกกินยานั้นเลย สิวจากที่เคยหายมันก็มาขึ้นใหม่ หน้าก็กลับมามัน แต่ผมก็ทนอะ ชีวิตเรา กินยาเสี่ยงกับไอสิวแค่หลายๆเม็ดบนหน้า ไม่คุ้มกับชีวิต หลังจากเลิกกินมา 2 ปี ตอนนี้ก็ หมั่นล้างหน้าบ้าง ทาครีมบ้าง ก็ลดไปได้เยอะไม่ได้ขึ้นเวอร์จนน่าเกลียด และ สุดท้ายก็อยากแนะนำคนที่จะไปหาหมอสิวแล้วเขาให้ยามากินนะ ยาที่วิเศษที่สุด คือ น้ำเปล่า กินวันละ เป็นลิตรๆ ยิ่งดีเลยครับ จากคุณ : pzphone - [ 7 มิ.ย. 52 00:35:21 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ จากคุณ : Phychexxx - [ 7 มิ.ย. 52 10:36:56 ]