Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  
 


{Article 1} อธิบาย UVA-B, SPF, PA, ทนน้ำ, กันน้ำ พร้อมแนะนำการเลือกครีมกันแดด vote  

    ก่อนอื่น มาทำความรู้จักกับ UVA และ UVB สาเหตุที่เราต้องใช้ครีมกันแดดกันก่อน ว่าเจ้าสองตัวนี้ทำผิวเราเสียหายร้ายแรงแตกต่างกันยังไง

    รังสี UV นั้นเปล่งจากดวงอาทิตย์ ที่ผ่านมาถึงพื้นโลกเราได้ มี 2 ตัว คือ UVA และ UVB ส่วน UVC ไม่ผ่านชั้นบรรยากาศโลกลงมา โดนโอโซนกรองไว้ได้หมด (แต่ถ้าผ่านมาได้เมื่อไหร่ ชีวิตเราคงหาไม่กันหมด ดังนั้นช่วยกันรักษาธรรมชาติด้วยนะจ๊ะ)

    UVB นั้นทะลุลงถึงผิวหนังชั้น epidermis ที่มีพวก melanocyte อยู่ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือผิวไหม้แดด หมองคล้ำได้

    UVA นั้นทะลุทะลวงได้ลึกกว่าตัว UVB คือผ่าน epidermis ไปถึงชั้น dermis หรือหนังแท้ที่อยู่ลึกกว่า ชั้นนี้มีคลอลาเจนและอิลาสตินอยู่ เมื่อคลอลาเจนและอิลาสตินถูกทำลาย ก็เป็นสาเหตุของความเหี่ยวย่น หรือริ้วรอยทั้งหลายแหล่นั่นเอง

    สรุปง่ายๆคือ UVB ทำให้เกิดฝ้า กระ หมองคล้ำ ส่วน UVA ทำให้เกิดริ้วรอย รวมถึงฝ้า กระ หมองคล้ำได้เช่นกัน

    และอำนาจทะลุทลวงของ UVA นั้นมากกว่า UVB ด้วย
    อย่างถ้าเรานั่งในตัวตึกเนี่ย UVB เข้ามาไม่ได้เลย ไม่ผ่านทั้งกระจกและกำแพงคอนกรีต แต่ UVA นี่ยังพอจะผ่านเข้ามาได้ และในหลอดไฟอาจจะมี UVA ได้เล็กน้อย ดังนั้นสิ่งที่สาวออฟฟิคควรกังวลมากที่สุดก็คือ UVA นั่นเอง

    เมื่อเข้าใจแล้วว่า UV คืออะไร ก็มาถึงพวกผลิตภัณฑ์กันแดดกันบ้าง

    อย่างแรกที่หลายๆคนสงสัยกัน ก็คือคำว่า Sunblock, Sunscreen, Sun Protection, Suncare ต่างกันหรือไม่อย่างไร

    บางคนอาจจะบอกว่า sunblock นั้น ป้องกันรังสียูวีโดยใช้สาร สะท้อนเอารังสียูวีออกไป แต่ sunscreen นั้นจะป้องกันโดยใช้สารดูดซับรังสีเอาไว้

    แต่เอาเข้าจริงๆ Sunblock, Sunscreen, Sun Protection, Suncare ในท้องตลาดก็ไม่ต่างกันซักเท่าไหร่ ครีมกันแดดส่วนมากจะใช้ทั้ง 2 วิธีร่วมกัน คือมันก็เป็นทั้ง sunblock และ sunscreen ในตัวเดียวกัน ป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB ก็แล้วแต่ว่ายี่ห้อไหนจะเลือกใช้ชื่ออะไร อ้อ... แต่ตัว sunblock ที่ผสมสารพวก titanium dioxide นี่เวลาทาผิวแล้ว อาจจะขาวๆปื้นๆบนผิวได้นะ เพราะสารตัวนี้ขาววววว

    จากนั้นก็มาเลือกว่า ครีมกันแดดแบบไหนถึงจะเหมาะกับตัวเรา

    ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับเจ้า 3 ตัวนี่ก่อน คือ uv filter, SPF และ PA

    UV filter ก็ตรงตามชื่อ ตัวกรองรังสี UV ซึ่งก็ป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB ปกติจะมีค่า SPF และ PA บอกถึงความสามารถในการกรอง UVB และ UVA ตามลำดับ แต่uv filter บางตัวก็ไม่บอกค่า PA แต่ถ้าถามว่ามันป้องกัน UVA ด้วยมั๊ย ... คำตอบก็คือ ก็ป้องกันเหมือนกัน

    PA คือค่าที่บอกความสามารถในการป้องกันรังสี UVA ปกติมี 3 ค่า คือ
    PA+      : UVA Protection (ป้องกัน UVA)
    PA++    : Considerable UVA Protection (ป้องกัน UVA ได้ดี)
    PA+++  : Greatest UVA Protection (ป้องกัน UVA ได้ดีเป็นพิเศษ)

    SPF (Sun Protection Factor UVB) ค่านี้ที่หลายๆคนเข้าใจผิด คิดว่าค่ายิ่งมาก ก็ยิ่งป้องกัน UVB ได้มากขึ้น จริงๆไม่ใช่เลย มันเป็นค่าที่บอก"ระยะเวลา"ที่ครีมกันแดดนั้นปกป้องผิวต่างหาก

    เพราะจริงๆ SPF 15 ก็สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ถึง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์แล้ว SPF 30 หรือ SPF 60 ก็ป้องกันได้ในระดับ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน คือสูงขึ้นมานิดๆเอง ซึ่งเอาเข้าจริงๆ SPF 15, 30, 60 ก็ไม่ได้ป้องกัน UVB ได้ต่างกันมากเท่าไหร่เลย แต่จะต่างกันที่เวลาที่ใช้ปัองกัน

    วิธีการคำนวณว่า SPF เท่าไหร่ ป้องกันได้นานเท่าไหร่ ก็ดูจากค่า SPF นั่นแหละ แล้วนับเป็นจำนวนเท่า เช่น "SPF 60" คือ "60 เท่า" นั่นเอง

    เท่าของอะไร... ก็คือ "จำนวนเท่าของการที่เราสามารถออกแดดได้นานสุดโดยที่ผิวไม่ถูกทำลาย"

    ซึ่งก็จะต่างกันไปในแต่ละคนอีก

    อย่างเช่น นาย ก. มีผิวขาวบางมาก ออกแดดได้นานสุด 10 นาทีผิวก็ไหม้แล้ว วิธีการคำนวณคือ ถ้าคนนี้เลือกใช้ครีมกันแดด SPF 60 คือ 60 เท่าของ 10 นาที ก็เท่ากับว่าครีมกันแดดนี้ทาครั้งนึงป้องกันได้นาน 600 นาที หรือ 10 ชั่วโมง นั่นเอง ส่วนนาย ข. ผิวคล้ำหน่อย ก็จะมีเม็ดสีเมลาโตนินช่วยกันแดดได้ระดับนึง อยู่ในแดดได้นานถึง 30 นาที โดยที่ผิวไม่เป็นไรเลย ถ้าใช้ SPF 60... คือ 60 เท่าของ 30 นาที ก็เท่ากับว่า ทาครีมครั้งนึงป้องกันได้ถึง 1800 นาที หรือ 30 ชั่วโมงเลยทีเดียว

    มีหลายๆคนที่เข้าใจผิด โดยเฉพาะนักกีฬากลางแจ้งทั้งหลาย อย่างตีกอล์ฟ ว่ายิ่งแดดแรงเท่าไหร่ต้องใช้ SPF สูงๆ อย่างถ้านาย ข. เลือกใช้ SPF 100 ก็เท่ากับว่า ทาครีมครั้งนึงป้องกันไปได้ 3000 นาทีหรือ 50 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว แล้วคิดดูว่าวันนึงมีแค่ 24 ชั่วโมง ประมาณว่าพระอาทิตย์ขึ้นมา 3 รอบแล้ว ก็ยังป้องกันยูวีกันอยู่นั่นเอง

    และรู้กันไหมว่า ยิ่งครีมกันแดดที่ SPF สูงเท่าไหร่ โอกาสอุดตันก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะ SPF ที่สูงกว่า 60 ขึ้นไปนี่ อุดตันผิวแน่ๆ ผลที่ตามมาก็คือ ต่อมไขมันบนผิวหน้าไงหล่ะ วิธีแก้ก็คือ ต้องใช้พวกคลีนเซอร์เช็ดทำความสะอาดหน้าให้หมดจด ปกติผิวหน้าจะมีการผลัดเซลล์ผิวอยู่แล้ว ก็จะหลุดไปเอง หรือถ้าไม่ทันใจอาจจะต้องหา AHA BHA มาลอกหน้าอีก

    มาถึงตรงนี้หวังว่าจะเข้าใจวิธีการเลือกครีมกันแดดทั่วไปกันแล้วนะคะ อิอิ

    อ้อ แถมอีกอย่าง ระหว่าง waterproof(กันน้ำ) กับ water resistant(ทนน้ำ) ความแตกต่างระหว่าง 2 ตัวนี่ก็คือ ทนน้ำนั้นต้องทาซ้ำ ซึ่งก็ตามชื่อเลย ทนน้ำ ก็คือ"ทน" ซึ่งก็มีวันที่จะ "หมดความอดทน" ได้เช่นกัน เมื่อหมดความอดทน ครีมก็สลายหลุดหายไป ก็ต้องทาใหม่ แต่กันน้ำก็คือกันได้เลย
    บางคนอาจจะถามว่าทำไมไม่ใช้กันน้ำไปเลยหล่ะ ไม่ต้องเสียเวลามาทาซ้ำบ่อยๆ หมดสนุก... ก็อย่างที่บอก ว่ามันกันน้ำ เนื้อครีมก็ออกจะแหยะๆหนืดๆ และล้างออกยาก.... นั่นเอง

    แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 52 22:52:25

จากคุณ : La Verite
เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 22:40:05





[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ]       
 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com