|
ความคิดเห็นที่ 56 |
สารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง
--------------------------------------------------------------------------------
พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 เป็นกฎหมายที่มีลักษณะเป็นการกำกับดูแล จึงมีการวางกรอบกำหนดตามกฎหมายให้ผู้ประกอบธุรกิจนำไปปฏิบัติ และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอางฯจะติดตามตรวจสอบว่าผู้ประกอบธุรกิจได้ดำเนินการเกี่ยวกับเครื่องสำอางอย่างถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่ ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจจึงจำเป็นต้องสนใจเกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ เพื่อที่จะได้นำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง
สารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอางทุกประเภทจะต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก เพราะเครื่องสำอางทุกชนิด ทุกประเภท จะต้องไม่มีส่วนผสมของสารห้ามใช้ หรือที่เรียกเป็นภาษากฎหมายว่า " วัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง "
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะติดตามตรวจสอบความปลอดภัยของเครื่องสำอางที่วางตลาดแล้ว ด้วยการเก็บตัวอย่างส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจวิเคราะห์ เครื่องสำอางใดที่ตรวจวิเคราะห์พบว่ามีสารห้ามใช้ ถือว่าเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ ผู้ใดผลิตเพื่อขาย นำเข้าเพื่อขาย หรือขายเครื่องสำอางดังกล่าว จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการเครื่องสำอางมีอำนาจประกาศผลการตรวจสอบ หรือผลวิเคราะห์เครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยให้ประชาชนทราบ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภค (ตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535)
รายการสารห้ามใช้ของประเทศไทย
รายการสารที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอางนั้น ขณะนี้มีจำนวน 38 รายการ ปรากฏอยู่ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข 3 ฉบับ ได้แก่
1. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2536 2. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2539 3. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 34) พ.ศ. 2545 รายละเอียดปรากฏตามภาคผนวก
สารห้ามใช้ในเครื่องสำอางทั้ง 38 รายการนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. สารที่ห้ามใช้ในเครื่องสำอางโดยสิ้นเชิง ไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น หากตรวจวิเคราะห์พบว่าเครื่องสำอางใดมีส่วนผสมของสารเหล่านี้แม้เพียงเล็กน้อย จะผิดกฎหมายทันที ตัวอย่างเช่น
สารปฏิชีวนะ (antibiotics) เบนซีน(benzene) คาร์บอนไดซัลไฟด์(carbon disulfide) คอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) เมทานอล(methanol) สารประกอบไนไตรต์ของโลหะ(metallic nitrites) คาร์บอนเตตราคลอไรด์(carbon tetrachloride) ทอกซิน(toxins,modified and non-modified) ไนโตรเบนซีน (nitrobenzene) ฮอร์โมนส์(hormones) โมโนเบนโซน หรือ โมโนเบนซิลอีเทอร์ของไฮโดรควิโนน หรือ พารา-เบนซิลออกซีฟีนอล(monobenzone or monobenzyl ether or hydroquinone or p-benzyloxyphenol) คลอโรฟอร์ม(chloroform) มินอกซิดิล(minoxidil) เมทิลีนคลอไรด์ หรือ ไดคลอโรมีเทน(methylene chloride or dichloromethane) เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์(benzoyl peroxide) เฮกซาคลอโรฟีน (hexachlorophene) กรดเรทิโนอิกหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "กรดวิตามินเอ" รวมทั้งอนุพันธ์ เอสเทอร์ และเกลือของสารนี้(retinoic acid, its derivatives esters and salts) กรดอะเซลาอิก(azelaic acid) พาดิเมท เอ (padimate A) ไพโรแกลลอล(pyrogallol) 2-แนพทอล(2-naphthol) และ ไบไธโอนอล (bithionol) เป็นต้น
2. สารที่ห้ามใช้ในเครื่องสำอาง โดยมีข้อยกเว้นว่าอาจปนเปื้อนในเครื่องสำอางได้เพียงเล็กน้อย หรือหากจะมีการใช้ในเครื่องสำอางจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ตัวอย่างเช่น
2.1 ตะกั่ว สารประกอบของตะกั่วและแร่ธาตุตะกั่ว(lead , its compounds and minerals) จัดเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง แต่มีข้อยกเว้น คือ (1) อาจปนเปื้อนในเครื่องสำอางได้ ในอัตราส่วนไม่เกิน 20 ส่วนในล้านส่วน โดยน้ำหนัก (2) เฉพาะสารประกอบแอซีเทตของตะกั่ว (lead acetate) หากจะนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทแต่งผมดำ จะเข้าข่ายเป็นสารควบคุมพิเศษ มีอัตราส่วนสูงสุดที่ให้ใช้ คือ 0.6 % น้ำหนัก : น้ำหนัก โดยคำนวณในรูปโลหะตะกั่ว ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารนี้จะต้องขึ้นทะเบียนตำรับให้เรียบร้อยก่อนการผลิต หรือนำเข้า
2.2 ปรอท สารประกอบของปรอท และแร่ธาตุ (mercury, its compounds and minerals) จัดเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง แต่มีข้อยกเว้น คือ (1) สารปรอทอาจปนเปื้อนในเครื่องสำอางได้ ในอัตราส่วนไม่เกิน 0.5 ส่วนในล้านส่วนโดยน้ำหนัก (2) ถ้าเป็นเกลือฟีนิลเมอร์คุริก (phenyl mercuric salts) ที่ใช้เป็นวัตถุกันเสียในผลิตภัณฑ์ประเภทที่ใช้บริเวณรอบดวงตา ให้ใช้ได้ในอัตราส่วนสูงสุดไม่เกินร้อยละ 0.0065 คำนวณในรูปโลหะปรอท (3) ถ้าเป็นไทเมอโรซาลหรือไทโอเมอร์ซาล ( thimerosal or thiomersal)ที่ใช้เป็นวัตถุกันเสียในผลิตภัณฑ์ประเภทที่ใช้บริเวณรอบดวงตา ให้ใช้ได้ในอัตราส่วนสูงสุดไม่เกินร้อยละ 0.0065 คำนวณในรูปโลหะปรอท (4) ในกรณีที่มีการใช้สารใน (2) และ (3) ผสมรวมกัน ผลรวมของสารที่ใช้ต้องไม่เกินร้อยละ 0.0065 คำนวณในรูปโลหะปรอท
ปรอทเป็นสารที่ทำให้เกิดการแพ้ หรือระคายเคืองได้อย่างรุนแรง ( potent allergen and sensitizer and skin irritation) อีกทั้งสารปรอทสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น สูดดมเข้าทางปอด หรือถูกดูดซึมผ่านทางลำไส้เล็กหากมีการกลืนกินสารนี้เข้าไป แม้แต่การทาที่ผิวหนังสารปรอทก็จะถูกดูดซึมเข้าไปสะสมในร่างกาย ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ และไตอักเสบได้
เนื่องจากในอดีตเคยมีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารปรอทเพื่อทำให้สีผิวจางลง(skin-bleaching) หรือเพื่อขจัดสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ (acne freckles and/or brown spot , aged spot) และใช้เป็นสารกันเสีย (preservative)ในเครื่องสำอางประเภทต่างๆ ต่อมามีการศึกษาเกี่ยวกับความเป็นพิษของสารปรอท และมีข้อมูลที่ชัดเจนว่าสารนี้เป็นอันตรายต่อร่างกายเกินกว่าที่จะให้ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง
แต่เมื่อพิจารณาในประเด็นของการนำสารปรอทมาใช้เพื่อเป็นสารกันเสียในเครื่องสำอางนั้น พบว่าสารนี้มีข้อดีเด่น คือ สามารถยับยั้งการปนเปื้อนของเชื้อ Pseudomonas spp.ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเนื่องจากการติดเชื้อ Pseudomonas spp. ที่ดวงตาอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้ ดังนั้น จึงยังคงให้ใช้สารประกอบของปรอทในเครื่องสำอางได้ เฉพาะกรณีที่เป็นวัตถุกันเสียในเครื่องสำอางที่ใช้บริเวณรอบดวงตาเท่านั้น โดยอัตราส่วนสูงสุดที่ให้ใช้ไม่เกินร้อยละ 0.0065 น้ำหนัก: น้ำหนัก คำนวณในรูปโลหะปรอท ซึ่งเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2538 เรื่อง กำหนดวัตถุที่อาจใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง
แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 52 14:27:44
จากคุณ |
:
เช้าชื่น
|
เขียนเมื่อ |
:
22 ก.ค. 52 10:35:32
|
|
|
|
|