ความคิดเห็นที่ 1 HERMES เกิด: ค.ศ.1837 ปารีส, ฝรั่งเศส ผู้ก่อตั้ง: เทียร์รี แอร์เมส เกือบสองศตวรรษก่อน การจัดพิธีราชาภิเษกของราชวงศ์ฝรั่งเศสต้องถูกเลื่อนเป็นครั้งคราว เนื่องจากความไม่พร้อมของขบวนรถม้า กระทั่งการถือกำเนิดของบริษัทผลิตภัณฑ์เครื่องม้า Hermes เช่นเดียวกับที่หญิงสาวหลายคนต้องรอคอยข้ามปีเพื่อที่จะได้เป็นเจ้าของกระเป๋า Birkin อันเป็นที่ปรารถนา จากประสบการณ์การทำผลิตภัณฑ์เครื่องหนังสำหรับการขี่ม้า สู่การผลิตกระเป๋าถือคุณภาพเป็นเลิศที่ใช้หนังเฉพาะหนังเกรดเอที่ผ่านการตัดเย็บอย่างละเอียดลออ หนึ่งในคอลเลคชั่นกระเป๋าที่ขึ้นทำเนียบฮิตตลอดกาลคือ Kelly ที่ตั้งชื่อตามเจ้าหญิงเกรซ เคลลี ซึ่งหิ้วขึ้นปกนิตยสาร Life ในปีค.ศ.1956 จนโด่งดัง กระเป๋าอีกคอลเลคชั่นที่คลาสสิกตลอดกาลคือ Birkin ที่ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ.1984 ตามชื่อดาราสาวเจน เบอร์กิน จนกลายเป็นกระเป๋าที่ผู้หญิงทั่วโลกต่างหลงใหลในปัจจุบัน ถึงขั้นต้องสั่งจองล่วงหน้ากันข้ามปีเลยทีเดียว สินค้าอีกประเภทของ Hermes ที่ขึ้นชื่อไม่แพ้กันคือผ้าพันคอที่ใช้เทคนิคซิลค์สกรีนด้วยมืออย่างวิจิตรบรรจงจนแทบไม่ต่างจากผลงานศิลปะของจิตรกร จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:12:57

ความคิดเห็นที่ 2 ภาพไม่ขึ้นครับ จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:14:26

ความคิดเห็นที่ 3 CHANEL เกิด: ค.ศ.1909 ปารีส, ฝรั่งเศส ผู้ก่อตั้ง: กาบริล โคโค ชาเนล แบรนด์ชั้นสูงที่กลายเป็นตำนานแฟชั่นมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ ชาเนลกลายเป็นผู้นำเทรนด์แฟชั่นผู้หญิงตั้งแต่ศตวรรษที่ 1920 เมื่อเธอปลดปล่อยสตรียุคนั้นออกจากกระโปรงสุ่มที่อึดอัด แล้วหันมาสวมกางเกงหรือกระโปรงทรงสอบยาวแค่เข่า คู่กับเสื้อแจ็กเก็ตที่ดัดแปลงจากเสื้อสูทของผู้ชาย แต่นั่นไม่เท่ากับการทำให้ชุดกระโปรงสีดำรัดรูปตัวเล็กหรือ Little Black Dress ในปีค.ศ.1926 กลายเป็นเสื้อผ้าสามัญประจำตู้ของผู้หญิงทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้ เอกลักษณ์ที่บ่งบอกสไตล์อันโดดเด่นของ Chanel คือรองเท้าส้นสูงสองโทนสี กระเป๋าลายควิลท์ร้อยสายโซ่คอลเลคชั่น 2.55 ที่สวยงามเป็นอมตะ จนถึงโลโก้ตัวอักษร C คู่ และคอลเลคชั่นเสื้อผ้าในยุคหลังที่เน้นสีขาวดำเป็นหลักซึ่งสร้างสรรค์โดย คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ที่เข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์นับตั้งแต่ปีค.ศ.1983 แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 02:26:00 จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:15:47

ความคิดเห็นที่ 4 COACH เกิด: ค.ศ.1941 นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา ผู้ก่อตั้ง: ไมล์ส และลิเลียน คาห์น ไม่น่าเชื่อว่าแบรนด์กระเป๋าถือขวัญใจของสาวๆ ทั่วโลก จะได้แรงบันดาลใจจากถุงมือเบสบอลเก่าๆ ข้างหนึ่งที่ไมล์ส คาห์น สังเกตเห็นคุณสมบัติพิเศษของหนังอันอ่อนนุ่มและทนทาน นำไปสู่การคิดค้นวิธีฟอกหนังแบบพิเศษ การคัดเลือกหนังวัวที่มีคุณภาพสูงสุด และวิธีการเย็บแบบเข็มคู่ เพื่อให้ได้กระเป๋าถือที่มีหนังหนาและทนทาน การดึงตัวบอนนี เคซิน แฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดัง มาร่วมสร้างสรรค์กระเป๋าถือสีสันฉูดฉาดอย่างแดง ส้ม และเหลืองในช่วงยุค 1960 ถือเป็นการปฏิวัติรูปแบบกระเป๋าถือครั้งสำคัญแห่งยุค รวมทั้งเป็นการลบภาพของความเป็นอนุรักษ์นิยมของ Coach ออกอย่างสิ้นเชิง แม้ปัจจุบัน Coach จะแตกไลน์เครื่องหนังออกเป็นหลายประเภท แต่กระเป๋าถือ Coach โดยเฉพาะสีเบจประดับลายโลโก้อักษร C สีน้ำตาลอันเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะคอลเลคชั่นฮิตอย่าง Bleecker Signature Tote สามารถสะท้อนรสนิยมโก้เก๋อยู่บนไหล่ของสาวๆ ได้อย่างไม่มีวันตกยุค แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 02:22:11 จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:17:30

ความคิดเห็นที่ 5 FENDI เกิด: ค.ศ.1925 โรม, อิตาลี ผู้ก่อตั้ง: เอโดอาร์โด และเอเดล เฟนดิ Fendi เริ่มต้นจากร้านตัดเย็บกระเป๋าหนังและเสื้อโค้ตขนสัตว์ในกรุงโรม ที่แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตแต่คุณภาพของสินค้ากลับเปี่ยมไปด้วยทักษะเหนือชั้น ใช้วัสดุคุณภาพเป็นเลิศ จนทำให้ขนสัตว์กลับมาสร้างความพึงพอใจแก่บรรดาราชวงศ์และชนชั้นสูงอีกครั้งในปลายยุค 1920 จากจุดนี้เองทำให้ Fendi ค่อยๆ เดินหน้าเข้าสู่แฟชั่นชั้นสูงและปรับดีไซน์ให้ดูตื่นตาและโก้หรูกว่าที่เคยเป็น กระทั่งการก้าวเข้ามาของคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ในปีค.ศ.1965 ที่ Fendi ปฏิวัติวงการแฟชั่นด้วยเสื้อขนสัตว์ในเฉดสีที่จัดจ้านขึ้น กระเป๋าหนังที่ใช้เทคนิคใหม่ๆ รวมทั้งโลโก้อักษร F สองตัวที่ลาเกอร์เฟลด์ออกแบบจนเป็นเอกลักษณ์ที่คุ้นตาของวงการแฟชั่น และแน่นอนว่าคงไม่มีแฟชั่นนิสตาคนไหนไม่รู้จักกระเป๋า Baguette ที่กลายเป็นกระเป๋าสุดฮ็อตในปีค.ศ.1997 จากจุดนั้น Fendi ได้กลายเป็นผู้นำกระเป๋าแฟชั่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และสร้างสรรค์คอลเลคชั่นอื่นๆ ที่น่าจดจำอย่าง Ostrik, Diavolo, Biga, Spy มาจนถึง B Fendi แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 02:26:23 จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:19:44

ความคิดเห็นที่ 6 SALVATORE FERRAGAMO เกิด: ค.ศ.1928 ฟลอเรนซ์, อิตาลี ผู้ก่อตั้ง: ซัลวาโทเร เฟอร์รากาโม ชื่อของ Salvatore Ferragamo ติดอยู่บนปลายเท้าของหญิงสาวทั่วโลก นับตั้งแต่ซูเปอร์สตาร์ มาริลีน มอนโร จนถึงสตรีหมายเลขหนึ่ง เอวิตา เปรอง หลังจากที่เฟอร์รากาโมเดินทางไปเป็นช่างทำรองเท้าให้กับบริษัทสร้างหนังที่ฮอลลีวู้ดในยุค 1920 ด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตรองเท้าของเขาที่ไม่เหมือนใครในยุคนั้น โดยเฉพาะรองเท้า Invisible Sandal ที่มีสายทำจากเส้นเอ็นใสจนได้รับการกล่าวขวัญอย่างท่วมท้น จนทำให้ดาราดังและบุคคลชั้นสูงจากหลายประเทศต่างเดินทางมาที่ร้านของเขาในเมืองฟลอเรนซ์ เพื่อสั่งตัดรองเท้าที่คนทั่วโลกพูดถึง ซึ่งรวมถึงรองเท้าส้นเข็มอันโด่งดังของมาริลีน มอนโร ในหนัง The Seven Year Itch และ Some Like It Hot สัญลักษณ์สำคัญของ Salvatore Ferragamo คือ Gancino ห่วงโลหะทรงกลมที่ประดับอยู่บนรองเท้า กระเป๋า หรือหัวเข็มขัด และคงไม่มีใครลืมคอลเลคชั่น Vera รองเท้าส้นเตี้ยประดับโบว์ผ้าและแผ่นโลหะสีทองสุดคลาสสิก ที่ถูกอัพเดทเป็นคอลเลคชั่น Varina ที่ผลิตจากหนังแก้วและปรับรูปทรงให้มีสไตล์บัลเลต์ แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 02:23:40 จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:22:35

ความคิดเห็นที่ 7 แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 02:27:36 จากคุณ : ToppingDS เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:24:11

ความคิดเห็นที่ 8 LACOSTE เกิด: ค.ศ.1933 ฝรั่งเศส ผู้ก่อตั้ง: เรอเน ลาคอสท์ ด้วยสไตล์การเล่นที่แม่นยำและดุดันประดุจจระเข้ที่ออกล่าเหยื่อของเรอเน ลาคอสท์ นักเทนนิสผู้เป็นตำนานของฝรั่งเศส ทำให้สื่อมวลชนต่างพากันขนานนามเขาว่า Le Crocodile ถึงขนาดที่โรเบิร์ต จอร์จ เพื่อนของเขาต้องออกแบบตัวจระเข้และสั่งปักลงบนเสื้อเบลเซอร์เพื่อมอบให้เป็นของขวัญ และนั่นคือต้นแบบของโลโก้จระเข้สีเขียวที่เราคุ้นหน้าคุ้นตามากว่า 70 ปี เสื้อโปโลแขนสั้นสีขาวที่ลาคอสท์สวมแข่งขันในนัดที่เขาคว้าแชมป์ยูเอสโอเพนในปีค.ศ.1927 ตัดเย็บจากผ้าคอตตอนปีเก้ที่สวมใส่สบายและระบายความชื้นได้ดี ซึ่งถือเป็นความแปลกใหม่ในสมัยนั้น และเป็นสิ่งที่ลาคอสท์คิดค้นขึ้นเอง นำไปสู่เสื้อ Lacoste คอลเลคชั่นแรกชื่อ 1212 ในปีค.ศ.1933 สิ่งที่น่าทึ่งก็คือเสื้อโปโลของ Lacoste ในยุคแรกๆ แทบไม่ได้แตกต่างจากที่เราเห็นทุกวันนี้ ซึ่งถือเป็นเป็นความคลาสสิกที่ได้รับความนิยมไม่เปลี่ยนแปลง กระนั้นก็ตามในระยะหลัง Lacoste เอาใจกลุ่มหนุ่มสาวด้วยเสื้อผ้าและแอคเซสซอรีที่มีดีไซน์เฉี่ยวล้ำ ทันสมัย แต่ยังรักษาสไตล์สปอร์ตแวร์อันเป็นเอกลักษณ์ไว้ แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 02:26:50 จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:24:56

ความคิดเห็นที่ 9 ปาด หน่อยครับ อิอิ กระทู้นี้กลายเป็น กระทู้ความรู้ไปเลยย ขอลงชื่อ ไม่เห็นด้วยกับการใช้ของปลอม ด้วยคนน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 02:27:21 จากคุณ : ToppingDS เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:27:01

ความคิดเห็นที่ 10 BURBERRY เกิด: ค.ศ.1856 อังกฤษ ผู้ก่อตั้ง: โธมัส เบอร์เบอรี แม้ว่าลายตารางสีดำ แดง ขาว และคาเมล จะปรากฏขึ้นครั้งแรกบนเสื้อโค้ทกันฝนในปีค.ศ.1924 แต่ลาย Burberry Check นี้ยังไม่ได้รับความนิยมและเป็นเอกลักษณ์ของ Burberry กระทั่งยุค 1960 ที่เสื้อกันฝนของแบรนด์กลับมาได้รับความนิยมสูงสุดอีกครั้งด้วยการผสานลายคลาสสิกนี้ไว้ด้านใน เสื้อกันฝนของ Burberry ได้รับความนิยมมาตั้งแต่ปีค.ศ.1914 เมื่อเบอร์เบอรีออกแบบเครื่องแบบทหารชุดใหม่สำหรับกองทัพอังกฤษในชื่อ Tielocken Coat ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของเสื้อโค้ทกันฝนในทุกวันนี้ เสื้อโค้ททหารของ Burberry โด่งดังมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ยาวไปจนถึงบนแผ่นฟิล์มหลายเรื่องโดยเฉพาะ Casablanca และ Breakfast at Tiffanys เสื้อโค้ทกันฝนและผ้าพันคอแคชเมียร์ลายตารางเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดของ Burberry จนถึงต้นยุค 1980 กระทั่งเกิดการพลิกโฉมครั้งสำคัญในปีค.ศ.1997 ด้วยดีไซน์ใหม่ๆ และสีสันที่ฉูดฉาดกว่าที่เคย ทว่ายังไม่ละทิ้งลายตารางคลาสสิกที่ผู้คนทั่วโลกคลั่งไคล้ แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 02:32:14 จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:28:59

ความคิดเห็นที่ 11 BALLY เกิด: ค.ศ.1851 สวิตเซอร์แลนด์ ผู้ก่อตั้ง: คาร์ล ฟรานซ์ บัลลี เดิมทีธุรกิจในครอบครัวของคาร์ล ฟรานซ์ บัลลี คือการผลิตริบบิ้น แต่หลังจากการเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ปารีส เขาก็เกิดหลงใหลในรองเท้าแตะหนังที่ถูกประดิดประดอยอย่างสวยงามและกลับมาเปิดบริษัทผลิตรองเท้า โดยรองเท้ารุ่นแรกๆ ของเขาทำจากมือล้วนๆ จากนั้นจึงเริ่มขยายกิจการด้วยการสร้างโรงงานผลิตรองเท้าขึ้นเองในปีค.ศ.1854 รองเท้าของ Bally มีการพัฒนารูปแบบมาโดยตลอด แต่หัวใจสำคัญคือคุณภาพและกรรมวิธีการผลิตหนังที่พิถีพิถันทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การเลี้ยงวัวเพื่อให้ได้หนังเนียนนุ่ม ไร้รอยขีดข่วน การฟอกหนังคุณภาพสูง ไปจนถึงการตัดเย็บที่ประณีต สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นคือการเย็บพื้นรองเท้าแบบ Goodyear Welted ซึ่งเป็นการเย็บที่ดีที่สุด ทำให้ได้รองเท้าที่มีพื้นนุ่มสบายและทนทานเป็นพิเศษ ขณะที่เครื่องหนังของ Bally นิยมใช้สีน้ำตาลช็อกโกแลตและแถบผ้าแคนวาสสีขาวแดง ซึ่งสื่อถึงประเทศบ้านเกิด รวมทั้งสะท้อนสไตล์ที่ผสานความคลาสสิกกับความทันสมัยเข้าด้วยกัน จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:30:37

ความคิดเห็นที่ 12 CHRISTIAN DIOR เกิด: ค.ศ.1946 ปารีส, ฝรั่งเศส ผู้ก่อตั้ง: คริสเตียน ดิออร์ หลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เป็นเสมือนฝันร้าย คริสเตียน ดิออร์ ปลุกโลกใบนี้ให้ตื่นขึ้นด้วยคอลเลคชั่นแรก New Look ในปีค.ศ.1947 ที่สร้างความตะลึงให้กับวงการแฟชั่นโลกด้วยสไตล์แปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าไหล่แคบ โค้งมน กระโปรงยาวและชุดรัดเอวที่เน้นรูปทรงนาฬิกาทราย ถึงขั้นที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น Style Dictator ทุกคอลเลคชั่นของดิออร์ในช่วงทศวรรษถัดมาล้วนมีความชัดเจน ด้วยสไตล์ที่หรูหราและไม่เหมือนใคร นับตั้งแต่ผ้าเนื้อบางเบา ผ้าลายดอกไม้ กระโปรงบัลเลต์แบบยาว จนถึงคอลเลคชั่น H-Line ที่จับคู่เสื้อสูทเข้ารูปเข้ากับกระโปรงยาวทรงแคบสำหรับงานกลางคืน ตามด้วย A-Line และ Y-Line รวมทั้งเสื้อแจ็กเก็ตหนังจระเข้และเสื้อโค้ทขนมิงค์ กระทั่งในยุค 1990 ต้องขอขอบพระทัยเจ้าหญิงไดอาน่า ที่สร้างชื่อให้ Lady Dior กระเป๋าทรงเหลี่ยม หูหิ้วครึ่งวงกลม ปั๊มลายนูน Cannage อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานและกลายเป็นแอคเซสซอรีคู่กายของหญิงสาวทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:31:55

ความคิดเห็นที่ 13 EMPORIO ARMANI เกิด: ค.ศ.1981 มิลาน, อิตาลี ผู้ก่อตั้ง: จิออร์จิโอ อาร์มานี Emporio Armani คือ Second Line ของแบรนด์ดัง Giorgio Armani โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นหนุ่มสาววัยรุ่นหรือวัยทำงาน ด้วยเสื้อผ้าและแอคเซสซอรีที่สะท้อนความทันสมัย คล่องแคล่ว ผสานกลิ่นอายของความโก้หรู จิออร์จิโอ อาร์มานีเริ่มต้นแบรนด์นี้ด้วยเสื้อผ้าลำลองอย่างกางเกงยีนส์และเสื้อยืด ต่อด้วยชุดราตรีแนวค็อกเทลเดรสที่หยิบยืมสไตล์มาจากแบรนด์หลัก รวมทั้งเสื้อแจ็กเก็ตที่ได้รับการออกแบบให้มีความหลากหลายถึง 25 สไตล์ จากเนื้อผ้า 250 ชนิดในปีค.ศ.1989 ด้วยสไตล์ที่เสมือนเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างความหรูหราและความเรียบง่าย ประกอบกับโทนสีและการออกแบบที่สามารถหยิบมามิกซ์แอนด์แมทช์ได้ง่าย ซึ่งเป็นเจตนาของอาร์มานีที่ต้องการทำเสื้อผ้าให้ถูกใจคนกลุ่มใหญ่ ตั้งแต่แฟชั่นนิสตาจนถึงนักธุรกิจ จึงไม่แปลกใจที่ Emporio Armani จะเป็นแบรนด์ลูกที่แพร่หลายที่สุดของอาร์มานี จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:33:51

ความคิดเห็นที่ 14 POLO RALPH LAUREN เกิด: ค.ศ.1967 นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา ผู้ก่อตั้ง: ราล์ฟ ลอเรน โอปราห์ วินฟรีย์ ให้คำจำกัดความของ ราล์ฟ ลอเรน ขณะขึ้นมอบรางวัล American Fashion Legend Award ว่า ชื่อของราล์ฟ ลอเรน ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ ความฝัน ความจริง และความทะเยอทะยาน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ชาวอเมริกันรักและภาคภูมิใจในตัวของแฟชั่นดีไซเนอร์ชาวนิวยอร์กผู้นี้ ลอเรนเริ่มสร้างผลงานจากการออกแบบเน็กไทที่มีขนาดกว้างและตัดเย็บด้วยมืออย่างประณีตขณะทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตเน็กไท จากนั้นจึงเริ่มเปิดไลน์เสื้อผ้าบุรุษของตนเองในปีค.ศ.1968 ซึ่งฮิตติดตลาดอย่างรวดเร็ว และได้รับการยกย่องว่าเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์คนแรกที่ผสมผสานสไตล์คลาสสิกแบบอเมริกัน เข้ากับความละเมียดละไมแบบแฟชั่นยุโรป ในช่วงยุค 1970 ชื่อของ Polo Ralph Lauren ติดอยู่บนริมฝีปากของทุกคน ทั้งจากเสื้อโปโลแขนสั้น ปักโลโก้นักกีฬาโปโลบนหน้าอกที่มีให้เลือกถึง 24 สี จนถึงชุดสูทสีชมพูของโรเบิร์ต เรดฟอร์ด ในหนัง The Great Gatsby และชุดสูทของไดแอน คีตัน ในหนัง Annie Hall ที่กลายเป็นกระแสแฟชั่นในช่วงนั้น จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:35:22

ความคิดเห็นที่ 15 TOD'S เกิด: ค.ศ.1978 อิตาลี ผู้ก่อตั้ง: ดีเอโก เดลลา วัลเล Tod's เป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีจากรองเท้าและเครื่องหนัง ซึ่งมีสไตล์ที่กลายเป็นไอคอนของชีวิตสมัยใหม่ เป็นสัญลักษณ์ของการผสมผสานระหว่างความคลาสสิก คุณภาพ และความทันสมัยได้อย่างกลมกลืน ตามเจตนารมณ์ที่ดีเอโก เดลลา วัลเล หนุ่มชาวตาลีที่มีบรรพบุรุษเป็นช่างซ่อมรองเท้ายึดถือมาตลอดตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงงานของ Tod's ในปลายยุค 1970 รองเท้าและเครื่องหนังแต่ละชิ้นต้องผลิตจากหนังคุณภาพดีและใช้ฝีมือการตัดเย็บแบบท้องถิ่นของอิตาลีแท้ๆ รองเท้า Driving Shoes ที่มีปุ่มยาง 133 ปุ่มใต้พื้นรองเท้า กลายเป็นเอกลักษณ์ของ Tod's ที่หลายคนจดจำได้ดีและถูกนำมาผลิตในหลากหลายรูปแบบทั้งสำหรับบุรุษและสตรี ขณะที่ D Bag กระเป๋าหนังใบใหญ่สไตล์คลาสสิกที่ตัดเย็บอย่างประณีตก็กลายเป็นที่นิยมในหมู่คนดังและมีการอัพเดทสไตล์มาจนถึงตอนนี้ จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:38:30

ความคิดเห็นที่ 16 ETRO เกิด: ค.ศ.1968 มิลาน, อิตาลี ผู้ก่อตั้ง: กิมโม เอโทร โลกแห่งสไตล์อันเปี่ยมเสน่ห์ของ Etro เป็นผลมาจากความหลงใหลในการเดินทาง วัฒนธรรม หนังสือ และความงามของกิมโม เอโทร ที่ถ่ายทอดประสบการณ์ลงบนดีไซน์ของเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายที่โดดเด่นด้วยลวดลายสวยงาม โดยเฉพาะคอลเลคชั่น Paisley ในปีค.ศ.1981 ที่เอโทรได้แรงบันดาลใจจากผ้าพิมพ์อันวิจิตรของชาวอินเดีย และทำให้ลวดลายนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ Etro ที่คนทั่วไปรู้จักกันดี จวบจนปีค.ศ.1990 Etro ประสบความสำเร็จกับเสื้อผ้าเรดีทูแวร์ทั้งของบุรุษและสตรี ด้วยสไตล์ที่แสดงถึงความประณีตบรรจง ผสานกับวัตถุดิบที่เลือกสรรมาอย่างดี ตลอดจนการตัดเย็บที่เนี้ยบ จากอดีตถึงปัจจุบัน Etro ได้พัฒนาเสื้อผ้าและแอคเซสซอรีใหม่ๆ ที่สะท้อนการผสมผสานระหว่างแฟชั่นและศิลปะ ทั้งการหยิบยืมลวดลายบนฝาผนังของพิพิธภัณฑ์ Bagatti Valsecchi หรือผ้าพันคอที่ออกแบบพิเศษเพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของ La Scala Thetre ในกรุงมิลาน จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:40:12

ความคิดเห็นที่ 17 ERMENEGILDO ZEGNA เกิด: ค.ศ.1910 มิลาน, อิตาลี ผู้ก่อตั้ง: แอร์เมเนจิลโด เซนญา Ermenegildo Zegna ขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์เสื้อผ้าของสุภาพบุรุษที่ขายดีที่สุดในโลก พิสูจน์จากบูติคที่ขจรขจายไปกว่า 500 แห่งทั่วโลก พนักงานกว่า 6,000 คน และการตัดเย็บที่ใช้เนื้อผ้ากว่า 2.3 ล้านเมตรต่อปี ผลจากการร่ำเรียนในสถาบันสอนการผลิตสิ่งทอและแรงบันดาลใจจากผ้าทอของอังกฤษ ทำให้เซนญาตัดสินใจเปิดโรงงานทอผ้าในปลายทศวรรษที่ 1930 และด้วยเทคโยโลยีที่ล้ำหน้าประกอบกับการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ทำให้ผ้าของเขามีคุณภาพเหนือกว่าผ้าของอังกฤษ และรับประกันคุณภาพด้วยการประทับชื่อของเขาลงบนของผ้าทุกพับ จนถึงปีค.ศ.1966 ไลน์เสื้อผ้าเรดีทูแวร์ประสพความสำเร็จเป็นอย่างสูงและตามมาด้วยแอคเซสซอรีมากมายสำหรับบุรุษ ทุกวันนี้ Ermenegildo Zegna ยังคงเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตผ้ามาริโนวูล ผ้าแคชเมียร์ และผ้าโมแฮร์จากแอฟริกาใต้ที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:42:34

ความคิดเห็นที่ 18 CHOPARD เกิด: ค.ศ.1860 เจนีวา, สวิตเซอร์แลนด์ ผู้ก่อตั้ง: หลุยส์-ยูลิส โชพาร์ โชพาร์เริ่มต้นตำนานด้วยการรับจ้างซ่อมและหาอะไหล่นาฬิกาให้กับแบรนด์อื่นๆ จนนำไปสู่การสร้างสรรค์นาฬิกาขึ้นเอง โดยเริ่มจากนาฬิกาพกและโครโนมิเตอร์ที่เน้นคุณภาพด้วยการประดิษฐ์ด้วยมือล้วนๆ จนถึงขั้นได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตนาฬิกาจับเวลาให้กับการทางรถไฟแห่งสวิตเซอร์แลนด์ (ที่ขึ้นชื่อว่าตรงเวลาเป๊ะ) การสืบกิจการจากรุ่นสู่รุ่น นำไปสู่การบุกเบิกเรือนเวลารูปแบบใหม่ๆ จนกลายเป็นนาฬิกาคุณภาพสูงที่ประดับด้วยเพชรพลอยอันเลอค่า โดยเฉพาะนาฬิกาคอลเลคชั่น Happy Diamonds ที่บรรจุเพชรเม็ดงามกลิ้งอยู่บนหน้าปัดได้อย่างน่าอัศจรรย์จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ นอกจากเรื่องนาฬิกาแล้ว โชพาร์ยังฉลองสหัสวรรษใหม่ด้วยการรีเฟรชจิวเวลรีไลน์ในคอนเซ็ปต์ Golden Diamonds จนกลายเป็นผู้นำด้านจิวเวลรีแบรนด์ระดับบน รวมทั้งได้รับเลือกให้เป็นผู้สนับสนุนหลักและผู้ผลิตรางวัลปาล์มทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์อีกด้วย จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:44:00

ความคิดเห็นที่ 19 CARTIER เกิด: ค.ศ.1987 ปารีส, ฝรั่งเศส ผู้ก่อตั้ง: หลุยส์ คาร์เทียร์ ตระกูลคาร์เทียร์สืบทอดกิจการออกแบบและจำหน่ายเครื่องประดับต่อกันในหลายชั่วอายุคนจนกลายเป็นที่กล่าวขานไปทั่วโลก จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่การสร้างสรรค์นาฬิกาข้อมือของหลุยส์ คาร์เทียร์ เพื่อมอบให้กับเพื่อนนักบินอัลแบโต ซานโตส-ดูมองต์ จนนำมาสู่ The Santos นาฬิกาคอลเลคชั่นแรกของคาร์เทียร์ ในปีค.ศ.1911 (และเป็นหนึ่งในนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของโลก) ตามด้วยนาฬิกาคอลเลคชั่น Tank ในปีค.ศ.1917 ที่สร้างชื่อให้กับคาร์เทียร์เป็นอย่างสูง ด้านที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันคือความเป็นผู้ชำนาญในการผลิตเครื่องเพชรของคาร์เทียร์ ที่เคยได้รับเกียรติจากลูกค้าระดับราชวงศ์หลากหลายประเทศ ถึงขั้นที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งอังกฤษ ทรงขนานนามว่า Jeweler to kings, king of jewelers. คอลเลคชั่นเครื่องประดับที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกมีทั้ง Tutti Frutti ที่ใช้อัญมณีและพลอยต่างสีสันมาเรียงร้อยเข้าด้วยกัน, Panther ที่ใช้รูปทรงและลวดลายของเสือดาวมาประยุกต์เป็นเครื่องประดับ และที่ลืมไม่ได้คือ Trinity Ring แหวนสามวงที่ทำจากทองคำ ทองขาว และทองสีชมพูคล้องกัน จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:45:37

ความคิดเห็นที่ 20 BVLGARI เกิด: ค.ศ.1884 โรม, อิตาลี ผู้ก่อตั้ง: โซเทริโอ บูลการี Bvlgari เพิ่งจะทำการฉลองครบรอบประวัติศาสตร์ 125 ปี ด้วยการนำโลโก้วินเทจของโซเทริโอ บูลการี มาประดับบนหน้าปัดนาฬิกา กระเป๋า และเครื่องประดับต่างๆ แบรนด์จิวเวลรีระดับโลกนี้สืบทอดมาจากตระกูลช่างเงินเก่าแก่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในกรีซ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงเมื่อบูลการีย้ายถิ่นฐานมาเปิดร้านเครื่องประดับเงินในกรุงโรม ด้วยรูปแบบเครื่องประดับอันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้แรงบันดาลใจจากสไตล์คลาสสิกของกรีก โรมัน และยุคเรเนสซองส์ของอิตาลี ในปีค.ศ.1977 Bvlgari-Bvlgari มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในฐานะที่เป็นนาฬิกาข้อมือคลาสสิกที่ขายดีที่สุดของแบรนด์และได้รับความนิยมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากจิวเวลรีและนาฬิกาแล้ว ในทศวรรษถัดมา Bvlgari เริ่มแตกไลน์สินค้าออกเป็นหลายประเภท ทั้งน้ำหอม เครื่องประดับ และเครื่องหนังระดับไฮเอนด์ที่ผสานความงามไร้กาลเวลาเข้ากับความทันสมัยในทุกคอลเลคชั่น จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:48:29

ความคิดเห็นที่ 21 LONGCHAMP เกิด: ค.ศ.1948 ฝรั่งเศส ผู้ก่อตั้ง: ฌอง กาสส์แกรง Longchamp เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่าลู่วิ่งในสนามม้าดังที่สะท้อนออกมาบนโลโก้นักขี่ม้าแข่ง ฌอง กาสส์แกรง เริ่มต้นแบรนด์ด้วยการผลิตหนังหุ้มไปป์และสินค้าอื่นๆ เกี่ยวกับยาสูบ จนถึงปีค.ศ.1955 จึงหันมาผลิตกระเป๋าเดินทางและเครื่องหนังต่างๆ ที่มีชื่อเสียงเรื่องน้ำหนักเบา กระทั่งปีค.ศ.1975 Longchamp ได้ก้าวเข้าสู่แวดวงแฟชั่นด้วยกระเป๋าสตรีคอลเลคชั่นแรก Veau Foulonne และต่อด้วยไลน์ LM กระเป๋าหนังลูกวัวที่ซิลค์สกรีนลายโลโก้นักขี่ม้าและเข็มขัดไขว้กันตารางจนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่หลายคนจดจำได้ดี และถูกนำกลับมาผลิตใหม่อีกครั้งในวาระครบรอบ 60 ปีในปัจจุบัน ทว่าคอลเคลชั่นไหนก็เทียบไม่ได้กับความโด่งดังของ Le Pliage (เลอ ปิยาด) กระเป๋าถือผ้าไนลอนสไตล์เรียบง่าย น้ำหนักเบา พับเก็บได้ มีหูหิ้วและฝาปิดกระเป๋าทำจากหนัง ซึ่งกลายเป็นกระเป๋าอเนกประสงค์ที่โดนใจหญิงสาวทั่วโลกมาตั้งแต่ปีค.ศ.1993 จนถึงทุกวันนี้ จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:52:19

ความคิดเห็นที่ 22 GUCCI เกิด: ค.ศ.1921 อิตาลี ผู้ก่อตั้ง: กุชชิโอ กุชชี ประวัติศาสตร์ของแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลกนี้ เริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่กุชชิโอ กุชชี เปิดร้านเครื่องหนังในกรุงฟลอเรนซ์เมื่อปีค.ศ.1921 ในฐานะช่างผลิตกกระเป๋าเดินทางสำหรับรถม้าผู้ชำนาญ กระทั่งปีค.ศ.1947 กุชชีได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการแฟชั่นด้วย Bamboo Handbag กระเป๋าถือหนังที่มีหูหิ้วทำจากไม้ไผ่ และกลายเป็นสัญลักษณ์อันโด่งดังของ Gucci ตั้งแต่นั้นมา จนถึงยุค 1960 Gucci สร้างความเฉิดฉายอีกครั้งด้วยไอคอน GG ที่ปรากฏให้เห็นอยู่บนลายผ้าไหม Flora ที่สร้างสรรค์เพื่อเจ้าหญิงเกรซ เคลลี ไปจนถึง Horsebit ห่วงรัดปากม้าที่กลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ Gucci ที่ถูกนำมาใช้กับสินค้าหลายชนิด โดยเฉพาะกระเป๋าคอลเลคชั่น Jackie O ที่ตั้งชื่อตามอดีตสตรีหมายเลข 1 แจ็กเกอลีน เคนเนดี และ Bardot ที่ตั้งชื่อตามเซ็กซิมโบลแห่งยุค บริเจ็ตต์ บาร์ด็อต นอกจากนี้ยังมีสีแดง-เขียวที่กลายเป็นสีประจำตัวของ Gucci มาตั้งแต่ยุค 1950 จนถึงปัจจุบัน จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:53:44

ความคิดเห็นที่ 23 GIVENCHY เกิด: ค.ศ.1952 ฝรั่งเศส ผู้ก่อตั้ง: อูแบรต์ เดอ จีวองชี หลังจากก่อตั้งแบรนด์ Givenchy เพียงหนึ่งปี ชื่อเสียงของอูแบรต์ เดอ จีวองชี ก็เลื่องลือไกลไปทั่ววงการแฟชั่น ไม่ว่าจะเป็นการเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์คนแรกที่นำเสนอไลน์เสื้อผ้าเรดีทูแวร์แนวหรู การได้ขึ้นปกนิตยสาร Life รวมทั้งสร้างความประทับใจให้แก่ผู้หญิงที่มีชื่อเสียงหลายคน นับตั้งแต่เจ้าหญิงเกรซ เคลลี, อลิซาเบธ เทย์เลอร์, แจ็คเกอลีน เคนเนดี, ลอเรน เบคอลล์ รวมทั้งแคเธอลีน เฮปเบิร์น ที่ปรากฏตัวบนจอหนังหลายเรื่องเช่น Sabrina และ Breakfast at Tiffany's ด้วยเสื้อผ้าของ Givenchy อยู่เสมอจนเสมือนเป็นไอคอนของแบรนด์ในยุคนั้น ย่างเข้าสู่ทศวรรษ 1970 Givenchy เริ่มขยายไลน์เสื้อผ้าเรดีทูแวร์สำหรับผู้ชาย และกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องแต่งกายบุรุษที่ได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนเครื่องหนังและแฟชั่นแอคเซสซอรีต่างๆ ที่ผสานความหรูเข้ากับความเฉียบคม ผสมโลโก้ตัวอักษร G ทรงเหลี่ยม 4 ตัวที่ย่อมาจาก Genteel (ผู้ดี), Grace (งามสง่า), Gaiety (ร่าเริง) และ Givenchy จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:56:06

ความคิดเห็นที่ 24 HUGO BOSS เกิด: ค.ศ.1923 เยอรมนี ผู้ก่อตั้ง: ฮิวโก เฟอร์ดินานด์ บอสส์ แม้ฮิวโก เฟอร์ดินานด์ บอสส์ จะเปิดฉากธุรกิจเสื้อผ้าได้ไม่สวยด้วยการถูกฟ้องล้มละลายหลังจากเปิดกิจการได้ 7 ปี บอสส์เริ่มลุกขึ้นใหม่อีกครั้งในปีค.ศ.1931 ด้วยการเป็นผู้ผลิตเครื่องแบบทหารให้แก่พรรคนาซีอย่างเป็นทางการ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงพร้อมกับเครื่องแบบทหาร Hugo Boss จึงหันมาผลิตสูทสำหรับบุรุษเป็นครั้งแรกในปีค.ศ.1953 ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงด้วยความเป็นหนึ่งทั้งในเรื่องสไตล์และคุณภาพ จากนั้นจึงต่อยอดด้วยการสร้างสรรค์เสื้อผ้าลำลองสำหรับชายและหญิงในยุค 1960 ทุกวันนี้ Hugo Boss เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะแบรนด์แฟชั่นชั้นนำทั้งสำหรับบุรุษและสตรี โดยแบ่งออกเป็น 2 ไลน์ใหญ่ได้แก่ Hugo และ Boss ซึ่งแตกออกเป็น Boss Black, Boss Selection, Boss Orange และ Boss Green จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:58:03

ความคิดเห็นที่ 25 DUNHILL เกิด: ค.ศ.1893 ลอนดอน อังกฤษ ผู้ก่อตั้ง: อัลเฟรด ดันฮิลล์ หลังจากที่อัลเฟรด ดันฮิลล์ สืบทอดกิจการเครื่องอานม้าต่อจากบิดา ทุกอย่างก็ไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป ด้วยความทะเยอทะยานและไอเดียใหม่ๆ ดันฮิลล์เริ่มเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปที่ยานยนต์ด้วยการสร้างสรรค์เสื้อผ้าและแอคเซสซอรีโก้หรูสำหรับสิงห์มอเตอร์ไซค์และรถยนต์ ไปจนถึงนักบินในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ภายใต้สโลแกนว่า Everything But The Motor ในปีค.ศ.1934 โลกเริ่มรู้จักโลโก้ Dunhill ที่มีหางของตัวอักษรยาว 4 เส้น ตามตราสัญลักษณ์ของ Prince of Wales ซึ่งถูกใช้มาจนถึงปัจจุบัน ยุคใหม่ของ Dunhill เกิดขึ้นในยุค 1950 ด้วยการปรับคอลเคลชั่นของสินค้าต่างๆ ตั้งแต่เสื้อแจ็กเก็ต กระเป๋าเดินทาง นาฬิกา เครื่องเขียน น้ำหอม ไปจนถึงไฟแช็ก ตามติดด้วยเสื้อผ้าผู้ชายคอลเลคชั่นแรกในปีค.ศ.1977 ที่สร้างสรรค์สไตล์เรียบหรูคลาสสิก แต่ไม่ล้าสมัย ใส่ใจในรายละเอียด และใช้เนื้อผ้าหลากหลายชนิดเช่นโมแฮร์ แคชเมียร์ ไหม และฝ้าย ซึ่งตรงรสนิยมของผู้ชายอังกฤษตั้งแต่ยุคแครี แกรนท์ จนถึงจูด ลอว์ จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:59:34

ความคิดเห็นที่ 26 พอแค่นี้ก่อนครับ ง่วง... ขอสรุปสั้นๆ ว่า ถ้าใครเคยดู The Devil Wears Prada แล้วจำฉากที่แอน แฮทธาเวย์ แอบหัวเราะตอนที่เมอรีล สตรีพ คุยกับสไตลิสต์ว่าจะเอาเข็มขัดเส้นไหนดี แอนบอกว่ามันก็สีฟ้าเหมือนๆ กันแหละ เส้นไหนก็ได้ ไม่เห็นจะแตกต่าง... แต่ถ้าคุณได้ลองศึกษาประวัติศาสตร์ของแฟชั่นดูจะพบว่า "มันไม่ใช่" แค่เรื่องสีฟ้าหรือเข็มขัด แต่มันมีอะไรมากมายมหาศาลกว่านั้น จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 03:03:06

ความคิดเห็นที่ 27 ทู้นี้มีสาระ สุโค่ยยยยยยยยย จากคุณ : That's My BoyFriend . . .! เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 03:05:48

ความคิดเห็นที่ 28 สำหรับคนบางคนมองว่าแฟชั่นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่กับบางคนแฟชั่นเป็นเรื่องใหญ่ จงอย่าเอาความคิดของเราไปตัดสินแทนคนอื่นๆ นะครับ อย่าลืมครับ ที่บอกแบบนี้  เพราะอยากให้มองสองด้านด้วยเสมอครับ แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 03:15:51 จากคุณ : BIZZARE เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 03:14:49

ความคิดเห็นที่ 29 ขอสนับสนุนพี่กอฟท์อีกเสียง : ) คนเราไม่ได้มีแบบเดียว แล้วแต่ละคนก็ไม่ได้มีด้านเดียว อ่านกระทู้แบรนด์เนม แท้ ก๊อปมาบ่อยจนเบื่อมากๆ ขอฝากไว้อย่างเดียวครับ ว่า แบรนด์เนมไม่ใช่สิ่งตัดสินคุณค่าความเป็นมนุษย์ อย่ามัวแต่มองคนอื่นเลยว่าใครจะใช้ของแท้ของก๊อป สู้มีความสุขเต็มที่กับชีวิตแสนสั้นของตัวเราไม่ดีกว่าเหรอคับ ใครใช้ของจริงแล้วมีความสุข ก็ใช้ไป ใครใช้ของก็อปแล้วภูมิใจ ก็ไม่ผิด ใครจะถืออะไร สวมอะไร แท้หรือปลอม ...เค้าก็ไม่ได้มาทำร้ายอะไรเรานี่ครับ แล้วจะต้องไปเดือนร้อนอะไร กับสิ่งที่เรารู้กันอยู่แก่ใจทุกคน ก่อนที่จะนอกเรื่อง นอกประเด็นไปมากกว่านี้.... ขอบคุณ จขกท สำหรับความรู้ดีๆ น่าศึกษา สำหรับเป้แล้ว....fashion is my life !!!! 555 (แก้คำผิดค้าบบบ) แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 03:29:55 จากคุณ : Mr.Laszlo เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 03:26:36

ความคิดเห็นที่ 30 เอาไปเลยค่ะสามใจ จากคุณ : ni-na (Bio Bas) เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 03:27:16

ความคิดเห็นที่ 31 เห็นด้วยกับ จขกท                ปล   อิชั้นหิ้วของแท้คะ                เพราะแถวบ้านไม่มีของปลอม    ฮ่า จากคุณ : pippo's sweet heart เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 03:34:57

ความคิดเห็นที่ 32 เริ่ดคราบบบ กระทู้ความรู้แฟชั่นแบบนี้ ช้อบชอบ ฮาาาา จากคุณ : nuE+mUmuE~ เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 05:17:32

ความคิดเห็นที่ 33 โหวตค่ะ ได้ความรู้ดีค่ะ ชอบ แอร์เมสนะ แต่ไม่มีเงินซื้อ อิๆ จากคุณ : ท่านชายทัด เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 08:21:44

ความคิดเห็นที่ 34 โหวตค่ะ เริ่ดมากกกกกระทู้นี้ อ่านเพลินเลยค่ะ สำหรับเรามองในแง่ศิลปะและมูลค่าทางจิตใจ สิ่งที่ประเมิณเป็นตัวเงินไม่ได้ เหมือนการเป็นเจ้าของภาพโปสเตอร์ copy 100 ภาพที่ขายหน้าพิพิธภัณฑ์ ก็ไม่มีค่าทางจิตใจเท่ากับภาพเขียนจากศิลปินในพิพิธภัณฑ์ 1 ภาพ และบางทีภาพจากศิลปินก็อาจมีค่าน้อยกว่ารูปเห่ย ๆ ที่เจ้าของเป็นคนลงมือวาดเอง เพราะมันมีประวัติความเป็นมาที่สร้างขึ้นด้วยตัวเองอยู่ในนั้น จากคุณ : ชิฟฟอนคาปูชิโน่ เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 08:35:11

ความคิดเห็นที่ 35 ชอบค่ะ อ่านเพลินดี ได้ความรู้ด้วย จากคุณ : -Ki- เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 08:48:49

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณมากๆ ค่ะ ดิชั้นเป็นอีกคนนึงที่อุดหนุนสินค้า แบรนด์เนมเพราะชื่นชอบในความคิดของดีไซเนอร์ของแต่ละแบรนด์ และ บางทีก็ศึกษาประวัติของแบรนด์แล้วยิ่งคิดว่าของที่ซื้อมาช่างคุ้มค่าจริงๆเลย :) จากคุณ : La Bella Carrie เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 09:28:23

ความคิดเห็นที่ 37 ได้ความรู้เยอะเลยคับ เเต่ผมอยากรู้ Paul Smith ด้วยพอจะมีปะคับ ถ้ามีจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งเลย ^^ จากคุณ : Bekungmama เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 09:31:26

ความคิดเห็นที่ 38 โหวต ครับๆ เพิ่มอีกนะครับ จะได้ติดตามดู ขอบคุณ จขกทมากๆคับ จากคุณ : BeautyOnDuty เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 09:36:59

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่แบ่งปันข้อมูลดีๆค่ะ ^_^ จุดยืนของเราคือ  สนับสนุนของแท้ค่ะ ถ้าไม่มีกำลังทรัพย์มากพอ สำหรับของแท้ราคาเป็นหมื่นเป็นแสน ก็มีของแท้ที่สวยและคุณภาพดีเหมาะกับกำลังทรัพย์เรา จากกระทู้อ้างอิง มีหลายคนที่บอกว่า ชอบดีไซน์ ชอบแบรนด์ แต่ไม่มีตังค์พอ เก็บตังค์ไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า เลยซื้อของก๊อปแบบจงใจ แถมบางคนภูมิใจอีก ซึ่งเราคิดว่าเป็นการคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนมากไปหน่อย เราก็ชื่นชมดีไซเนอร์หรือของแบรนด์แนมดังๆ อยู่หลายค่าย แต่ถ้าไม่มีตังค์พอ ก็ไม่ซื้อของก๊อป เพราะเราคงไม่อยากทำลายคุณค่างานดีๆ  ด้วยการสนับสนุนของปลอม ไม่เข้าใจคนที่คิดว่าการ 'จงใจ' ซื้อของก๊อป เป็น'สิทธิส่วนบุคคล'  หรือ 'เรื่องของเขา' ทั้งที่มันเป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เป็นการสนับสนุนการละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา เป็นการสร้างค่านิยมผิดๆ ในสังคม แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 09:58:26 จากคุณ : ~Angela's Ashes~ เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 09:52:02

ความคิดเห็นที่ 40 ข้อมูลอ่านเพลิน  ไม่เบื่อ และให้ความรู้ดีค่ะ ขอบคุณนะคะที่แบ่งปัน แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 11:32:54 จากคุณ : Writing to Reach You เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 11:31:34

ความคิดเห็นที่ 41 กระเป๋า หรือเสื้อผ้า แบรนด์เนม ที่ราคาแพงลิบลิ่ว เพราะฝรั่งเขาถือว่าควักเงินซื้อ งานศิลปะมาเสพครับ ส่วนคนในประเทศที่กำลังพัฒนา มักจะบ่นว่า เเพง ไร้สาระ มันเนื่องมาจาก อารยธรรม และเศรษฐกิจ ค่าเงิน ที่ต้องเอาปากท้องให้อยู่รอดก่อน ศิลปะจึงสำคัญเป็นลำดับท้ายๆ จากคุณ : เจ้าหมาขาว เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 11:47:09

ความคิดเห็นที่ 42 เห็นด้วยกับ คห 39 Angela's Ashes ทุกประการ จากคุณ : isisis เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 11:54:34

ความคิดเห็นที่ 43 เข้ามาเพิ่มแบรนด์ขวัญใจสาวๆ ให้อีกสองแบรนด์ครับ KIPLING เกิด: ค.ศ.1987 เบลเยียม ชื่อแบรนด์ Kipling มาจากชื่อนักเขียนรัดยาร์ด คิปลิง เจ้าของนิยายชื่อดัง The Jungle Book และด้วยเหตุนี้จึงใช้ลิงเป็นโลโก้ประจำตัว ซึ่งยังสามารถสื่อถึงความสนุกสนานและการผจญภัยอันเป็นสไตล์เฉพาะตัวของแบรนด์ ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา Kipling ได้เข้าไปมีบทบาทในชีวิตของหญิงสาวกว่า 35 ล้านคนใน 65 ประเทศทั่วโลก ด้วยดีไซน์อันทันสมัยเต็มไปด้วยความสดใส และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่เรียบง่ายของทุกวัน ซึ่งสะท้อนออกมาบนกระเป๋าถือ กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าสะพายหลัง ตลอดจนแอคเซสซอรีต่างๆ ความโดดเด่นของ Kipling อยู่ที่การสร้างสรรค์กระเป๋าด้วยผ้าไนลอน ทว่ามาพร้อมกับการตัดเย็บที่ทนทาน รวมทั้งพวงกุญแจตุ๊กตาลิงที่ห้อยมากับกระเป๋าทุกใบของ Kipling ซึ่งมีสไตล์แตกต่างกันออกไปในแต่ละคอลเลคชั่น (ปัจจุบันมีพวงกุญแจกว่า 400 แบบ) แม้  Kipling จะไม่ใช่แบรนด์หรูหราระดับบน แต่กลับกลายเป็นกระเป๋าข้างกายของดาราฮอลลีวู้ดหลายคน รวมทั้งมีหลายคอลเลคชั่นที่ถูกกว่าถึงในระยะหลัง เช่น  Fergie for Kipling ของศิลปินสาวเฟอร์กี ที่มีพวงกุญแจลิงพลาสติก และ Monkeys Over the City  ของกลุ่มดีไซเนอร์ Girls From Omsk  ซึ่งมีการตีความโลโก้ลิงแบบใหม่ได้อย่างแปลกตา แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 14:21:12 จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 14:20:41

ความคิดเห็นที่ 44 LESPORTSAC เกิด:  ค.ศ.1974 นิวยอร์ก ผู้ก่อตั้ง:  เมลวิน และแซนดรา ชิฟเตอร์ กระเป๋าใบแรกของ LeSportsac เกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากถุงทะเลของพลร่มซึ่งมีน้ำหนักเบา กันน้ำ และทนทานเป็นเยี่ยม สองสามีภรรยา เมลวินและแซนดรา ชิฟเตอร์ได้นำแนวความคิดนี้มาสร้างสรรค์กระเป๋าถือที่ทำจากผ้าร่มริบสต๊อปสำหรับใช้ทำร่มชูชีพ โดยเริ่มต้นจากการตัดเย็บด้วยมือในโรงงานเล็กๆ แล้วจึงค่อยๆ เติบโตมีชื่อเสียงในฐานะแบรนด์แฟชั่นที่ผลิตกระเป๋าถือ กระเป๋าสะพาย กระเป๋าเดินทาง และแอคเซสซอรีที่ทันสมัย เต็มไปด้วยสีสัน และราคาไม่แพง ทำให้ LeSportsac เข้าถึงหญิงสาวทั่วโลกอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ที่สำคัญยังมีคอลเลคชั่นเฉพาะกิจมากมาย ทั้งจากดีไซเนอร์แถวหน้า สเตลลา แมคคาร์ทนีย์, ลายกระต่ายชื่อดัง Fifi Lapin หรือแฟชั่นไลน์  L.A.M.B. ของเกว็น สเตฟานี จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 14:29:06

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณทุกคนที่เสียเวลาเข้ามารับรู้ประวัติศาสตร์แบรนด์อันมีค่าเหล่านี้ครับ และดีใจมาก ที่มีหลายคนเข้าใจว่าเรื่องราวที่ผมนำมาให้อ่านกันต้องการสื่อถึงอะไร โดยไม่ต้องใช้คำอธิบายมากมาย เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคุณ  ~Angela's Ashes~ และคุณเจ้าหมาขาวครับ ประเทศเราให้ความสำคัญกับศิลปะเป็นลำดับท้ายๆ เสื้อผ้ามีไว้ใส่ กระเป๋ามีไว้ใส่ของ หมวกมีไว้กันแดด รองเท้ามีไว้ใส่เดิน นาฬิกามีไว้ดูเวลา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ศิลปะสำหรับหลายๆ คน ยอมรับว่าเมื่อก่อนก็มีความคิดแบบนั้นเล็กๆ หรือมองแค่ว่าใส่แบรนด์เนม (จะระดับล่าง กลาง หรือบนก็ตาม) เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีชื่อ ดูมีราคา แต่หลังจากที่ต้องทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้และได้อ่านเรื่องราวน่าสนใจพวกนี้ เริ่มมองเห็นคุณค่าและมองเห็นอีกมุมที่แตกต่างครับ อาหารจานหนึ่ง ถ้าเขาเสิร์ฟบนโต๊ะ แล้วคุณก็กินๆๆๆๆ อิ่ม จบ... แต่ถ้าอาหารจานนั้นคุณทำเอง หรือรู้จักเรื่องราวของเชฟ หรือการคิดค้นสูตรของเชฟและเครื่องปรุงต่างๆ แต่ละคำที่คุณกิน มันคงจะอร่อยกว่าหลายเท่า เสียดายที่มีประวัติแบรนด์แค่แบรนด์เฉพาะที่ขายใน King Power ครับ เลยมีแค่ประมาณนี้ แบรนด์อย่าง Louis Vuitton, Paul Smith  ฯลฯ ไม่มีครับ ถ้ากระทู้แบบนี้น่าสนใจ น่าจะทำใหม่จริงจัง และร่วมด้วยช่วยกันเขียนไปเรื่อยๆ มีประโยชน์ดีนะครับ จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 14:37:23

ความคิดเห็นที่ 46 อ่าาา ได้เล่มนี้มาเหมือนกัน นั่งเปิดผ่านๆอยู่มะวาน จากคุณ : กระดาษเกาเหลา เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 17:24:09

ความคิดเห็นที่ 47 สำหรับเรา - มันไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของยี่ห้อใดๆ - ไม่เกี่ยวกับ "คุณค่า" ของคนๆ ใด - ไม่เกี่ยบกับราคา หรือควมรวยจน - ไม่เกี่ยวกับใช้ทน ใช้นานเหรือไม่ เกี่ยวกับ "ความซื่อสัตย์" และ "การเห็นอกเห็นใจคนอื่น ไม่เอาเปรียบผู้อื่นด้วยกิเลสตน" เท่านั้น เป็นเหตุผลที่เลือกใช้ของจริงเท่านั้น คำว่า "นานาจิตตัง" ใช้กันอย่างนี้ ก็เป็นแบบนี้ ไม่มีจิตสำนึกต่อส่วนรวม ไม่ว่าจะเรื่องไรก็ "อย่าไปยุ่งกับเขาเลย เราไม่เดือดร้อน" ไม่เคารพกฎระเบียบสังคม ต่างบอกว่าเรื่องของฉัน แกไม่เดือดร้อนอย่ามายุ่ง แปลว่าต้องให้ "ตัวเองเดือดร้อน" ก่อนว่างั้นเหอะ ถึงจะคิดออกมาโทษสังคม ว่าสังคมไม่ยุติธรรม (เพราะฉันเดือดร้อน แต่ถ้าเป็นความเดือดร้อนของคนอื่น ......) และถ้าจำกัดคำว่า" เดือดร้อน" เอาไว้แค่ในวงของตนเองและญาติมิตร ก็ใจแคบเอามากๆ ข้อความในบล๊อก ในกระทู้ของเพื่อนๆ โดนหนังสือก๊อปเอาไปขายทำมาหากิน บอกว่านิตยสารมันเลว เอาเปรียบ ข้าวไทยโดนประเทศแถวนี้ เอาไปทำปลอมส่งออกไปขายจีน บอกมันเลว มันเอาเปรียบ แต่ของก็อป มีคนผลิต มีคนใช้ แล้วบอกว่า "ช่างมัน เจ้าของแบรนด์มันรวยแล้ว" เพราะเขาไม่ใช่เพื่อนหรือญาติคุณ เพราะเขารวย ไม่ได้แปลว่าคุณมีสิทธิ์ไปเอาเปรียบเขาเลยแม้แต่นิดเดียว แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 18:52:43 จากคุณ : Love Actually is.. เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 18:37:34

ความคิดเห็นที่ 48 ความคิดเห็นที่ 41   [ถูกใจ]  [แจ้งลบ]   กระเป๋า หรือเสื้อผ้า แบรนด์เนม ที่ราคาแพงลิบลิ่ว เพราะฝรั่งเขาถือว่าควักเงินซื้อ งานศิลปะมาเสพครับ ส่วนคนในประเทศที่กำลังพัฒนา มักจะบ่นว่า เเพง ไร้สาระ มันเนื่องมาจาก อารยธรรม และเศรษฐกิจ ค่าเงิน ที่ต้องเอาปากท้องให้อยู่รอดก่อน ศิลปะจึงสำคัญเป็นลำดับท้ายๆ จากคุณ : เจ้าหมาขาว [Bloggang] ============================= ถึงคุณเจ้าหมาขาว คคห.ของคุณมันกระตุกคิ้วซ้ายเราอย่างจังจริงๆ จะคนชาติไหนๆ ไม่ว่ารวยหรือจน ศิลปะอยู่ได้ด้วยการเลี้ยงดูของประชาชนทั้งนั้น และเอาเข้าจริง ศิลปะที่เกาะอยู่กับชนชั้นเพียงกลุ่มน้อย จะเรียกว่าศิลปะจริงๆ หรือไม่ ดิฉันยังสงสัย สารพัน "สินค้าแบรนด์เนม" ที่กล่าวถึงในกระทู้นี้แม้ล้วนน่าชื่นชมด้วยว่าเกิดจากผลงานสร้างสรรค์ในระดับที่เรียกว่าเป็นงานศิลป์ แต่ใจกลางสำคัญ มันคือสินค้า ศิลปะคือสิ่งที่จรรโลงสังคม เชิดชูจิตใจคน ก่อให้เกิดปิติเมื่อชื่นชม Art for Life's sake สำหรับประเทศด้อยพัฒนา ยกตัวอย่างคือประเทศไทย คนไทยจนๆ ตามต่างจังหวัดนี่แหละคุณ ผู้อุปถัมภ์ตัวจริงของศิลปะไทย พวกเขาจ่ายกันตรงไปตรงมาเสียด้วย และ "ศิลปะ" นี่แหละที่อยู่ในลมหายใจของพวกเขาอย่างเข้มข้น และไม่ได้อยู่ในลำดับท้ายๆ อย่างที่คุณคิดด้วย ไม่ว่าคนชาติไหนๆ จะเกิดจากอารยธรรมใดแม้จะยากจนทุกข์เข็ญ นึกถึงปากท้องแค่ไหน พวกเขาก็เข้าใจศิลปะ และเสพศิลปะ และยินดีจ่ายเพื่อศิลปะ เพียงแต่สิ่งที่คุณเรียกว่าศิลปะ และสิ่งที่พวกเขามองว่าคือศิลปะมันอาจจะเป็นคนละสิ่ง ศิลปะเกิดขึ้นพร้อมกับมนุษยชาติ ทันทีที่พวกเขารู้จักตัวเองและรู้จักโลก ศิลปะก็เกิดขึ้น ณ บัดนั้น ไม่เกี่ยวกับการเป็นประเทศด้อยพัฒนาหรือเป็นฝรั่ง แล้วฝรั่งมันก็ไม่ได้คิดอย่างที่คุณพูดเสมอไป ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นว่าแอร์เมสคืองานศิลปะชั้นเลิศอย่างที่หลายๆ คนชื่นชม ฝรั่งไม่ได้ศิวิไลซ์ในความคิดและการกระทำเสมอไป โดยกฎหมายที่เคร่งครัดของเขาทำให้เขาใช้ของก๊อปปี้หรือซื้อของก๊อปปี้ได้ไม่ง่ายนัก แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่ทำ ลูกค้าสินคาก๊อปปี้ในเมืองไทยไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาหรือเสื้อผ้าก็ฝรั่งนี่แหละคุณ อยากพูดถึงสิ่งที่ดีก็พูดเถอะค่ะ อยากจะวิจารณ์ก็วิจารณ์ แต่อย่าหมิ่นหยามกันเลย ขออภัยค่ะ เราข้ามความเห็นคุณไม่ได้จริงๆ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 19:06:44

ความคิดเห็นที่ 49 ยังไม่มีตัง งั้นตอนนี้ขอเสพศิลป์อย่างอื่นแทนก่อนล่ะกันจ้า จากคุณ : mizpla เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 19:25:14

ความคิดเห็นที่ 50 ลองศึกษาศาสตร์ทางด้านสังคมศาสตร์ดูนะครับ ถ้าจะอ้างว่า  ประเทศเรายังไม่เสพศิลปะ   ก็คงจะเป็นแบบนั้นเลยครับ เพราะปากท้องสำคัญกว่าไงครับ    ถ้าเราจะขึ้นไปขนาดนั้นได้  คงอีกนานครับ จากคุณ : BIZZARE เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 22:39:54

ความคิดเห็นที่ 51 ได้ความรู้ดี  ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : Un claire de la lune เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 52 13:17:45

ความคิดเห็นที่ 52 ศิลป มันไม่ได้อยู่ที่ "แบรนเนม" อย่างเดียวนะคะ อย่างเช่น ดนตรี ก็เป็นศิลปะ ทำไมคนในเมือง วัยรุ่น คนทำงานมีการศึกษา  ถึงชอบก๊อปเพลง ฟัง Mp3 ในขณะที่ชาวบ้าน ชาวนา เกษตรกร คนขับรถบรรทุก  ถึงยอมซื้อตลับเพลง CD เพลง ลูกทุ่ง "ของจริง" ล่ะคะ นักร้องสตริง ป๊อป ยอดนิยม ทำรายได้ถึงแสนตลับก็เริ่ดแล้ว (เราฟังมาจาก แบงค์ วง clash พูดค่ะ) แต่สำหรับ นักร้องลูกทุ่ง เขาทำได้เป็นล้านตลับ นะคะ ของอย่างนี้ ไม่ได้ขึ้นกับอารยธรรมใดๆ  แต่ขึ้นกับจิตสำนึก ต่างหากค่ะ จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 52 14:24:32

ความคิดเห็นที่ 53 "กระเป๋า หรือเสื้อผ้า แบรนด์เนม ที่ราคาแพงลิบลิ่ว เพราะฝรั่งเขาถือว่าควักเงินซื้อ งานศิลปะมาเสพครับ" ------------------------------------------------------ กระทู้นี้ผมกล่าวถึง กระเป๋า หรือเสื้อผ้า แบรนด์เนม เท่านั้นครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่น ถ้าจะโยงใยไปเรื่อง ศิลป ดนตรี วัฒนธรรมพื้นบ้าน เถียงกันไปก็ไม่มีจบแน่นอน เพราะมันหลากหลายมาก และมันไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในกระทู้ด้วยครับ จากคุณ : เจ้าหมาขาว เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 52 16:09:53

ความคิดเห็นที่ 54 ูคุณไม่ได้พูดแค่ที่คุณยกมาใน คคห.ที่ 53 นี่คะ ที่สำคัญ คุณไปเทียบสินค้าแบรนด์เนม = งานศิลปะ ซึ่งบอกตามตรง ดิฉันว่าเป็นการอุปมาอุปมัยที่ "เฟ้อ" เต็มทน มันเป็นสินค้าที่ได้รับการออกแบบอย่างมีศิลปะ แต่คุณลองไปทบทวนดูว่า "ศิลปะ" นั้นมีความหมายที่แท้จริงคืออะไร คุณไปพูดแบบนี้กับฝรั่งปารีสบางคน เขาอาจจะเออออกับคุณ แต่ปารีเซียงหลายคนไม่ได้เป็นแบบนี้ คุณเล่นใช้ตรรกะว่า กระเป๋ารองเท้าแบรนด์เนม คืองานศิลปะ คนที่ไม่ใส่ใจซื้อสิ่งนี้มาครอบครองคือกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญต่อศิลปะในอันดับท้ายๆ คุณคิดว่านี่เป็นบทสรุปที่ถูกต้องแล้วกระนั้นหรือคะ แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 52 17:57:21 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 52 17:54:50

ความคิดเห็นที่ 55 AntiSpam และคุณเจ้าหมาขาว อย่าเถียงกันเลยนะครับ อย่างที่บอกว่าเรื่องพวกนี้คุยกันยังไงก็ไม่จบ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเกี่ยวโยงกับเรื่องอื่นๆ ไปเรื่อยๆ ยังไงผมก็เชื่อว่าคุณทั้งสองคนและคนส่วนใหญ่ปรารถนาดีและมองเห็นค่าในงานศิลปะไม่ว่ามันจะเป็นภาพเขียนดีๆ เพลงเพราะๆ หนังดีๆ สักเรื่อง หรือกระเป๋าสวยๆ สักใบก็ตาม ร่วมเสพศิลปะในแบบของตนเองและไม่เดือดร้อนคนอื่นละกันนะครับ จากคุณ : across the universe เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 52 19:16:44

ความคิดเห็นที่ 56 อยากรู้แบรนด์ จูซซี่ คูทัวร์ จังค่ะ ชอบไลน์นี้มานานแต่แพงเหลือเกิน จากคุณ : cocoriko45 เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 13:22:39

ความคิดเห็นที่ 57 เอาemilio pucci ด้วยสิค่ะอันนี้น่าสนใจถือเป็นศิลปะได้เลยค่ะเฉพาะ ลาย กราฟฟิค ของเขาที่เป็นอมตะจนถึงทุกวันนี้อ่ะค่ะ เอารูปจากเวบเดลินิวค่ะ จากคุณ : doong เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 20:46:53

ความคิดเห็นที่ 58 เห็นด้วย และโหวตค่ะ จากคุณ : miyabijung เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 52 14:43:10

ความคิดเห็นที่ 59 เอาเป็นว่า    แฟชั่นมันส่งผลดีต่อจิตใจ   หืม  สำหรับ บางคน  ส่วนบางคนไม่สน ก้ออยู่ที่ เขาเลือกละกัน   แค่ไม่เดือดร้อนก้อพออ        แฟชั่นเปลี่ยนได้         แต่สไตล์เป็นนิรันดร จากคุณ : kaladent เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 52 22:24:03

ความคิดเห็นที่ 60 คุณ AntiSpam และคุณเจ้าหมาขาว เรียนทางสังคมวิทยามาป่าวคะ เราชอบความเห็นของทั้งสองคน มีเหตุผลแย้งกันไม่ลง เราว่าถ้าพูดเรื่องศิลปะเนี่ย เถียงกันไม่จบหรอกค่ะ มีใครบ้างที่ให้คำนิยามของศิลปะได้ครบทุกประการ  :))) อยู่ที่คนมองมากกว่า ว่ามองว่ามันเป็นศิลปะหรือไม่ จากคุณ : น้องแมวอ้วน. เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 01:03:19