|
ความคิดเห็นที่ 56 |
อย่าคิดมากค่ะ เพราะเราก็มีแฟนที่เป็นสิวเยอะมากเหมือนกัน แต่ตัวเราก็มีสิวเยอะเหมือนกันแต่เราเป็นผู้หญิงเลยแต่งหน้ากลบได้ หน้าตาก็มีส่วนต่อความรัก แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าแฟน จขกท. จะเลิกเพราะ หน้าเป็นสิว มันก็ไม่ใช่เนอะ :)
เราไม่แนะนำให้ไปกดที่คลินิก ฟังๆดูเหมือนอยากจะขายคอร์ดมากกว่า ิยิ่งไปกดมันยิ่งอักเสบ เป็นสิวเขาไม่ให้กดไม่ใช่หรอค่ะ เดี๋ยวหน้าแหกหมดค่ะ คลินิกไหนค่ะเนี้ย ถามได้ไหม 5555555 แอบโมโหค่ะ
สิว เป็นการอักเสบของระบบต่อมไขมัน เกิดจากเชื้อโรค Corynebacterium acne ผลิตเอนไซม์ไลเปส ไปเปลี่ยนไขมันให้เป็นกรดไขมันอิสระ ซึ่งจะเป็นตัวไปอุดรูขุมขนแล้วเกิดเป็นสิวขึ้น สิวธรรมดามักจะมีลักษณะที่พบบ่อยคือ มีหัวสิว ชนิดของสิวแบ่งได้เป็น 1. ชนิดไม่อักเสบ - สิวเสี้ยนหรือสิวหัวดำ 2. ชนิดอักเสบ - สิวหัวหนอง มีลักษณะตั้งแต่เป็นตุ่มสีแดงขนาดเล็ก มีหนองที่ยอด ถ้ามีการอักเสบรุนแรงตุ่มจะโตมาก เรียกว่า สิวหัวช้าง 3. สิวที่เกิดจากการแพ้ยาหรือเครื่องสำอาง มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ ไม่มีหนอง เมื่อหยุดยาหรือเครื่องสำอางนั้น ไม่นานสิวจะค่อย ๆ หายไป โดยทั่วไปถ้ารักษาได้ถูกต้องเหมาะสม สิวจะเริ่มดีขึ้นในเวลาประมาณ 2-3 เดือน และดีขึ้นมากในเวลา 4-8 เดือน และหนังจากนั้น อาจต้องใช้ยาควบคุมโรคไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าจะพ้นวัยเป็นสิว
ยาที่ใช้รักษาสิว ประกอบด้วยยาที่ใช้เฉพาะที่และยารับประทาน ได้แก่ 1. ยาทาสิวประเภทสลายเคอราตินหรือสลายโคมิโดน (keratolytic หรือ comedolytic agent) เหมาะที่จะใช้กับสิวเสี้ยนทั่วไป(สิวหัวขาวและดำ) 1.1 กรดวิตามินเอ (vitamin A acid) ได้แก่ Tretinoin (หรือ retinoic acid) 0.05%-0.1% ตัวอย่างชื่อการค้า - Retin-A cream® 0.025%, 0.05% - Retin-A gel ® 0.01% วิธีใช้ แต้มตรงหัวสิวบาง ๆ วันละ 1 ครั้งก่อนนอน ในกรณีไม่เคยใช้ยานี้มาก่อนควรเลือกความเข้มข้นอ่อนสุด เช่น 0.025% วิธีนี้แรก ๆ จะเห่อ ไม่ต้องตกใจ ยาใช้ได้ผลหลังจากรักษาผ่านไป 8-12 สัปดาห์ ข้อเสีย แรก ๆ ของการใช้ยา คนไข้อาจรู้สึกว่าสิวเห่อขึ้นมา หน้าแดง และลอก ดังนั้นต้องระวังอย่าไปตากแดด จะทำให้แสบมากเนื่องจาก Tretinoin จะทำให้ผิวหนังชั้นนอกบางลง ซึ่งผิวชั้นนี้จะช่วยป้องกันอันตรายจากแสงแดด ดังนั้นเมื่อทา Tretinoin ควรเลี่ยงการถูกแสงแดด ถ้าจำเป็นต้องตากแดดควรทายากันแดดที่มีค่าป้องกันแสง SPF อย่างน้อย 15 และเวลาทาอย่าทาบริเวณเนื้ออ่อน เช่น รอบตา จมูก ปาก ควรระวังการใช้ในหญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร
1.2 Benzoyl peroxide มีขนาด 2.5%, 5%, 10% ตัวอย่างชื่อการค้า - Panoxyl® gel 2.5%, 5%, 10% ทาวันละ 2 ครั้ง - Benzac® 5%, 10% ทาวันละ 1-2 ครั้ง อาการข้างเคียง อาจทำให้หน้าเห่อแดง แห้ง และลอกได้ และไม่ควรให้สัมผัสกับเสื้อผ้า เนื่องจากมีฤทธิ์กัดสีได้ และในกรณีเป็นไม่มากควรใช้ความเข้มข้นอ่อน ๆ เช่น 2.5% เวลาทาอย่าทาใกล้บริเวณที่เป็นเนื้อเยื่อ เช่น รอบตา จมูก และปากเหมาะที่จะใช้กับสิวเสี้ยนหรือสิวหัวดำและสิวหัวหนอง
2. ยาที่มีส่วนผสมของยาสมานผิวและยาฆ่าเชื้ออ่อน ๆ ที่ใช้กันมาก ได้ผลดีคือ White lotion ซึ่งทำมาจาก ZnSO4 กับ Sulferated potash ทำปฏิกิริยากันได้ sulfer ออกมาซึ่งเป็นรูปที่ออกฤทธิ์ในการกำจัดสิว ควรใช้แต้มสิวในกรณีสิวอักเสบ สิวหัวหนอง ชื่อการค้า - Neomedrol® acne lotion ทาวันละ 2 ครั้ง ข้อควรระวัง เนื่องจากยานี้ส่วนผสมของสเตียรอยด์อยู่ด้วย จึงไม่ควรใช้นานเกินไป พออาการดีขึ้นค่อย ๆ ลดยาลง และระวังการใช้ยาในสตรีมีครรภ์
3. ยาแต้มสิวที่มียาปฏิชีวนะเป็นองค์ประกอบ ใช้แต้มสิวทั่วไป สิวที่เกิดบนใบหน้าของหนุ่มสาวหรือเรียก Acne vulgaris สิวหัวช้าง ยาทาออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย โดยไปลดการสร้างเอนไซม์ไลเปสจากเชื้อมากกว่าไปยับยั้งการเจริญของเชื้อ จึงเหมาะที่จะใช้กับสิวที่อักเสบระดับอ่อน ๆ ถึงปานกลาง ส่วนระดับรุนแรงชนิดสิวอักเสบเม็ดใหญ่ ควรใช้ยาทาที่เป็นตัวช่วยร่วมกับสารอื่น แต่ไม่ใช้ในสิวชนิดที่ไม่อักเสบ เพราะไม่มีฤทธิ์สลายโคมิโดน ยากลุ่มนี้ได้แก่ - Clindamycin solution(1%) ชื่อการค้า Clinda-M® lotion ทาสิววันละ 2 ครั้ง - Erythromycin solution (2%) ชื่อการค้า Stiemycin® ทาสิววันละ 2 ครั้ง จากข้อมูลของยาทาสิวที่กล่าวมา พอจะสรุปได้ว่า ในกรณีที่เป็นสิวที่อักเสบระดับอ่อน ๆ ถึงปานกลางอาจเลือกใช้ยาแต้มสิวที่มียาปฏิชีวนะเป็นองค์ประกอบ ในกรณีเป็นพวกสิวเสี้ยน สิวหัวดำ สิวหัวหนองก็อาจเลือกใช้ยาทากลุ่มสลายเคอราตินหรือสลายโคมิโดนแต่การเลือก ใช้ยากลุ่มนี้ก็มีอาการข้างเคียงมากเช่นกัน แต่หากภายหลังใช้ยาทาไปแล้วประมาณ 1 เดือนยังไม่ดีขึ้น ยังมีการอักเสบของสิวอยู่ อาจเลือกใช้ยารับประทานรักษาสิวกลุ่มยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น Tetracyclin, Doxycyclin แต่ถ้าเป็นมากๆ หรือแพ้ Tetracyclin ให้เปลี่ยนมาใช้ Erythromycin หรือ Clotrimazole แทน ควรใช้ 15-30 วัน ถ้าอาการดีขึ้นให้ค่อย ๆ ลดขนาดยาลง นอกจากยารับประทานแก้สิวที่กล่าวมาแล้ว ยังมียารับประทานแก้สิวอีกตัว ที่มีฤทธิ์แรงและได้ผลดี ซึ่งจำกัดให้แพทย์เป็นผู้จ่ายเท่านั้น ได้แก่ กรดวิตามินเอชนิดรับประทาน คือ Isotretinoin มักจะจ่ายในคนที่เป็นสิวอาการรุนแรง สิวอักเสบเม็ดใหญ่ สิวหัวช้าง ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาสิว แต่ยาตัวนี้มีอาการข้างเคียงที่ค่อนข้างมากและอันตราย
การประเมินผลในการรักษา อาจใช้วิธีกินยาปฏิชีวนะร่วมกับยาทา ถ้าได้ผลดี ภายหลังการรักษาไปแล้ว 5 เดือน ควรหยุดกินยา แต่ควรรักษาต่อด้วยยาทาต่อไปตามอาการ ข้อแนะนำและข้อปฏิบัติสำหรับผู้ที่เป็นสิว คือ -ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ น้ำสะอาด วันละไม่เกิน 2 ครั้ง ห้ามล้างหน้านาน ๆ หรือถูแรง ๆ -อย่าบีบ เค้น กดหรือแกะสิวเอง อาจทำให้ติดเชื้อลุกลามได้ -หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง หรือครีมทาผิวต่าง ๆ เนื่องจากมีโอกาสแพ้ และทำให้เกิดสิวได้ง่าย -หลีกเลี่ยงความเครียด และวิตกกังวลต่าง ๆ เพราะจะทำให้สิวเห่อได้ -ออกกำลังกายเสมอ เพื่อให้รูเหงื่อได้ทำงานบ้าง
เอกสารอ้างอิง 1.สุชาดา สูรพันธ์. เอกสารประกอบการสอน: โรคผิวหนังที่พบบ่อยและการรักษา. พิมพ์ครั้งที่ 1. สงขลา: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. 2547. เอกสารที่ทำการสืบค้น : อื่น ๆ
จากคุณ |
:
TINIEZ
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ต.ค. 52 08:52:09
|
|
|
|
|