ความคิดเห็นที่ 1 เอนไซม์ไทรซิเนส เนี่ยเป็นตัวการสำคัญเลย ไม่ว่าจะทำให้เกิดการ glycolysate และเอนไซม์ที่มีทองแดงเป็นองค์ประกอบ... ซึ่งไอ้เจ้าสองกระบวนการที่ว่านี้ นั้นเป็นสาเหตุทำให้เกิดการสร้างเมลานินให้กับผิวคนเราได้ (ก็เป็นสาเหตุของความดำนั่นแหละ) เออ แต่ อ่านบทความนี้เพิ่งรู้ว่าไอ้มะขือเปราะดำเวลาผ่าซีกเนี่ย มันก็ดำแบบเดียวกะกลไกผิวเราดำแฮะ.... บทความนี้เค้าจะเปรียบเทียบความสามารถในการต้านเอนไซม์ไทโรซิเนส (หรือว่าความสามารถยับยั้งความดำน่ะแหละครับ) ของสารในกลุ่มใหม่ๆ กับกรดโคจิก หรือ kojic acid ซึ่งเป็น whitening ที่เป็นที่รู้จักกันดีนะครับ (ว่าจะเป็นกี่เท่าของ kojic acid) แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 10:25:29 จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 10:24:46

ความคิดเห็นที่ 2 รออยู่ๆ ต่อๆ จากคุณ : เฟรินเดอเบอโรว์ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 10:37:48

ความคิดเห็นที่ 3 รอด้วยคน จากคุณ : อมยิ้มรสมะนาว เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 10:44:01

ความคิดเห็นที่ 4 เจ้านายฝรั่งเรางงคะ ว่าทำไมสาวไทยอยากขาวกันนัก ฮิฮิ เราก็อยากขาวคะ จากคุณ : VivaDiva เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 10:44:30

ความคิดเห็นที่ 5 เนื่องจากกลไกการสร้างเมลานินนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้เอนไซม์ไทโรซิเนส ดังนั้นถ้ายับยั้งมันได้ เราก็จะไม่ดำมากขึ้น (หรือ อาจจะขาวขึ้นก็เป็นได้) แต่ผมจะไม่ลงลึกถึงปฏิกิริยา มันน่าปวดหัว... แต่เอาเป็นว่า เรามาดูกันดีกว่า สารต้านความดำของเราเนี่ย ที่น่าจะหาได้ตามท้องตลาด หรือ ก้นครัวเราเนี่ย.....น่าจะมีตัวไหนได้บ้าง..... สารในกลุ่มนี้มีการยืนยันอย่างแน่ชัด ในเรื่องการยับยั้งความดำนะครับ แต่อาจจะไม่รับรองความปลอดภัยต่อผิวหนัง....ดังนั้นการใช้งานต้องมีการพิจารณาให้ถ่องแท้ก่อนครับ... งั้นมาเริ่มตัวแรก Glabridine ซึ่งจะเห็นได้โครงสร้างทางเคมีของเค้าว่าเป็น non competitive นั่นก็หมายความว่าเป็นการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสแบบไม่แข่งขัน (กล่าวคือ ต่างคนต่างทำไป ไม่ได้แย่งการสร้างเอนไซม์กันนะครับ อิ อิ ลึกหน่อย แต่จริงๆก็ไม่สำคัญสำหรับวัตถุประสงค์เรื่องนี้เท่าไรหรอกครับ)...แต่ที่สำคัญจะเห็นว่ามี 15.2F ซึ่งตัวเลขนี้หมายความว่า มีประสิทธิภาพเป็น 15.2 เท่า เมื่อเทียบกับ Kojic acid ครับ....น่าสนใจใช่มั้ยล่ะ... แต่สารนี้พบในชะเอมเทศครับ....ชะเอม หรือ Licorice ที่เราได้ยินประจำว่า โลชั่นตัวนั้นตัวนี้ใช้ Locorice extract เป็นองค์ประกอบ....ก็แสดงว่าต้องการให้เป็น Whitening lotion น่ะครับ...โดยทั่วไปสารสกัดจากชะเอมเทศจะมีปริมาณของ Glabridine ประมาณ 0.3-0.5% ซึ่งก็เป็นปริมาณที่ไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ใช้อะไร อิ อิ....เพราะในโลชั่นคงใส่ Licorice extract ได้ไม่เกิน 5% หรอกครับ ดังนั้น Glabridine นี้คงจะมีประมาณ 5% x 0.5% ดังนั้นก็คงมีอย่างมากเท่ากับ 0.025% เท่านั้นเองครับ.... แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 11:04:11 จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 11:02:03

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่ได้อยากขาวว แค่อยากผิวเนียน เพราะรู้ว่า คงขาวไม่ได้แล้ว ชาตินี้ ............. แต่ยังงัยก็ นั่ง F5 ต่อไป .... จากคุณ : tea_lamon เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 11:09:20

ความคิดเห็นที่ 7 การใช้วิตามินซีที่ความเข้มข้น 10% ขึ้นไป (ต้องมีค่า PH ที่เหมาะสมด้วย) จะไปขัดขวางการทำงานของเอมไซม์ไทโรซิเนส ที่ด้วยเช่นกันครับ  ช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้ด้วยนะ แต่..................... ในตลาดทั่วไปมันหายากนะสิ  แถมยังมีราคาแพงและสารก่อการระคายเคืองเพียบ  (ถ้าผสมเครื่องสำอางเป็น คงดีเนอะ อิอิ) ยังไงรอคุณ จขกท. มาอัพเดทและแนะนำผลิตภัณฑ์ดีดีด้วยนะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : wisdom of social เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 11:48:59

ความคิดเห็นที่ 8 แต่ตอนนี้ ผมสนใจเจ้า Trilinolein มากกว่า มีค่าการยับยั้งเป็น 1.7 เท่าของ Kojic acid ดูแล้วไม่เยอะเท่าไรนะ แต่ว่ามันน่าสนใจตรงที่ว่าหาได้ง่ายแล้วก็ไม่อันตรายแน่ๆ... จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 12:34:25

ความคิดเห็นที่ 9 ทำไมผมว่ามันน่าสนใจครับ..... สาร Trilinolein นี่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป เนื่องจากเป็นองค์ประกอบหลักของน้ำมันพืชที่ผลิตจากเมล็ดพืช เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันจากเมล็ดองุ่น หรือเป็นองค์ประกอบรองในน้ำมัน sweet almond น้ำมันงา แต่กลับไม่พบในน้ำมันมะพร้าวเลย (ดังนั้น คำถามที่ว่าน้ำมันมะพร้าวจะได้มั้ยคะ/ครับ) นี่คงต้องตัดทิ้งไปได้เลย.... องค์ประกอบของน้ำมันพืช/สัตว์ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น Triglyceride ที่มีองค์ประกอบของกรดไขมันชนิดต่างๆ เช่น Palmitic acid, Oleic acid, Lauric acid, Linolenic acid หรือ Linoleic acid เป็นต้น.... ซึ่งถ้า Triglyceride ซึ่งสามารถมีที่ให้กรดไขมันจับได้ 3 ตัว อย่างในรูปนี่ถือว่าเป็นกรดไขมันอิ่มตัวเกาะอยู่ทั้ง 3 ตัวเป็นต้น  แต่ถ้าตัวนั้นมีกรดไขมันเป็น Linoleic acid เกาะอยู่ทั้ง 3 ตัว นี่ก็จะได้เป็น Trilinolein นั่นเอง..... จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 12:48:50

ความคิดเห็นที่ 10 งั้นเราลองมาดูองค์ประกอบของน้ำมันพืชแต่ละชนิดกันมั้ยครับ เผื่อว่าจะหาซื้อได้ตามท้องตลาด.....ใกล้บ้านคุณ... ตัวอย่างแรก น้ำมันถั่วเหลือง หรือ Soja bean oil....มีองค์ประกอบดังนี้... The composition in triacylglycerol species is characterized by the presence of LLL (19%), OLL (15%), LLLn (10%), LOP (9%), OLO (6%), and OLLn (6%) เมื่อ L  = Linoleic acid part.      O  = Oleic acid part      Ln = Linolenic part      P  = Palmitic part จะเห็นได้ว่าน้ำมันถั่วเหลืองมี LLL หรือชื่อย่อของ Trilinolein ถึง 19% นั่นก็หมายความว่าเรามี Whitening ที่มีประสิทธิภาพที่ดีในราคาที่ไม่แพง.....ถึง 19%....น่าสนใจมั้ยครับ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 12:59:23 จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 12:58:48

ความคิดเห็นที่ 11 ครับ จริงๆ วิตามินซีขัดขวางการเกิดสารตั้งต้นการสร้างเมลานินครับ ไม่ได้ยับยั้งการสร้าเอนไซม์ไทโรซิเนสเลยครับ...เว้นแต่ว่าต้องใช้ความเข้มข้นสูงแล้วอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองครับ ส่วน pH ที่เหมาะสมเนี่ย จริงๆแล้ว AHA หลายตัวทำงานได้ดีไม่แพ้กับวิตามินซีเลยครับ เช่น Lactic acid ซึ่งพบมากในนมเปรี้ยว... ตัววิตามินซีนอกจากจะเป็นกรดแล้วก็ยังเป็น reducing agent ที่แรง ก็เลยสามารถยับยั้งการสร้าง dopaquinone ที่สามารถก่อตัวเป็น dopachrome ซึ่งเป็นที่มาของเมลานินครับ.... ดังนั้นถ้าใช้วิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสมก็เพียงพอครับ (เพียงพอ คือ พอที่จะ reduce dopaquinone ให้เป็น dihydroxydopaquinone ซึ่งไม่สามารถเกิดเป็นเม็ดสีได้ครับ) แต่ต้องซึมเข้าผิวหนังได้ลึกพอสมควร นั่นก็คือ การใช้วิตามินซีในรูปของ ascorbyl palmitate ครับ ปล. คคห. นี้เคมีมากมาย ผู้ปกครองควรแนะนำเด็กๆ ผู้ใหญ่ๆที่อ่อนเคมีขณะอ่านด้วยครับ....55555 จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 13:12:43

ความคิดเห็นที่ 12 คราวนี้มาดู น้ำมันที่แสนจะแพง แต่กลับไม่มีองค์ประกอบของ Trilinolein เลย เฮ้อ ผิดหวังสุด คือ น้ำมันคาโนลา หรือ Canola oil บางทีก็เรียก Rape oil ครับ... The average composition in triacylglycerol species is characterized by the presence of OLO (23%), OOO (17%), OLnO (11%), OLL (8%), OLLn (6%), OLnLn (4%) and LLLn (3%) แต่กลับมี Ln หรือ Linoleic acid part สูงแฮะ ซึ่ง Ln นี้ เรารู้จักกันดีในชื่อของ Omega 6 อันนี้ทานได้ดีมีประโยชน์ครับ....แต่เพื่อขาว พับไปไว้ก่อนเนอะ...ตอนนี้อยากขาวไม่ใช่เหรอครับ ท่านผู้ชม.... จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 13:22:28

ความคิดเห็นที่ 13 น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน หรือ Sunflower oil เออ อันนี้ ค่อนข้างหาซื้อตามซุปเปอร์มาร์เกตได้ง่ายดี ราคา ผมว่าปานกลางนะ.....มาดูองค์ประกอบเค้าดีกว่า... The composition in triacylglycerol species is characterized by the presence of LLL (33%), OLL (25%), LOP (11%), and OLO (6%) มี LLL หรือ Trilinolein ตั้ง 33% แน่ะ ถือว่าเป็นอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจ เอามาใช้งาน... จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 13:53:25

ความคิดเห็นที่ 14 ต่อมาเป็นน้ำมันมะพร้าว....ที่เป็นที่นิยมในห้องแป้งกัน เนื่องจากดูดซึมง่าย ไม่เหนอะหนะ แล้วยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆของมะพร้าวอีกด้วย แต่ก็ยืนยันในความผิดหวัง....ว่าใช้เป็น whitening agent ไม่ดี The composition in triacylglycerol species is characterized by the presence of MLaCy (15%), LaLaCy (13%), PLaCy (8%), LaOCy (6%), SLaCy (5%) and MMCy (5%) เมื่อ La = Lauric acid, M, Mirystic acid, Cy = Capric acid, O = Oleic acid และ P = Palmitic acid จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 14:19:53

ความคิดเห็นที่ 15 น้ำมันข้าวโพด หรือ Maize oil ไร้ซึ่งสรรพคุณด้านนี้ เช่นกัน..... The composition in triacylglycerol species is characterized by the presence of POO (19%), OOL (18%), OOO (17%), OLL (15%), PLO (13%), SOO (8%) จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 14:25:06

ความคิดเห็นที่ 16 น้ำมันงา หรือ sesame oil อันนี้ นอกเหนือจากใช้ทาผิวเพื่อลดรอยเหี่ยวย่นได้แ้ล้ว ยังสามารถที่จะให้ whitening effect ได้ดี เนื่องจากมี Trilinolein อยู่ประมาณ 8% น้ำมันงานี้ นอกจากจะทาผิวเพื่อการบำรุงแล้ว ยังสามารถใช้รักษาอาการอักเสบจาก seb-derm และสะเก็ดเงินได้ดีพอควร The composition in triacylglycerol species is characterized by the presence of OOL (17%), PLO (15%), OLnL (14%), OOO (14%), POO (14%), OLL (10%), LLL (8%) จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 14:28:41

ความคิดเห็นที่ 17 ต่อมาเป็นน้ำมันสกัดจากเมล็ดองุ่นที่มีปริมาณ Trilinolein สูงถึง 26% อันนี้ ผมแนะนำให้ใช้กับผิวหน้ามากเลยครับ เพราะเหลวซึมเข้าผิวหนังง่ายกว่า น้ำมันข้าวโพด และน้ำมันดอกทานตะวัน แถมยังมี Trilinolein สูงอีกด้วย The composition in triacylglycerol species is characterized by the presence of LLL (26%), OLL (21.5%), LLP (15.4%), OLP (9%), and OLO (8%) แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 16:53:19 จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 14:32:00

ความคิดเห็นที่ 18 ต่อมาเป็นน้ำมันที่ผมชอบใช้ที่สุดเลย นั่นก็คือ sweet almond oil เนื่องจากซึมเข้าผิวหนังเป็นเยี่ยม ทาปุ๊ปไม่เกิน 5 นาทีไม่ทิ้งคราบมันไว้เลย แถมไม่มีกลิ่นด้วยนะ..แต่เห็นปริมาณ Trilinolein แล้วแค่ 2% ก็หมดอารมณ์ใช้เลยแฮะ....5555 The composition in triacylglycerol species is characterized by the presence of OLL (10%), OLO (15%), OOO (21%), LOP (9%), LLL (2%), LLP (3%), and OOP (3%) จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:01:16

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องเกี่ยวกับ Trilinolein นี่ผมค่อนข้างจะเน้นสักหน่อย เนื่องจากว่าหาง่าย แม้ว่าประสิทธิภาพของมันจะเท่ากับ 1.7 เท่าของ Kojic acid เท่านั้่น แต่ลองคิดดูสิครับว่า เราสามารถใช้งานมันได้เต็มที่ในการบำรุงผิว เพราะนอกจากสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสได้แล้ว ตัวมันเองยังสามารถที่จะเป็นตัวให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนังและยังมีโอกาสได้ใช้ในปริมาณที่สูงด้วย.... คราวนี้หลายๆคนอาจจะมองว่า เป็นน้ำมันแล้วเอามาทาหน้า ทาผิวแล้วมันจะไม่เหนอะเหรอไง..... จริงๆ สามารถเอามาทำเป็น Two phase emollient ได้ครับ โดยการใช้น้ำมันซึ่งผมอ่านแล้ว ผมก็แนะนำ เฉพาะน้ำมันเมล็ดองุ่น และน้ำมันเมล็ดทานตะวันนะครับ แต่น้ำมันที่ว่าก็ค่อนข้างเหนอะ ดังนั้นถ้าจะผสมกับ sweet almond oil ครึ่งๆ ก็เหมาะครับ.... แต่อย่างที่เคยบอกว่า น้ำมันเหล่านี้เป็นอาหารที่ดีของผิวหนัง มันก็เป็นอาหารที่ดีต่อเชื้อสิวเราด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเวลาทาน้ำมันเหล่านี้ บางคนก็ใช้แล้วสิวขึ้น หรือ เห่อขึ้นมาก.... การใช้น้ำมันหอมระเหยลงไปผสมบ้างก็จะเป็นการระงับการเป็นอาหารของเชื้อสิวได้ดีครับ.... ยืมรูปมาจาก www.pvbathandbody.com/EssentialOils.html ครับ จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:11:53

ความคิดเห็นที่ 20 แนะนำ ถ้าคุณเป็นคนผิวมัน.....อัตราส่วนในการผสม ก็ควรจะเป็น Tea tree oil 5 หยด + Rosemarry oil 5 หยด ต่อ น้ำมัน sweet almond oil 1 ช้อน+ น้ำมันเมล็ดองุ่น (Grape seed oil) 1 ช้อน... ผสมให้เข้ากันดี ถ้าสะดวกใช้แบบ oil ก็ล้างหน้าเสร็จ พรมน้ำบนหน้าโชกๆ แล้วหยดน้ำมันผสม 3-5 หยด ลงบนมือเปียกๆ แต้ม 5 ตำแหน่งอรหันต์ บนใบหน้า ได้แ่ก่ หน้าผาก ปลายจมูก คาง แก้มซ้าย แล้วก็แก้มขวา...น้ำมันที่เหลือ ขยี้บนมือต่อไป แล้วก็ค่อยๆนวดบนผิวหน้าครับ จะเย็นซ่าๆ สดชื่นนิดๆ พอคุณทากันแดด ทาแป้งทับ หน้าคุณจะไม่เยิ้มครับ..... จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:16:50

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าหน้าแห้งล่ะ....ผมแนะนำน้ำมันเมล็ดองุ่นล้วนๆ เลย น้ำมันทานตะวันด้วยก็ได้ ถ้าคิดว่ามันยังไม่พอสำหรับความแห้งผากบนหน้าคุณ....... น้ำมันหอมระเหยที่แนะนำ ผมอยากให้ใช้ Frankinsense oil, Lavender oil ครับ....เพราะบรรเทาอาการหน้าแห้งได้ดี อัตราส่วน ก็ Frankinsense oil สัก 10 หยด + Lavender oil 5 หยด ถ้ามีปัญหาสิวบ้างหยด Tea tree oil ลงไปเพิ่มสัก 2-3 หยดพอครับ...ในน้ำมันเมล็ดองุ่น 2 ช้อน หรือ น้ำมันผสมระหว่างเมล็ดองุ่น 1 ช้ิอน + น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน 1 ช้อนก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับความแห้งของแต่ละบุคคลครับ จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:21:41

ความคิดเห็นที่ 22 ตามมาติดๆ น่าสนใจมากๆ จากคุณ : sukie_moo เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:23:31

ความคิดเห็นที่ 23 ตามอ่านนนครับ มีประโยชน์มากกก จากคุณ : enterme เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:24:23

ความคิดเห็นที่ 24 พวกเป็น sebderm หรือว่ามีร่องรอยของสะเก็ดเงินแนะนำ ใช้ Lavender oil สัก 10 หยด + Jasmine oil 1 หยดเท่านั้น....(ห้ามเกิน ใส่เกินกลิ่นน่าเวียนหัวมาก) แล้วผสมน้ำมัน sweet almond oil เท่านั้นครับ เพราะพวกนี้ต้องการการแทรกซึมได้ดีครับ และไม่จำเป็นต้อง whitening มากก็ได้ เพราะว่าผิวหน้าคุณอ่อนแออยู่แล้ว อย่าเพิ่งไปบังคับให้มันสร้างเมลานินน้อยลงเลยครับ.... เพราะถึงเมลานินจะดำ ก็ช่วยทำให้หน้าคุณแข็งแรง และ ทนแสงได้ดีขึ้นด้วยครับ... เมลานินไม่ใช่ตัวร้ายนะครับ....แต่ว่าคุณแค่ไม่ชอบข้อเสียเค้าเท่าไร เท่านั้นเอง.... จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:25:53

ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อกี๊ที่กล่าวถึง Two phase emollient หลายๆคน อาจสงสัยเอ๊ะ มันคืออะไร แล้วชั้นจะทำได้มั้ยเนี่ย..... 5555 จริงๆแล้วคำนี้มันเป็นความกระแดะของผมเองครับ...ก็แค่ใส่น้ำมันที่ผสมตามสูตรคุณลงไปก้นขวด แล้วเทน้ำลงไปในปริมาณเท่ากันกับน้ำมัน.... ก็จะได้เป็น oil ที่แยกชั้นกับน้ำ 2 ชั้น....พอจะใช้ก็เขย่าแรงๆ แทน moisturiser ทาหน้า ทาตัว...ได้ทั้งนั้น.... น้ำที่ใส่ก็เป็นน้ำต้มสุกทิ้งเย็นเฉยๆก็ได้ครับ...หรือ อยากหรูหน่อย ก็ใส่น้ำแร่ก็ได้ครับ.... จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:32:07

ความคิดเห็นที่ 26 อ่านมาอาจจะเห็นผมโฆษณาแค่ 2 ตัวนี้ เนื่องจากว่าตัวอื่นเป็นสารเคมีที่สังเคราะห์หรือจากธรรมชาติที่หายาก หรือ ไม่ก็ปริมาณของสารสกัดในธรรมชาติก็น้อยเกินกว่าที่จะซื้อวัตถุดิบมาใช้....แต่จริงๆ มีสารอีกหลายตัวที่สามารถให้ประสิทธิภาพในการต้าน Tyrosinase ดีกว่าตัวนี้อีกครับ อาจจะมีเป็น 100 เท่าด้วย แต่ผมไม่มั่นใจในความปลอดภัยครับ..... จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:35:00

ความคิดเห็นที่ 27 แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 15:48:00 จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:43:57

ความคิดเห็นที่ 28 เอาเป็นว่า มาดูสารยับยั้ง Tyrosinase พร้อมประสิทธิภาพ (ดูตัวเลข xxxF นะครับ จะเป็นจำนวนเท่าของ Kojic acid) ซึ่งกลุ่มแรก (a) เป็นกลุ่มของ Standard tyrosinase inhibitor เมื่อค่า F เท่ากับ 1 (ก็แหงล่ะ เป็นมาตรฐานนี่นา) แล้ว ก็มีกลุ่มของ Flavone และอนุพันธ์ของมันหลายๆตัว (b,c,d,e,f,g,h,i,j,k) พร้อมกับตัวเลขระบุค่าความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส เป็น xxx เท่าของ Kojic acid จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:47:45

ความคิดเห็นที่ 29 ต่อมาก็เป็นกลุ่มของ Coumarin, Stilbene และ Benzaldehyde จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:49:55

ความคิดเห็นที่ 30 สุดท้ายในกลุ่มของไขมันโซ่ยาว ที่นำเสนอไปข้างต้น จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 15:51:52

ความคิดเห็นที่ 31 คราวนี้มาดูงานวิจัยของไทยกันบ้างดีกว่าเนอะ....อันนี้เป็นงานวิจัยของ ม. เชียงใหม่ ในการเปรียบเทียบการศึกษาของพืชเครื่องเทศในการต้านความดำ หรือ ยับยั้ง Tyrosinase ได้ พบว่า น้ำมันหอมระเหยจากตะใคร้เนี่ย สามารถยับยั้ง Tyrosinase ได้ดีที่สุด แต่ไม่สามารถเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีเลย แต่น้ำมันจากสาระแหน่กลับให้ค่าการต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก แต่กลับมาคิดว่า เอ่ ทาหน้าแล้วจะแหกมั้ย เพราะท่าทางน่าจะร้อนวูบวาบจากตะใคร้ และ เย็นวาบจากสาระแหน่ ลองดูแล้วเหมือนกัน มันวูบวาบๆ ดี 5555 แต่ไปอ่านเจอที่ไหนไม่รู้ว่าน้ำมันหอมระเหยของตะใคร้หอมนี่ประสิทธิภาพแค่ 0.2F เท่านั้นเองง่ะ จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 16:00:12

ความคิดเห็นที่ 32 คราวนี้มาดูค่าย พระจอมเกล้าบางมดบ้าง....เค้าศึกษาในกรณีของขมิ้นสด ขมิ้นอบ และไพล ปรากฏว่าในกรณีนี้ศึกษากับสารสกัดนะครับ ไม่ใช่น้ำมันหอมระเหย พบว่า ขมิ้นสด (40.06%) จะให้ความสามารถในการยับยั้ง Tyrosinase ได้ดีกว่าขมิ้นอบ และดีกว่าไพลตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับตะใคร้ (82.35%) ของ มช. ยังห่างมากครับ จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 16:07:14

ความคิดเห็นที่ 33 ครับ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม ผมจะมาเพิ่มเติมเรื่อยๆครับ...มีอะไรสงสัยถามได้ครับ... ยังไงตอนนี้ก็ยังไม่พ้นเดือน มกราคมนะครับ ก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุข ความสมหวัง แต่ขอให้ดูดี ขาวอย่างมีสติ แล้วก็เหลือสตางค์เยอะๆนะคร้าบบบบบ อิ อิ ว่าแล้ว ถ้าถูกใจ หรือ อ่านแล้วได้ความรู้ไปบ้างก็ขอกิฟต์เป็นกำลังใจเล็กๆละกันครับ (5555 หน้าด้านจริงๆเลยเรา) แต่ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจ หรือ ยากเกินไป คอมเม้นต์ได้ครับ....หรือ ถามซ้ำได้ครับ เพราะผมก็พยายามเอาแต่ส่วนที่ได้ใช้งานมาบริการแก่ผู้อ่านทุกท่านแล้วครับ จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 16:16:02

ความคิดเห็นที่ 34 - ถ้าเอามาทาตัวเลย โดยไม่ผสมน้ำแบบวิธี Two phase emollient จะได้ไหมครับ ? เเม้จะอ่านไอ้พวกพันธะต่าง ๆ ไม่เข้าใจเลยก็ตาม = =" เเต่พี่ก็ทำให้คนธรรมดาอย่างผมเข้าใจได้โดยง่าย น่าชื่นชมมากกกกกก : ) โคตรเป็นประโยชน์ * ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ครับ หามาอีกนะครับ จะติดตามอ่าน จากคุณ : enterme เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 17:21:51

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณครับ....สำหรับกำลังใจ ครับผม อาบน้ำเสร็จทาตัวแทน Baby Oil ก็ได้ครับ.... จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 17:42:47

ความคิดเห็นที่ 36 เข้ามาขอบคุณกับข้อมูลที่นำเสนอค่ะ เป็นรีวิวที่น่าสนใจ และมีประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ต่อยอดมากๆ ^^ เราไม่ได้อ่านตัวเปเปอร์เต็ม จากบทคัดย่อรู้แค่ว่าเขาเปรียบเทียบผลการยับยั้งเอนไซม์ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และเทียบผลเป็นจำนวนเท่ากับ Kojic acid และก็เห็นแล้วว่ามีสารสกัดหลายตัวมีศักยภาพที่อาจใช้เป็นทางเลือกเป็น skin whitening ได้ ถ้าผ่านการศึกษา พัฒนา และรับรอง regulartory status และตัวที่คุณ จขกท เลือกมาแนะนำ มันเป็นไขมันจากพืช ซึ่งก็ไม่มีอันตรายอะไร นอกจากว่าถ้าค่าการอุดตันผิว (comedogenic) มันเยอะ อาจจะก่อสิวด้วยเท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกที่ว่าซึมง่าย ซึมยากนะคะ ^^ ตัวอื่นๆ ที่มีหมู่โพลีเบนซีนกับไฮดรอกซิล จะว่าไปมันก็เป็นสารกลุ่มฟีนอลทั้งหมด ในทางวิทยาศาสตร์อาหาร มันเป็น Substrate ของ Enzymatic browning reaction เลยนะคะ โดยเฉพาะกลุ่ม flavonoids มีมากในผักผลไม้สด เพียงแต่ทางสายนี้เค้าจะเน้นพูดถึงเอนไซม์ชื่อโพลีฟีนอลออกซิเดสกัน (Plant tyrosinase สำหรับเรา ไม่คุ้นเลยค่ะ)  ถ้า substrate มาก ผักผลไม้ก็จะยิ่งเป็นสีน้ำตาลมาก แต่นี่กลับให้ผลยับยั้งการเกิดสีแทน.. ถ้าเอาจากพื้นความรู้ตัวเอง การใส่สารที่โครงสร้างคล้าย substrate เข้าไป คงเหมือนหลอกเอนไซม์ล่ะมั้ง ก็เลยไม่เกิด product ที่ทำให้เกิดสี ส่วนตัวอื่นๆ ก็คงจะไปรีดิวซ์บ้าง อะไรบ้าง (ไม่น่าจะแตกต่างอะไรกันระหว่างปฏิกิริยาในพืชกับสัตว์) มาแลกเปลี่ยนนิดหน่อยนะคะ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความพยายามอ่านเปเปอร์แล้วเอาข้อมูลดีๆ มาบอกกัน จากคุณ : After Sunset_Before Sunrise เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 18:00:35

ความคิดเห็นที่ 37 อันนี้เป็นงานวิจัยของ ม.รังสิตบ้าง ได้ศึกษาสารสกัดจากใบหม่อน และ รังไหม พบว่าประสิทธิภาพที่ได้นั้น ด้อยกว่า Kojic acid มาก จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 18:01:53

ความคิดเห็นที่ 38 + ขอบคุณสำหรับความเห็นทางด้าน food science and technology ครับ...ช่ายครับ ที่ทดสอบก็ใช้สภาวะเป็น Tyrosinase จากเห็ดพันธ์อะไรก็ไม่รู้อ่าครับ...5555 คือ การอุดตันที่ผิวหนังด้วย Triglyceride พวกกลุ่มของกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวพบว่ามีโอกาสน้อยครับ....แต่ปัญหามักจะเกิดจากการที่มีสารพวกแป้ง หรือ fine particle ต่างๆที่สามารถ flocculate กัน ในตัวทำละลายอินทรีย์อย่างน้ำมันบนใบหน้าเรา อุดตันอยู่ที่รูขุมขนซะมากกว่าครับ... แล้วอีกอย่างการทำความสะอาดผิวหน้าโดยที่ยังคงให้มีสารตกค้างบนผิวหน้าอยู่ถือว่าเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดครับ...เพราะหน้าที่ล้างแล้วเหลือสิ่งตกค้างนั้น จะเป็นการทำให้หน้าระคายเคือง พร้อมกับเป็นการตกตะกอนสิ่งที่ไม่ละลายน้ำให้เกิดเป็นอนุภาคที่มีการยึดเกาะกันเองมากขึ้น..... การล้างหน้าที่ไม่สะอาดนั้นเป็นอันตรายต่อผิวหน้ามากกว่าการไม่ได้ล้างหน้าซะอีกครับ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 18:23:02 จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 18:08:11

ความคิดเห็นที่ 39 ขอเพิ่มคำตอบสำหรับคุณ After Sunset_Before Sunrise (แหมอ่านชื่อ login น่าจะไม่ค่อยโดนแดด 555 ล้อเล่นนะครับ) + ครับ สารประกอบกลุ่ม polyphenolic compound สามารถยับยั้งการทำงานของ Tyrosinase ได้ทุกตัวครับ แต่ปัญหาก็คือ ว่าสารเหล่านั้นสามารถที่จะทำงานหรือแย่งการทำงานของเอนไซม์เหล่านี้....ได้ดีแค่ไหน เพราะบางตัวยับยั้งแบบไม่แข่งขัน แถมให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า Kojic acid มากมายครับ ซึ่งหมู่แทนที่ของ Polyphenolic compound ก็มีผลต่อประสิทธิภาพของ Kojic acid อย่างมากครับ + ด้วยความเคารพครับ....ถ้ามีการผิดพลาดอะไรในการสรุปของผม เชิญท่านผู้รู้ร่วมแก้ด้วยครับ เพื่อที่จะไม่ทำให้ผมเกิดความบาปเนื่องจากบอกอะไรที่ผิดๆไปนะครับ จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 18:13:29

ความคิดเห็นที่ 40 ถ้าต้องการ paper ฉบับเต็ม เพื่อต้องการศึกษาละเอียด สามารถจิ้มเข้ามาที่อมยิ้มผมเพื่อส่ง Requirement มาให้ผมทาง mail ได้นะครับ จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 18:19:54

ความคิดเห็นที่ 41 กลับมาดูงานวิจัยของ มช. ใหม่ ดูจากงานวิจัยคราวที่แล้ว ที่เป็นเครื่องเทศ ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นสมุนไพรไทย พบว่า น้ำมันที่ได้จากผิวเปลือกมะกรูดนั้นสามารถทำได้เทียบเท่ากับ Kojic acid เลย ส่วนน้ำมันจากใบพลูและใบกระเพรานั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระืั้ที่ดีที่สุด จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 10:30:42

ความคิดเห็นที่ 42 คราวนี้เป็นของฟากของมหิดลมั่งครับ เค้าได้เปรียบเทียบ มะหาด ชะเอมเทศ และรังไหมครับ ปรากฏว่ามะหาดชนะเลิศ แต่เฉือน kojic acid ได้หน่อยเดียวเอง จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 10:40:18

ความคิดเห็นที่ 43 อ่านไม่ไหว TT สรุปสั้นๆๆ คือเอาน้ำมันเมล็ดองุ่นมาทาหน้า มีส่วนช่วยให้ขาวขึ้น ใช่มั้ยคะ แล้วหาซื้อได้ที่ไหนบ้างอ่า แล้วงี้ทานสารสกัดเมล็ดองุ่นแทนได้เป่า จากคุณ : ที่รักของพระอาทิตย์ เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 15:52:16

ความคิดเห็นที่ 44 จริงๆแล้วสารสกัดจากเมล็ดองุ่นนี่ให้ผลดีเช่นกันครับ แต่ที่นำเสนอน้ำมันเมล็ดองุ่นเนื่องจากว่าเราสามารถใช้เป็น emollient ได้ด้วย แล้วแถมมีราคาถูกด้วย จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 21:01:45

ความคิดเห็นที่ 45 ฉีดโคจิกมา สี่เข็มแล้ว ตอนนี้ขาวเรืองแสง มาก ๆ ค่ะ จากคุณ : นิทาน (acake101) เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 13:22:04

ความคิดเห็นที่ 46 ความรู้เพียบเลยค่ะ โอย... เราพลาดกระทู้นี้ไปได้ยังไงเนี่ย T.T จากคุณ : ~บุลภรณ์~ เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 09:04:49

ความคิดเห็นที่ 47 น้ำมันทานตะวัน เพิ่งซื้อมาเลย ซื้อแบบที่เอาไว้ใช้ทำกับข้าวเลยอะค่ะ แบบนี้ก็ใช้ได้ใช่ไหมคะ  ใช้ได้ไม่ได้ก็ใช้ล้าง คสอ ไปแร้ววว แต่ยังไม่กล้าเอามาทาผิว กลัวสิวขึ้น >< แอบสงสัยว่าข้างขวดมันเขียนว่าrefined sunflower seed oil คือเห็นมาว่าshea butter ถ้าเราใช้แบบ unrefined จะดีกว่าแบบ refined แล้วน้ำมันทานตะวัน น้ำมันเมล็ดองุ่นที่จะนำมาใช้ทาผิวนี้ เราต้องใช้แบบ unrefined ด้วยหรือเปล่าคะ?? ตอนไปซื้อ เห็น น้ำมันเมล็ดองุ่น อยู่บนชั้นด้วย น่าสนใจมากแต่ยังลังเลอยู่ว่าจะใช้ได้มั้ย จากคุณ : ก้าม้า (rintintin) เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 53 15:15:22