ความคิดเห็นที่ 1 |
ตอนที่ 1 เริ่มต้นบนเส้นทางสายใหม่ ที่ไม่รู้จัก
ดิฉันเริ่มออกเดินทาง ในช่วงอายุยี่สิบต้นๆ ซึ่งแน่นอนว่า เป็นวัยเล่าเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ดิฉันเองมีชีวิตที่ค่อนข้างแตกต่าง และไม่สวยงาม วิลิศมาหราเท่า หนุ่มสาววัยเดียวกัน และไม่ได้เป็นไปตามสเต็ปที่ควรจะเป็น เอนทรานซ์ เข้ามหาวิทยาลัย เรียนจบ รับปริญญา ทำงาน แต่งงาน บลาๆๆๆ~
เนื่องด้วยดิฉันและ(อดีต)สามีอยู่ในครอบครัวคนจีน (หัวเก่านิดๆในบางเรือ่ง) ได้ถูกหมั้นหมาย และจับแต่งงานไวกว่าเขาหน่อย คือตั้งแต่เรียนจบ วิทยาลัยพาณิชย์ แต่ดิฉันก็เต็มใจ เพราะดิฉันรัก(อดีต)สามีมาก (แม้ว่าจะมีเรื่องของเงินทอง ผลประโยขน์เข้ามาเอี่ยว อันนี้ไม่ขอพูดถึง)
แต่สุดท้ายความรักของดิฉันก็ล้มเหลว เนื่องจาก ต้องแยกกันอยู่กับสามี อาจจะเนื่องด้วยวุฒิภาวะที่แตกต่างกัน พื้นฐานการถูกเลี้ยงดูและการใช้ชีวิตที่แตกต่าง รวมไปถึงการต้องแยกกันอยู่ (เขาทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศ และส่งเสียดิฉันที่กำลังเรียนต่อระดับอนุปริญญา ในกรุงเทพ) หรือแม้กระทั่งเรืองมือที่สาม สี่ ห้า.... อันนี้ ดิฉันไม่ไม่อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บนัก เพราะมิเช่นนั้น จาก บทความเมาท์วงการอาชีพช่างเสริมสวย และกลายเป็น ศาลาคนเศร้าไปเสียก่อน ดังนั้นจึงปิดประเด็นไปที่ ดิฉันล้มเหลวในชีวิตคู่ ทั้งๆที่อายุยังน้อยแล้วกันค่ะ (T__T)
ตอนนั้น ทางข้างหน้ามืดมิด เงินทองที่สามีส่งเสีย ก็หยุดชะงักลง และดิฉันไม่กล้ากลับบ้านนอก หรือบอกและขอเงินที่บ้านได้ (กลัวที่บ้านรับไม่ได้ ทางบ้านรักลูกเขยคนนี้มาก) และดิฉันเป็นคนใช้เงินเก่งน่าดู เลยไม่ได้เก็บเงินเก็บทอง ไว้สำรองไว้มากมาย เรียกว่าพอกินพอใช้ไปเป็นเดือนๆ ทั้งที่สามีก็ส่งเสียมาเยอะพอสมควร (แย่มาก ไม่ควรเอาอย่างจริงๆ)
หากจะดิ้นรนเรียนต่อไป (ซึ่งตอนนั้นดิฉันเลือกเรียนภาคสมทบ เพราะขี้เกียจตื่นเช้า -เริ่มต้นก็ประจานนิสัยเสียๆของตัวเองไปเสียเยอะแล้ว ) ทางเดียวคือ การทำงานพิเศษส่งเสียตัวเองเรียน ซึ่ง(อดีต)คุณนายอย่างดิฉัน ไม่พิสมัยการทำงานบริการไป ยืนยิ้มไป อย่างพวก งานรีเซฟชั่น เชียร์เบียร์ พริตตี้ ทั้งๆที่หน้าตาดิฉันก็พอไปวัดไปวาได้ แต่หากจะทำงานอื่นๆที่ไม่ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวรองๆลงมา อย่าง พนักงานเสิร์ฟ พนักงานแคชเชียร์ในร้านสะดวกซื้อ หรือ พนักงานขายอาหารฟาสฟู้ด (ดิฉันไม่กล่าวถึงแบรนด์ใดๆ เพราะมิได้ค่าสปอนเซอร์ค่ะ อิอิ..) มันก็คงไม่พอกินนักสำหรับการใช้ชีวิตในเมืองหลวงที่ค่าครองชีพสูงลิบลิ่ว ที่ไม่มีทั้งคนแชร์ และคนส่งเสียเลยแบบดิฉัน (พูดจริงๆว่า เงินเดือนของพนักงานร้านสะดวกซื้อทั้งเดือน ยังไม่ได้ค่าเช่าห้องดิฉัน ณ ขณะนั้นเลย ตอนนั้นใช้เงินเก่ง และน่าหมั่นไส้มาก เมือ่มาคิดถึง)
แต่หากจะไปทำงานอื่นๆก็มีแต่งาน full time ที่กินเวลามากเกินไป จนสุดท้ายก็คิดออกว่า งานช่างเสริมสวย น่าจะเป็นงานที่ดิฉันพอจะทำได้
ดิฉันหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนสอนเสริมสวยต่างๆ ทั้งของรัฐบาลและเอกชน ชั่งน้ำหนักนานพอสมควร ก่อนตัดสินใจดรอปเรียน 1 ภาคเรียน และสมัครเรียนในโรงเรียนสอนเสริมสวยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งสาขาทั่งทั้ง กรุงเทพ ปริมณฑล และต่างจังหวัด โดยจ่ายค่าเล่าเรียนไปประมาณ 2 หมื่นเศษๆ กับหลักสูตรครบวงจร บิวตี้ (ใช้เวลาเรียน 6-7เดือน) ที่เรียนเสร็จสามารถเปิดร้านได้เลย (เขาการันตีมาแบบนี้)
โดยทางโรงเรียนได้ โฆษณาก่อนหน้านั่นว่า แถมฟรีอุปกรณ์การเรียน 99 รายการ เอาไปเปิดร้านได้เลย แต่อุปกรณ์ที่ดิฉันได้รับในวันเปิดเรียน ไม่น่าจะถึง 99 รายการ (หรือเขาจะนับ เป็นชิ้นๆ ให้ครบ 99 รายการก็มิทราบ) แถมดิฉันต้องจ่ายค่า เช่าล็อคเกอร์รายเดือน (และซื้อกุญแจล็อก ล็อคเกอร์เองจ่ากร้านขายวัสดุก่อสร้างข้างๆ) ค่าเสื้อสูทช่าง และค่า ตำราเรียน ซึ่งแต่ละอย่าง ราคาค่างวดไม่น่าจะถึง 50% ของเงินที่ดิฉันซื้อของเขา สรุปว่า วันแรกดิฉันจ่ายเงินยิบย่อยไปเกือบ 500 บาท ซึ่งดิฉันก็พอทำใจ ว่า มันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆเพิ่มเข้ามา
(แอบหวังว่าจะไม่เป็นแบบนี้ตลอด)
วันแรกที่ดิฉันเข้าไปเรียน มีเพื่อนนักเรียนอีก 2 คนที่เข้าเรียนพร้อมดิฉัน การสอนจะเป็นระบบตัวต่อตัว คือ ฝึกทำกับหัวหุ่น ก่อนที่จะไปลงที่หัวจริง มีการฝึกงาน เก็บประสบการณ์ ก่อนที่จะเลื่อนคลาสไปเรียนตัวอื่นที่อาศัยความชำนาญกว่า
งานแรกที่ดิฉันได้เรียน คือการม้วนแกนดัด และ โรลเซ็ทผมกับหัวหุ่น แตกต่างจากที่คิดว่า จะได้เรียนสระผม ไดร์ผมอันดับแรก และมันก็ทำให้ดิฉันแทบจะร้องไห้ในนาทีแรกบนเส้นทางช่างทำผมเลย เนือ่งจากดิฉันเป็นคนไม่มีพรสวรรค์ และไม่ค่อยช่างสังเกต มีไหวพริบเหมือนชาวบ้านสักเท่าไร กว่าจะแบ่งผมเป็นช่อๆตามแบบที่กำหนดได้เสร็จก็กินเวลาเป็นครึ่งวัน และกว่าจะม้วนเป็น กว่าจะม้วนสวยพอใช้ได้ ก็กินเวลานานกว่าเพื่อนนักเรียนด้วยกันไปเกือบเท่าตัว
(ต่อกระทู้ถัดไปค่ะ)
จากคุณ |
:
Miss Plastic
|
เขียนเมื่อ |
:
23 พ.ค. 53 14:56:43
|
|
|
|