เรามีบทความพิเศษ โดย พญ.อัญชลี รัตนาธาร ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง จากนิตยสาร Health Today มาให้ความรู้กับพวกเรา ใครที่ใช้เครื่องสำอาง
ทั้ง ที่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีราคาสูง อีกผลิตภัณฑ์หนึ่งที่เป็นที่นิยมคือ อุปกรณ์แต่งหน้า เช่น แป้งพัฟ แปรงปัดแก้ม แปรงปัดเปลือกตา พู่กันทาริมฝีปาก ที่ปัดขนตา ขนคิ้ว ฯลฯ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วระยะหนึ่งที่อุปกรณ์สัมผัสผิว แต่หากปล่อยให้สกปรกไม่ดูแลรักษาทำความสะอาด ก็มีโอกาสทำให้เกิดปัญหาผิวพรรณได้เช่นกัน โดย ทั่วไปรอบๆ ตัวเรามีเชื้อโรคปะปนอยู่ทั้งในอากาศ กระทั่งบนผิวหนังของเราเอง เพียงแต่จำนวนหรือความรุนแรงไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดโรคหรือปัญหาแก่ผิวของ เราได้ แต่โรคติดเชื้อทางผิวหนังสามารถติดต่อจากการสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสโดยตรงหรือการสัมผัสผ่านสิ่งของต่างๆ ซึ่งหมายรวมถึง อุปกรณ์แต่งหน้าและเครื่องสำอางของผู้หญิง โรคติดเชื้อดังกล่าวที่พบได้ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง เช่น ตุ่มฝีหนอง (Boils) เริ่มติดเชื้อจากการที่มีแผลเล็กๆ ซึ่งมีหลายสาเหตุ เช่น การขีดข่วน ฯลฯ เชื้อแบคทีเรียจะสามารถผ่านสู่ผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณรูขุมขน (hair follicle) ได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นบริเวณผิวหนังเกิดตุ่มนูนแดง เจ็บ และมีหนอง บางครั้งอาจทำให้มีไข้ เชื้อที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิด staphylococcus aureus การติดเชื้อไวรัสเริม (herpes infections) โดย ปกติจะติดจากการสัมผัสตุ่มน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสโดยตรง หรือติดจากเครื่องใช้ต่างๆ แม้กระทั่งอุปกรณ์แต่งหน้า ในกรณีที่ใช้แป้งพัฟ หรือพู่กันเขียนลิปสติกร่วมกับผู้เป็นเริม เชื้อไวรัสเริมสามารถแพร่มาสู่เราได้ แม้ไม่อาจสังเกตเห็นตุ่มน้ำหรือรอยโรคก็ตาม เชื้อไวรัสเริมมีหลายชนิด ได้แก่ Herpes simplex virus type 1, 2 และ varicella-zoster virus แต่ไวรัสที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดตุ่มน้ำบริเวณริมฝีปากได้บ่อย คือ Herpes simplex virus type1 โดยอาการเริ่มหลังได้รับการติดเชื้อครั้งแรกอาจมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว พร้อมกับมีลักษณะเป็นตุ่มพองใสเล็กๆ อยู่กันเป็นกลุ่ม 3-4 ตุ่ม และบริเวณแผลอาจมีอาการเจ็บปวด แสบหรือบวม และอาจพบต่อมน้ำเหลืองอักเสบร่วมด้วย อย่างไรก็ตามการเกิดเริมครั้งแรก ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อให้หมดไปได้ จึงยังคงมีเชื้อเหลืออยู่ที่ปมประสาท หากมีการกระตุ้นหรือสภาวะร่างกายอ่อนแอ เชื้อก็จะฟื้นตัวและเกิดอาการใหม่ได้ แม้การติดเชื้อครั้งหลังจะมีอาการรุนแรงลดลง แต่ก็ยังสามารถเป็นพาหะแพร่เชื้อติดต่อสู่ผู้อื่นได้ การเกิดสิว มี สาเหตุมาจากอุปกรณ์แต่งหน้ายังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด เนื่องจากสิวเป็นโรคของต่อมไขมันและรูขุมขน มีข้อมูลการศึกษาต่างๆ รายงานว่าสิวเกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความผิดปกติของการสร้างเซลล์ชั้นขี้ไคลของรูขุมขน ทำให้มีการหนาตัวขึ้นบริเวณรูขุมขนและการเพิ่มขึ้นของเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ ว่า propionibacteriun acne (P.acne) หรือการเพิ่มการผลิตของสารไขมัน (sebum) ที่บริเวณผิวหนัง หรือปัจจัยจากฮอร์โมนแอนโดรเจน กรรมพันธุ์ ความเครียด การพักผ่อน ฯลฯ ผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบจากอุปกรณ์แต่งหน้า นั้นพบน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบจากเครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิวที่ใช้ เนื่องจากผิวหนังบางคนแพ้สารประกอบประเภทน้ำหอม สี (Dye) หรือแม้กระทั่งสารกันบูด (preservatives) ที่ผสมในเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวต่างๆ ซึ่งการแพ้มักเป็นชนิดที่เรียกว่า Allergic contact dermatitis หมายถึงผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส อาการแพ้เกิดจากสภาวะการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน เช่น ใช้เครื่องสำอางชนิดเดียวกันแต่คนหนึ่งแพ้สารเคมีที่อยู่ในเครื่องสำอางชนิด นั้น ส่วนอีกคนไม่แพ้ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังต้องระวังเรื่องวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ด้วย ที่สำคัญต้องเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น มิฉะนั้นเครื่องสำอางอาจเสื่อมสภาพก่อนวันหมดอายุจริง (รู้ๆ กันอยู่ว่าบ้านเราร้อนขนาดไหน) ส่วนเครื่องสำอางไหนที่หมดอายุแล้ว ก็ให้ทิ้งไปเสีย อย่าเสียดาย ยกตัวอย่างเช่น มาสคาร่ามีอายุการใช้งานแค่ 2-6 เดือน ดัง นั้นหากมีอาการผื่นแดงคันหลังการใช้เครื่องสำอาง ครีมบำรุง หรือสารต่างๆ ให้หยุดใช้และปรึกษาแพทย์ทันที หากมีอาการคันอาจรับประทานยากลุ่มต้านฮีสตามีน (antihistamine) เพื่อระงับอาการคันได้ก่อนพบแพทย์ แต่ห้ามจับหรือเกา เพราะอาจทำให้การติดเชื้อมีระยะกว้างขึ้น |