ความคิดเห็นที่ 1 11.  กระหล่ำปลี สามารถต่อต้านการก่อตัวของสารมะเร็ง  ช่วยล้างสารพิษจากร่างกาย  ทำให้ลำไส้สะอาด  ป้องกันลำไส้อักเสบ  แก้ท้องผูก  แก้เจ็บคอ  บำรุงไต  ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง  มีน้ำมีนวล  แก้จุกเสียดแน่นท้อง  ขับปัสสาวะ  บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก  และยังเพิ่มการสร้างกลูต้าไธโอนซึ่งเป็นสารที่ตับจำเป็นต้องใช้ด้วย กะหล่ำปลีอุดมไปด้วยสารอินโดลฟลาโวนอยด์  สารคาร์บินอล  สารซัลฟาราเฟน  กลูโคซิโนเลต  เบต้าแคโรทีน  วิตามินซี  และกรดโฟลิก 12.  สาหร่ายสไปรูลิน่า ช่วยล้างพิษ  ฟื้นฟูสภาพตับทำให้ตับแข็งแรง  ปรับสมดุลของสมองและระบบประสาท  ช่วยเร่งกระบวนการล้างพิษในกระแสเลือด  เนื้อเยื่อ  และลำไส้ให้เร็วขึ้น  เมื่อของเสียหมดไปแล้ว  อวัยวะเหล่านี้ก็จะมีเลือดมาเลี้ยงมากยิ่งขึ้น มีวิตามินเยอะมาก  อาทิ  วิตามินบี  คลอโรฟีลล์ 13.  วิตกราส  หรือต้นอ่อนข้าวสาลี ช่วยย่อยอาหาร  จำเป็นต่อเซลล์ร่างกายใหม่ๆ  ช่วยฟอกเลือด  เม็ดเลือดจึงแข็งแรง   อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน  วิตามินซี  วิตามินเอ  วิตามินบีรวม  แคลเซียม  แมกนีเซียม  เหล็ก  และเอนไซน์  และกรดอะมิโนที่สำคัญ 14.  อะโวคาโด อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ไขมันสูงปรี๊ด  แต่กลับไม่มีคอเรสตอรอลและโซเดียม  ซึ่งไขมันของมันเป็นเชิงเดี่ยวล้วนๆ  ช่วยสลายไขมันในเส้นเลือด  ลดคอเรสตอรอล  ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง  ยิ่งกินสุขภาพก็ยิ่งดี  ผิวสวย  ผมงาม 15.  ส้มโอ มีสรรพคุณในการล้างพิษ  เป็นคู่อริของมะเร็ง  ช่วยล้างคอเรสตอรอลและเบรกมะเร็งในกระเพาะอาหาร  ซ้ำยังช่วยยับยั้งมะเร็งตับอ่อนอีกด้วย 16.  กล้วยไข่ ช่วยรักษาผิวไม่เหี่ยวย่น  ลดจุดด่างดำ เนื่องจากในกล้วยไข่มีเบต้าแคโรทีน  ซึ่งมีสรรพคุณต่อต้านอนุมูลอิสระมาก  ในกล้วยไข่ 1 ขีด  มีสารเบต้าแคโรทีนถึง  492 มิลลิกรัม 17.  ใบแปะก๊วย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง  ป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองจากการถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ  อีกทั้งป้องกันเซลล์ประสาทจากการขาดออกซิเจน  และยังมีส่วนทำให้ผนังเลือดแดงยืดหยุ่นและแข็งแรง 18.  ลำไย รักษาโรคริดสีดวงทวาร  หวัด  ไข้มาลาเรีย  บำรุงเลือด  เพิ่มความแข็งแรงกระดูกและฟัน  เนื้อลำไยมีประโยชน์ต่อระบบไหลเวียนโลหิต  ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง  เหมาะสำหรับหญิงที่ประจำเดือน มีปัญหา  บำรุงหัวใจ  บำรุงม้าม  ผ่อนคลายระบบประสาท ดอกลำไยเป็นยาขับปัสสาวะ  ช่วยสลายก้อนนิ่วที่ไตได้ 19.   มะพร้าว ทำให้ร่างกายสดชื่น  กระปรี้กระเปร่า  ทำให้ผิวพรรณสดใส  ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย  ป้องกันอัลไซเมอร์และช่วยให้อารมณ์ดี  พร้อมจะสู้งานได้ทุกวัน มะพร้าวอุดมไปด้วยโพแทสเซียม  เหล็ก  โซเดียม  แคลเซียม  แมกนีเซียม  ฟอสฟอรัส  ทองแดง  กรดอะมิโน  กรดอินทรีย์  และวิตามินบี 20.  ขิง เป็นสมุนไพรประเภทร้อนที่ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ดีมาก  และยังมีเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหารมากกว่ามะละกอตั้ง  180  เท่า  ถ้าจิบน้ำขิงระหว่างวัน  จะกระตุ้นระบบเผาผลาญของคุณให้ทำงานสม่ำเสมอระหว่างวัน แนะนำให้เป็นน้ำขิงร้อนๆ  และไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:37:53

ความคิดเห็นที่ 2 21.   จมูกข้าวสาลี จมูกข้าวสาลี  เป็นแหล่งรวมโปรตีน  วิตามิน  และแร่ธาตุที่สำคัญกว่า 30 ชนิด  เพราะสำหรับเป็นอาหารของคนไดเอท  เพราะย่อยง่าย  อิ่มทน ถ้าชงกับน้ำร้อนก่อนดื่มอาหารสัก 10 นาที  คุณจะอิ่มตื้อจนกินอะไรแทบไม่ลง  หรืออาจกินได้น้อยกว่าเดิม 22.  ขมิ้น มีสรรพคุณในการรักษาแผลในพระเพาะ  และมันยังสามารถต่อต้านการสะสมของไขมันและป้องกันโรคเบาหวานได้ นักวิจัยได้ทดลองให้หนูกินสารสกัดจากขมิ้นดู  ปรากฏว่าหนูตัวนั้นแข็งแรงขึ้น  แต่น้ำหนักกลับลดลงทั้งๆที่หนูตัวนั้นกินอาหารปกติ  แสดงว่าขมิ้นช่วยให้ผอมได้  แม้จะไม่ได้ลดจำนวนอาหารลงเลย 23.   ดอกชบา หลายๆคนอาจจะแปลกใจถ้าเห็นว่ามีดอกชบาอยู่ในนี้ด้วย  แต่ถ้าลองอ่านดูก่อนก็จะพบว่ามันมีประโยชน์เหมือนกัน ชาดอกชบา  เป็นชาน้องใหม่ที่มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้ร่างกายลดการดูดซึมไขมันและอาหารจำพวกแป้งลงได้  แถมช่วยล้างของเสียจากลำไส้  ทำให้ได้ระบายและดีท็อกซ์ไปในตัว 24.   ผักชี มีโพแทสเซียมช่วยลดปริมาณน้ำบริเวณส่วนล่างโดยเฉพาะ  ใครอยากน่องเล็กต้นขาเรียวก็อย่าพลาด 25.  ถั่วแดง มีประโยชน์กับลำไส้  ทำให้ลำไส้ทำงานดี  กระตุ้นการขับปัสสาวะ  แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ  คนกินถั่วแดงจึงไม่มีเรื่องหน้าท้องมากวนใจมากนัก 26.  ชาเขียว อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ  เพิ่มการเผาผลาญไขมัน  สลายไขมันในเส้นเลือดและเนื้อเยื่อ เคยมีผลวิจัยออกมาว่า  คนที่จิบชาเขียวร้อนๆแบบไม่ใช่น้ำตาลวันละ 2 แก้วทุกวันจะลดน้ำหนักได้เดือนละ 1 โล  อะเมซิ่งมั้ยล่ะ 27.   มะเขือเทศ มะเขือเทศสีแดงสดช่วยขับปัสสาวะ  และทำให้กล้ามเนื้อช่วงล่างผ่อนคลาย  ไม่เก็บไขมันสะสมไว้  คนที่กินมะเขือเทศสีแดงสดบ่อยๆจึงมีโอกาสที่จะสะโพกเล็กกว่าคนที่ไม่กินเลย 28.   สาหร่ายทะเล เป็นแหล่งของใยอาหารโดยตรง  เส้นใยพวกนี้จะเข้าไปดูดซึมน้ำส่วนเกินในตัวเรา  โดยเฉพาะช่วงประจำเดือนที่สาวๆรู้สึกว่าตัวบวม  ต้นขา  หน้าท้องสะโพกพองขึ้น  ถ้าโด๊ปสาหร่ายทะเลมากๆอาจทำให้รู้สึกดีขึ้น 29.  งาดำ งาอุดมไปด้วย  Lanolic  Acid  ที่สามารถสลายคอเรสตอรอลในเส้นเลือด  และช่วยระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น  คนกินประจำจะเห็นผลว่าหน้าท้องกับต้นขาเล็กลง  เพราะไขมันบริเวณนี้ถูกพลังงานจิ๋วแต่แจ๋วของงาขับออกไปนั่นเอง 30.  เมล็ดทานตะวัน เพราะว่ามีปริมาณวิตามินอีสูง  ซึ่งวิตามินอีเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้คนเราดูอ่อนเยาว์  เพราะมีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ สังเกตง่ายๆจากการที่มีสารสกัดเมล็ดทานตะวันเป็นส่วนผสมหลัก ๆ ของครีมหลายๆยี่ห้อ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 54 20:38:09 จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:38:31

ความคิดเห็นที่ 3 31.   กระเพรา            ใบสดของมัน มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ ซึ่งประกอบด้วย linalool และ methyl chavicol เป็นยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง ให้ใช้ใบสด หรือยอดอ่อนสก 1 กำมือ มาต้มให้เดือดแล้วกรองน้ำดื่ม แต่ถ้าใช้กับเด็กทารกให้เอามาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำมาผสมกับน้ำยามหาหิงคุ์แล้วใช้ทาบริเวณรอบ ๆ สะดือ และทาที่ฝ่าเท้า แก้อาการปวดท้องของเด็กได้ และน้ำที่เราเอามาคั้นออกจากใบยังใช้ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หรือใช้ทาภายนอกแก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อนได้ นอกจากนี้ ใบสดยังนำมาผัด หรือนำมาแกงเป็นอาหารได้อีก สำหรับใบแห้ง ใช้ชงกินกับน้ำ แก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ และน้ำมันที่ได้จากใบกะเพรานั้นสามารถยับยั้งการเจริญเติบฌตของเชื้อโรคบางชนิด ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิด และมีฤทธิ์ฆ่ายุงได้ จะมีฤทธิ์ได้นาน 2 ชั่วโมง เมล็ด นำไปแช่น้ำเมล็ดก็จะพองตัวเป็นเมือกขาว ใช้พอกบริเวณตา เมื่อตามีผง หรือฝุ่นละอองเข้า ผงหรือฝุ่นก็จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาเรานั้นช้ำอีกด้วย ราก ใช้รากที่แห้แล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ 32.  มันฝรั่งหวาน สารเบต้าแคโรทีนในมันฝรั่งหวานรวมทั้งแครอท  อาจช่วยป้องกันผิวไม่ให้ถูกทำลายจากแสงอัลตร้าไวโอเลต 33.  ดอกเก๊กฮวย ร้อนใน ดับพิษร้อนในตัว ลดความดันโลหิต ขยายหลอดเลือด บำบัดเส้นเลือดหัวใจตีบตัน และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 34.  บีทรูท ลดความดันโลหิต ฟอกไต ช่วยขับปัสสาวะ สารสีแดงในหัวบีท-รูท คือ เบทานิน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณในการยับยั้งการเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง ช่วยให้เลือดดี และช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีกรดโฟลิกซึ่งเป็นสารที่จำเป็นต่อพัฒนาการสมองของทารก โดยเฉพาะในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ อันจะส่งผลให้ทารกในครรภ์แข็งแรงสมบูรณ์ 35.  เสาวรส ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค และป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินสูงช่วยบำรุงสายตา ทำให้ร่างกาย แข็งแรง บำรุงกระดูก เพราะมีแคลเซียมสูง 36.  แครอท อุดมไปด้วยวิตามินเอ และเกลือแร่ วิตามินเอเอาไว้ใช้ ช่วยบำรุง สายตา บำรุงผิวและเนื้อเยื่อ ช่วยยับยั้งความเสื่อมของ อวัยวะสำคัญของร่างกาย มีความเชื่อว่า แครอทช่วยรักษาโรคมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรค เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองอัมพฤษ์ อัมพาต ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก และยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน เร่งการสร้างเซลล์ในแผลผ่าติด นอกจากนี้ ยังอุดมด้วยวิตามินบี วิตามินซี และแคลเซียมที่ดูด ซึมง่าย มีแพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ ช่วยลดโคเลสเตอรอล วิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ มีบทบาทสำคัญ ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค 37.  สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ราสพ์เบอรี่ มีวิตามินซี แมกนีเซียม โปเทสเซียมสูง ช่วยเพิ่มช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยต้านอนุมูลอสิระ ป้องกันโรคต่างๆ ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า 38.  มะเขือเทศ อุดมด้วยวิตามินซี และอี มีสารไลโคทีน ช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด      ***  แต่มะเขือเทศไม่เหมาะกับผู้เป็นโรคหัวใจโต  หรือผู้ที่เป็นโรคไต 39.  แตงกวาญี่ปุ่น มีวิตามินซีและเคสูง  ช่วยในการบำรุงผิว 40.  รากบัว รสสุขุม เย็น มีสรรพคุณ ในการดับพิษร้อนแก้กระหาย ช่วยให้เลือดเย็น บำรุงม้าม หัวใจ ช่วยเจริญอาหาร ** ตอนแรกอันที่ 31 ซ้ำ  เลยเปลี่ยนจากองุ่นมาเป็นกระเพราให้  ^^ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 54 20:40:54 จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:39:32

ความคิดเห็นที่ 4 41.  โหล่วกิง รสเย็นสุขุม ช่วยดับพิษร้อนในปอด และกระเพาะอาหาร แก้กระหาย ช่วยให้ชุ่มคอ เทียงฮวยฮุ่ง รสสุขุม เย็น ขมเล็กน้อย มีสรรพคุณดับพิษร้อน แก้กระหาย 42.  แซตี่ รากของแซ่ตี่ มีสรรพคุณแก้ร้อนใน บำรุงเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น บำรุงสายตา 43.  ฟ้าทะลายโจร รสขม มีสรรพคุณ แก้ไข แก้หวัด แก้ต่อมทอมซิลอักเสบ ปอดอักเสบ แก้บิด ท้องเดิน แต่ไม่ควรกินติดต่อกันนานๆ เพราะจะทำลายจุลชีพ ที่มีประโยชน์ในกระเพาะอาหาร   ****  สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ และเป็นโรคหัวใจไม่ควรกิน 44.  ใบบัวบก รสขมซ่า กลิ่นหอม สรรพคุณแก้ร้อนใน ช่วยให้ลมเดินสะดวก ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด 45.  ดอกงิ้ว ดอกแห้ง ใช้ทำยาระงับปวด แก้พิษไข้ 46.  ใบเพกา มีสรรพคุณ แก้ปวดข้อ แก้ปวดท้อง ช่วยให้เจริญอาหาร 47.  ชะเอมไทย มีรสหวาน แก้โรคในลำคอ แก้ลม แก้เลือดออกตามไรฟัน บำรุงธาตุ ขับเสมหะ 48.  ชะเอมเทศ ส่วนที่นำมาใช้ เป็นยาสมุนไพร คือ ส่วนราก มีรสหวาน ชุ่มคอ แก้ไอ ขับเสมหะ 49.  อบเชยเทศ รสเผ็ดหวาน มีกลิ่นหอม แก้อ่อนเพลีย ขับลม แก้ไข้สันนิบาต แก้อัมพฤกษ์ (ไข้สันนิบาต เป็นไข้ที่เกิดจากโทษสามชนิดหรือตรีโทษทำให้กระหายน้ำ ร้อนใน เหงื่อออกมาก ง่วงนอน เจ็บในอก ลมอัมพฤกษ์ เกิดจากเอ็นกำเริบ จะปวดเมื่อยทุกข้อกระดูก 50.  รางจืด รากและเถากินเป็นยารักษาอาการร้อนใน กระหายน้ำ และดับพิษทั้งปวง จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:43:48

ความคิดเห็นที่ 5 51.  ลูกใต้ใบ ใบอ่อน แก้ไอสำหรับเด็กลดไข้ ขับปัสสาวะ และลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย คัน แก้ไข้ทุกชนิด รักษาริดสีดวงทวาร กามโรค ปวดท้อง ดีซ่าน ท้องเสียง และบิด 52.  หนุมานประสานกาย แก้หวัด แพ้อากาศ หืด หอบ ไอเรื้อรัง ช้ำใน 53.  สระระแหน่ มีรสเผ็ด เย็น เมื่อรับประทานแล้วจะช่วยขับเหงื่อ ลดความร้อน ขับเลือดที่คั่งค้างในร่างกาย ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ฤดูหนาว ผู้เฒ่าหรือคนอ่อนแอ อาจมีอาการไข้หวัด สามารถใช้ใบสระระแหน่ ต้มเป็นน้ำชาดื่ม เพื่อช่วยทำให้เหงื่อออก ระบายความร้อนได้ดี 54.  มะตูม ผลมะตูมอ่อน บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และช่วยขับและผายลม ผลมะตูมสุก รสหวาด แก้ลม แก้เสมหะ แก้มูกเลือด บำรุงไฟธาตุ แก้กระหายน้ำ ขับลม 55.  ตะลิงปลิง รสเปรี้ยวจัด ช่วยเจริญอาหาร เลือดออกตามไรฟัน มีวิตามินซีสูง 56.  กระเจี๊ยบแดง บำรุงธาตุ ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง แก้ดีพิการ 57.  ดอกอัญชัน มีเบต้าแคโรทีนสูง เป็นตัวแอติออกซิแดนท์ ช่วยต่อต้านสารก่อให้เกิดมะเร็ง 58.  ฝรั่ง ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ชะลอการลุกลามของมะเร็ง ช่วยทำให้แผลหายเร็ว ช่วยกระตุ้น การทำงานของเม็ดเลือดขาว และสร้างภูมิคุ้มกัน จึงสามารถป้องกันการเป็นหวัดได้ 59.  มะขาม มีวิตามินเอและซี นอกจากนั้น ยังมีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ช่วยแก้อาการท้องผูก เป็นยาระบายแก้ไอขับเสมหะ 60.  มะนาว มีวิตามินซีสูง มีทั้งวิตามิน บี 1 บี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ช่วยป้องกันหวัด ขับเสมหะ แก้ไอ แก้เจ็บคอ ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ในน้ำมะนาว มีสารไบโอฟลาโวนอยด์สูง จึงช่วยป้องกันอันตราย จากสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคหัวใจ และโรคมะเร็ง จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:50:07

ความคิดเห็นที่ 6 61.  สับปะรด ช่วยย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด  มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โซเดียม โพแทสเซียม วิตามินเอ แมกนีเซียม และวิตามินซี มีเอนไซม์โบรมีเลน (bromelain) ซึ่งช่วยย่อยโปรตีน จึงมีการใส่น้ำสับปะรดในการหมักเนื้อ เพื่อทำให้เนื้อนุ่ม หรือถ้ามีอาการแน่นท้องหลังจากกินอาหารประเภทนี้สัตว์มากๆ ให้ดื่มน้ำสับปะรดหลังอาหารก็ช่วยลดอาการแน่นท้องได้ โบรมีเลนยังช่วยปรับสภาพของเหลวต่างๆ ในร่างกายให้เป็นกลาง และกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนของดับอ่อนให้ทำงานปกติ ข้อควรระวัง น้ำสับปะรดเป็นของต้องห้ามสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานชนิด hypoglycemia (ผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง) เพราะในสับปะรดมีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะน้ำตาลฟรักโทสที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็ว 62.  แตงร้าน เสริมการทำงานของระบบประสาทและความจำ ทำให้หลับสบาย เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เนื่องจากให้พลังงานต่ำมาก และช่วยเสริมความชุ่มชื้นแก่ผิว ทำให้ผิวพรรณสดใส 63.  ฟักทอง มีเบต้าแคโรทีน ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง และป้องกันไม่ให้เซลล์เสื่อมสภาพเร็ว, ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, บำรุงตับไต, บำรุงสายตา และบำรุงผิวพรรณ 64.  แก้วมังกร มีแคลเซียมสูง, แก้อาการท้องผูก, ช่วยควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากให้พลังงานต่ำมาก, ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น, มีสารต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันมะเร็ง 65.  มะระจีน ช่วยลดประมาณน้ำตาลในเลือด 66.  แอปเปิ้ลเขียว และ แอปเปิ้ลแดง บำรุงผิวพรรณ และป้องกันไม่ให้ร่างกายสะสมไขมัน  นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งอีกด้วย 67.  ผักขึ้นฉ่าย มีสารพิเศษที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว ช่วยลดความดันโลหิต และยังมีโซเดียวต่ำ จึงเหมาะกับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคไตและผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เพราะให้พลังงานต่ำ 68.  เซลเลอรี่ อุดมไปด้วยโซเดียม ช่วยลดอาการแพ้ของผิวหนัง ช่วยปรับสมดุลย์ภาวะความเป็นกรด-ด่างในเลือด, ช่วยลดความดันโลหิต และอาการปวดศรีษะ 69.  ขิง ประกอบด้วยวิตามินบี 1 บี 2 และเกลือแร่ต่างๆ จึงช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวแข็งเป็นก้อน และช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อทางเดินอาหารช่วยแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ 70.  ส้ม แก้กระหาย ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ปัองกันไข้หวัด และช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด นักวิจัยเมืองจิงโจ้พบในรายการศึกษาของหลายชาติ เรื่องการบริโภคผลไม้จำพวกมะนาว และส้มให้คุณแก่สุขภาพสรุปได้ดังนี้..."กินส้มวันละใบ จะผลักไสโรคมะเร็งบางชนิดให้พ้นตัวได้" นักวิใจขององค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือจักรภพของรัฐบาลออสเตรเลีย กล่าวแจ้งว่า การกินผลไม้จำพวกมะนาวและส้ม จะช่วยป้องกันมะเร็งที่ปาก กล่องเสียง และกระเพาะลงได้ตั้งครึ่ง และยิ่งกินเพิ่มนอกจากกินผักผลไม้วันละ 5 มื้ออยู่ประจำแล้ว ก็จะยิ่งช่วยให้ป้องกันอัมพาตได้อีกโรคหนึ่งได้ถึง 19 เปอร์เซ็นต์ ด้วย   นักวิจัยขององค์การคนหนึ่ง นางแคทรีน แบกเฮิสร์ทเปิดเผยว่า ผลไม้จำพวกมะนาวหรือส้ม ช่วยป้องกันโรคของร่างกายได้เพราะคุณสมบัติเป็นตัวล้างพิษของมัน พร้อมทั้งบำรุงระบบภูมิ คุ้มโรคให้แข็งแรง ขัดขวางเนื้อร้ายไม่ให้ลุกลาม และรักษาเซลล์เนื้อร้ายให้กลับคืนดีได้อีกด้วย รายงานการศึกษาซึ่งทำจากผลงานการศึกษาของชาติต่างๆ จำนวน 48 เรื่อง ยังได้พบหลักฐาน อันน่าเชื่ออีกด้วยว่า ผลไม้เหล่านี้ยังมีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอ้วนและ เบาหวานอีกด้วย ในบรรดาผลไม้พวกนี้ทั้งหมด ผลส้มจะมีสารที่มีคุณสมบัติเป็นตัวล้างพิษ อัน เป็นสารพฤกษเคมีชนิดต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า 170 อย่าง รวมทั้งสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีสรรพคุณ ป้องกันการอักเสบ เป็นเนื้อร้าย และเลือดจับตัวเป็นก้อนไม่ต่ำกว่า 60 อย่างด้วย จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:51:41

ความคิดเห็นที่ 7 71.  เนื้อลูกยอ กินหน้าหนาว เช่นส้มตำลูกยอดิบ ล้างพิษได้ กินฤดูอื่น ช่วยขับพยาธิ ควรได้กินปีละครั้ง 72.  เปลือกมังคุด ต้มน้ำกินช่วยสมานแผล 73.  เม็ดบัว ต้มให้เปื่อย ใส่น้ำตาลกรวด ช่วยฟื้นไข้ ฟื้นกำลัง เพิ่มสเปิร์ม เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ 74.  ชมพู่ เนื้อฉ่ำน้ำ กินแล้วสดชื่น แก้กระหายได้ดี มีวิตามินซีป้องกันโรคหวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เหล็ก เส้นใย วิตามินเอ วิตามินปี1 และวิตามินบี2 75.  แคนตาลูป ประกอบด้วยน้ำตาล มีวิตามีนซีเล็กน้อย และวิตามินเอสูงมาก มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เนื้อผลสุก เป็นยาขับปัสสาวะ ขับน้ำนม ขับเหงื่อ ดับพิษร้อน บำรุงธาตุและสมอง ช่วยบรรเทาอาการอักเสนของทางเดินปัสสาวะ แก้กระหาย สมัยก่อนฝรั่งเชื่อกันว่ากินแตงแคนตาลูปแล้วทำให้สายตาดี และมีสติ จะคิดจะทำสิ่งใดก็ได้ตามความมุ่งหมาย น้ำแคนตาลูป ช่วยลดไข้ เพราะเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น ส่วนน้ำตาลและเอนไซม์ที่มีอยู่ในแคนตาลูปช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้ และอาการปั่นป่วนในกระเพาะอาหารเนื่องจากินอาหารผิดสำแดง จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:52:06

ความคิดเห็นที่ 8 76.  กระท้อน เป็นผลไม้มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็ง บำรุงโลหิต แก้ลมจุกเสียด เนื้อกระท้อนอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน แคลเซียม เหล็ก ไนอะซิน วิตามินเอ วิตามินบี 1 และวิตามินซี  ใบ ผสมน้ำต้มอาบขับเหงื่อ แก้ไข้ รักษาโรคผิวหนัง  ราก ใช้เป็นยาดับพิษร้อนถอนพิษไข้ แก้ไข้มาลาเรีย แก้บิด แก้ท้องร่วง หรือตำกับน้ำและน้ำส้มสายชู ดื่มแก้ท้องเดิน และช่วยขับลม 77.  กล้วย มีคุณค่าอาหารสูง ให้พลังงาน 100 แคลอรีต่อ 100 กรัม กล้วยสุกย่อยง่าย ให้คาร์โบไฮเดรต และวิตามินเอสูง มีการวิจัยพบว่า กล้วยน้ำว้ามีโปรตีนใกล้เคียงกับนมแม่มาก กล้วยสุกจึงเป็นอาหารเสริมที่ดีที่สุดสำหรับทารก (ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป) ส่วนคนสูงอายุเชื่อว่ากินกล้วยน้ำว้าแช่น้ำผึ้งทุกวันจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง และเป็นยาอายุวัฒนะ ทั้งกล้วยดิบและกล้วยสุกนำมาใช้แก้อาการผิดปกติของทางเดินอาหาร กล้วยหักมุกหรือกล้วยน้ำว้าดิบ นำมาหั่นชิ้นบางตากให้แห้ง บดผสมน้ำผึ้งใช้กินเป็นยาแก้อาการของโรคกระเพาะ หรือกินกล้วยน้ำว้าสุกก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง จะช่วยรักษาโรคกระเพาะ และลดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ สำหรับอาการท้องผูก แก้ด้วยการกินกล้วยสุกทุกวัน วันละ 3-4 ผล เวลาใดก็ได้ เพราะกล้วยสุกมีสารเพกติน (pectin) ช่วยเพิ่มกากและกระตุ้นให้ลำไส้ทำงานเป็นปกติ คนที่ทองเสีย ซึ่งไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อร้ายแรง กินกล้วยดิบบรรเทาอาการท้องเสียได้ เพราะในกล้วยดิบมีสารแทนนิน (tannin) ซึ่งเป็นยาสมาน หรือนำกล้วยดิบมาปิ้งให้สุก กินครั้งละ 1-2 ผล วันละ 3-4 ครั้ง จะช่วยแก้อาการท้องเสียได้ นอกจากนี้กล้วยยังช่วยแก้ปวดข้อ แก้ไข้ ช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้เจ็บคอ แก้เบาหวาน แก้ปัสสาวะขัด และริดสีดวงทวารได้อีกด้วย ปลีกล้วย มีธาตุเหล็กมาก ใช้รักษาโรคโลหิตจาง นำมาแกงกินบำรุงน้ำนมให้แม่ลูกอ่อน คั้นน้ำดื่มแก้ปวดท้อง แก้โรคเบาหวาน ก้านกล้วย มีสารแทนนินใช้ห้ามเลือด เปลือกกล้วย รักษาอาการผื่นคันเมื่อถูกยุงหรือมดกัดได้ ดังนั้นกล้วยจึงเป็นพืชที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมายในทุกส่วนของต้นกล้วย 78.  เงาะ มีวิตามินซีสูงถึง 47 มิลลิกรับต่อน้ำหนัก 100 กรัม และมีสารอาหารอีกมาก เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เป็นต้น เงาะจัดเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อน จึงช่วยแก้อาการท้องร่วงชนิดรุนแรงได้ 79.  เนื้อลูกตาล มีคาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามินซี เป็นต้น มีสรรพคุณช่วยละลายเสมหะในลำคอ บรรเทา อาการไอ แก้กระหายน้ำ และช่วยลดความร้อนในร่างกาย 80.  แอปเปิล เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารมากดังคำกล่าวที่ว่า "An apple a day keeps doctor away" ซึ่งมีความหมายว่า "กินแอปเปิลวันละ 1 ผล ทำให้สุภาพดี ไม่ต้องไปหาหมอ" ทั้งนี้เเพราะในแอปเปิลมีสารอาหารหลายอย่างทั้งวิตามินเอ วิตามินบี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน นอกจากนี้ยังมีสารเพกติน (pectin) หรือวุ้น ซึ่งช่วยให้ระบบความสมดุลของการย่อยและการดูดซึมอาหารของร่างกายเป็นปกติ คนจีนมักรับประทานแอปเปิลหลังอาหาร แอปเปิลเป็นผลไม้ที่มี่รสหวานเย็นเชื่อว่าจะทำให้ปอดชุ่มชื่น ช่วยย่อยและลดกรดในกระเพาะอาหาร บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง ละลายเสมหะ เด็กฝรั่งแม่จะให้ลูกกินแอปเปิลหลังอาหารเพราะช่วยล้างปากทำให้ฟันไม่ผุ นอกจากนี้ แอปเปิลยังมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ช่วยขับเกลือโซเดียมส่วนเกินออกไปจากร่างกาย รวมทั้งเป็นยาระบายอ่อนๆอีกด้วย แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 54 20:38:52 จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:52:43

ความคิดเห็นที่ 9 81.  องุ่น เป็นผลไม้ที่กระตุ้นกำลัง กระตุ้นความสดชื่นได้เร็ว เพราะน้ำตาลในองุ่นเป็นตาลธรรมชาติ ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เลย โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยใดๆ น้ำองุ่น ช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกายมากยิ่งขึ้น เมื่อใดก็ตามที่กินอาหารมากเกินความจำเป็นของร่างกาย ดื่มน้ำองุ่นตามไปสักแก้ว จะช่วยเผาผลาญอาหารที่เกินได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นการดีต่อร่างกายเพราะเท่ากับเป็นการช่วยขจัดอาหารส่วนเกิน น้ำองุ่นนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะน้ำองุ่นสดๆ จะมีแร่ธาตุครบถ้วน ทั้งแคลเซียม คลอไรด์ ทองแดง โฟลีน เหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ซิลิคอน และซัลเฟอร์ น้ำองุ่นสดจึงช่วยล้างและสร้างเม็ดเลือดนอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นตับให้ทำหน้าที่ฟอกเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ องุ่นเป็นยาระบาย แก้ท้องผูกได้ดี ช่วยรักษาโรคลำไส้และบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง ผู้ที่มีปัญหาเรื่องนี้ควรกินองุ่นสดอย่างน้อย 350 กรัมต่อวัน องุ่นช่วยกระตุ้นหัวใจและมีผลต่อการเต้นของหัวใจ น้ำตาลในองุ่นสร้างพลังงานที่จำเป็นสำหรับการทำงานของหัวใจ ลดความเจ็บปวดและช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจเป็นปกตินอกจากนี้องุ่นยังดีต่อตับ โดยช่วยกระตุ้นการทำงานของไกลโคเจนและน้ำดีอีกด้วย 82.  เนื้อลูกหยี ประกอบด้วยสารอาหารต่างๆ คือ กรดอินทรีย์ และวิตามินซี เป็นต้น มีสรรพคุณช่วยทำให้กระชุ่มกระชวย ชุ่มคอ สดชื่น 83.  เนื้อส้มโอ มีวิตามินซีมาก ตามมาด้วยวิตามินเอ วิตามินบี1 และวิตามินบี2 น้ำในส้มโอยังมีน้ำตาลประเภทย่อยสลายได้ทันทีเรียกว่ากลูโคส (glucose) ให้พลังงานแก่ร่างกายอย่างรวดเร็ว ส้มโอมีเส้นใยสูง ช่วยในการขับถ่ายและขับสารพิษ ถ้าใครมีอาการท้องอืดก็ให้กินส้มโอเป็นอาหารว่างได้เลย หากมีอาการครั่นตัวก็กินส้มโอให้มากๆ จะช่วยระบายความร้อน ผ่อนพิษไข้ที่อยู่ในร่างกาย 84.  สตรอว์เบอร์รี อุดมด้วยวิตามินซี มีสรรพคุณช่วยป้องกันหวัด มีฤทธิ์เป็นยาระบายได้ดี น้ำคั้น ใช้ทาหน้าแล้วทิ้งไว้ค้างคืน ล้างด้วยน้ำอุ่นในยามเช้า ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นผละฝ้าบนหน้า ใบ ชงน้ำให้เด็กดื่มแก้ท้องร่วงและขับปัสสาวะ เมล็ด ที่กินเข้าไปพร้อมกับเนื้อเป็นกากอาหารชั้นดีช่วยในการขับถ่าย 85.  มะตูม มีคาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินเอ มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยขับลม แก้ท้องผูก แก้ออาการอ่อนเพลีย แก้ลมจุกเสียด ผลสุกหรือผลแห้ง นำมาดื่มเป็นยาแก้บิด แก้ร้อนใน แก้โรคลำไส้เรื้อรัง ใบอ่อน เป็นยาแก้โรคลำไส้ ทำให้เจริญอาหาร 86.  เนื้อมะละกอสุก เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยขัลปัสสาวะ สารอาหารในมะละกอทั้งสุกและดิบประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และวิตามินซี มะละกอมียางสีขาวที่ไหลออกจากใบ ก้าน และผล ซึ่งยางนี้มีเอนไซม์ชนิดหนึ่งชื่อ ปาเปน(papainXและไคโมปาเปน(chymopapain) มีคุณสมบัติช่วยย่อยโปรตีนในเนื้อสัตว์ จึงนำมาใช้หมักเนื้อให้เปื่อยนุ่ม หรือใสน้ำต้มเนื้อทำให้เนื้อเปื่อยเร็ว นอกจากนี้ยังใช้ในการดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ได้อีกด้วย ราก ต้มกินแก้ธาตุพิการ ใบสด ย่างไฟใช้ประคบบริเวณที่ปวดบวม เมล็ด ใช้ขับพยาธิและดับกระหายได้ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 54 18:54:49 จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:54:32

ความคิดเห็นที่ 10 87.  แตงโม ให้สุขภาพแข็งแรง - - แตงโมมีสารที่เรียกว่า lycopene ที่มีแอนตี้ออกซิเดนท์ และช่วยในการบำรุงหัวใจ รวมถึงมะเร็ง สารนี้มีอยู่มากในมะเขือเทศเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว แตงโมมีมากกว่าถึง 40 เปอร์เซ็นต์ วิตามินซี - - แตงโมเสี้ยวใหญ่ๆ จะเต็มไปด้วยวิตามินซีที่จำเป็นต่อร่างกายของเรา ป้องกันการติดเชื้อ - - การดื่มน้ำแตงโมช่วยเพิ่มเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายใช้ในการสร้างวิตามินเอ และการมีวิตามินเอมากๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ แผลหายเร็ว - - แตงโมเป็นผลไม้ที่มี citrulline อยู่มาก สารตัวนี้จะช่วยในการรักษาแผนได้เร็ว อย่าดื่มแต่น้ำแตงโม ให้กินเนื้อมันเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นสีขาวอยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่หวาน แต่มีประโยชน์ทีเดียวนะ คลายเครียด - - แตงโมเต็มไปด้วยโพแทสเซียม ที่จะช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิต เรียกว่ากินแล้วจะอารมณ์ดี ยิ่งกินแบบเย็นๆ ยิ่งสบายใจ ลดความอ้วน - - ในแตงโมมีแคลอรี่แค่ 96 แคลอรี่เท่านั้น และการกินแตงโมที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำ ทำให้เราอิ่มได้เร็ว 88.    อาซาอิ (Acai Berry) เป็นผลไม้ที่มีสารอาหารมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ใน 1 ผล จะมีโปรตีนเท่ากับไข่ไก่ 1 ฟอง มีโอเมก้า 3 แบบเดียวกับที่พบในปลาทะเล มีสารแอนโทนไซยานินแบบที่พบในไวน์องุ่น มีแคลเซียม โคแอนไซม์คิวเท็น กรดอะมิโนหลากชนิด โพลีแซคคาไรด์ โพลีฟีนอลในปริมาณสูง และสารอาหารต่างๆ อีกมากที่ไม่อาจหาพืชหรือผลไม้ชนิดใดบนโลกเทียบเคียงได้        อาซาอิ (Acai Berry) เป็นผลไม้ที่มีค่าสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดในโลกจากบรรดาพืชและผลไม้ทั้งหมด สูงกว่าทับทิม โกจิ มังคุด และบลูเบอร์รี่        อาซาอิ (Acai Berry) ถูกนำไปทดลองกับเซลล์มะเร็ง โดยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ผลลัพธ์ที่ออกมาสร้างความตื่นเต้นให้นักวิทยาศาสตร์อย่างยิ่งด้วยการทำปฎิกริยากับเซลล์มะเร็งมากถึง 86%        อาซาอิ (Acai Berry) เป็นผลไม้ที่มีปริมาณสารเพลนท์สเตอรอล (Plant Sterols) ในปริมาณสูง ซึ่งมีงานวิจัยยืนยันชัดเจนจากทั่วโลกว่า สามารถลดระดับคลอเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันภาวะหลอดเลือดอุดตัน ป้องกันโรคหัวใจได้อย่างดีเยี่ยม        อาซาอิ (Acai Berry) มีสารอาหารหลายชนิดที่ส่งเสริมการลดน้ำหนัก การฟื้นบำรุงผิวพรรณและความชรา ชาวบราซิลจำนวนมากที่อายุกว่า 60 ปี แต่กลับมีผิวพรรณที่ยังคงสดใส ปราศจากริ้วรอยแห่งความชรา 90.  เห็ดหอม มีทั้งแบบเนื้อบางและหนา คนนิยมนำเห็ดหอมตากแห้งมาปรุงอาหารเพราะให้กลิ่นหอมมากกว่าแบบสด ซึ่งก่อนปรุงต้องลวกในน้ำเดือดประมาณครึ่งชั่วโมง หรือแช่น้ำอุ่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือข้ามคืน ช่วยให้เนื้อเห็ดนุ่มขึ้น น้ำแช่เห็ดหอมนี้ยังเก็บเอาไปทำเป็นน้ำสต๊อกปรุงรสอาหารได้ด้วย คนนิยมนำมาปรุงอาหารเจ เพราะเนื้อนุ่มเหนียวและกลิ่นหอมชวนกิน ชาวจีนยกให้เห็ดหอมเป็นอาหารตำรับ “ อมตะ ” เพราะคุณสมบัติความเป็นยาบำรุงกำลัง และบรรเทาอาการไข้หวัด การไหลเวียนเลือดไม่ดี ปวดกระเพาะอาหาร รวมทั้งอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย ซึ่งเห็ดหอมนี้จะให้โปรตีนได้มากกว่าเห็ดแชมปิญองถึง 2 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินบี ซีลีเนียม และธาตุอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยบำรุงกระดูกแข็งแรง ลดไขมันในเลือด และต้านโคเลสเตอรอล จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:55:15

ความคิดเห็นที่ 11 91.  เห็ดหูหนูดำ นอกจากเห็ดหูหนูดำแล้วยังมีเห็ดหูหนูขาว เนื้อกรุบกรอบคล้ายๆ กัน แถมยังมีสีขาวน่ารับประทานมากกว่า ตามร้านเย็นตาโฟนิยมนำมาใช้แทนแมงกะพรุน หรือต้มเป็นสุกี้หรือทำยำรวมมิตรก็อร่อยไม่น้อย   เห็ดหูหนูขาว บำรุงปอด   เห็ดหูหนูดำ เม็ดบัว งาดำ กินบำรุงไต 92.  เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า และเห็ดเป๋าฮื้อเห็ดสามอย่างนี้อยู่ในตระกูลเดียวกัน เจริญเติบโตเป็นช่อๆ คล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้าจะมีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำและเนื้อเหนียวหนา และนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มากกว่า จึงมักถูกจัดเป็นอาหารจานหรูเมนูจักรพรรดิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือด และโรคกระเพาะอาหาร เห็ดนางฟ้าและเห็ดนางรมผิวเรียบนุ่ม รสชาติก็นุ่ม นำมาปรุงได้หลายแบบทั้งผัด ชุบแป้งทอด หรือแม้แต่ย่างก็ให้รสชาติดี แต่ไม่ควรใช้ไฟแรงเพราะจะทำให้เนื้อสัมผัสหมดไป 93.  เห็ดฟาง เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดตลอดทั้งปี ให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด เชื่อว่าหากรับประทานประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดการติดเชื้อต่างๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานสดๆ เพราะมีสารที่คอยยับยั้งการดูดซึมอาหาร ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการผื่นคันต่างๆ 94.  เห็ดหลินจือ นอกจากใช้รับประทานแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางอีกด้วย เพราะมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย และกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัส แถมยังมีฤทธิ์แก้อักเสบ ลดความดันเลือด แก้ปวดศีรษะ รวมทั้งลดไขมันในเส้นเลือดด้วย 95.  เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดสีขาวหัวเล็กๆ ขึ้นติดกันเป็นแพ รสชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใส่กับสลัดผักก็ได้ ถ้าชอบสุกก็นำไปย่าง ผัดหรือลวกแบบสุกี้      จ ะช่วยรักษาโรคตับโรคกระเพาะ และลำไส้อักเสบเรื้อรัง ขอโทษที่ลืมใส่จ้า  มันเยอะมากเลยรวนๆไปหน่อย แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 54 20:36:02 จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:56:09

ความคิดเห็นที่ 12 96.  เห็ดกระดุม หรือเห็ดแชมปิญอง รูปร่างกลมมน ผิวเนื้อนุ่มนวล มีให้เลือกทั้งแบบสด หรือบรรจุกระป๋อง วิตามินบีรวม ในเห็ดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีรวม ไม่ว่าจะเป็น ไรโบฟลาวิน (ที่นอกจากจะได้จากเห็ดแล้ว ยังมีมากในเครื่องในสัตว์ นม ไข่ และเต้าหู้) ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณและการมองเห็น ขณะที่ไนอาซิน (ยังพบมากในปลาทูน่า เนื้อแดง ถั่วลิสง และอะโวคาโด) จะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบประสาท สถาบันอาหารแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณไว้ว่า การรับประทานเห็ดแชมปิญองขนาดกลางๆ 5 ชิ้น จะได้ปริมาณไรโบฟลาวินมากพอๆ กับการดื่มนมสดถึง 8 ออนซ์ 97.  เห็ดโคลน เป็นเห็ดหายาก รสอร่อย ที่จะมีให้รับประทานเฉพาะในหน้าฝน บางคนจึงนิยมนำมาทำเป็นเห็ดดองเพื่อเก็บไว้รับประทานตลอดปี ซีลีเนียม เป็นสารอาหารที่ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินอี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและโรคภัยต่างๆ ที่มากับวัยสูงอายุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การรับประทานเห็ดหอม (ชิ้นขนาดกลางๆ 5 ชิ้น) จะให้ซีลีเนียมประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน นอกจากในเห็ดแล้ว ยังมีอยู่ในธัญพืช และเนื้อสัตว์ด้วย 98.  ผักชีลาว ในผักชีลาวมีทั้งแคลเซียม  ฟอสฟอรัส  โพแทสเซียม  ธาตุเหล็ก  เบต้าแคโรทีน  วิตามินเอ  และวิตามันบี  ทำให้กระเพราะแข็งแรง  ลดความดันโลหิตสูง  ขยายหลอดเลือด  กระตุ้นการกายใจ  บำรุงผิว  ต่อต้านอนุมูลอิสระ  ยิ่งถ้าแม่คนไหนเพิ่งคลอดลูก  ผักชีลาวก็จะช่วยให้มีน้ำนมมาก  และลดอาการโคลิกของเจ้าตัวเล็กได้ด้วย จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:56:24

ความคิดเห็นที่ 13 เนื่องจากมันเยอะมาก  เลยเอามาสรุปย่อๆให้ ป้องกันมะเร็ง ปวยเล้ง , คะน้า , ตำลึง , กระหล่ำปลี , อะโวคาโด , ส้มโอ , ลำไย , แครอท , มะเขือเทศ , ดอกอัญชัน , ฝรั่ง , มะนาว , ฟักทอง , แก้วมังกร , แอปเปิ้ลเขียว และ แอปเปิ้ลแดง , ส้ม , บีทรูท , กระท้อน , อาซาอิ ช่วยในการลดน้ำหนัก ปวยเล้ง  , ฟักเขียว , ผักกาดขาว , กวางตุ้ง , ตำลึง ,  อะโวคาโด , ส้มโอ , ขิง , จมูกข้าวสาลี , ขมิ้น , ดอกชบา , ผักชี , ถั่วแดง , ชาเขียว , มะเขือเทศ , สาหร่ายทะเล , งา ดำ , ใบบัวบก , สับปะรด , แตงร้าน , แก้วมังกร , แอปเปิ้ลเขียว และ แอปเปิ้ลแดง , ผักขึ้นฉ่าย , ขิง , ส้ม , เห็ดหอม , ป้องกันโรคหัวใจ / บำรุงหัวใจ ตำลึง , อะโวคาโด , องุ่น , ดอกเก๊กฮวย , แครอท , รากบัว , มะนาว , ส้ม ,  องุ่น จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 19:00:55

ความคิดเห็นที่ 14 บำรุงผิว ปวยเล้ง  , แตงกวา  , คะน้า , กระหล่ำปลี , อะโวคาโด , กล้วยไข่ , ลำไย , มะพร้าว , ชาเขียว , เมล็ดทานตะวัน , องุ่น , มันฝรั่งหวาน , เสาวรส , แครอท , สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ราสพ์เบอรี่ , มะเขือเทศ , แตงกวาญี่ปุ่น , มะขาม , แตงร้าน , ฟักทอง , แก้วมังกร , แตงโม , อาซาอิ , ผักชีลาว บำรุงผม แตงกวา , อะโวคาโด กระดูกและฟันแข็งแรง ปวยเล้ง  ,  คะน้า , ลำไย , เสาวรส , ชมพู่ , แคนตาลูป , เห็ดหอม บำรุงเลือด ผักกาดขาว , ผักบุ้ง , วิตกราส  หรือต้นอ่อนข้าวสาลี , ใบแปะก๊วย , ลำไย , แซตี่ , ฝรั่ง , เซลเลอรี่ , บีทรูท , กระท้อน , องุ่น , เห็ดหอม ขับปัสสาวะ ฟักเขียว,ผักกาดขาว,แตงกวา  , กระหล่ำปลี , ถั่วแดง , มะเขือเทศ , งาดำ , บีทรูท , ลูกใต้ใบ , สระระแหน่ , กระเจี๊ยบแดง , แคนตาลูป , กล้วย , เนื้อมะละกอสุก จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 19:05:15

ความคิดเห็นที่ 15 เบาหวาน ฟักเขียว,ผักบุ้ง , ขมิ้น , ฟักทอง ริดสีดวง ฟักเขียว , ลูกใต้ใบ , ลำไย , กล้วย แก้ร้อนใน ฟักเขียว บำรุงสายตา ปวยเล้ง , คะน้า , ตำลึง , เสาวรส , แครอท , สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ราสพ์เบอรี่ , แซตี่ , ฟักทอง , อาซาอิ แก้แฮ้ง ฟักเขียว   บำรุงระบบประสาท ถั่วเขียว  , สาหร่ายสไปรูลิน่า , ใบแปะก๊วย , แคนตาลูป ล้างพิษ กระหล่ำปลี , ถั่วเขียว , สาหร่ายสไปรูลิน่า , ส้มโอ , ดอกชบา , เนื้อลูกยอ , กระท้อน บำรุงตับ กระหล่ำปลี , สาหร่ายสไปรูลิน่า , ฟักทอง , องุ่น จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 19:05:33

ความคิดเห็นที่ 16 บำรุงไต กระหล่ำปลี , ลำไย (สลายก้อนนิ่วที่ไต) , บีทรูท , ฟักทอง , ผักขึ้นฉ่าย , เห็ดหูหนูดำ ลดความดันโลหิต บีทรูท , แครอท , ใบบัวบก , ลูกใต้ใบ , ผักขึ้นฉ่าย , เซลเลอรี่ , กล้วย , เห็ดหลินจือ , ผักชีลาว สร้างภูมิคุ้มกัน แครอท , สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ราสพ์เบอรี่ บำรุงม้าม รากบัว บำรุงปอด เห็ดหูหนูขาว จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 19:05:49

ความคิดเห็นที่ 17 กินผลไม้ให้ถูกเวลา...มากคุณค่า  - กินผลไม้ตอนท้องว่าง...ได้ประโยชน์สูงสุด          ไดมอนด์เสนอแนวความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูกวิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลย ก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้         ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น       ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย       ตามแนวคิดนี้ เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่าของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อยต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยขับของเสียที่สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเราสามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อยกินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหารสำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 19:08:33

ความคิดเห็นที่ 18 มาตรฐานคือ ต้อง “ สด ” 100%      ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญที่สุดคือ ต้อง “ สด ” 100% ไม่ได้ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือการปรุงรสใดๆ เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเมื่อมันอยู่ในสภาพธรรมชาติเท่านั้น แต่ผลไม้ที่ผ่านความร้อนปรุงเป็นอาหาร จะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปหมดแล้ว หากเป็นน้ำผลไม้ก็ควรเลือกดื่มชนิดที่คั้นสด 100% จะดีกว่าชนิดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน หรือน้ำผลไม้ที่ผสมจากหัวเชื้อเข้มข้น ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้คุณค่าอาหารแบบที่น้ำผลไม้คั้นสดจะให้ได้ ดื่มน้ำผักหรือผลไม้คั้นสดแทนการดื่มชา กาแฟ ในยามเช้า ก็เป็นหนทางสู่การมีสุขภาพดี แถมยังช่วยให้แต่ละวันของคุณเป็นวันที่แจ่มใสได้อีกด้วย      แนวคิดของไดมอนด์ที่ปรากฏในหนังสือนั้น เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการดูแลสุขภาพร่างกาย ให้สอดคล้องกับที่ธรรมชาติสร้างมา ให้ใครสนใจอาจลองนำไปปฏิบัติตามได้ไม่เสียหลาย แหล่งข้อมูล : นิตยสาร - HealthToday จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 19:09:32

ความคิดเห็นที่ 19 ข้อมูลดีมากเลย ขอบคุณค่ะ จากคุณ : โปรดอย่าเห็นฉันเป็นสนามอารมณ์ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 19:13:55

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณมากค้า  ดีจังเลย จากคุณ : lpp2 เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 19:24:22

ความคิดเห็นที่ 21 ข้อมูลดีจังค่ะ...อ่านซะเพลินเลย ขอบคุณ จขกท.. นะคะที่นำสิ่งดีๆมาฝาก ^^ จากคุณ : marshal007 เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 19:45:22

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆค่า ^ ^ จากคุณ : สติไม่มาปัญญาช้อปเกิด เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 19:55:42

ความคิดเห็นที่ 23 ยังอ่านไม่จบค่ะ ,, แต่แอบเห็นว่ามีองุ่นซ้ำกัน >< ปล. แต่ยังไงก็เป็นข้อมูลที่ดีมากๆค่ะ ประโยชน์จากธรรมชาติแบบนี้ แถมยังหาง่ายอีกด้วย เยี่ยมจริงๆค่ะ ^^d จากคุณ : JunoEsQ. Lady* เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:13:16

ความคิดเห็นที่ 24 ขออนุญาต จขกท. นิดนึงนะคะ พอดีอ่านมาเพลินๆ เห็ดเข็มทอง No.95 ไม่มีคุณปนะโยชน์อ่ะค่ะ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 54 20:33:46 จากคุณ : rockeye เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:32:00

ความคิดเห็นที่ 25 @  rockeye  :  ขอบคุณที่บอกจ้า  ลืมใส่จริงๆด้วย @  JunoEsQ. Lady*  :  ขอบคุณจ้าที่บอก  มันเยอะมากเลยลงซ้ำกันไปหน่อย จากคุณ : KUNLambo เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:37:35

ความคิดเห็นที่ 26 พึ่งรู้ว่ากินตอนท้องว่าง กับหลังอาหารมันต่างกัน ต้องไปลองดูซะแล้ว มีประโยชน์มาก ขอบคุณครับ จากคุณ : นิว ชะลาล่า เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:41:30

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆค่ะ จากคุณ : ฉันขาวสวยและรวยมาก เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 21:25:25

ความคิดเห็นที่ 29 มีประโยชน์มากเลย ขอบคุณคะ จากคุณ : เขียนบน iPhone (visa2499) เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 02:37:29

ความคิดเห็นที่ 30 สุดยอดเลยคะ/ประโยชน์เพียบ จากคุณ : Singagirl_puy เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 10:42:55

ความคิดเห็นที่ 31 มีประโยชน์ดีค่ะ ข้อมูลดี เลยโหวตให้ด้วย จากคุณ : DarkChoc เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 10:59:48

ความคิดเห็นที่ 32 ชอบมากๆคะ ขอบคุณค้าา จากคุณ : หัวแมว เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 14:50:59

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณนะคะ จากคุณ : สลัดผักรวม เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:15:04

ความคิดเห็นที่ 34 กินผัก ผลไม้คงดีหมดอะคะ ถ้ากินในปริมาณที่เหมาะสมเนอะ จากคุณ : Mafia_Kim เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:06:14