ความคิดเห็นที่ 1 มารออ่านค่ะ ^^ จากคุณ : 1st Date เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 11:03:30

ความคิดเห็นที่ 2 มารอค่ะ ^^ จากคุณ : เขียนบน iPhone (สายรุ้งแสนสวยสีสันสดใส) เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 11:06:22

ความคิดเห็นที่ 4 รอด้วยคน ^__^ จากคุณ : ยูหยู่ยู่ยู้หยูว์ เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 11:16:27

ความคิดเห็นที่ 5 น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น   เป็นน้ำมันที่จัดว่าฮิตมากในบ้านเรา มีการนำมาใช้หลากหลายวิธีมาก ทั้งกิน ทั้งทาผิว ตลอดจนนำมาเป็นส่วนผสมของสกินแคร์หลายๆ ตัว ส่วนตัวน้ำมันสกัดเย็นนั้น อุ้ยพยายามหาคุณสมบัติจากเวปต่างประเทศหลายอัน ก็ไม่ค่อยมีการพูดถึงค่ะ แต่เค้าจะพูดถึงน้ำมันมะพร้าวอีกประเภทที่เรียกว่า Fractionated Coconut Oil ซึ่งว่ากันว่า เป็นน้ำมันที่เบา Light Oil ใช้ทาผิวแล้วซึมลงผิวได้ในทันที ไม่ทิ้งคราบน้ำมันติดเสื้อผ้าให้รำคาญ Coconut Oil, also known as Copra Oil, is obtained from the fruit of the cocos nucifera or coconut palm tree. A few of Coconut Oil's qualities are as follows: •this semi-hard, white oil produces soap that is hard, cleansing and has a beautiful full lather. •it has excellent storage qualities (lasts a long time) and produces a quick trace. •creates an oily, protective barrier on the skin. •great for dry and itchy skin. บทบาทของน้ำมันมะพร้าวต่อสุขภาพ สุขภาพที่ดีของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับสถานภาพ 4 ประการ คือ 1. การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง จากบทบาททางสรีรวิทยาของน้ำมันมะพร้าวที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทำให้ผู้บริโภคน้ำมันมะพร้าวมีสุขภาพดี แข็งแรง เพราะได้พลังงานทันทีที่บริโภคน้ำมันมะพร้าว นอกจากนั้น น้ำมันมะพร้าวยังมีคุณทางอาหาร โดยเฉพาะวิตามิน และเกลือแร่ ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มคุณค่าของอาหารโดยการเพิ่มการดูดวิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโน เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก จึงถูกย่อยง่าย และเคลื่อนที่เร็วไปตามของเหลวในร่างกาย จึงเป็นที่นิยมใช้หุงต้มอาหารสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาการย่อยไขมัน และยังใช้ในสูตรน้ำนม เพื่อให้ไขมันที่จำเป็นแก่เด็กทารก และช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนากระดูก 2. ช่วยให้ปลอดจากโรคไม่ติดเชื้อ โรคไม่ติดเชื้อที่ น้ำมันมะพร้าวมีส่วนในการลดอัตราการเกิด ได้แก่ 2.1 โรคหัวใจ : จากผลการวิเคราะห์พบว่า น้ำมันมะพร้าวมีคอเลสเตอรอลน้อยมาก เพราะมีเพียง 14 ส่วนในล้านซึ่งน้อยกว่าน้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งมี 28 ส่วน และที่สำคัญคือ เมื่อบริโภคน้ำมันมะพร้าวเข้าไป ในร่างกาย ก็ไม่ได้เปลี่ยนเป็นคอเลสเตอรอลในกระแสโลหิต อีกทั้งยังไม่ได้ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวเหมือนกับน้ำมันพืชประเภทไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันถั่วเหลืองที่ถูกเติมไฮโดรเจน (hydrogenate) ในขบวนการผลิต และถูกเติมออกซิเจน (oxidize) ระหว่างเดินทางก่อนถูกบริโภค จนเกิดเป็นtrans fatty acids ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดลิ่มเลือด และไปอุดตันหลอดเลือด นอกจากนั้นน้ำมันมะพร้าวยังมีวิตามินอีที่ช่วยขยายหลอดเลือด และป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ นักโภชนาการสมัยใหม่จึงสรุปว่า น้ำมันมะพร้าวช่วยทำให้หัวใจมีสุขภาพดี เพราะเป็นหนึ่งในสองชนิดของน้ำมันบริโภค ซึ่งช่วยลดความหนืด (stickiness) ของเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ น้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยโคเลสเตอรอลจริงหรือ? 2.2 โรคมะเร็ง : น้ำมันมะพร้าวมีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็ง ด้วยกลไก 2 วิธี คือ (1) เนื่องจากเป็นน้ำมันประเภทอิ่มตัวจึงไม่ถูกเติมไฮโดรเจน (hydrogenate) และแตกตัวเมื่อถูกกับอุณหภูมิสูง (2) มีวิตามินอีช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการกลายพันธุ์ของยีน เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง และการทำร้ายเซลล์ การใช้น้ำมันมะพร้าวชโลมตัว ก็ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ดีกว่ายาทากันแดดราคาแพง 2.3 โรคอ้วน : โรคอ้วนนั้นมีความสัมพันธ์กับสภาพต่าง ๆ เช่น การมีไขมันในเลือดสูงเป็นโรคเบาหวาน มีความดันโลหิตสูง เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ตลอดจนโรคข้ออักเสบ ภาวะหยุดหายใจ ขณะหลับ ฯลฯ การบริโภคน้ำมันมะพร้าวจะช่วยทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูง (ในขบวนการ thermogenesis) ทำให้ร่างกายมีอัตราการเผาผลาญอาหาร หรือเมตาบอลิซึม (metabolism) สูงเกิดเป็นพลังงาน สำหรับใช้ในการดำรงชีวิต อีกทั้งยังช่วยทำลายไขมันที่ร่างกายสะสมอยู่ นำไปใช้เป็นพลังงาน ดังนั้น ผู้บริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำจึงไม่อ้วน 2.4 โรคเบาหวาน : ผลพลอยได้ของการเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน จากการบริโภคน้ำมันมะพร้าวทำให้ร่างกายไม่สะสมน้ำตาล เพราะถูกใช้ไปเป็นพลังงานหมด อีกทั้งยังไม่ทำให้ผู้ป่วยอยากรับประทานอาหารที่เป็นแป้งหรือน้ำตาล จึงช่วยลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานไปได้โดยปริยาย 2.5 โรคปวดเมื่อย โรคชราภาพก่อนวัย โรคมะเร็งผิวหนัง และโรคกระดูก : น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่ถูกดูดซึมเข้าทางผิวหนังได้ดี เพราะมีขนาดของโมเลกุลเล็กจึงนิยมใช้นวดตัวให้หายปวดเมื่อย และผ่อนคลายความเครียด อีกทั้งยังปกป้องการทำลายของแสงอัลตราไวโอเลตที่ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย และเป็นมะเร็งผิวหนัง ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของกระดูกให้แข็งแรง แพทย์แผนไทยจึงนิยมนำน้ำมันมะพร้าว มาประกอบเป็นสูตรยาแผนโบราณในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับกระดูก อันเนื่องมาจากการประสบอุบัติเหตุ 3. ช่วยให้ร่างกายปลอดจากโรคติดเชื้อ จุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรคเป็นสาเหตุของโรคของมนุษย์มากมายเหลือคณานับ แต่ก็แปลกที่เด็กทารกแรกคลอดที่ ดูดน้ำนมมารดาเป็นประจำมักไม่ค่อยเป็นโรคเหล่านี้ ทั้งนี้ก็เพราะมีภูมิคุ้มกันที่ได้มาจากน้ำนมมารดา ได้มีการค้นพบว่าสารสำคัญในนมน้ำเหลือง (cholostum) ของมารดานี้ คือ กรดลอริก ซึ่งเมื่อเข้าไป ในร่างกายก็เปลี่ยนไปเป็นสารโมโนลอริน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารปฏิชีวนะนั่นเอง ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบของน้ำมันมะพร้าวพบว่ามีกรดลอริกสูงมากถึง 48-53% ซึ่งมากกว่าในน้ำนมมารดามาก ในปัจจุบันวงการแพทย์สมัยใหม่ได้แนะนำให้ประชาชนกินยาเม็ด ที่มีโมโนลอรินเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค 4. การรักษาโรค จากการที่น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อ และสามารถถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ดี และรวดเร็ว ตำราอายุรเวทของอินเดียจึงได้ใช้น้ำมันมะพร้าวรักษาโรคมาไม่ต่ำกว่า 4,000 ปี แพทย์แผนไทยก็ได้ใช้น้ำมันมะพร้าวรักษาโรคทั้งภายในและภายนอกมาเป็นเวลาช้านาน เช่น ในตำราพระโอสถพระนารายณ์ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาได้ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นยานวดแก้ปวดเมื่อย ยารักษาโรคกระดูก ยารักษาแผลเน่าเปื่อย ส่วนตำราแพทย์แผนไทยในปัจจุบันก็แนะนำให้ใช้น้ำมันมะพร้าว รักษาโรคกระดูกที่เกิดจากอุบัติเหตุ รักษา เม็ดผดผื่นคัน ลบริ้วรอย แผลฟกช้ำ ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ และป้องกันแสงแดด และความร้อน แม้กระทั่งแพทย์แผนปัจจุบันชาวตะวันตก ก็ให้คนไข้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับ การย่อยอาหารหรือการดูดซึมอาหาร เด็กทารกรวมทั้งเด็กเล็กที่ไม่สามารถย่อยไขมัน กินน้ำมันมะพร้าวเป็น ยารักษาโรค ศักยภาพของน้ำมันมะพร้าวในการรักษาโรคมีดังนี้ 4.1 โรคที่เกิดจากการติดเชื้อต่าง ๆ เชื้อโรคที่กรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวสามารถทำลายได้ ได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและยีสต์ เชื้อโปรโตซัว และเชื้อไวรัส โมโนลอรินหรือสารปฏิชีวนะในน้ำมันมะพร้าว มีจุดเด่นสองประการ คือ ไม่ทำให้เกิดการดื้อยาของเชื้อโรค และสามารถฆ่าเชื้อโรคบางชนิดที่มีเกราะ ไขมันห่อหุ้มเซลล์ ที่ยาปฏิชีวนะธรรมดา ไม่สามารถฆ่าได้ แต่น้ำมันมะพร้าว สามารถละลายเกราะไขมันนี้ได้ แล้วจึงเข้าไปฆ่าเชื้อโรคเหล่านี้ เท่าที่ได้มีการวิจัยพบว่า เชื้อโรคที่มีเกราะไขมันห่อหุ้มนี้เป็นโรคร้ายในปัจจุบันที่ รักษายากมาก เพราะทำลายมันไม่ได้ อย่างดีก็หยุดไม่ให้มันขยายพันธุ์โรคเหล่านี้ เช่น ไวรัสโรคเอดส์ โรค SARS ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และกำลังมีการทดลองเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผล 4.2 โรคผิวหนัง ผิวหนังที่ถูกอนุมูลอิสระเข้าทำลาย หรือจากการถูกทำร้าย จนเกิดเป็นแผลที่เชื้อโรคจะเข้า ทำลายต่อโมโนลอรินในน้ำมันมะพร้าว ซึ่งเป็นสารปฏิชีวนะจะช่วยกำจัดเชื้อโรคเหล่านี้ 4.3 รังแคหนังศีรษะ น้ำมันมะพร้าวมีสารปฏิชีวนะที่ทำลายเชื้อโรคที่ทำให้เกิดรังแค หากชโลมผมด้วยน้ำมันมะพร้าวจะช่วยรักษารังแคหนังศีรษะได้ บทบาทของน้ำมันมะพร้าวต่อความงาม น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติปราศจากสารเคมีสังเคราะห์ใด ๆ เจือปน โดยเฉพาะยากำจัดศัตรูพืช ซึ่งมักจะมีอยู่ในน้ำมันพืชอื่น ๆ เนื่องจากกรดไขมันในน้ำมันมะพร้าวมีขนาดโมเลกุลที่เล็ก ทำให้ถูกดูดซึมเข้าไป ได้ง่าย เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวในสภาพที่สกัดได้ตามธรรมชาติทันที โดยไม่ต้องทำให้บริสุทธิ์ ฟอกสี และ กำจัดกลิ่น ดังเช่นน้ำมันพืชอื่น ๆ จึงปลอดภัยจากอันตรายจากสารเคมี น้ำมันมะพร้าวมีบทบาทต่อความงาม ในเรื่องดังต่อไปนี้ 1. รูปร่างได้สัดส่วน ไม่อ้วน แต่แข็งแรง เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวที่เราบริโภคเข้าไปสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ทันที จึงไม่มีไขมันสะสมในร่างกาย อีกทั้งยังกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานดีขึ้น จึงนำเอาไขมันที่ร่างกายสะสมไว้ก่อนหน้า ไปใช้เผาผลาญให้เกิด พลังงาน จึงช่วยลดความอ้วนได้ ดังนั้นผู้ที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำจึงไม่อ้วน (เพราะไม่มีไขมันสะสม) แต่ร่างกายก็สันทัดสมส่วน และแข็งแรง 2. ผิวสวย การนวดหรือชโลมตัวด้วยน้ำมันมะพร้าว ช่วยให้ผิวสวย เพราะ : 2.1 ผิวดูอ่อนวัย : น้ำมันมะพร้าวที่ใช้ชโลมตัว ทั้งในรูปน้ำมันมะพร้าวสด ๆ หรือในรูปของผลิตภัณฑ์น้ำมัน มะพร้าว เช่น ครีม และโลชั่นจะทำให้ผิวพรรณนุ่มไม่แตกแห้งเป็นกระ หรือฝ้า แต่ชุ่มชื้นและผิวเนียน ปราศจากริ้วรอยเหี่ยวย่น ทั้งนี้เพราะน้ำมันมะพร้าวมีวิตามินอีที่มีอานุภาพมากกว่าวิตามินอีในเครื่องสำอาง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง ป้องกันการเสื่อมโทรมของเซลล์จาก ขบวนการเติมออกซิเจน (Oxidation) ช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและทับถมกันจนทำให้ผิวแห้ง ขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่จึงทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัย 2.2 ผิวนุ่มและเนียน : ตามปกติผิวหนังจะสูญเสียความชื้นเพราะถูกแดดและลม น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติ เป็นสารรักษาความชุ่มชื้น (Moisturizer) จึงช่วยให้ผิวหนังนุ่มและเนียน 2.3 ช่วยป้องกันและรักษาฝ้า และกระ : อนุมูลอิสระเป็นตัวการอันหนึ่งของการเกิดฝ้า และกระ วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ทำลายอนุมูลอิสระเหล่านี้ เราสามารถใช้นำมันมะพร้าวเป็นยากันแดดได้ดีอีกทั้งยังไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนยากันแดดบางชนิด และราคาก็ถูกกว่า 3. ผมงาม เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันพืชที่มีคุณสมบัติเป็นตัวเพิ่มความชุ่มชื้น (Moisturizer) อีกทั้งยังมี สารปฏิชีวนะ (จากโมโนลอริน) และสาร antioxidant (จากสารโทโคทรินอลในวิตามินอี) จึงมีส่วนทำให้ผมงาม จากคุณสมบัติดังต่อไปนี้ : 3.1 ช่วยปรับสภาพของผม : น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมัน hair conditioner ที่ช่วยทำให้ผมนุ่มดำเป็นเงางาม เพราะมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมการเจริญของเส้นผม 3.2 ช่วยรักษาสุขภาพของหนังศีรษะ : น้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาสุขภาพของหนังศีรษะทั้งนี้ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีสารปฏิชีวนะที่คอยทำลายเชื้อโรค หนังศีรษะจึงไม่มีรังแค และมีวิตามินอีที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ หนังศีรษะจึงไม่เหี่ยวย่นแต่มีสุขภาพดี 3.3 ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี : เส้นผมประกอบด้วยส่วนนอก (culticle) ที่ทำหน้าที่ หุ้มส่วนใน (cortex) หากส่วนนอกอยู่ในสภาพดี ไม่ฉีกขาด เส้นผมก็จะปกติ มีความยืดหยุ่น (elasticity) ทนทานต่อการบิดงอ และมีความเหนียว ส่วนในซึ่งประกอบด้วยโปรตีนที่เรียกว่า เคอราทิน (keratin) ที่มีประกอบด้วยเส้นเล็ก ๆ มัดรวมกัน โปรตีนของเส้นผมจะสูญเสียหรือสลายตัวไปตามอายุขัย แต่อาจเร็วขึ้นจากการไม่รักษาผมให้ดี และการทำร้ายเส้นผม เช่น จากการดัดผม การย้อมผมด้วยน้ำยาเคมี แม้กระทั่งการหวีผมที่ใช้หวีที่คม น้ำมันมะพร้าวจึงช่วยลดปริมาณการสูญเสียของเส้นผม เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติยึดเกาะ (affinity) กับโปรตีนของเส้นผมได้ดี อีกทั้งยังมีขนาดเล็กจึงแทรกซึมเข้าไปในเส้นผมได้สะดวก ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลอ้างอิงเท่านั้นนะคะ ถ้าถาม อุ้ยเอาน้ำมันมะพร้าวมาใช้ทำสบู่ โลชั่นบ้าง ลิปบาล์ม และหมักผมเท่านั้นเอง เรื่องกิน หรือทำ Oil Pulling นี่ไม่เคยจริงๆ ค่ะ ขอไม่ออกความเห็นในส่วนนี้ แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 00:00:54 แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 12:05:36 แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 11:27:44 แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 11:20:05 แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 11:19:05 จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 11:17:52

ความคิดเห็นที่ 6 น้ำมันตัวต่อไป ขอไล่จากน้ำมันที่หาได้ง่ายในท้องตลาดบ้านเราก่อนนะคะ เผื่อใครสนใจ อยากหามาลองใช้ดู จะได้ไม่ยากจนเกินไปนัก น้ำมันมะกอก ตัวนี้ในบ้านเราเองก็มีหลายเกรดค่ะ ทั้ง Pomace, Extra Virgin Olive Oil และ Olive Oil เฉยๆ สำหรับคนที่อยากใช้เพื่อการบำรุงผิวพรรณ แนะนำให้เลือกแบบ Extra Virgin Olive Oil จะดีที่สุดค่ะ ข้อดีของน้ำมันมะกอกคือ มีโครงสร้างที่คล้ายหรือใกล้เคียงกับน้ำมันที่หล่อเลี้ยงผิวของเรา จึงเข้ากับผิวคนได้ค่อนข้างดีมาก และที่สำคัญในน้ำมันมะกอก มีส่วนผสมของน้ำมันสควาเรนอยู่มาก (ซึ่งสควาเรนค่อนข้างดีกับผิวมากค่ะ ถ้าใครได้มีโอกาสใช้ แนะนำเลยว่าดีมากที่สุดในสามโลก ใช้แล้วปลื้มมาก) เป็นน้ำมันที่อุดมไปด้วยไวตามินอี ช่วยบำรุงผิวให้ความชุ่มชื้นได้ดีเหมาะกับผิวที่แห้งมากๆ นิยมใช้เป็นส่วนผสมของครีมทามือเท้าต่างๆ ข้อเสียของน้ำมันมะกอกคือ เป็นน้ำมันที่หนัก (Heavy Oil) ใช้ทาลงผิวโดยตรง จะไม่ซึมเข้าผิวได้ง่าย น้ำมันมะกอกประกอบไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิด (Monounsaturated Fatty Acids) และ Polyunsaturated balance วิตามินอี วิตามินเอ โปรตีน และสารแอนตี้ออกซิแดนท์ น้ำมันมะกอกยังนำมาใช้เพื่อการดูแลผิวพรรณ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิวดีมาก เนื่องจากตัวออยล์มีโครงสร้างคล้ายน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวจึงเข้ากันกับผิวได้อย่างดี นอกจากนี้น้ำมันมะกอก ยังสามารถทำให้หัวสิวอ่อนนุ่มลง,ย่นระยะการอักเสบของสิวให้สั้นลงและสามารถป้องกันรังสียูวีบีได้อีกด้วย Olive Oil Olive oil is derived from the Olea Europaea tree. There are five grades of this oil. Extra Virgin, Virgin, Grade A, Grade B and Pomice. Extra Virgin and Virgin are great for cooking. B grade and pomice oil are sometimes extracted with the use of chemicals. T hat leaves A grade, the one I prefer to use in natural homemade soap recipes though all grades are commonly used. - the mild scented oil ranges in color from clear yellow to gold to olive green. - is the main ingredient of castile soap recipes. - high in oleic acid. - said to help with skin cell regeneration. - acts as a humectant, drawing moisture to the skin. - creates a protective layer, holding in moisture without smothering the skin. - produces a soap with a conditioning, stable lather. - lather is somewhat thin but is very mild and suitable for sensitive skin. - extra virgin is slow to saponifiy but as you progress down the grades saponification speeds up with the increase in unsaponifiables...Pomace can be quite quick to trace. - even though it is a soft oil low in palmitic and stearic fatty acids, olive oil produces a hard bar. Acts as a humectant, attracting external moisture. Good for inflamed skin. Does not block the natural functions of the skin, and could be good for cell regeneration. สบู่ที่ทำจากน้ำมันมะกอกล้วน (แบบที่ชาวโรมันโบราณนิยมใช้) มันดีมากค่ะ อ่อนโยนต่อผิวพรรณเป็นที่สุด เราชอบทำมาใช้ล้างหน้าบ่อยๆ ค่ะ แม้แต่ Cleansing Oil หลายๆ ยี่ห้อ ก็นิยมนำน้ำมันมะกอกมาเป็นส่วนผสม แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 00:09:19 แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 11:42:23 จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 11:41:00

ความคิดเห็นที่ 7 น้ำมันตัวที่สามที่อยากแนะนำคือ น้ำมันรำข้าวค่ะ เพราะว่า หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด ราคาไม่แพง และมีประโยชน์มากค่ะ อย่าดูถูกน้ำมันรำข้าว(ขวดละ 60 กว่าบาท) ของถูกและดี มีอยู่เสมอค่ะ น้ำมันรำข้าว หรือ Rice Bran Oil ถือว่าเป็นน้ำมันที่มีวิตามินเยอะมาก โดยเฉพาะวิตามิน E Complex รวมทั้งมีสารแอนตี้อ๊อกซิเดนต์ เหมาะสำหรับผิวทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง มีสารช่วยป้องกัน UV ได้ (ไม่ได้แปลว่า เอาน้ำมันรำข้าวทาตัว แล้วออกไปตากแดดได้เลยนะคะ เพียงแต่ช่วยได้แค่ในระดับนึงเท่านั้นค่ะ)   น้ำมันรำข้าว จัดอยู่ในน้ำมันประเภทกลาง คือ Medium Oil ไม่หนักเข้มเหมือนมะกอก ไม่เบาบางอย่างพวก Evening Primrose ใช้กับผิวโดยตรง สามารถซึมเข้าผิวได้ดีระดับนึงค่ะ Rice bran oil is extracted from the bran (outer coating) of the brown rice grain and is rich in vitamins, minerals, proteins and essential oils. Good for sensitive, mature, or aging skin. A great emollient with softening and moisturizing properties. High in fatty acids, Vitamin E complex, phytosterols, polyphenols, and squalene. It contains the highest amount of Vitamin E in all the natural oils. Can act as an anti-oxidant for other oils. - has constituents believed to hinder UV rays absorption at the skin’s surface. - a mild oil used for dry, flaky, sensitive, mature and delicate skin types. Rice bran oil is effective for keeping skin smooth. - is one of the best sources of tocotrienols, antioxidants that may be much more powerful and effective than Vitamin E. - usually has very little odor and is a golden brown/orange color. - absorbs easily into the skin without leaving a greasy residue. น้ำมันรำข้าวเอาไปทำอะไรได้บ้าง นอกจากทำอาหาร ถ้าอยู่บ้าน ไม่ได้เป็นพวกทำสกินแคร์แบบอุ้ย (ใช้ส่วนผสมเยอะค่ะ ไม่แนะนำสำหรับคนที่อยากเล่นเป็นครั้งคราว) แนะนำให้เอาน้ำมันรำข้าว ผสมเกลือ(ปรุงทิพย์) หรือ Baking Soda ใช้ขัดตัวได้ค่ะ หรือผสมน้ำตาลใช้ริมฝีปากได้เช่นกัน .... แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 00:04:13 แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 00:02:05 แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 15:51:26 จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 11:56:14

ความคิดเห็นที่ 8 ปาดรออ่านค่ะ ตอนนี้กำลังจะใช้ลองสควาเลนอยู่พอดีเลยค่ะ ^^ จากคุณ : kakigori * เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 12:13:03

ความคิดเห็นที่ 9 ตัวที่สี่ น้ำมันทานตะวัน น้ำมันทานตะวัน อุดมไปด้วยวิตามินอีและเกลือแร่สูง ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวประเภท ไลโนเลอิก จำนวนมากซึ่งเป็นกรดไขมันที่ดีและร่างกายต้องการแต่ไม่สามารถผลิตเองได้ตามธรรมชาติ ซึ่งวิตามินอีทำหน้าที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยต่อต้านการเกิดริ้วรอยก่อนวัย เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวและยังสามารถนำมาหมักผมได้ด้วย Sunflower oil - light weight, low comedogenity Great for mature, dry, sensitive, or damaged skin. High in essential fatty acids. Offers moisturizing, cell regeneration, and conditioning for the skin. Great for recipes designed to treat dry, weathered, aged, or damaged skin. Lays down a slightly oily protective layer on the skin that resists rancidity. (As a note, look for high oleic sunflower oil as this has a longer shelf life). •high in Vitamins A, B, D and E. •rich in minerals, lecithin, insulin and unsaturated fatty acids. •has very little scent and is pale yellow in colour. •is easily absorbed and leaves very little oily residue. •often used to replace a small portion of olive in a soap recipe to help reduce costs. •moisturizing, regenerating, and conditioning. ถ้าอ่านคุณสมบัติภาษาอังกฤษ จะรู้สึกเหมือนว่า น้ำมันตัวนี้คุณสมบัติไม่แตกต่างจากตัวอื่นๆ อย่างรำข้าว หรือมะกอก ..แต่ข้อดีของน้ำมันทานตะวันคือ เป็นน้ำมันเบา Light Oil ซึ่งน้ำมันประเภทนี้ จะซึมเข้าผิวได้ดีมาก จัดเป็นตัวเลือกที่ดีตัวนึง เวลาต้องการสกินแคร์ที่เบาบาง ไม่หนักข้นจะเกินไปค่ะ จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 12:13:11

ความคิดเห็นที่ 10 คุณ Kakigori สควาเรน อดใจรอก่อนนะคะ พยายามไล่จากน้ำมันที่หาได้ง่ายๆ ก่อน ส่วนน้ำมันไฮโซมีแน่ๆ ค่ะ ตัวที่ 5 ที่ถือว่า พอหาได้ตามซุปเปอร์มาร์เกตบ้านเราคือ น้ำมันดอกคำฝอย (ขายเป็นลิตร ลิตรละ เกือบสี่ร้อยบาท แต่.... ถ้าโชคดี บางครั้งลดราคาเหลือ ลิตรละสองร้อยบาทเลยนะคะ) น้ำมันดอกคำฝอย โดยคุณสมบัติ ค่อนข้างใกล้เคียงกับน้ำมันทานตะวันมาก แถมมีข้อเสียคือ เกิดปฏิกริยา Oxidation ได้ไวมาก ทำให้เสียคุณสมบัติเร็ว ดังนั้น เมื่อเปิดใช้ จำเป็นต้องเก็บในตู้เย็นอย่างเดียวเท่านั้น และควรใช้ให้หมดภายในระยะเวลา 3-6 เดือนหลังเปิดใช้ น้ำมันดอกคำฝอย เป็นน้ำมันเนื้อบางเบา ค่อนข้างซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว อ่อนโยนต่อผิวหนัง เหมาะสำหรับผสมกับน้ำมันตัวอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นน้ำมันนวด ช่วยในการบำรุงผิวให้นุ่ม ชุ่มชื่น ไม่มีกลิ่นหืน เป็นน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง ได้แก่ Linoleic Acid และ Oleic Acid ซึ่งจะช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น ไม่ทำให้คอลลาเจนที่ผิวถูกทำลายลง ป้องกันน้ำหล่อเลี้ยงผิว ปกป้องผิวจากผลกระทบจากมลภาวะแดด ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ช่วยบรรเทาผิวที่มีปัญหาและผิวที่หยาบกระด้าง Safflower Oil Safflower Oil is cold pressed or expeller pressed from the seeds of the Carthamus tinctorius, a thistle like plant common to hot climates like Arizona and Mexico. A few of Safflower Oil's qualities are as follows: •is conditioning and moisturising. •clear, pale yellow with very little odour. •is easily absorbed by the skin. • has a shorter shelf life..refrigeration is recommended. จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 12:25:23

ความคิดเห็นที่ 11 ตัวที่ 6 น้ำมันเมล็ดองุ่น Grape Seed Oil น้ำมันเมล็ดองุ่น เป็นน้ำมันค่อนข้างสารพัดประโยชน์ตัวนึง เนื่องจากคุณสมบัติเด่นคือ เป็นน้ำมันเบา Light Oil สามารถดูดซับทางผิวหนังได้อย่างรวดเร็วและล้ำลึก เหมาะสำหรับคนผิวมัน ใช้ทำน้ำมันนวดเนื้อบางเบาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยของผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่น ช่วยบำรุงผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ ยืดอายุของเซลล์ผิว ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้แข็งแรง ทำให้ผิวพรรณกระชับขึ้น จากการวิจัยพบว่าน้ำมันสกัดจากเมล็ดองุ่นนั้น มีสาร Super-Anti Oxidant มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า ใช้นวดหน้า นวดตัว (ใช้แทนครีมหรือโลชั่นได้) หรือใช้ผสมกับครีม โลชั่น โดยผสมขณะที่จะใช้ ผสมได้ตามต้องการ แต่ข้อเสียคือ เก็บไว้ไม่ได้นาน มีอายุการเก็บเพียงแค่ 3-6 เดือนเท่านั้น Grape Seed Oil A slightly astringent oil good for hypoallergenic applications, massage oils, and facial moisturizers. •very light oil that is easily absorbed. •good for oily or acne prone skin. •has a shorter shelf life than many other oils and should be used in smaller quantities. •said to help reduce the look of stretch marks. •helps relieve dry and itchy skin. •the oil is light in color and fragrance. จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 12:31:11

ความคิดเห็นที่ 12 7. น้ำมันละหุ่ง น้ำมันตัวนี้อาจจะหายากซักหน่อย ไม่มีขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตแน่ๆ ปกติอุ้ยหาซื้อจากร้านเคมีแถวแยกวัดตึก ที่สำเพ็ง แต่... น้ำมันละหุ่งสามารถหาซื้อในปริมาณไม่มากได้ที่ร้านขายยาค่ะ (เพราะว่า น้ำมันละหุ่งใช้เป็นยาระบายได้ แต่หลายยี่ห้อจะผสมน้ำตาลลงไปเพื่อให้กินง่าย) โดยน้ำมันละหุ่งที่สามารถเอามาใช้งานได้ จะต้องเป็นน้ำมันละหุ่งแบบที่ไม่ผสมน้ำตาลเท่านั้น (ถ้าจำไม่ผิด จะเป็นยี่ห้อเวชพงศ์มั๊งคะ ลองไปถามตามร้านขายยาดูอีกที)ตอนซื้อตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนนะคะ ว่าเป็นน้ำมันละหุ่งสำหรับรับประทาน(จะสกัดพิษบางอย่างออกไปแล้ว) ไม่ใช่น้ำมันละหุ่งที่ใช้เติมเพื่อหล่อลื่นเครื่องยนต์ (แบบหลังนี่เอามาใช้ไม่ได้ค่ะ มีสารที่เป็นพิษอยู่) น้ำมันละหุ่งมีการใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางรวมทั้งในอุตสาหกรรม pharmaceutic. อ่านต่อสุขภาพมากและผลประโยชน์ความงามของน้ำมันละหุ่ง. พืชน้ำมันละหุ่งเติบโตส่วนใหญ่ในบราซิล, ประเทศอินเดีย, จีนและพื้นที่เขตร้อนมากที่สุด. มันมีการใช้มาหลายชั่วเพราะของมัน แข็งแรง และผลประโยชน์หลาย. น้ำมันละหุ่งที่สกัดจากเมล็ดละหุ่งของพืชที่มีน้ำมันพืชที่อุดมไปด้วย ricinolein. น้ำมันละหุ่งมีการใช้ : ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางเป็นส่วนผสมสำหรับยาทาเล็บ, น้ำหอม และแต่งหน้า. มันยังถูกใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่นสำหรับเครื่องยนต์และตัวแบ่ง. สำหรับการผลิตสินค้าของใช้ในครัวเรือนเช่นสีย้อม, พลาสติกและขี้ผึ้ง. ในอุตสาหกรรมยาเป็นส่วนผสมสำหรับ syrups, เสื้อและยาครีม. Caster Oil Castor Oil is a light gold oil that is expeller pressed from the bean of the Ricinus Communis, a tropical perennial shrub. •it acts as a humectant by drawing moisture from the air. •is easily absorbed by the skin making it a great skin softener and conditioner. •will produce a stable lather and will speed up the saponification process resulting in a quicker trace. •good for hair care and makes a wonderful natural shampoo bar. •when purchasing, buy only detoxified castor oil. •produces a very soft, clear bar if used alone so combine with other oils such as olive, palm and coconut. ในกลุ่มคนที่ทำ DIY จะรู้กันว่า น้ำมันละหุ่ง สามารถเอาไปทำประโยชน์ได้หลายอย่าง สบู่ โลชั่น ลิป และอื่นๆ  ที่สำคัญคือ น้ำมันละหุ่งเอง สามารถใช้เป็นส่วนผสมทำ Oil Cleansing Method ได้ดี เพราะมีคุณสมบัติที่ช่วยดึงดูดสิ่งสกปรกออกมาจากผิวได้ดีมาก.... แต่ถ้าใช้มากไปผิวจะแห้ง ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้น้ำมันละหุ่งผสมกับน้ำมันตัวอื่นๆ ที่เหมาะกับผิวเรา โดยปรับอัตราส่วนตามใจชอบค่ะ อย่างอัตราส่วนด้านล่าง เป็นแค่ตัวอย่างที่แนะนำเบื้องต้นให้เท่านั้นนะคะ ตัวน้ำมันทานตะวัน(แบบในตัวอย่าง สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำมันอื่นๆ ที่เหมาะกับผิวเราได้ค่ะ) Oily Skin: Try a blend of 30% Castor Oil to 70% Sunflower Seed Oil. Balanced Skin: Try a blend of 20% Castor Oil to 80% Sunflower Seed Oil. Dry Skin: Try a blend of 10% Castor Oil to 90% Sunflower Seed Oil. จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 12:49:02

ความคิดเห็นที่ 13 8. น้ำมันถั่วเหลือง Soy Bean Oil อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ น้ำมันถั่วเหลืองธรรมดาสามัญแบบที่บ้านเราใช้ทำกับข้าวนี่ล่ะค่ะ มีโลชั่นและสครับยี่ห้อดังๆ ตั้งเยอะ(ขอไม่ออกชื่อนะคะ) ที่เค้าเอาน้ำมันถั่วเหลืองไปเป็นน้ำมันเบสทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ขายราคาแพงๆ เลยค่ะ ข้อดี คือ เป็นน้ำมันที่มีวิตามิน E สูงตัวนึง และราคาถูกมาก ข้อเสีย คือ อายุสั้น และเหม็นหืนไว ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่ใช้น้ำมันถั่วเหลืองผสม มักจะใส่กลิ่นหัวน้ำหอมที่แรง เพื่อกลบกลิ่นเหม็นหืนของตัวน้ำมันค่ะ Soy bean oil - light weight, medium comedogenity Good carrier oil with 60% unsaturated fatty acids. A source of Vitamin E. (As this is a very low cost oil, consider this as the backbone of a lotion bar or other oil based product). Shelf life: 6 to 9 months จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 13:36:09

ความคิดเห็นที่ 14 อยากได้ grape seed oil ขึ้นมาเลยค่ะ ใครพอจะทราบแหล่งจำหน่ายบ้างคะ จากคุณ : Mara Jade เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 13:47:16

ความคิดเห็นที่ 15 รอค่ะหมดยังค่ะ จากคุณ : บัวลอยน้ำใส เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 13:53:13

ความคิดเห็นที่ 16 ตัวต่อไป ขอข้ามไปหาน้ำมันที่ราคาค่อนข้างสูง และหายากสำหรับบ้านเราเลยนะคะ ตาม Request น้ำมันที่ชอบมากที่สุด หายากและราคาสูง แต่สรรพคุณล้ำเลิศมาก นิยมใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับหน้าค่อนข้างเยอะ คือ สควาเรนค่ะ สควาเรน ก่อนปี 1980  สควาเรน จะทำมาจากน้ำมันตับปลาฉลาม สควารีน มีในน้ำมันพืช เช่น มะกอก รำข้าว จมูกข้าวสาลีสควารีนนิยมสกัดจากมะกอก มีคุณสมบัติเป็นไฮโดรคารบอนที่ทำให้เกิดอ๊อกซิเจ่นเมื่อผสมกับน้ำเป็นตัวนำอ๊อกซิเจ่นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่รักษาสุขภาพดี และมีคุณสมบัตใกล้เคียงกับน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวของคนทำให้นำมาทำครีมบำรุงผิว แต่สควารีนโมเลกุลเปลียนแปลงง่าย  ทำให้เสียเร็วจึงมีการปรับปรุงทำ ไฮรโดรจิเนทจากสควารีนเป็น สควาเรนเพื่อให้มีอายุนานขึ้น  สควาเรนช่วยเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำกระชับผิวให้เก็บนากขึ้น บรรเทาอาการผิวแห้งกร้านหยาบ ทำให้รอยแผลเป็นต่างๆที่แข็งให้นุ่มลงได้ สควาเรน ดูดซึมสู่ใต้ผิวอย่างรวดเร็ว ไม่เหนียวมัน สามารถใช้กับผมได้ ทำให้เงางาม และแข็งแรงขึ้น สควาเรน  กลั่นด้วยเครื่องมือทันสมัยจากมะกอกช่วยทำให้ผิวขาวเนียนสุกใส และบำรุงสุขภาพผิวที่ถูกทำลาย เช่น โรคเอกซิม่า ผื่นคัน ในระหว่างที่ไม่มีครีมใดๆ ที่จะรักษาผิวที่แห้งกร้านได้  ถ้าเป็นฤดูหนาวพวกแบคทีเรียสามารถแทรกซึมเข้าผิวได้ง่ายจากผิวแตกแถวมือและนิ้ว สควาเรนมีน้ำมันธรรมชาติช่วยรักษาผิวให้นุ่นเนียนและทำลายพวกแบคทีเรีย ถ้าเป็นประจำ ผิวจะคืนความชุ่มชื้น เพราะผิวได้คุณค่าจากสารที่มีประโยชน์ ที่มีคุณสมบัตของน้ำมันที่ใกล้เคียงมากที่สุดกับไวตามิน A ป้องกันผิวด่างดำผิวคนแก่สูงวัย เรื่องฝ้า จุดดำ ด่าง ผิวหมองคล้ำ และป้องกันจากรังสีแดด สควาเรนเจอใน น้ำมันมะกอก น้ำมันวีทเจิมม์ น้ำมันรำข้าว และ ผงยีสต์ ใช้เซรั่มไม่กีหยดก็ทำให้ผิวหน้าจากริ้วรอยดูดีขึ้น ป้องกันริ้วรอยก่อนวัย ช่วยให้ผิวสวยใสเนียนเรียบ แลดูอ่อนเยาว์  สควาเรนสามารถรักษาแผลให้หายได้ ทาบนผิวอักเสบสองสามหยดทุกวัน สควาเลนตามปกติแล้วผิวเราสามารถผลิตเองได้และจะผลิตน้อยลงเรื่อยๆ เมื่ออายุของเราเพิ่มมากขึ้น สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว มีคุณสมบัติช่วยเสริมประสิทธิภาพของมอยเจอไรเซอร์ที่จะทาลำดับต่อไปให้ซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวได้มากขึ้นรวมถึงมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียรักษาโรคผิวหนัง เช่น ผิวแห้ง แตก หยาบ ผื่น กลาก โรคสะเก็ดเงิน เป็นน้ำมันที่ใช้สำหรับผสมเครื่องสำอางค์บำรุงผิวหน้าราคาแพง Squalane   This is steam distilled from olive oil (squalene comes from sharks...) It is soft, silky, and non-greasy. It is absorbed into the skin very quickly, and resembles human sebum so you skin can "breathe" (allows your skin to function normally). Helpful for acne, dry scaly skin, and rashes (shaving or diaper rashes, for instance). Anti-bacterial and protects from environmental factors such as sun, cold, and pollution. Can be used alone as a moisturizer or in other lotions or serums at 2 to 10%. จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 13:54:18

ความคิดเห็นที่ 17 อุ้ยพยายามไล่ลงให้เรื่อยๆ นะคะ รายการน้ำมันบำรุงผิวมีเยอะมากค่ะ แล้วพอดีทำอย่างอื่นอยู่ด้วย เลยช้าน่ะค่ะ ... จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 13:55:30

ความคิดเห็นที่ 18 น้ำมันไฮโซตัวต่อไป คือ Jojoba หรือโจโจ้บา หรือโฮโฮ้บา ค่ะ 10. Jojoba น้ำมันสกัดจากผลของโจโจบา ตัวนี้จัดเป็นกึ่งแว๊กซ์กึ่งของเหลวไม่ใช่น้ำมันซะทีเดียว อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุ เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ชั้นดีสำหรับทุกสภาพผิว  มีคุณสมบัติทางเคมีใกล้เคียงกับซีบัม (น้ำมันที่ร่างกายผลิตขึ้น) ของคนมากโดยมีลักษณะเหมือนขี้ผึ้งเหลวมากกว่าน้ำมัน แต่ไม่เหนียวเหนอะสามารถซึมซาบลงสู่เซลล์ผิวได้อย่างรวดเร็ว ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำผ่านทางผิวหนัง ทำให้ผิวเนียนนุ่มจนเห็นความต่าง ช่วยลดรอยเหี่ยวย่น ผิวแตกลาย  และรักษารอยแผลเป็นให้ค่อยๆ เลือนหายไป น้ำมันโจโจบายังมีสารโทโคเฟอรอล (วิตามินอี) อยู่ในระดับสูง ช่วยให้ผิวสามารถต้านสารอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีสารที่สำคัญคือ Myristic acid ทำหน้าที่ป้องกันความร้อนมีคุณสมบัติในการป้องกันแสงแดดได้อีกด้วย เหมาะสำหรับใช้ในผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดและน้ำมันหอมระเหย น้ำมันตัวนี้ได้มาจากพืชตระกูลถั่ว เป็นน้ำมันที่นิยมใช้กันมากที่สุดในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว บางครั้งใช้เป็นน้ำมันบำรุงผิวหน้าเพราะมีสารธรรมชาติอย่าง Collagen ที่เหมือนกันกับCollagen ที่อยู่บนผิวหนังเรา อีกทั้งยังเป็น moisturizer ชั้นดีสำหรับทุกสภาพผิวและสามารถผสมกับสาร sebum ที่ผิวหน้าเรา ทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกและขจัดสิ่งสกปรกที่รูขุมขน จึงเหมาะสำหรับคนที่เป็นสิวและผิวหน้ามัน น้ำมันโจโจบานี้จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะทำเป็นแฟเชียลออยล์และครีมล้างหน้า อีกทั้งน้ำมันนี้ยังมีประสิทธิภาพบำรุงเส้นผมและป้องกันผมร่วงได้อีกด้วย คุณสมบัติที่ดีของน้ำมันชนิดนี้ - ช่วยลดเลือนเนื้อลายและรอยเหี่ยวย่น - มีส่วนช่วยให้รอยแผลเป็นจางลง - ช่วยให้ผิวสามารถกักเก็บน้ำหล่อเลี้ยงได้ยาวนานขึ้น - ไม่ทำลายผิว - ทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกและขจัดสิ่งสกปรกที่รูขุมขน จึงเหมาะสำหรับคนที่เป็นสิวและผิวหน้ามัน และปรับสภาพความเป็นกรดด่างบนผิวได้ดี - ปกป้องความชุ่มชื้นบนเส้นผมได้ดีเยี่ยม - ให้ความรู้สึกไม่เหนอะหนะผิว - กระจายตัวและดูดซึมได้ดีบนผิว - ไม่ระคายเคืองและเหมาะกับผิวแพ้ง่าย Jojoba Oil Jojoba Oil is cold pressed from the beans of the Simmodsia Chinensis plant. •this soap making oil is a deep, golden orange color in its natural state or a clear light yellow if its the clear deodorized version. •the oil is actually a liquid wax with absorption properties very similar to our skins sebum. •Rich in Vitamin E which gives it excellent storage qualities. •has anti-infammatory and anti-oxident properties. •creates a barrier that protects the skin from the elements. •can clog the pores if too much is used. น้ำมันตัวนี้ จัดเป็นน้ำมันที่ดีตัวนึง ช่วยเรื่องสิวได้ดีเยี่ยม ส่วนตัวเอามาผสมกับน้ำมันไฮโซตัวอื่นๆ ใช้เป็นเซรั่มให้น้องสาว เค้าบอกว่าใช้ดีมาก ปัญหาเรื่องสิว(วัยรุ่น)ของเค้าหายไป ไม่มีมากวนใจอีก ติดใจทำใช้เรื่อยมาค่ะ อีกอย่าง เอาไปผสมทำ Oil Cleansing Method สำหรับคนผิวมันก็ใช้ได้ดีเลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 14:11:56 จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 14:06:28

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ Mara Jade รายการน้ำมันด้านบนตั้งแต่ 1-8 คือของที่สามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปค่ะ ยกเว้นละหุ่งที่จะต้องไปหาซื้อตามร้านขายยา คุณบัวลอยน้ำใส (เห็นชื่อแล้วหิวเลย) ยังไม่หมดเลยค่ะ รายการตั้งแต่ 9 ลงมา จะเป็นพวกน้ำมันที่ค่อนข้างหายาก ต้องไปซื้อตามแหล่งเฉพาะเจาะจงค่ะ... จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 14:08:54

ความคิดเห็นที่ 20 11. Canola Oil น้ำมันคาโนล่า ขออภัยที่พิมพ์วนไปมา สลับภาษาไทยบ้าง อังกฤษบ้าง พอดีอุ้ยคิดไปพิมพ์ไป เลยอาจจะสับสนค่ะ น้ำมันคาโนล่า จัดเป็นน้ำมันที่หาง่าย (แม้ว่าจะเป็นน้ำมันนำเข้าก็ตาม) สามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตบ้านเราค่ะ ราคาก็ค่อนข้างถูก ลิตรละ 70-90 บาท ถ้าอยากประหยัด แนะนำให้ซื้อตัวนี้มาใช้ได้ค่ะ เป็นน้ำมันที่มักจะนำมาใช้แทนน้ำมันมะกอก เพราะมีคุณสมบัติหลายอย่างใกล้เคียง ราคาถูก นิยมใช้ทำสบู่ โดยเฉพาะ Cream Soap มีวิตามินและแร่ธาตุสูง ซึมลงผิวได้ค่อนข้างไว ไม่ค่อยเห็นในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้ามากนัก Canola Oil Canola oil or Brassica Campestris is cold pressed from the seeds of the canola plant, a cultivar of rapeseed. The name "canola" was originally derived from the phrase "Canadian oil, low acid" and the oil is now considered a North American cash crop. •very affordable and suitable for all skin types. •high in minerals, vitamins and in GLA acids. •absorbs into the skin quickly. •has a good shelf life. จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 14:23:31

ความคิดเห็นที่ 21 ขอพักเบรคซักครู่นะคะ เดี๋ยวกลับมาต่อน้ำมันบำรุงแบบไฮโซต่อให้ค่ะ ถ้าลงเรื่องน้ำมันบำรุงเสร็จ อุ้ยจะแถมเรื่องพวก DIY สกินแคร์แบบง่ายๆ (ที่ไม่ต้องใช้สารประกอบมากมาย) เพิ่มให้ค่ะ มีใครสนใจรึเปล่าคะ..... จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 14:25:38

ความคิดเห็นที่ 22 12. Sweet Almond Oil น้ำมันสวีทอัลมอนด์ เป็นน้ำมันครอบจักรวาลตัวนึง เพราะใช้ประโยชน์ได้หลากหลายและเหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวที่แห้งและคัน ยกเว้นคนที่แพ้พืชตระกูลถั่ว ควรหลีกเลี่ยงค่ะ น้ำมันชนิดนี้ได้จากเมล็ดอัลมอนด์ สีออกเหลืองอ่อน เป็นน้ำมันกลางๆ Medium Oil ไม่หนักและเบาเกินไป ทาแล้วซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย มี oleic acid ในปริมาณสูง ประกอบกับราคาที่ไม่ถูกและไม่แพงจนเกินไป และค่อนข้างอ่อนโยนต่อผิว นิยมนำมาใช้ทาผิวหน้า และผิวรอบดวงตา ประกอบไปด้วย ไขมัน, vitamins, โปรตีน, และแร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี Sweet Almond oil Sweet Almond oil is pressed from the fruit kernels of the Prunus Dulcis, a small deciduous tree common to the Mediterranean, Southern Europe and California. This soap making oil is good for all skin types. - often used to soften dry and irritated skin. - the oil is golden in color with little or no scent. - contains Vitamins A, B, D & E and is rich in fatty acids & proteins. - useful for soothing eczema and psoriasis. - is a light oil that penetrates easily. - has a shelf life of 6 - 12 months if refrigerated. ตัวนี้จัดว่า ราคาค่อนข้างกลางๆ ถ้าเทียบกับน้ำมันไฮโซตัวอื่นเช่นโจโจ้บา หรือสควาเรน ราคาที่อุ้ยเคยซื้ออยู่ประมาณปอนด์ละ 400 บาทค่ะ (อย่าตกใจว่าทำไมซื้อเยอะ ปกติทำใช้บวกขายบ้างเล็กน้อย ซื้อปริมาณนี้ถือเป็นปกติค่ะ แต่ถ้าใครสนใจซื้อมาลองทำเล่นๆ ไม่แนะนำให้ซื้อเยอะแบบอุ้ยนะคะ มันจะหมดอายุซะก่อนจะใช้หมดค่ะ) จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 14:57:27

ความคิดเห็นที่ 23 13. Macadamia Nut Oil น้ำมันแมคคาเดเมีย น้ำมันไฮโซตัวนี้ ชื่อก็บอกชัดว่าเป็นน้ำมันที่ได้จากแมคคาเดเมีย พืชตระกูลถั่ว ดังนั้นคนที่แพ้ถั่ว ควรหลีกเลี่ยง หรือตรวจสอบก่อนนำไปใช้ น้ำมันแมคคาเดเมียนัททำให้ผิวนุ่มนวล และยังมีความเข้มข้นของกรดไขมัน palmitoleic ค่อนข้างสูงซึ่งกรดไขมันเป็นไขมันชนิดเดียวกับที่ต่อมไขมันในร่างกายเราผลิตได้ กรดไขมันชนิดนี้เป็นไขมันที่คงไว้ซึ่งความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ และชะลอให้ผิวพรรณไม่ร่วงโรยตามวัย น้ำมันแมคคาเดเมียนัทเป็นน้ำมันที่สามารถซึมซาบสู่ผิวได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นยัง น้ำมันชนิดนี้ยังกระจายและลื่น ซึ่งสามารถใช้นวดได้อย่างดี น้ำมันชนิดนี้เป็นน้ำมันที่ไม่มีกลิ่นหืน เนื่องจากมีไขมันประเภท Monounsaturated fatty acid อยู่ค่อนข้างมาก ประโยชน์โดยทั่วไปของน้ำมันชนิดนี้ - เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอส์ที่ดีกับผิว - ให้ความรู้สึกที่ไม่มัน และอ่อนโยนต่อผิว - กระจายตัวได้ดีบนผิว และลื่น - ช่วยรักษาน้ำหล่อเลี้ยงในผิว - ไม่หืนง่าย - เหมาะสำคัญคนที่มีผิวแห้งและเหี่ยวย่น Macadamia Nut Oil Macadamia Nut oil is pressed from the nuts of the Macadamia Integrifolia tree, an evergreen that grows in Hawaii. It is an effective soap making oil that is good for all skin types, especially those with dry or mature skin. •often used in products for facial or baby care. •the unrefined oil is amber in color with a slightly sweet nutty odor. •produces a stable, conditioning lather in soap. •often used to treat scars, sunburns, skin irritations and small wounds. •is slightly thicker than most carrier oils but is very easily absorbed into the skin. •contains anti-oxidents, omega-3 and omega 6 fatty acids. •protects the skin in a similar way the human sebum does. •acts as an effective emollient. จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 15:03:39

ความคิดเห็นที่ 24 14. Evening Primrose Oil น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส น้ำมันตัวนี้ชื่อค่อนข้างคุ้นหูสำหรับบ้านเรา เพราะเป็นน้ำมันที่มักนำมาใช้ในสกินแคร์หลายตัวทั้งสำหรับหน้าและผิวกาย ราคาค่อนข้างสูง (เพราะนำเข้า) หาซื้อยาก มีขายเฉพาะร้าน มีสารประกอบสำคัญ คือ กรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัว (Essential Fatty Acid) ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ชนิดโอเมก้า 6 ได้แก่ กรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) และกรดแกมมาไลโนเลนิก (Gamma Linolenic acid – GLA) ซึ่งทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) มีคุณสมบัติในการป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์ผิวหนัง ผิวจึงคงความชุ่มชื่น สดใส เปล่งปลั่ง และมีน้ำมีนวล Evening primrose Contains about 10% gamma linoleic acid, and high levels of linoleic acids. Eases inflammation, has superb moisturizing qualities, and treats dry skin. Great for aging skin. Evening Primrose Seed Oil is pressed the seeds of the Evening Primrose plant, Oenothera biennis . The yellow flowers only open in the evening, hence their common name. Evening Primrose is a common wildflower found in North America, Europe, and parts of Asia . This plant was used by Native Americans and early settlers as a nutritional support and to treat against conditions such as sore throats, stomachaches, hemorrhoids, and bruises. Evening Primrose has also been used medicinally in Europe since the seventeenth century. Over the last 20 years, this oil has once again become popular for its medicinal properties, and is now a common dietary supplement. Medicinal Use With the popularity of anti-fat diets and trends, many people are under the incorrect impression that all fats are bad, and that they should be avoided. However, this is a falsehood, and the truth is that some fats are necessary and vital for our health. Essential Fatty Acids support our physiological functions, and are essential for the health of our organs and overall health. Essential Fatty Acids cannot be produced by our own bodies, and instead must be obtained from dietary sources. Evening Primrose Seed Oil is a rich source of gamma linoleic acid, an Omega 6 fatty acid that is needed for our cardiovascular, immune, nervous, and reproductive systems, and to maintain healthy cells and body functions. In addition, Evening Primrose Seed Oil has anti-inflammatory and anti-oxidant effects and may also act as a blood thinner and blood vessel dilator. Specifically, Evening Primrose Seed Oil has been shown to be effective for the following conditions:   •  Premenstrual symptoms: menstrual cramps and breast tenderness. •  Acne •  Rosacea •  Signs of ageing •  Diabetes associated nerve damage •  Eczema •  Nourishes the scalp, hair, and nails •  Altheimer's related memory deficiencies •  Damage from Multiple Sclerosis •  Rheumatoid arthritis •  Inflammation from Lupus •  Numbness or tingling in hands, feet, or legs. •  Alcohol withdrawal symptoms •  Impotence and female infertility •  Raynaud's disease symptoms •  High cholesterol levels •  Fibrocystic breast disease •  Osteoporosis •  Skin ulcers •  Attention Deficit Disorder •  Irritable Bowel Syndrome •  Weight loss •  High blood pressure Because of its many health benefits, Evening Primrose Seed Oil is truly a wonderful supplement. It may be taken alone, or can be drizzled on top of salads or other prepared meals. For cosmetic use, simply add it once that the product no longer needs to be heated. Evening Primrose Seed Oil should not be heated. ส่วนตัว ชอบเอามาใช้กับผิวหน้าโดยเฉพาะ (เพราะมันแพง) จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 15:16:44

ความคิดเห็นที่ 25 15. Rose Hip Oil น้ำมันโรสฮิป ตัวนี้เคยดังที่ห้องนี้เมื่อนานมาแล้ว สรรพคุณค่อนข้างเลิศเลอเพอร์เฟค พอๆ กะราคาที่ช่างสูงส่ง ขวดกระจิ๊ดริด ราคาแพงลิบลิ่ว แต่ก็กัดฟันซื้อใช้มาเรื่อยๆ เพราะมันดีจริงๆ คุ้มค่าเกินราคา มีวิตามินสูง ช่วยเรื่องริ้วรอยได้ดีมาก ใช้ทาใต้ตา ก็บรรเทาริ้วรอยได้พอสมควร (ไม่เร็วเหมือนเลเซอร์ แต่รอยเล็กๆ ก็ลดลงพอควรค่ะ) เป็นน้ำมันเบา Light Oil ที่ทาลงผิวแล้วซึมหายวับไปกับตา ไม่เหนอะหน่ะ เหมาะกับทุกสภาพผิว น้ำมันที่อุดมไปด้วยสารประกอบสำคัญ เช่น วิตามินซีและ GLA ซึ่งจะ โดยน้ำมันชนิดนี้จะใช้ในครีม สำหรับคนผิวแห้ง ใช้บรรเทาผิวหนังที่มีรอยแผลเป็น เหี่ยวย่น เนื้อลายเนื่องจากตั้งครรภ์ ใช้เพื่อบรรเทาอาการผิวไหม้เเดด ผิวแห้งมาก หรือผิวที่ขาดน้ำได้ Rosehip seed oil Rosehip seed oil is cold pressed from the seeds of the Rosa rubiginosa...the rose plant. Rosehip oil is very high in essential fatty acids, retinoic acid (a derivative of retinol or Vitamin A), and Vitamin C. It contains high levels of GLA, which has uses in treating eczema and psoriasis. It may treat stretch marks, wrinkles, and soften scars. It may diminish broken capillaries, but may aggravate acne or blemished skin. - contains Vitamin A, which helps to delay the effects of skin aging and assists with cell regeneration. - has anti-ageing and skin rejuvenation qualities. - used to treat stretch marks, UV damaged skin, scars, acne, eczema, psoriasis, wrinkles, dermatitis, age spots, brittle nails, and damaged hair. - very effective for sensitive skin. - usually has very little odor and is an amber orange color. - absorbs very quickly and easily into the skin without leaving a greasy residue. Rosehip seed oil contains Vitamin A, which helps to delay the effects of skin aging, assists with cell regeneration, and promotes collagen and elastin levels to increase.  This results in firmer, smoother, and more youthful skin with greater elasticity.  Rosehip seed oil also contains a high amount of essential fatty acids and Vitamin E, which further promotes healthy skin.  In particular, it is rich in linoleic and linolenic acids, which are important skin nutrients.  Rosehip seed oil has been used successfully to treat the following skin problems: •Stretch marks •UV damage from overexposure to the sun •Scars from surgery, burns, and acne •Eczema •Psoriasis •Wrinkles and premature skin aging •Hyper-pigmentation •Dermatitis •Burns, including those from radiation and sunburns •Age spots •Brittle nails •Dry and damaged hair Directions for Use Rosehip seed oil is considered a “dry” oil, meaning that it soaks into the skin easily, and does not leave a greasy residue.  It is a wonderful hydrator, and penetrates dry or damaged skin immediately.  This oil may be used straight from the bottle as a moisturizer, or can be incorporated into a cream, lotion, facial oil, or massage oil.  Because it is so gentle, rosehip seed oil may be used undiluted on the skin, even on sensitive skin.  Rosehip seed oil is a safe, inexpensive, effective, and non-invasive product for preventing and healing damaged skin. เนื่องจากราคาแพงมหาโหด แนะนำให้ใช้เฉพาะกับใบหน้าเพื่อบำรุงเท่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้ทำสครับเพราะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 15:27:24

ความคิดเห็นที่ 26 16. Apricot Kernel Oil น้ำมันแอปปริคอต เป็นน้ำมันที่สกัดจากผลเเอปปริคอทที่ได้ในครั้งเเรกของกระบวนการ Cold Press น้ำมันที่ได้จึงมีกลิ่นของผลเเอปปริคอท ซึ่งจะเป็นกลิ่นที่หอมเหมือนลูกพีชสดเเละยังอุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นต่อผิวเเละวิตามินอีที่สูงกว่าน้ำมันเเอปปริคอทที่สกัดด้วยวิธีอื่น น้ำมันเเอปปริคอทเวอร์จิ้น มีสารประกอบสำคัญ Oleic acid, Linoleic Acid, Vitamin A มีคุณสมบัติพิเศษตรงที่เป็นน้ำมันที่เหมาะกับผิวบอบบางมากที่สุดในบรรดาน้ำมันทุกชนิด โดยสามารถใช้ทาผิวเด็กทารกเเละผิวบริเวณรอบดวงตาได้ บางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะ ทำให้ผิวนุ่มเนียนขึ้น มีไทกลีเซอรีนกลุ่มเดียวกับน้ำมันประเภทอโวคาโด น้ำมันมะกอกและน้ำมันงา สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว มีวิตามินอีสูง ทำให้ผิวยืดหยุ่นได้ดีและช่วยปรับสภาพผิวให้ดียิ้งขึ้น ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำในผิว ใช้กับผิวบอบบาง เเพ้ง่ายเเละสามารถใช้บำรุงผิวหน้า ผิวรอบตา บริเวณริมฝีปากเเละยังใช้ทาผิวเด็กทารกเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิวได้อีกด้วย ประโยชน์ - ใช้กับผิวบอบบาง เเพ้ง่าย เเละสามารถใช้บำรุงผิวหน้า, ผิวรอบตาและริมฝีปาก ได้100% - มีวิตามินอีสูง - ใช้ทาผิวเด็กทารกเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว - ซึมซาบสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและช่วยป้องกันการระเหยของน้ำในผิว - มีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยจากสิวเเละรอยเเผลเป็นให้จางลง - ทำให้ผิวยืดหยุ่นได้ดี และช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น Apricot kernel oil - light weight, low comedogenity Good for dry, sensitive, mature skin, or really any type of skin. This penetrates quickly without an oily feeling. High in oleic and linoleic acids. เป็นน้ำมันที่ดีตัวนึง บางครั้ง นำไปใช้แทนน้ำมันสวีตอัลมอนด์ได้ ในรายที่แพ้น้ำมันสวีตอัลมอนด์ จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 15:35:08

ความคิดเห็นที่ 27 ทุกวันนี้ก็เอาน้ำมันมะพร้าวแล้วก็น้ำมันรำข้าวทาหน้าตอนกลางคืน สลับกัน สงสัยค่ะว่าน้ำมันรำข้าวที่คุณอุ้ยพูดถึงใช่แบบขวดที่ทำกับข้าวหรือเปล่า เพราะเราได้น้ำมันรำข้าวจากนิทรรศการงานพืชพันธ์ที่โคราช ได้มาเป็นขวดเลกๆ ก็เลยสงสัยว่าถ้าขวดนี้หมดจะใช้น้ำมันรำข้าวที่ทำกับข้าวได้ไหม ขอบคุณค่ะ ข้อความของคุณอุ้ยเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะคนผิวแห้งอย่างแมวน้อยฯ จากคุณ : แมวน้อยหางกวัก (แมวน้อยหางกวัก) เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 15:36:34

ความคิดเห็นที่ 28 คุณแมวน้อยฯ น้ำมันรำข้าวขวดเล็กที่ได้มา อุ้ยเข้าใจว่า น่าจะเป็นแบบสกัดเย็น คือ คุณค่าครบถ้วนมากกว่า สามารถใช้กับผิวได้ แต่น้ำมันรำข้าว จากที่รีวิว เป็นน้ำมันค่อนข้างกลาง ไม่หนักไม่เบา ซึมเข้าผิวได้ แต่ช้าหน่อย ส่วนมากใช้กับผิวตัวมากกว่าค่ะ ... ถ้าเคยใช้กับผิวหน้าแล้ว รับความเหนอะไหว ก็ใช้ต่อได้ค่ะ ไม่มีปัญหาใดๆ แต่ถ้าขวดที่บอกหมด แล้วจะใช้น้ำมันรำข้าวแบบธรรมดา แนะนำให้ใช้กับผิวตัวได้อย่างเดียวค่ะ จริงๆ ควรไปผสมใช้ทำอย่างอื่นจะดีกว่า เพราะบางคนอาจทนความเหนอะนะของน้ำมันไม่ไหวค่ะ ที่นำเสนอน้ำมันตามครัวเรือนไป เผื่อให้เอาไปประยุกต์ใช้ทำ DIY อื่นๆ เช่นพวกสครับ (ที่ใช้แล้วต้องล้างออก) หรือทำลิปบาล์ม โลชั่นบาร์ ไว้ทาถูจุดที่แห้งกร้านแบบนั้นมากกว่าค่ะ จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 15:49:17

ความคิดเห็นที่ 29 17. Avocado Oil นํ้ามันอโวคาโด เป็นนํ้ามันที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินดีและวิตามินอี เลซิติน อีกทั้งยังมีกรดไขมันที่จําเป็น เป็นจํานวนมาก เช่น Palmitic, Palmitoleic, Stearic, Oleic, Linoleic และ Linolenic สามารถซึมซาบสู่ผิวชั้นในได้ดีและบํารุงผิวได้อย่างลึกซึ้ง มี Sterolins หรือสเตอรอยด์จากพืชค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นสารสําคัญที่มีส่วนช่วยในการลดเลือนริ้วรอย บำรุงผิวที่เสื่อมสภาพจากแสงแดดและช่วยลดรอยแผลเป็น อีกทั้งยังช่วยทําให้ผิวเนียนนุ่ม สามารถใช้เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ผิวได้เป็นอย่างดี นํ้ามันอโวคาโด สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวชั้นนอกได้ง่าย เป็นนํ้ามันที่ให้ความนุ่มลื่นแก่ผิวอย่างน่าอัศจรรย์ ช่วยบรรเทาอาการผิวแห้งกร้าน คันและปัญหาผิวหนังหลาย ๆ ชนิด เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบาง แห้งกร้านและเหี่ยวย่น ช่วยเพิ่มความนุ่มชุ่มชื่นให้กับผิว สามารถใช้ได้ทั้งหน้าและตัว น้ำมันตัวนี้ ถือเป็นน้ำมันที่หนักมาก Heavy Oil ตัวนึงเลย แต่เป็นน้ำมันที่อุ้ยเลือกเอามาใช้ในช่วงอากาศแห้งๆ แบบหน้าหนาว เพราะเป็นคนผิวแห้งมากคนนึง น้ำมันตัวนี้ให้เนื้อหนักแน่นใช้ได้ และเอาอยู่ในช่วงอากาศหนาว หรือเอาไปทาเท้าตอนกลางคืน ถือว่าดีใช้ได้เลยค่ะ โดยส่วนตัวใช้ผสมกับตัวอื่นๆ (ไม่งั้นจะเหนอะเกินไป)สูตรที่ชอบที่สุดคือ น้ำมันอโวคาโด ผสมน้ำมันว่านหางจระเข้ และน้ำมันอื่นๆ เอาไปทำโลชั่นทาตัว เรียกว่า ทาครั้งเดียวอยู่ ไม่ต้องซ้ำบ่อยๆ อย่างตัวอื่นๆ ไม่แนะนำให้ทาผิวโดยตรงนะคะ เพราะเนื้อมันหนักมาก ทาแล้วไม่ซึมลงผิวแต่โดยดี คนที่ไม่ชินอาจทนไม่ไหวค่ะ Avocado oil - heavy weight, low. Good for sensitive, dehydrated, cracked, and maturing skin. High in Vitamins A, B1, B2, B5 (panthothenic acid), minerals, protein, lecithin, and fatty acids. Improves skin elasticity. Great for feet. Shelf life: about 1 year. ตัวนี้ราคากลางๆ ไม่แพง ไม่ถูก เหมาะกับคนผิวแห้งมาก แนะนำให้ซื้อขวดเล็กๆ ไว้ทามือเท้าก่อนนอน ผิวจะค่อยๆ ดีึขึ้นค่ะ (ผสมกับน้ำมันตัวอื่นๆ ได้ตามความเหมาะสม) จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 15:59:33

ความคิดเห็นที่ 30 16. Aloevera Oil น้ำมันว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้ไม่มีน้ำมันหรอกคะ เพียงแต่น้ำมันตัวนี้คือเบสน้ำมันตัวอื่นที่เอาไป Infuse กับว่านหางจระเข้ เพื่อดึงคุณสมบัติเด่นๆ ของว่านหางจระเข้ออกมา ของบ้านเรามีไม่กี่ที่ที่จำหน่ายน้ำมันตัวนี้ (ค่อนข้างหาซื้อยากมากตัวนึง) และเป็นน้ำมันว่านหางจระเข้ที่อิวฟิวส์กับน้ำมันคาโนล่ามาค่ะ (เห็นมั๊ย ประโยชน์อย่างนึงของคาโนล่าเค้าล่ะ) น้ำมันจากว่านหางจรเข้ ช่วยในการเก็บรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวและเส้นผม ทำให้ผิวมีความนุ่มนวล จัดได้ว่าเป็น Moisturizer ที่ดีมากอีกชนิดหนึ่ง Aloe Vera Oil เป็นน้ำมันที่สกัดจากวุ้นใสของว่านหางจระเข้ โดยใช้ Canola Oil เป็นตัวสกัดน้ำมันออกมา น้ำมันจากว่านหางจรเข้นี้ช่วยดูแลรักษาและปกป้องผิวจากมลภาวะรอบตัวเรา นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนริ้วรอยและคืนความชุ่มชื่นให้กับผิว ทำให้ผิวมีความนุ่มนวล สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิวและเส้นผม แม้ผิวที่บอบบาง บรรเทาผิวที่เกิดจากการไหม้ของแดดได้ Aloe vera oil is made from the maceration of the aloe vera plant and infused with a base oil, such as soybean, almond or apricot, resulting in an aloe vera oil extract. The botanical classification is of the family "aloceae," and the genus "aloe vera." Aloe vera is a plant that grows in clumps, with thick, waxy leaves. It is grey-green in color and is considered a perennial, which means it is a plant that lives more than two years. It is further classified as a succulent, meaning it is a water-retaining plant, thus its "fat" appearance. For many years, aloe vera has been recognized for a variety of health benefits. Copious research has found that not only does the aloe vera extract aid in healing from burns as well as reducing scarring and inflammation, the aloe vera juice can also be used internally as a laxative and to treat asthma, peptic ulcers and other digestive disorders. Aloe vera oil has been shown to be effective in treating diabetes, constipation and a poor appetite as well as enhancing the overall immune system. Aloe vera oil has exhibited anti-viral, anti-bacterial, anti-fungal and anti-inflammatory properties. Containing a host of beneficial compounds, the aloe vera extract has also been shown interesting results when used in conjunction with conventional cancer treatment. It can influence and stimulate assorted factors of the immune system by reducing the inflammation and blood supply to tumors, and can prevent certain compounds from being absorbed by the liver. Externally, aloe vera oil can be used to induce cell regeneration, treat skin conditions such as psoriasis, eczema, acne and skin ulcers, as well as surgical wounds. This is thought to be because aloe vera oil contains vitamin E and C, as well as zinc and polysaccharides which aid in stimulating epidermal growth and cell repair. As if that weren't enough, the aloe vera oils have shown rejuvenating and healing benefits in massage therapy, have been effective in killing the virus that causes herpes and shingles, and have shown a positive result in remission of certain skin cancers. The aloe vera extract contains many health benefits proven by extensive research. Talk to your doctor or health practitioner about the advantages of adding aloe vera to your health regimen. น้ำมันตัวนี้ชอบมา ทาแล้วซึมวาบๆ ไม่ทิ้งความมันไว้บนผิวเลย แถมช่วยให้ผิวชุ่มชื้นดีอีกตะหาก ราคาก็พอคบกันไหวเป็นบางช่วง ไม่แพงเว่อร์ แต่ก็ไม่ถูก จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 16:07:47

ความคิดเห็นที่ 31 19. Borage Seed Oil น้ำมันโบเรจ น้ำมันตัวนี้ อุ้ยยังไม่เคยใช้ค่ะ แต่สนใจอยู่ รอเ็ก็บตังค์ได้เมื่อไรจะไปซื้อมาลองซะที แต่มันแพงเหลือเกิน ขวดเล็กนิดเดียวเกือบสามร้อย น้ำมันที่มาจากเมล็ดของต้นโบเรจ มีสาร Fatty Acids จากธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ที่ช่วยทำให้ผิวเปล่งปลั่งและมีสุขภาพดี เพียงใส่ส่วนผสมของน้ำมันชนิดนี้เพียงเล็กน้อยลงใน Aromatherapy Blends จะสามารถทำให้ผิวแลดูสดใส เปล่งปลั่ง ผุดผ่องได้ อีกทั้งยังเหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้งแตกกร้านและเหี่ยวย่น แม้ใส่น้ำมันโบเรจในปริมาณเล็กน้อย ในเวปผู้จำหน่ายบอกว่า ใช้นวดหน้านวดตัวได้ดีค่ะ....แต่ในเวปของต่างประเทศมีคำเตือนเรื่องการใช้ (เพราะเหตุนี้เลยลังเล ยังไม่กล้าซื้อมาลองซักที) ในข้อมูลด้านล่าง เค้าเตือนเลยว่า คนท้องห้ามใช้ คนที่แพ้ หรืออยู่ในระหว่างรักษาพยาบาล ก็ควรระวังค่ะ อายุการเก็บค่อนข้างสั้น แค่ 3-6 เดือน(นี่ก็อีกเหตุผล ใช้ยาก แถมหมดอายุไว) Pressed from the seeds of the beautiful Borage plant (Borago officinalis), Borage Seed Oil is known to be beneficial for both topical and internal applications.  Borage Seed Oil has the highest concentration of gamma linolenic acid (GLA) naturally found, higher than in any other plant source!  GLA is an Omega-6 fatty acid, an essential fatty acid.  Omega-6 fatty acids cannot be produced in our bodies, but must be obtained from food sources.  Essential Fatty Acids are necessary for brain function, regulation of metabolism, and for the growth and health of bones, hair, and skin. Medicinal Uses Because of its extremely high levels of gamma linolenic acid, Borage Seed Oil has many potential uses.  It has been widely studied for its ability to calm and reduce inflammation, and has been used successfully to alleviate the pain, swelling, and joint stiffness associated with rheumatoid arthritis.  Borage Seed Oil has also been used with positive results for many different skin disorders, such as psoriasis, eczema, acne, rosacea, and prematurely matured skin.  Furthermore, studies have begun to show that it may be able to be beneficial for treating and preventing a malady of conditions including: Menstrual cycles:  breast inflammation and cramping Nails, scalp, and hair:  growth, nourishment, dry conditions Osteoporosis:  calcium deposits and absorption, bone strength and growth Menopausal symptoms:  hot flashes Weight loss:  metabolism regulation Respiratory conditions, sore throat, cough:  expectorant, mucilage Nerve disorders for those with Diabetes and Multiple Sclerosis:  assists with nerve function Dry-eye conditions and pressure in the eye Attention Deficit/Hyperactivity Disorder High blood pressure and heart disease Ulcers:  anti-inflammatory Lupus:  anti-inflammatory Impotence:  promotes blood flow Reduction of abnormal blood clotting:  promotes blood flow Alzheimer's:  assists with nerve impulses Since Borage Seed Oil is such an important source of gamma linolenic acid, it may prove to be invaluable for many different ailments and conditions.  Nonetheless, it is undeniably beneficial for the entire body's health and well-being. To use Borage Seed Oil in your food preparations, mix it into the meal just before serving.  This oil should not be heated, and must be used cold to take full advantage of its health benefits. For cosmetic applications, either apply directly, or add to your recipe after all heating has taken place. Precautions: If you are currently on medication, speak to your healthcare provider before using Borage Seed Oil, as potential interactions or side effects may occur. Borage Seed Oil should be avoided during pregnancy and nursing, as potential risks are unknown at this time. Borage Seed Oil should not be used in high doses or over a longer period of time without prior approval by a healthcare provider. This oil may cause loose stools, and possibly minor stomach complaints. จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 16:17:25

ความคิดเห็นที่ 32 20 Sesame Oil น้ำมันงาแบบสกัดเย็น ต่างจากน้ำมันงาธรรมดาที่ใช้ทำกับข้าวตรงไหน ก็ตรงที่คุณค่ามันอยู่ครบถ้วนในปริมาณที่มากกว่าค่ะ (เหมือนน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น น้ำมันรำข้าวและน้ำมันอื่นๆ) และกลิ่นเจือจางกว่าน้ำมันงาแบบที่ใช้ทำกับข้าวเยอะค่ะ น้ำมันงาดำอุดมไปด้วยวิตามิน และไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี ซึ่งจะทำให้คุณค่าและประโยชน์ต่าง ๆ ยังคงอยู่อย่างครบถัวน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวตามธรรมชาติ อุดมไปด้วยวิตามินต่าง ๆ มากมาย เหมาะสำหรับใช้ทาหรือนวดแก้ปวดเมื่อยตามข้อ ปวดกระดูก อัมพฤกษ์ อัมพาต และยังสามารถนำมาใช้นวดหน้าได้อีกด้วย สารที่ได้จากน้ำมันงาดำเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ ทำให้ไม่เหี่ยวย่นและดูอ่อนเยาว์ ลดความหยาบกร้านของผิวหนังได้เป็นอย่างดี สามารถใช้หมักผม ทำให้ผมมีน้ำหนักเป็นเงางามอย่างเป็นธรรมชาติ ใช้รับประทานได้ และ พร้อมทั้งใช้บำรุงผิว ใช้เช็ดหน้าเพื่อทำความสะอาด เครื่องสำอางค์ ใช้ลูบไล้เส้นผมให้เงางาม นุ่มสลวย ด้วยคุณสมบัติพิเศษ จากการสกัดน้ำมันงา ที่ผ่านกระบวนการบีบ โดยไม่ผ่านความร้อน ( Cold-pressed Sesame Oil ) ไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี ( Virgin Oil ) ทำให้ได้น้ำมันงาบริสุทธิ์ มีวิตามินอี บริสุทธิ์ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเกิดจากมลพิษในสิ่งแวดล้อม มากยิ่งขึ้น ด้วยอนุภาคขนาดโมเลกุลที่เล็ก จึงทำให้ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ง่าย ทำให้ผิวอ่อนนุ่ม ไม่เหนียวเนอะหนะ เส้นผมจะสลวย ดกดำ เป็นเงางาม วิตามินอี ในน้ำมันงาจะช่วยลดปริมาณการสูญเสียโปรตีนของเส้นผม คุณสมบัติที่ดีของน้ำมันชนิดนี้ - ใช้หมักผม ทำให้ลื่นดกดำเป็นเงางาม ไม่แห้งแตกปลาย - ใช้นวดตัวและบำรุงผิว - ใช้ทาถูนวดแก้ขัดยอก ลดการอักเสบ Sesame Oil Sesame Seed Oil has been used as a healing oil for thousands of years. Sesame oil is mentioned in the Vedas as excellent for humans. It is naturally antibacterial for common skin pathogens, such as staphylococcus and streptococcus as well as common skin fungi, such as athlete's foot fungus. It is naturally antiviral. It is a natural anti inflammatory agent. It has been used extensively in India as a healing oil, including in experiments which showed it was useful in unblocking arteries. In recent experiments in Holland by Ayurvedic physicians, the oil has been used in the treatment of several chronic disease processes, including hepatitis, diabetes and migraines. In vitro, sesame seed oil has inhibited the growth of malignant melanoma (a skin cancer): PROSTAGLANDIN LEUKATRINES and ESSENTIAL FATTY ACIDS 46: 145-150, 1992. Also in vitro, sesame seed oil has inhibited replication of human colon cancer cells: ANTI CANCER RESEARCH 11: 209-216, 1992. Research shows that sesame seed oil is a potent antioxidant. In the tissues beneath the skin, this oil will neutralize oxygen radicals. It penetrates into the skin quickly and enters the blood stream through the capillaries. Molecules of sesame seed oil maintain good cholesterol (HDL) and lower bad cholesterol (LDL). Sesame seed oil is a cell growth regulator and slows down cell growth and replication. In both the small intestine and the colon, some cells are nourished by fat instead of sugar. The presence of sesame seed oil can provide those cells with essential nourishment. In an experiment at the Maharishi International College in Fairfield, Iowa, students rinsed their mouths with sesame oil, resulting in an 85% reduction in the bacteria which causes gingivitis. As nose drops, sniffed back into the sinuses, sesame seed oil has cured chronic sinusitis. As a throat gargle, it kills strep and other common cold bacteria. It helps sufferers of psoriasis and dry skin ailments. It has been successfully used in the hair of children to kill lice infestations. It is a useful natural UV protector. Used after exposure to wind or sun it will calm the burns. It nourishes and feeds the scalp to control dry scalp dandruff and to kill dandruff causing bacteria. It protects the skin from the effects of chlorine in swimming pool water. Used before and after radiation treatments, sesame seed oil helps neutralize the flood of oxygen radicals which such treatment inevitably causes. On the skin, oil soluble toxins are attracted to sesame seed oil molecules which can then be washed away with hot water and a mild soap. Internally, the oil molecules attract oil soluble toxins and carry them into the blood stream and then out of the body as waste. Used as a douche mixed with warm water, the oil controls vaginal yeast infections. Sesame seed oil absorbs quickly and penetrates through the tissues to the very marrow of the bone. It enters into the blood stream through the capillaries and circulates. The liver does not sweep sesame seed oil molecules from the blood, accepting those molecules as friendly. Sesame seed oil helps joints keep their flexibility. It keeps the skin supple and soft. It heals and protects areas of mild scrapes, cuts and abrasions. It helps tighten facial skin, particularly around the nose, controlling the usual enlargement of pores as skin ages chronologically. Teen boys and girls have learned, wrongly, that all oil is bad for their facial skin. Heavy oils and toxic oils and creams are bad for all facial skin. But sesame seed oil is the one oil which is actually good for young skin. It helps control eruptions and neutralizes the poisons which develop both on the surface and in the pores. With sesame oil, no cosmetics are needed. The oil will cause young facial skin to have and display natural good health. Used on baby skin, particularly in the area covered by a diaper, sesame seed oil will protect the tender skin against rash caused by the acidity of body wastes. In the nose and ears, it will protect against common skin pathogens. For children going to school, who will be in the presence of other children with colds and sniffles, sesame seed oil swabbed in the nose can protect against air borne viruses and bacteria. When using the oil as a massage oil, stroke the long limbs up and down. Use circular motions over all joints to stimulate the natural energy of those joints. น้ำมันงา อุ้ยยังไม่เคยใช้ค่ะ เพราะว่าทนเรื่องกลิ่นไม่ไหว เลยขอผ่านตัวนี้ไป แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 16:38:58 แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 16:36:11 จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 16:28:07

ความคิดเห็นที่ 33 เฉพาะในกลุ่มของน้ำมัน เท่าที่พอทราบว่า มีจำหน่ายในบ้านเรา คงหมดแค่นี้ เดี๋ยวคืนนี้อุ้ยกลับมาต่อเรื่อง บัตเตอร์ให้นะคะ จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 16:29:28

ความคิดเห็นที่ 34 ทำไม ไม่มีน้ำมัน งา บ้างอ่ะครับ จากคุณ : Bamboo Leaf เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 16:30:29

ความคิดเห็นที่ 35 คุณ Bamboo Leaf น้ำมันงาลงให้แล้วนะคะ อาจจะโพสพร้อมๆ กันพอดี.... (สารภาพว่า เกือบลืมตัวนี้ไปเหมือนกัน เพราะส่วนตัวไม่ได้ใช้ค่ะ) ไฟกำลังมา เดี๋ยวต่อบัตเตอร์ให้เท่าที่พอมีเวลานะคะ.... จบบัตเตอร์แล้ว จะพยายามหา DIY สกินแคร์แบบฉบับทำได้ในบ้านเรามาให้ต่อค่ะ.... จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 16:33:56

ความคิดเห็นที่ 36 เข้าสู่กลุ่มของบัตเตอร์เลยนะคะ บัตเตอร์แตกต่างจากเชย์ตรงไหน ตรงที่มันแข็งตัวได้ง่ายกว่าในอุณหภูมิห้อง พวกตระกูลบัตเตอร์ค่อนข้างแพงและหาซื้อได้ยากพอๆ กับกลุ่มน้ำมันไฮโซเลยค่ะ แต่บ้านเรามีขายแน่นอน ถ้าสนใจใช้อากู๋ช่วยค้นหาร้านดูค่ะ แหล่งซื้อน้ำมันไฮโซกับบัตเตอร์ สามารถไปเดินถามตามร้านเคมีตรงแถวๆ แยกวัดตึก สำเพ็งค่ะ มีหลายร้านมา ราคาก็ไล่ๆ กัน แต่ขายในปริมาณค่อนข้างเยอะ (อย่างน้อยครึ่งโล) ถ้าซื้อมาลองใช้ ก็มีของทรอปิก้าที่แบ่งขายปริมาณน้อย แต่ราคาสูงกว่าแถบสำเพ็งนะคะ (ที่ร้านนี้มีน้ำมันไฮโซแปลกๆ อีกหลายตัวค่ะ อุ้ยยังไม่เคยมีโอกาสลอง ถ้าวันไหนได้ลอง จะมารีวิวให้ใหม่อีกทีนะคะ) 21. Shea Butter เชย์ บัตเตอร์ เชื่อว่า ส่วนใหญ่จะรู้จัก หรือเคยได้ยินเชย์ บัตเตอร์กันมานาน แถมในหลายๆ ผลิตภัณฑ์ก็นิยมนำบัตเตอร์ตัวนี้ไปเป็นส่วนผสม เพราะขึ้นชื่อในเรื่องของการให้ความชุ่มชื้นกับผิวและผมได้ดีค่ะ... เชียบัตเตอร์ ออร์แกนิค สกัดได้จากผลของต้น Shea ในประเทศแอฟริกา มีเนื้อเหนียวนุ่ม คล้ายเนย ซึมซาบสู่ผิวได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง มีคุณสมบัติเป็นตัวหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้น กระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ผิวใหม่และยังสามารถป้องกันรังสี UV ได้ โดยใช้ทาโดยตรงหรือเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สามาถใช้ทาผิวโดยตรงได้100% และใช้3%-100% ผสมในครีม / โลชั่น / บาล์ม ใช้ทาริมปาก หน้า ตัวเพื่อให้ผิวชุ่มชื้น ผิวไม่แห้งกร้าน ใช้ทารักษาผื่นแห้งคันได้ ทาโดนแดดแล้วผิวไหม้ลอกก็สามารถใช้เชียบัตเตอร์ได้ ใช้ทารักษาส้นเท้าแตกแห้งได้ สำหรับหนาวนี้ ผิวหนังแตกลาย เชียบัตเตอร์ก็สามารถใช้ทาปกป้องได้เป็นอย่างดี คนท้องก็สามารถทาเชียบัตเตอร์เพื่อกันป้องกันหรือลดท้องแตกลายได้ คนที่ผิวมีปัญหาเช่น Eczema ก็สามารถใช้ทาลดปัญหาผิวให้นิ่มลงได้ ช่วยทำให้ผิวยืดหยุ่นได้ดี ช่วยลดริ้วรอยและต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย และยังไม่อุดตันรูขุมขุน Shea Butter Shea Butter is expeller pressed from the fruit seeds of the Bulyrospermum Parkii tree, or African Karite tree. A few of Shea Butter's qualities are as follows: - is a cream color with a slightly nutty aroma. - rich in Vitamins A, E & F. - this soap making oil forms a breathable barrier that protects the skin from harsh elements. - helpful on dry, mature skin and wrinkles. - absorbs easily and is great for damage skin and hair. - promotes skin regeneration. - good for rashes, itches, eczema, burns and bites. ตัวนี้คอนเฟิร์มว่าดีจริงๆ ใช้ผสมทำสกินแคร์หลายประเภทมากค่ะ ตั้งแต่หัวจรดเท้าใช้ได้กับทุกส่วน แต่ถ้าคนผิวมัน แนะนำว่า ไม่ควรเอาบัตเตอร์ทุกชนิดมาใช้ทาผิวโดยตรงค่ะ จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 16:53:06

ความคิดเห็นที่ 37 กลับมาไล่ดูลิสต์ เทียบกับโพยของตัวเอง เพิ่งเห็นว่า ตกน้ำมันไปหนึ่งตัว 22. Wheat Germ Oil น้ำมันวีทเจิร์ม   ตัวนี้เป็นน้ำมันที่น่าสนใจอีกตัว นิยมใช้ผสมกับน้ำมันอื่นๆ เพื่อทำเป็นสกินแคร์ค่ะ ราคาก็พอคบกันได้เป็นบางช่วง ถ้าช่วงไหนจน ก็เลิกคบกันบ้าง น้ำมันวีทเจิร์ม ช่วยในการบำรุงเซลล์ผิวได้เป็นอย่างดี ป้องกันการสูญเสียของน้ำหล่อเลี้ยงใต้ผิวหนัง ชะลอการเกิดริ้วรอย ไม่ทำให้ดูแก่ก่อนวัย ทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น ช่วยในการบรรเทาโรคผิวหนัง (Eczema) สามารถนำมาใช้หมักหรือนวดบำรุงหนังศรีษะ ทำให้หนังศรีษะแข็งแรง ลดการหลุดล่วงของเส้นผมลงได้ Wheat Germ Oil Wheat Germ Oil is widely used as both a cosmetic ingredient and as a dietary supplement. It is naturally rich in Vitamins A, D, and E, and also contains Vitamins B1, B2, B3, B6, F, Essential Fatty Acids, protein, and minerals. Because of its anti-oxidant and regenerative properties, Wheat Germ Oil is a wonderful ingredient to add to bodycare and cosmetic products. Medical and Cosmetic Use Wheat Germ Oil contains high levels of Vitamin E Oil, as well as other vitamins, minerals, protein, and Essential Fatty Acids. Essential Fatty Acids support physiological functions, and are essential for the health of our organs and overall health. They cannot be produced by our own bodies, and instead must be obtained from dietary sources. Wheat Germ Oil contains linoleic, oleic, palmitic, and stearic fatty acids. These are needed for our cardiovascular, immune, nervous, reproductive systems, and to maintain healthy cells and body functions. The Vitamin E Oil present in Wheat Germ Oil promotes skin cell formation, and is great for nourishing and rejuvenating dry, mature, dehydrated skin, and reducing scars, stretch marks, sunburns, and damaged skin. It has anti-inflammatory and anti-oxidant effects, which may be beneficial medicinally as well as in cosmetics. The high Vitamin E content in Wheat Germ Oil is a natural preservative, helps to prevent rancidity, and prolongs the shelf life of cosmetic products. Specifically, Wheat Germ Oil has been shown to be effective for the following conditions: •Dry and cracked skin •Eczema •Psoriasis •Prematurely aged skin •Stretch marks •Dull complexion •Tired and overexerted muscles •Sunburn and burns •Scars •Poor blood circulation •Improves lymph function •High cholesterol levels Usage Instructions Wheat Germ Oil can be taken alone, drizzled on top of salads, vegetables, pasta, pesto, or other meals. Wheat Germ Oil should not be heated. For massage oil blends, it is recommended that you incorporate 10-15% Wheat Germ Oil into your oil blend. The dark color and heavy odor must be considered before using it. ความเห็นส่วนตัว น้ำมันวีทเจิร์มค่อนข้างซึมเข้าผิวได้ดีระดับนึง เป็นหนึ่งในน้ำมันที่เลือกใช้บ่อยๆ ค่ะ จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:04:23

ความคิดเห็นที่ 38 กลับมาที่บัตเตอร์ต่อนะคะ (ถ้าอุ้ยหลงลืมน้ำมันตัวไหนไป แล้วอยากได้ข้อมูลต่อ บอกไว้ได้นะคะ ข้อมูลอุ้ยสะสมไว้เยอะ แต่พยายามเลือกลงเฉพาะตัวที่เห็นว่าในบ้านเราพอหาที่ซื้อได้เท่านั้นค่ะ หรือบางตัวที่อุ้ยไม่ได้ใช้ อาจจะมองข้ามมันไปค่ะ) 23. Cacao Butter โกโก้บัตเตอร์ ตัวนี้เป็นบัตเตอร์ตัวเดียวกับที่อยู่ในช็อคโกแลต เพราะมันสกัดมาจากเมล็ดโกโก้ค่ะ ส่วนที่นิยมนำมาใช้ จะเป็นแบบที่เรียกว่า Refined Cacao Butter คือแบบที่สกัดสีและกลิ่นออกไปแล้วค่ะ เหลือแต่ก้อนบัตเตอร์แข็งๆ (ตัวนี้จัดว่าแข็งมาก ไม่ละลายง่ายๆ ในอุณหภูมิห้อง) ไม่เหมาะสำหรับการนำมา DIY ด้วยตัวเอง (โดยไม่มีสารเคมีอื่นๆ ช่วย) เพราะความที่มันแข็งมาก เลยไม่สามารถละลายได้แม้ทาผิว จำเป็นต้องใช้อย่างอื่นช่วยค่ะ นิยมเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์บำรุงผิวบนร่างกาย ช่วยไม่ให้ผิวแห้งกร้านและปรับสภาพให้ผิวมีความยืดหยุ่นที่ดีขึ้น ในครีมทาท้องป้องกันผิวแตกลายในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ นิยมใช้ตัวนี้เป็นส่วนผสม เพราะมีคุณสมบัติในการปรับสภาพผิวให้ยืดหยุ่นดีค่ะ Cocoa Butter Cocoa Butter is a solid, off-white butter that is extracted from the beans of the Theobroma Cacao plant. •this oil is known to cause irritation in some individuals. •produces a hard bar with a stable lather. •is very conditioning making it good for eczema, dermatitiis, stretch marks. •creates a barrier between your skin and the sometimes harsh environment, keeping the moisture in your skin where it belongs. •isn't easily absorbed by the skin so a soap formula requires the use of an unsaturated fat like olive oil. Cocoa was named Theobroma and means 'food of the gods'. Cocoa Butter is becoming increasingly popular in the natural bodycare and cosmetic industries for good reason. It has been used for centuries in Africa for its moisturizing and healing properties, where it has been used to protect and condition skin which has been damaged by the sun and wind. Benefits Cocoa Butter contains natural antioxidants that give it a long shelf life of over 3 years. It is naturally rich in Vitamin E as well as a number of other vitamins and minerals. Vitamin E helps to soothe, hydrate, and balance the skin and also provides the skin collagen which assists with wrinkles and other signs of ageing. Cocoa Butter also contains cocoa mass polyphenol (CMP), a substance that inhibits the production of the immuno globulin IgE. IgE is known to aggravate symptoms of both dermatitis and asthma. For centuries pregnant women have used Cocoa Butter formulations to prevent and treat stretch marks, but this pleasant-smelling substance is added to countless other topical preparations. Lotions and oils containing Cocoa Butter are often used in aromatherapy massage to promote relaxation and the feeling of well-being. Research indicates that massaging the skin with Cocoa Butter may help relieve stress, boost the immune system, and even prevent cancer. This is because Cocoa Butter, like chocolate, contains a lot of CMP and there is some evidence that the CMP in Cocoa Butter may also help prevent heart disease and ease arthritic symptoms. Cocoa Butter is mainly used is a thickening agent and is a common ingredient in lipsticks, soaps and emollient creams. It is also a folk remedy for burns, cough, dry lips, fever, malaria, rheumatism, snakebite and wounds. It is reported to be antiseptic and diuretic. •Cocoa Butter has a melting point at human body temperature, is edible and nutritious, all of which present many industrial uses. •Cocoa Butter is a superb moisturizer which slows down moisture loss. •Cocoa Butter is known for its hydrating effects, •Cocoa Butter is also gentle on the skin and has a pleasing aroma. •Cocoa Butter is excellent when used on dry skin or on wrinkles. •Cocoa Butter's emollient properties are great in soap making and lotions. •Cocoa Butter is hard at room temperature. •Cocoa Butter is mainly used as a thickening agent and is a common ingredient in lipsticks, soaps and emollient creams. •Cocoa Butter is easily absorbs into the skin and imparts sheen. Extraction Methods The four major West African cocoa producers are the Ivory Coast, Ghana, Nigeria and Cameroon. The Ivory Coast produces about 43 percent of the world's cocoa, and the next largest producer is Ghana with about 14 percent of the world's output. Nigeria is one of the smallest and produces about 6 percent of the world's cocoa. Outside of West Africa, the major producers of cocoa are Indonesia, Brazil, Malaysia, Ecuador, and the Dominican Republic. After cocoa beans have been received at the processing location, they are inspected and thoroughly cleaned of all extraneous matter, such as sticks, stones, and metal fragments, as well as broken beans. Once the beans are cleaned they are roasted and then ground into a paste. The heat generated by this process causes the Cocoa Butter in the nib to melt, hence the name ‘cocoa liquor’. Chocolate liquor destined for processing into Cocoa Butter is refined to a very small particle size because it is easier to reduce the particle size early when the butter is still present. A smaller particle size makes butter extraction easier. Using Cocoa Butter Cocoa Butter is one of the most stable, highly concentrated natural fats known, and melts at body temperature so that it is readily absorbed into the skin.  Since Cocoa Butter absorbs so quickly, it immediately relieves dry and irritated skin. There are many different uses for Cocoa Butter, below are some of the ways in which Cocoa Butter may be used: •Add a spoonful to your bath water for a luxurious and healing experience. Especially helpful for those with dry or itchy skin, or sore muscles. Try adding Lavender or Chamomile essential oil as well, or an herbal infusion made from soothing herbs. •In massage, Cocoa Butter is beneficial for overexerted muscles or for dry skin. •In soaps, Cocoa Butter has a conditioning effect that adds a good lather. Try incorporating Cocoa Butter into your handmade soap recipes. •Use during pregnancy to keep the skin supple, and to prevent stretch marks. It may also be used after giving birth to reduce stretch marks. Precautions Those with serious or persistent skin problems, such as eczema, should consult a physician before using Cocoa Butter. Cocoa Butter is often mistakenly used by people to expedite a suntan and while it will enhance a natural tan, it does not have a sun protection factor (SPF). To prevent the harmful effects of the sun, use a suntan lotion with an SPF of at least 15 that contains Cocoa Butter. Not recommended by those with nut allergies. จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:21:46

ความคิดเห็นที่ 39 ขอพักเบรคก่อนนะคะ คืนนี้จะมาต่อให้ ยังมีใครสนใจเรื่องบัตเตอร์อีกมั๊ยคะ ถ้ามี จะกลับมาต่อให้อีก ยังเหลืออีก 3-4 ตัวที่ยังไม่ได้พูดถึงค่ะ ถ้าไม่มีใครสนใจเรื่องบัตเตอร์ อุ้ยจะข้ามไปเรื่อง DIY สกินแคร์แบบบ้านๆ ให้อีกนิดค่ะ... จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:23:46

ความคิดเห็นที่ 40 มารออ่าน DIY สกินแคร์แบบบ้านๆ ค่า จากคุณ : แก้วกรพินธุ์ เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:34:42

ความคิดเห็นที่ 41 แล้ว mineral  oil ที่เห็นอยู่ในหลายผลิตภัณนี่ตัวไหนอ่ะค่ะ จากคุณ : nu_ti_ka_s เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 20:50:26

ความคิดเห็นที่ 42 มาแล้วค่ะ ตามรีเควสค่ะ เดี๋ยวขอโพสเรื่อง DIY สกินแคร์แบบง่ายๆ ให้ละกันนะคะ เริ่มจากอันแรก ส่วนตัวคิดว่าง่ายสุดคือ สครับค่ะ หลักการของสครับขัดผิวคือ ตัวขัด กับครีมหรือน้ำมันบำรุง เพื่อช่วยลดแรงเสียดทานที่เกิดจากการขัดผิว และยังเป็นการบำรุงไปในตัวด้วยค่ะ ตัวขัด แนะนำให้ลองดูในครัวที่บ้านนะคะว่ามีอะไรบ้าง น้ำตาล เกลือ เบคกิ้งโซดา ผงสมุนไพร ขมิ้น ทานาคา มะขาม เปลือกมังคุด ฯลฯ ลองเอามาถูผิวดูค่ะว่า ชอบอันไหนที่สุด ครีมหรือโลชั่นที่มีอยู่ที่บ้าน ลองหามาผสมพวกผงสมุนไพร หรือตัวขัดตามรายการข้างบนดูค่ะ ถ้าไม่อยากใช้ครีม เลือกน้ำมันที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง มาใช้ก็เป็นทางเลือกที่ดีค่ะ หรือโยเกิร์ต น้ำผึ้ง น้ำนม รายการพวกนี้ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ดีไม่แพ้กันค่ะ แนะนำว่าให้ลองจับคู่ประมาณนี้นะคะ ถ้าที่บ้านมีเกลือ(แนะนำผงละเอียดอย่างปรุงทิพย์) หรือน้ำตาล ให้หาน้ำมันมาผสมแล้วขัดตัวค่ะ เร่ิมจากน้ำมันอะไรก็ได้ในบ้าน เอาแบบหาง่าย ไม่ต้องลงทุน ถ้าที่บ้านมีสมุนไพร พวกขมิ้น ไพล (ควรใช้คู่กันค่ะ ป้องกันสีเหลืองของขมิ้นติดผิว ล้างยาก) ผงถั่วเขียว ผงเปลือกมังคุด ผงมะขาม หรือผงสมุนไพรที่เนื้อละเอียดทั้งหลาย แนะนำว่าให้ลองผสมโลชั่นทาตัว แล้วขัดผิวกายค่ะ ถ้าเบคกิ้งโซดาล่ะ ควรใช้คู่กับอะไรดี ตอบว่าได้ทั้งน้ำมัน โลชั่น หรือ โยเกิรต์ นม น้ำผึ้ง ได้หมดค่ะ นอกจากนี้มีอะไรได้อีก นึกออกอีกอย่างคือ ผงกาแฟค่ะ ถ้าบ้านใครมีผงกาแฟคั่วบดละเอียด เอามาผสมโลชั่นทาผิว ใช้สครับตัว ก็ใช้การได้เช่นกันค่ะ ย้ำอย่างเดียวว่า เนื่องจากเราทำใช้เองในบ้าน ดังนั้นให้ผสมใช้ครั้งต่อครั้งเท่านั้นค่ะ อย่าขี้เกียจแล้วผสมไว้ใช้ทีละเยอะๆ ถ้าใครขี้เกียจผสมใช้ทุกครั้ง อุ้ยแนะนำว่า ให้ซื้อของที่มีขายอยู่มาใช้ดีกว่าค่ะ เพราะของที่ทำขาย เค้าคำนวนทุกอย่างแม้กระทั่งปริมาณสารกันเสียที่เหมาะสม เพื่อรักษาสภาพของสครับให้ดีที่สุดค่ะ หลักการของสครับที่ขายกันทั่วไป ก็ใช้ประมาณนี้ค่ะ เพียงแต่แต่ละยี่ห้อก็จะมีสูตรเบสเนื้อสครับที่แตกต่างกัน ตามแบบของใครของมันค่ะ จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 20:50:49

ความคิดเห็นที่ 43 ตอบคุณ nu_ti_ka_s Mineral Oil เป็นน้ำมันราคาถูก ไม่ค่อยมีประโยชน์มาก นอกจากเคลือบผิวไม่ให้แห้ง แต่ครีม โลชั่นที่ขายตามท้องตลาด มักใช้ตัวนี้เป็นส่วนผสมหลัก เพราะราคามันถูกมากค่ะ ถ้าอยากได้ข้อมูล เดี๋ยวอุ้ยโพสให้ก็ได้ค่ะ รอแป๊บนะคะ จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 20:54:30

ความคิดเห็นที่ 44 มีคนถามถึง Mineral Oil ดังนั้น ขอเพิ่มน้ำมันตัวที่ 24 ให้นะคะ 24. Mineral Oil ถ้าไปซื้อตามร้านขายเคมีแถวสำเพ็ง เค้าจะเรียก White Oil ค่ะ เป็นน้ำมันที่ได้มาจากการกลั่นปิโตรเลียม ถ้าอยู่ในรูปของน้ำมันเราเรียกว่า Mineral Oil แต่ถ้าอยู่ในรูปของแวกซ์ เราเรียกว่า ปิโตรเลียมเจล ค่ะ น้ำมันประเภทนี้ได้มาจากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ โดยใช้ความร้อนแปรสภาพน้ำมันให้กลายเป็นไอ จนลอยขึ้นสู่ชั้นบนของหอกลั่น กลั่นตัวกลายเป็นน้ำมันต่างๆ  และที่อุณหภูมิจุดเดือดที่ 150 - 275 องศาเซลเซียส ที่ไอกลั่นตัวเป็นน้ำมันเบนซิล และเกิดสารเหลือค้างเกาะอยู่ชั้นบนขอหอกลั่น เรียกกันว่า พาราฟินที่นำมาทำ ปิโตรเลียมเจล หรือ Petroleum Jelly นั้น มีหน้าตาเป็นน้ำมันใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ซึ่งที่มาก็คือเป็นสารสกัดที่เป็นผลพลอยได้มาจากการทำน้ำมันปิโตรเลียมในธุรกิจพลังงานนี่เอง จึงสามารถหาได้ปริมาณมากและมีราคาถูก (ว่ากันว่าถ้าโรงกลั่นน้ำมันจะกำจัด Mineral Oil โดยการย่อยสลาย ค่าใช้จ่ายในการย่อยสลายMineral Oil แพงกว่าราคาที่ขายได้เสียอีก) แถมยังไม่เน่า ไม่หืน ไม่หมดอายุ จึงมักถูกนำมาใช้ในสูตรเครื่องสำอางประเภทมอยเจอร์ไรเซอร์ ทั้งชนิดราคาถูกและแพง ทำหน้าที่ในการให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว แต่เบื้องหลังการทำงานของมันนี้ ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพตามมาได้ หากสะสมในปริมาณมาก การทาครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของ Mineral Oil ลงบนผิวนั้น สารสกัดตัวนี้จะทำหน้าที่เหมือนฟิล์มบางๆ มาเคลือบบนชั้นผิว ผลลัพธ์ก็คือ เมื่อผิวถูกเคลือบปิด จึงไม่สามารถกำจัดสิ่งสกปรกที่อยู่ใต้ชั้นผิวออกมาได้ เท่ากับเป็นการปิดกั้นการถ่ายเทของน้ำและอากาศระหว่างชั้นผิวกับภายนอก ผิวหายใจเข้าออกยาก และถ่ายเทของเสีย (เช่น เหงื่อ) ตามธรรมชาติไม่ได้รังสียูวีในแสงแดดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวมีริ้วรอยก่อนวัย (Photo Aging) ทำให้มีกระแดด ผิวแห้งกร้าน มีริ้วรอย และการใช้เครื่องสำอางที่มี Mineral Oil จะยิ่งช่วยเร่งปฏิกิริยาการแก่ก่อนวัยของผิวมากยิ่งขึ้น แทนที่จะเป็นการให้ความชุ่มชื่น กลับเป็นการทำให้ผิวแห้งขึ้นในระยะยาว หน้าที่ของ Mineral Oil ในพวกสกินแคร์ จะทำหน้าที่เป็นฟิลม์เคลือบผิวป้องกันการสูญเสียน้ำประมาณนี้ค่ะ น้ำมันตัวนี้ไม่ได้ช่วยในแง่ของการบำรุง ในหลายผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเป็น Oil-Free คือหมายความว่า ไม่มีน้ำมันตัวนี้เป็นส่วนผสมค่ะ แล้วผลิตภัณฑ์ที่เป็น Oil Free จะไม่มีน้ำมันเลยได้มั๊ย ตอบตามตรงก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาน้ำเปล่าๆ ใส่สารโน่น นี่ นั่น มาทาผิวค่ะ คือ ไม่ได้มีประโยชน์อะไร แค่ชุ่มชื้นเพียงไม่กี่วินาที หลังจากนั้น น้ำก็จะระเหยออกไปตามธรรมชาติเสียหมด สู้แบบที่ผสมน้ำมันบ้าง ยังดีกว่าเยอะค่ะ อย่าลืมกลับขึ้นไปดู รายการน้ำมันข้างบน จะเห็นว่า น้ำมันที่มีประโยชน์(แต่ราคาสูง) ก็มีเยอะ Mineral Oil Mineral oil is one of a number of inexpensive byproducts that are made from petroleum. Sometimes referred to as paraffin oil or Nujol, white mineral oil is composed of a blend of hydrocarbons that is not unlike that of petroleum jelly. The difference is that mineral oil is a liquid petrolatum, making it an ideal choice for a number of applications. Here are some of the more common uses for mineral oil around the home. Perhaps the single most common use for white mineral oil is to remove makeup at the end of the day. Mineral oil has the ability to cut through the minute amounts of grease and dirt that tend to cling to makeup over the course of the day, making it possible to strip off the layer of makeup easy and prepare the face for cleansing. Along with removing makeup from the face, mineral oil is often used as a beauty treatment, as it is an excellent amplifier that helps the body to absorb ultraviolet rays without drying out the skin. While not everyone is aware, baby oil is simply mineral oil that has been enhanced with a small amount of fragrance. Mineral oil is also good for use in the kitchen as well. Butcher-block surfaces can be conditioned with the substance from time to time. Treatments of mineral oil help the wood to stay supple, and also help to soften the appearance of nicks and cuts that are made during regular use of the block. Soapstone countertops can also benefit from an application of mineral oil from time to time. The properties of the oil help to keep the surface looking new, even if the countertop has been in place for ten years or more. Clay is another medium that can benefit from the application of mineral oil from time to time. For example, treating new clay pots with mineral oil will help to age the look of the pot. This is often desirable with decorating schemes that tend toward old country or shabby chic motifs. Clay poker chips can also be aged with the application of a little mineral oil, helping them to look well loved and used. Mineral oil is a very inexpensive item to keep around the house. With so many different types of uses, having a bottle of mineral oil in the cupboard is an excellent idea. Whether for personal hygiene or maintaining the look and condition of selected items around the home, mineral oil is a great option. น้ำมันตัวนี้ ในวงการสปา จะเอาไปทำเป็นน้ำมันนวดตัวโดยผสมกับ Essencial Oil ที่มีประโยชน์ค่ะ จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 21:33:12

ความคิดเห็นที่ 45 บ่นอยู่คนเดียว เหงาจัง ... ยังมีใครตามอ่านโพสเรามั๊ยเนี่ย..... จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 21:45:08

ความคิดเห็นที่ 46 ยากไปสำหรับเค้าง่ะ  จากคุณ : i love my boss เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:05:40

ความคิดเห็นที่ 47 แวะมาปาด+ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ จากคุณ : nu_ti_ka_s เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:07:48

ความคิดเห็นที่ 48 ไม่ยากหรอกค่ะ เผื่อเอาไว้ตัดสินใจเวลาซื้อของไง... จะได้ดูว่า น้ำมันแบบไหนเหมาะกะเราอะไรแบบนี้อ่ะ...... จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:09:54

ความคิดเห็นที่ 49 ยังตามอ่านอยู่ค้า คุณ nongkin เปิดกระทู้มาก็ เอ๊ะ! ใช่เลย พอดีอาจารย์ให้หาข้อมูลเกี่ยวกะสารจากธรรมชาติไว้ค่ะ เอาไว้ทำผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางส่งเอาคะแนน เหมือนสวรรค์มาโปรดเลยค่ะ >,,< อยากทราบวิธีการทำครีมทาหน้าจังเลย มีวิธีง่ายๆ เจ๋งๆ มาแชร์ไม๊ค๊า จากคุณ : สตรีสีเลือด เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:10:14

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณ จขกท. คุณอุ้ยมากเลยค่ะ เราเองก็สนใจเรื่องน้ำมันที่มีประโยชน์อยู่ ก็ได้แต่หาอ่านข้อมูลในเน็ตสะเปะสะปะ มีคนมารวบรวมให้เข้าใจง่ายๆอย่างนี้ ชอบมากเลย ส่วนตัวเรามี น้ำมันในครอบครองอยู่ 4 ตัว คือ น้ำมันมะพร้าว , Grape seed oil , Sweet Almond oil แล้วก็ Apricot kernel oil   เอามานวดหน้า นวดตัว หมักผมบ้าง DIY ไปเรื่อย สนุกดีค่ะ เดี๋ยวจะไปลองทำสครับ สูตรคุณบ้าง : ) จากคุณ : Funnyfeelin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:12:32

ความคิดเห็นที่ 51 อ่านจ้าาา ถูกใจอย่างแรง ข้อมูลเพียบ ร๊ากกอุ้ยที่สุด จากคุณ : ใครคนหนึ่งที่รักเธอ (ณ ที่นี่มีดาวเหนือ) เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:20:14

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณคุณ nu_ti_ka_s กับคุณสตรีสีเลือดนะคะที่ยังติดตามอยู่ พักเบรคตะกี๊มัวแต่ดูสายชลเพลิน เผลอกดปิดไฟล์ที่พิมพ์ค้างไว้โดยไม่เซฟ ว่าจะต่อเรื่อง OCM แบบละเอียดให้อีกทีค่ะ ครีม หรือโลชั่น วิธีการไม่แตกต่าง แต่.... อุ้ยคงไม่สามารถสอนแบบง่ายๆ ให้เอาไปทำเองที่บ้านได้แน่ๆ เพราะว่า อุปกรณ์เยอะ บวกสารเคมีที่ต้องหาซื้อเพิ่มหลายตัวมาก.... ไม่เหมาะกับ DIY แบบบ้านๆ ที่เข้าครัวแล้วเอามาใช้ได้เลยตามที่ตั้งใจทำกระทู้นี้ค่ะ เปลี่ยนเป็นทำพวกโลชั่นบาร์ หรือลิปบาล์มแบบละเอียดให้ดีกว่ามั๊ยคะ ... ขออภัยที่ไม่สามารถลงรูปให้ได้ เพราะว่า ไม่มีคนถ่ายให้ค่ะ นี่ก็คิดไปพิมพ์ไป ให้แบบเข้าใจง่ายๆ หน่อย (ยกเว้นภาษาอังกฤษ แม้จะเยอะ แต่ข้อมูลค่อนข้างมีประโยชน์เลยใส่แบบเต็มๆ ให้ค่ะ) แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 23:54:04 จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:24:08

ความคิดเห็นที่ 53 เศร้า เปิดไฟล์ Oil Cleansing Method ไม่ขึ้น ถ้าพยายามสำเร็จ จะมาแชร์ให้อีกทีนะคะ ขอแชร์เรื่องโลชั่น ครีมให้ฟังแล้วกันค่ะ ที่อุ้ยบอกว่า พวกตระกูลโลชั่นหรือครีมต่างๆ เราไม่สามารถทำ DIY แบบบ้านๆ ได้นั่น เนื่องจากพวกนี้ จะประกอบไปด้วยสามส่วนหลักคือ ส่วนที่ 1 ส่วนผสมของน้ำ ประมาณ 50-80% ขึ้นอยู่กับว่า เราต้องการให้มันเข้มข้นแค่ไหน โดยมากจะใช้น้ำกลั่น (ขอย้ำว่า น้ำกลั่นเท่านั้นนะคะ) และสารอื่นๆ ที่อยู่ในรูปแบบของน้ำ เช่น น้ำสกัดจากดอกไม้ (Hydrosol) น้ำว่านหางจระเข้  กลีเซอรีน(หรือสารให้ความชุ่มชื้นอื่นๆ) ส่วนที่ 2  ส่วนผสมของน้ำมัน ประมาณ 20-45 % จะประกอบไปด้วยน้ำมันที่เหมาะกับผิว (มักใช้หลากหลายประเภทรวมถึงบัตเตอร์ต่างๆ) และ Emulsifier (ตัวประสานระหว่างน้ำกับน้ำมัน) และ Thickener (Stearic Acid กับ Cetyl Alcohol หรือตัวอื่นๆ) ส่วนที่ 3 ส่วนผสมอื่นๆ ที่ใส่เพิ่ม เช่น หัวน้ำหอม สารกันเสีย สารสกัดต่างๆ ซิลิโคน IPM เป็นต้น หลักของการทำโลชั่นและครีมไม่แตกต่างกันค่ะ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นที่เราเลือกใช้ ถ้าอยากใช้กับหน้า ก็เลือกน้ำมันที่เหมาะกับผิวหน้า (พวกน้ำมันไฮโซทั้งหลาย) อยากใช้กับตัวก็น้ำมันดีรองๆ ลงมา ถ้าจะทำสครับ ก็น้ำมันราคาถูกหน่อย เพราะสครับแล้วมันต้องล้างตัวออก ไม่เหลือติดผิวค่ะ.... แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 23:44:52 จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:41:47

ความคิดเห็นที่ 54 ยังตามอ่านค่ะ เตรียมกดเข้าคลังกระทู้ด้วย กระทู้ดีๆมีสาระควรค่าแก่การเก็บ :) ปล. ก็ว่าทำไมเราแพ้ทั้ง mineral oil ทั้ง petrolatum เพราะมันตัวเดียวกันนั่นเอง จากคุณ : midori เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:44:13

ความคิดเห็นที่ 55 เพิ่งนึกออกค่ะ มีตระกูลครีมตัวนึงที่ทำได้เองง่ายๆ ที่บ้าน แบบนี้ เวปต่างประเทศเรียกว่า วิปบัตเตอร์ Whipped Butter หลักการคือ เอาน้ำมันกับบัตเตอร์มาตีให้ขึ้นฟู  แล้วก็เอามาใช้งานได้เลยค่ะ ไม่ต้องใส่สารกันเสีย หรือสารเพิ่ม..... อุปกรณ์ที่ควรต้องมีคือ แก้วทนไฟ(สำหรับใส่บัตเตอร์ละลายในไมโครเวฟ และตะกร้อมือ 1  อันค่ะ ก่อนอื่น ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ด้วยน้ำ และฆ่าเชื้ออีกครั้งด้วย แอลกฮอล์ค่ะ (สำคัญมาก ณ จุดนี้ เราต้องการให้มันปลอดเชื้อที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ) เลือกบัตเตอร์ตัวที่ชอบ ใช้ประมาณ 60-80% ค่ะ ลองหาดูว่าชอบตัวไหน (ยกเว้นโกโก้บัตเตอร์ ถ้าใช้ควรผสมบัตเตอร์ตัวอื่น 50-50 ค่ะ) ส่วนที่เหลือ ให้หาน้ำมันที่เหมาะผสมลงไป แล้วนำไปอุ่นให้ร้อนจนบัตเตอร์ละลายหมดดีค่ะ จากนั้น เอาตะกร้อมือคนตีๆ ไปเรื่อยๆ เหมือนเราตีเมอแรงค์ค่ะ จนกว่ามันจะขึ้นฟูดี ก็เป็นอันเสร็จสิ้น บรรจุใส่ภาชนะแล้วพร้อมใช้งานได้เลย .... ปล. อุ้ยเอาสูตรนี้ มาทำ Eye Cream ใช้ส่วนตัว โดยใช้สูตร เชย์บัตเตอร์ อะโลเวร่าบัตเตอร์ ผสมน้ำมันโรสฮิปออย อีกหน่อย ตีให้ขึ้นดี แล้วก็เก็บใส่กระปุกใช้ทาใต้ตาเช้าเย็นค่ะ สาเหตุที่สูตรนี้ไม่ต้องใช้สารกันเสีย เพราะว่า ไม่มีส่วนผสมของน้ำค่ะ โอกาสเสียมีน้อย เวลาใช้ก็เหมือนเราใช้ครีมทั่วไป เอาพายตักวิปบัตเตอร์ใส่มือ แล้วค่อยทาตาค่ะ ..... ใครมีหัวน้ำหอม (Fragrance Oil) หรือ Essencial Oil ที่ไม่รุนแรง สามารถเติมลงในสูตรได้ ไม่เกิน 1% ค่ะ ควรระวังการใส่น้ำหอม เพราะอาจแพ้ได้ค่ะ แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 22:58:43 จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:52:49

ความคิดเห็นที่ 56 โลชั่นแบบบ้านๆ ทำง่ายๆ ได้ด้วยตัวเองอีกตัวค่ะ แบบนี้จะเรียกว่า Lotion Bar คือโลชั่นที่เป็นก้อนๆ นั่นเอง เมืองไทย ไม่ค่อยมีขาย เพราะบ้านเราอากาศหนาวมีน้อยค่ะ โลชั่นต่างๆ ก็เน้นไปที่ความบางเบา ดังนั้นเจ้าตัวนี้เอาเข้ามาคงขายไม่ได้แน่ๆ แต่อย่ากระนั้น อุ้ยทำเอาไว้ทาถูตามข้อศอก เข่า ตาตุ่มที่ด้านๆ บ่อยๆ ค่ะ (อย่างที่บอกว่า อุ้ยค่อนข้างผิวแห้ง ก่อนที่จะมาเจอบ้านไทยบับเบิ้ล ก่อนหัดทำของพวกนี้ ช่วงอากาศหนาว จะทรมาณกับอาการคันไปทั้งตัวตลอดค่ะ ขางี้เป็นลายงูเลยทีเดียว) วิธีทำโลชั่นบาร์ ง่ายมากที่สุด อุปกรณ์ที่ต้องใช้ ก็แก้วทนไฟใบเดิม และช้อนหรือตะกร้อมือสำหรับคน และตาชั่ง วัตถุดิบ Bee Wax หรือขี้ผึ้ง  1 ส่วน น้ำมันบำรุง 1 ส่วน บัตเตอร์ 1 ส่วน วิธีทำไม่ยากค่ะ ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงแก้วทนไฟ เข้าเวฟพอให้ Bee Wax ละลาย (เพราละลายยากสุด) พอละลายหมด ก็เอาออกมา คนให้เข้ากันดี เทใส่แม่พิมพ์  ทิ้งไว้ให้เย็นค่ะ พอแข็งตัวเคาะออกจากพิมพ์ แล้วก็เอามาทาถูตามข้อศอก หัวเข่าที่มันแห้งด้าน สามารถวางไว้ในอุณหภูมิห้องได้ อาจจะหาจานหรือถ้วยเล็กๆ ไว้วางรองค่ะ แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 00:06:22 จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 23:13:44

ความคิดเห็นที่ 57 DIY แบบบ้านๆ อีกตัว OIL Cleansing Method ขอเรียกมันแบบสั้นๆ ว่า OCM ค่ะ คือ ออยล้างหน้าแบบที่เราพอเห็นกันทั่วไปนั่นเองค่ะ อ้าว ถ้ามันทำเองได้ แล้วเค้าจะขายกันได้ไงล่ะ?? คำตอบคือ แบบที่เค้าขาย จะผสมสาร Emulsifier ลงไป บวกกับสารโน่นนี่นั่นนิดหน่อย เพื่อให้มันล้างออกง่ายๆ ด้วยน้ำค่ะ สังเกตุว่า เวลาใช้ออยล้างหน้าแบบนี้ พอเราใช้น้ำล้าง ออยจะเปลี่ยนเป็นน้ำมัน เนื่องจากสาร Emulsifier ทำหน้าที่ประสานให้น้ำเข้ากับน้ำมันได้ และพากันหลุดออกไป หลักการที่นิยมกันคือ ใช้น้ำมันละหุ่งเป็นหลักค่ะ เพราะเจ้าน้ำมันละหุ่งหรือ Castor Oil (ขอย้ำว่า ต้องเป็นเกรดสำหรับเครื่องสำอางค์ หรือเกรดสำหรับบริโภคเท่านั้น ไม่ใช่แบบที่ใช้เติมเครื่องยนต์เพื่อหล่อลื่น เพราะยังมีพิษที่เป็นอันตรายได้ค่ะ) น้ำมันละหุ่ง จะทำหน้าที่ดึงสิ่งสกปรกออกจากผิวเรา แต่ก็มีข้อเสียคือ ใช้มากไปผิวจะแห้งได้ค่ะ ดังนั้น แนะนำว่า ให้เลือกน้ำมันบำรุงที่เหมาะกับตัวเองมาผสมกับน้ำมันละหุ่งตามอัตราส่วน (ปรับได้ตามความเหมาะสม) ผิวมัน ลองนำ้มันละหุ่งที่ 30% ส่วนที่เหลือเลือกน้ำมันตัวอื่น 70% ผิวธรรมดา ลองน้ำมันละหุ่งที่ 20% น้ำมันอื่นๆ  80% ผิวแห้ง ลองน้ำมันละหุ่งที่ 10% น้ำมันอื่นๆ 90% ใครผิวมันมาก อยากลองใช้น้ำมันละหุ่งเยอะๆ ก็เลือกน้ำมันละหุ่งที่ 50% ได้ ที่เหลือก็ลองหาน้ำมันที่เหมาะกับผิวมัน เช่นพวก โจโจ้บา ทานตะวัน เป็นต้นค่ะ วิธีใช้ ก็ผสม OCM  แล้วเอามานวดให้ทั่วใบหน้า... นวดวนๆ ไปมาให้ทั่ว (เบามือนะคะ) ...ก่อนล้างออก ให้ลองเอาผ้าชุบน้ำร้อนเช็ดหน้า (ทริคนี้ได้จากบล็อกคุณฟีบี้ ขออนุญาตขอบคุณมา ณ ที่นี่นะคะ) ... ช่วยกำจัดสิวเสี้ยนเล็กๆ ให้ออกได้ดีเลยค่ะ... จากนั้นใช้สบู่อ่อนๆ ล้างหน้าอีกที เป็นอันจบค่ะ... ถ้าเจอเครื่องสำอางค์แบบกันน้ำขั้นเทพ พวกมาสคาร่ามาจอฯทั้งหลายทำไง ก็นวดนานหน่อยค่ะ จนกว่าจะรู้สึกได้ว่า เครื่องสำอางค์หลุดออกมาหมด ค่อยเช็ดหน้าด้วยผ้าร้อน ก่อนล้างด้วยสบู่แบบอ่อนๆ อีกทีค่ะ สวยแบบประหยัดงบด้วยของใช้ในบ้านอีกวิธีค่ะ แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 23:48:54 จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 23:38:12

ความคิดเห็นที่ 58 ใครมีทริคอย่างอื่น แนะนำมาได้นะคะ ตอนนี้พยายามประมวลผลในสมองอยู่ ว่ามีอะไรที่มันทำง่ายๆ ได้อีกบ้าง.... ถ้าไม่ไหว คงมาต่อให้พรุ่งนี้ค่ะ จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 23:41:01

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบคุณ คุณ nongkin ที่มาแบ่งบันนะค่ะ ตอนแรกมีความคิดว่าจะเอาMineral Oil มาทำ ดีนะเนี่ยมาเจอกระทู้นี่่ซะก่อน จากคุณ : Eve_if เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 20:45:42

ความคิดเห็นที่ 60 สุดยอดค๊า จากคุณ : mbzz เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 18:32:21

ความคิดเห็นที่ 61 ขอโทษทีค่ะ มัวแต่วุ่นๆ มาสองวัน วิ่งหาซื้อของมาทำของแจกปีใหม่ กลับมาต่อให้อีกทีนะคะ ขอบคุณที่ยังมีคนแวะมาอุดหนุนกระทู้เราอยู่.... หวังว่า ข้อมูลที่แชร์ให้ คงมีประโยชน์สำหรับหลายๆ คน ในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับตัวเองนะคะ .... อย่างที่หลายๆ คนเจอ บางทีผลิตภัณฑ์ตัวนึงๆ อาจจะดีสำหรับคนๆ นึง แต่ไม่อีกคนใช้แล้วอาจแพ้ได้ เพราะภูมิต้านทานแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ ดังนั้น ลองศึกษาพวกข้อมูลผลิตภัณฑ์ไว้บ้าง อาจจะทำให้เราเลือกของที่เหมาะสำหรับตัวเองได้ดีค่ะ แนะนำ DIY แบบบ้้านๆ ให้อีกอย่างนะคะ เป็นเซรั่มทำเองแบบง่ายๆ ค่ะ ปกติเซรั่มที่เราซื้อ ก็จะมีกระบวนการเลือกสารต่างๆ มาผสมให้เข้มข้น (ขวดเล็กนิดเดียว แต่ราคาช่างมหาศาลมากกกกกก ) อุ้ยก็เป็นคนนึง ที่เสียตังค์ให้ของพวกนี้มาเยอะ ใช้แล้วไม่เห็นผลก็เยอะ .... จนได้มาหัดทำอะไรเล่นๆ (ขอโทษค่ะ อุ้ยขายด้วย ดังนั้น จึงทำให้มีน้ำมันแปลกๆ สะสมไว้ค่อนข้างเยอะกว่าคนปกติทั่วไป) เซรั่มที่ทำเอง ก็จะเลือกมาจากเหล่าน้ำมันไฮโซทั้งหลายค่ะ แล้วแต่เราชอบ เช่น โจโจ้บา โรสฮิป สควาเรน อีฟนิ่ง เป็นต้น (จริงๆ มีอีกหลายตัวที่ เหมาะสำหรับใช้กับผิวหน้าได้) ลองดูคุณสมบัติว่า เราอยากเน้นไปที่อะไร แล้วใส่ตัวนั้นๆ เยอะหน่อยก็ได้ แต่ถ้าไปไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไง ให้ลองเติมน้ำมันไฮโซ(เลือกแบบที่เหมาะกับหน้า และเบา ซึมเข้าผิวได้ง่ายๆ นะคะ) เลือกใช้น้ำมันแต่ละตัวในปริมาณที่เท่าๆ กัน ในกรณีที่ไม่มีเครื่องชั่งที่บ้าน จะทำให้ให้รู้ว่า ปริมาณเท่ากัน ?? คำตอบคือ ใช้ Dropper หลอดหยด ค่อยๆ หยดส่วนผสมแต่ละตัว ลงขวดที่เราเตรียมไว้ค่ะ ใส่น้ำมันครบแล้ว ก็แค่เขย่าให้เข้าๆ กัน แล้วก็เอามาใช้ได้เลย แค่ 2-3 หยด ลูบให้ทั่วใบหน้าก่อนนอน แล้วจะเติมแป้งหรืออะไรตามถนัดค่ะ ผสมใช้เองที่บ้าน ก็ไม่ต้องทำเยอะนะคะ แค่ใช้ปริมาณซักสัปดาห์ก็เกินพอค่ะ ฝากไว้อีกรอบ สำหรับคนที่อยากลอง DIY สกินแคร์ใช้เอง เนื่องจาก คุณอาจไม่ได้มีสารเคมีต่างๆ ครบครัน โดยเฉพาะสารกันเสียที่เหมาะกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ อุ้ยแนะนำว่า ถ้าเป็นประเภทน้ำมันล้วน ทำใช้แค่ภายในหนึ่งสัปดาห์ก็พอค่ะ (จริงๆ ถ้าน้ำมันล้วน อย่าง วิปบัตเตอร์ หรือเซรั่ม อาจจะใช้ได้นานตามอายุของน้ำมันที่เราเลือก) และถ้ามีส่วนผสมของน้ำเข้ามา (น้ำตาล เกลือ รวมหมดนะคะ) หรือของสดใดๆก็ตาม (สมุนไพรต่าง) ผสมแค่ใช้สำหรับครั้งเดียวพอค่ะ อย่าขี้เกียจ ขอผสมทีเดียว ใช้มันซักเดือน รับรองว่า ของที่เราทำไว้มีหวังได้ขึ้นราแน่ๆ ถ้าขี้เกียจจริงๆ ซื้อผลิตภัณฑ์สำเร็จตามท้องตลาดใช้ดีกว่าค่ะ เลือกที่เหมาะสมกับตัวเองให้เจอค่ะ.... จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 02:09:05

ความคิดเห็นที่ 62 สัปดาห์หน้า ถ้ามีเวลา จะมาลงชื่อ Incl ของน้ำมันแต่ละตัวให้นะคะ เวลาอ่านฉลาก จะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นค่ะ จากคุณ : nongkin เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 02:10:40

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ^^ จากคุณ : weirdprincessandcoldprince เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 54 11:47:16

ความคิดเห็นที่ 64 เป็นข้อมูลที่ดีที่สุดเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : Gampumpui เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 55 20:22:34