เชื่อในเรื่องการปั่นจำนวนตัวเลขแฟนเพจ และเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ ที่บล็อคเกอร์จะได้รับเมื่อมีชื่อเสียง เพราะมีเพื่อนเป็นบล็อคเกอร์เหมือนกัน แล้วอีกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์เหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นไปได้นะ อีกด้านนึงก็เข้าใจความรู้สึกเจ้าของกระทู้ด้วยว่าไม่ได้นอยด์ที่ว่าตัวเองไม่มีความสำคัญหรือน้อยใจที่โดน Unfriend เราเองบอกตามตรงว่าติดตามบล็อคเกอร์ดังๆ บางคนมาเกิน 6 ปีแล้ว เพราะงั้นจะเห็นวิวัฒนาการของเค้าชัดเจนมาก บางคนเริ่มตั้งแต่หน้าตาบ้านๆ แฟชั่นก็งั้นๆ เสื้อผ้าหน้าผมก็ธรรมดาทั่วไป แบรนด์เนมยิ่งไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่าไม่มีมาโชว์ให้เห็น Lifestyle ก็ไม่ได้หวือหวาแบบที่ว่าต้องเดินเสพอากาศบริสุทธิ์ในห้างหรูเท่านั้นไรงี้ แต่เพราะทุกอย่างที่ดูธรรมดาแต่เปี่ยมไปด้วยความสนุก ความสร้างสรรค์ และความจริงใจที่จะนำเสนอในระดับนึงนี่แหล่ะที่ทำให้เราชื่นชอบพวกเค้าในตอนนั้นถึงขนาดเคยเซฟรูปที่เค้ารีวิวหรือทำฮาวทูเก็บเอาไว้แยกเป็นโฟลเดอร์เลยทีเดียว เพราะรู้สึกว่าเออ.....หนังหน้าเค้าเองมีปัญหาสภาพผิวเหมือนเรานะ ไม่ได้สวยเพอร์เฟคมาตั้งแต่แรก ใช้สินค้าที่ไม่ได้ราคาสูงโอเวอร์อะไรมาก จับต้องได้ รู้สึกถึงความจริงใจในการรีวิวหรือทำฮาวทูพอควร แต่พอระยะเวลาล่วงเลยไปบล็อคเกอร์เหล่านั้นมีผู้คนรู้จัก ชื่นชอบผลงาน ให้การยอมรับ และติดตามผลงานมากขึ้น สิ่งที่พ่วงตามมาด้วยก็คือ คุณจะสังเกตได้ว่าบางคน (ย้ำว่าบางคน) เริ่มที่จะ.......
- รีวิวสินค้าบางอย่างที่อ้างว่าอยู่ดีๆ เดินงงๆ ก็ไปเจอมา เห็นว่าน่าใช้ ลองแล้วมีข้อดีมากกว่าเสีย ไปลองกันนะเธอ (แต่ราคาแทบไม่เคยต่ำว่าหลักพันขึ้นไปนะ)
- บ่นว่าสินค้าบางอย่างที่ตัวเองใช้ประจำหาไม่ได้แล้วในเคาเตอร์ เพราะพวกเธอไปแย่งชั้นซื้อหมด แค่ชั้นเอามาลงขำๆ ว่ามันดีงั้นงี้ น่าตีจริงเชียว (แต่ในใจ...ตัวฟูแล้วที่ทำให้สินค้านั้นหมดไปจากเคาเตอร์ได้ ตีพุงรอรับสายจากเจ้าของแบรนด์ได้เลย)
- จากปกติชีวิตวนเวียนอยู่แถวห้างชานเมือง ก็ผันตัวเองเข้าสู่ห้างหรูใจกลางเมือง จะเดินชิล เดินมึน เดินแบบมุ่งมั่น ก็ต้องวนเวียนอยู่ในโซนนี้เท่านั้น เสื้อผ้าหน้าผมพร้อม Accessories จัดเต็มกันไป
เรื่องบางเรื่องคนบางคนไม่ได้ใช้เวลาแค่วันสองวันในการวางรากฐานให้กับตัวเอง อย่างบล็อคเกอร์ก็เช่นเดียวกัน บางคนใช้เวลาในการทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จัก หมดค่าซื้อสินค้าเพื่อเป็นการลงทุนเบื้องต้นไปเท่าไหร่ สละหนังหน้าและสาระร่างของตัวเองเป็นเครื่องสังเวย (ทดลอง) อีกต่างหาก มันก็ไม่แปลกหรอกที่เค้าต้องถอนทุนคืนบ้าง เพราะสุดท้ายมันก็เป็นธุรกิจ เด็กประถมบางคนยังมองออกเลยว่ามันไม่ใช่แค่คุณรักการเขียน ชอบทดลอง หรือทำตามความฝัน บลา บลา บลา แบบที่บล็อคเกอร์บางคนเคยออกตัวไว้ แต่ที่มันทำให้รู้สึกคันๆ จนต้องออกมาวิจารณ์กับเค้าบ้างคือ ถ้าพวกคุณอยากทำธุรกิจกับการเป็นบล็อคเกอร์ เป็นเซเล็บ เป็นกูรู (กูรู้ ><'') อย่างน้อยก็แสดงออกให้มันชัดๆ ไปเลย แมนๆ อย่าแอ๊บว่าเจอของดีใช้แล้วกรีดร้อง (เห็นชอบใช้กันนักคำว่า “กรีดร้อง” เนี่ย เอาบ้าง ><’) เลยมาบอกต่อเหมือนบอกบุญแค่นั้น เพราะสุดท้ายคนที่เค้าติดตามคุณมานาน เค้าก็ดูพวกคุณออกอยู่ดี ว่าคุณมาทำธุรกิจ
แต่ก็เข้าใจอีกนั่นแหล่ะนะว่าเรื่องแบบนี้มันก็พูดยาก ใครจะอยากออกมาแบไต๋หรือประจานตัวเองว่าชั้นเป็นม้ากิตติมศักดิ์ มันก็ต้องเนียนๆ กันไปถึงจะงาม ไม่เป็นที่ครหา ใครจะกล่าวหาก็ไม่ได้เพราะมันไม่มีหลักฐานชัดเจนให้จับต้องได้ มันเป็นเรื่องของความรู้สึก และความรู้ทันกันล้วนๆ แล้วอีกอย่างนึง จะโทษบล็อคเกอร์อย่างเดียวก็ไม่ได้อีกเพราะส่วนนึงที่ทำให้พวกเค้ามั่นใจในความสวย ความหล่อ ความดังของตัวเอง มันก็เกิดจากบรรดาแฟนๆ นี่แหล่ะพากันอวย ทั้งที่จริงๆ จะมีซักกี่คนยอมรับว่า รูปบางรูปที่เค้าโพสมันก็มุมกล้อง การจัดแสง Photoshop บ้างไรบ้าง บางรูปไม่ได้สวยเลิศเลอซะขนาด บางรูปหน้าเรียวเชีย พอถ่ายเต็มตัวแปลงร่างกลายเป็นเชร็คซะงั้น...ก็เห็นยังอวยกันว่าสวยไม่มีที่ติ สวยทุกรูขุมขน สวยนางฟ้า ก็ว่ากันไป
สินค้าบางอย่างที่เค้ามาอวย ก็ยอมรับนะว่าบางอย่างก็สนใจเองอยู่แล้ว บางอย่างก็ดูน่าสนใจขึ้นจากที่เค้าเอามารีวิวให้ดู แต่ก็มีหลายครั้งที่ผิดหวัง เพราะมันไม่ได้ดีวิเศษเท่ากับคำพูดที่เค้าใช้เชียร์สินค้าอ่ะ ที่สำคัญ มันไม่ได้ยากอะไรหรอกกับการที่บล็อคเกอร์จะหมายเหตุต่อท้ายไว้ว่าของชิ้นไหนซื้อเอง ของไหนชิ้นได้มาฟรีให้มาโฆษณา ..สุดท้ายก็มีแต่เจ้าตัวเค้าที่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง
สรุปอ่ะ เสียความรู้สึกเนี่ยมันห้ามกันไม่ได้ แล้วเจ้าของกระทู้เค้าก็มีเหตุผลที่จะรู้สึกแบบนั้น อย่างความเห็นที่ 102 ว่าไว้อ่านแล้วก็แอบยิ้มนะ เพราะตรงใจอ่ะ แต่สุดท้าย ก็อยากปลอบว่า อย่าไปสนใจเล้ย ใครเค้าจะ Add หรือจะลบเราออกจาก List ชีวิตเราก็ยังดำเนินต่อไป ถ้าหมั่นไส้ Blogger เพราะรู้ทันเค้าเข้าแล้ว แต่ก็ยังอยากแอบดูเค้าอยู่ ...ก็คิดซะว่าดูไปขำๆ ละกันนะ
** หมายเหตุบ้าง.....เราเข้าใจดีนะว่าบล็อคเกอร์ถือเป็นอาชีพๆ หนึ่ง หารายได้ก็ได้อีก (เยอะด้วย) แต่อย่างที่บอก ถ้าเนียนจับได้ บางคนเค้าก็เซ็ง เพราะบางคนเค้าคิดมาก ปลื้มจริงอะไรจริงจนคิดว่าการเป็น friend ทำให้ถือได้ว่าเรามีความสัมพันกันในด้านจิตวิญญาณระดับนึง ><'' เค้าก็อาจเคืองบล็อคเกอร์ว่าทำเหมือนพวกเค้าเป็นควาย เพื่อให้ถีบตัวยืนขึ้นไปคว้าดาวอ่ะ
**หมายเหตุอีก...บล็อคเกอร์บางคนก็ความรู้สึกช้าไปนิดนึงนะ หลังจากมีเพื่อนครึ่งหมื่นแล้วถึงได้รู้สึกว่าต้องการความเป็นส่วนตัว...จำได้ว่าเพิ่งอ่านข้อความแถลงการณ์เรื่องขอลบเพื่อนแล้วให้แฟนๆ ไปสิงแฟนเพจแทน เมื่อวันสองวันก่อนนี่เองนะ ตลกดี เหตุการณ์พอดีกันเลยทำให้ได้เข้ามาอ่านเรื่องยาวๆ ในนี้ 555
แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 55 14:51:53
แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 55 14:44:25