|
คห 16
เอามาให้อ่านคะ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดย CiNNtv1
คงไม่มีความรักใดจะยิ่งใหญ่มากกว่าความรักของ "พ่อแม่" อีกแล้ว เพราะว่าทุกวิถีทางที่ทำให้ลูกสบาย ทุกวิถีทางที่จะทำให้ลูกมีความสุข ไม่ว่าจะเหนื่อยยากตรากตรำขนาดไหน เขาก็พร้อมยอมที่จะทำโดยไม่มีข้อแม้ เพียงเพื่อหวังให้ลูกยิ้มได้เท่านั้นเอง...
และในค่ำคืนวานนี้ (24 มกราคม) รายการตีสิบ ได้นำเรื่องราวของคุณจิรัชญา ฉ่ำเย็น หรือคุณวัน ลูกสาวที่เกเร โกหกครอบครัว เพียงเพื่อนำเงินมาซื้อความสุขให้ตัวเอง โดยไม่เคยรู้เลยว่า เบื้องหลังของเงินเหล่านั้น คนเป็นพ่อจะต้องเหนื่อยแค่ไหน ... และเธอก็ไม่รู้เลยว่า จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับเงินที่เธอขอก้อนสุดท้ายที่พรากลมหายใจพ่อของเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ
คุณวัน เล่าเรื่องราวครอบครัวให้ฟังว่า ครอบครัวของตนเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างจน ต้องหาเช้ากินค่ำ โดยพ่อประกอบอาชีพเป็นคนขับรถสิบล้อ ตนมีพี่น้อง 3 คน มีพี่สาว 2 คน ส่วนตนเป็นลูกคนเล็ก ซึ่งพี่สาวของตนเรียนไม่สูงนัก แล้วทำงานหาเลี้ยงตัวเองกันหมด ไม่มีใครจบปริญญา ส่วนตนนั้นด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเล็ก พ่อแม่ก็จะโอ๋เป็นธรรมดา และตนก็เอาแต่ใจตัวเองมาก ๆ อยากได้อะไรก็ต้องได้มาตลอด
ในบรรดาพี่น้องทั้งสามคน ตนจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าใหม่ หรือเค้กวันเกิด ที่พี่สาวของตนไม่เคยได้เลย แต่ตนจะได้มาตลอด ทั้ง ๆ ที่บ้านของตนไม่ค่อยมีกินเท่าไร แล้ววันเกิดของตนนั้นก็จะเป็นวันเดียวที่พ่อจะกลับมาในรอบปี เนื่องจากพ่อของตนต้องรับจ้างขับรถให้ได้หลาย ๆ รอบ เพื่อจะได้นำเงินมาส่งตนเรียน ซึ่งเป็นความหวังสูงสุดของพ่อ
คุณวัน กล่าวต่อว่า สำหรับนิสัยส่วนตัวของตนในตอนเด็ก ๆ นั้น เป็นคนที่ไม่สนใจใครเลยนอกจากตัวเอง เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด ถ้าอยากได้อะไรก็จะโทรหาพี่ ถ้าพี่ไม่ยอมให้ก็จะโทรหาพ่อ หลัง ๆ ตนก็จะใช้วิธีโทรหาพ่อโดยตรงเลย เพราะยังไงขอพ่อก็ต้องได้ และตนก็ทำอย่างนั้นเรื่อยมา โดยไม่สนใจว่าพ่อจะมีเงินหรือไม่
ส่วนการโกหกครอบครัวนั้น เริ่มต้นจากช่วง ม.ต้น เริ่มแรกก็คงเหมือนเด็กเกเรทั่ว ๆ ไปทำ นั่นก็คือ การโดดเรียน ไม่ค่อยจะเข้าเรียนสักเท่าไร ส่วนของเล่นในตอนนั้นที่เพื่อน ๆ เขาฮิตกัน ก็เป็นสัตว์เลี้ยงในทามาก็อต พอเห็นเพื่อนมีก็อยากมีบ้าง จึงโกหกพ่อว่าโรงเรียนมีงานกิจกรรมแล้วขอเงินพ่อมาซื้อทามาก็อต
"ช่วงนั้นเพื่อน ๆ เริ่มมีมือถือกันแล้ว ก็เลยอยากได้บ้าง โดยเฉพาะยี่ห้อซีเมนต์ที่เป็นฝาพับ ซึ่งเป็นรุ่นที่ดังมาก ๆ เราเลยโทรบอกพ่อว่าอยากได้โทรศัพท์ คือพ่อเขาก็ไม่รู้หรอกว่า รุ่นมือถือมันคือรุ่นอะไร รุ่นไหนที่ลูกอยากได้ แต่ก็ซื้อส่งมาให้ พอเปิดกล่องพัสดุออก ก็โกรธมาก เพราะพ่อส่งรุ่น 3310 มาให้ เป็นรุ่นที่ตกรุ่นแล้ว ตอนนั้นเหลือเครื่องละสามพันกว่าบาท ส่วนรุ่นที่อยากได้ราคาเครื่องละหกพัน เราไม่พอใจมากโทรไปว่าพ่อ แล้วกระแทกสายทิ้ง" คุณวัน กล่าว
หลังจากที่ได้โทรศัพท์มา ตนก็เก็บไว้ที่บ้าน ไม่เคยใช้เลย เพราะไม่อยากพกไปไหน รู้สึกอายเพื่อน พอเพื่อนถามว่า ตนไม่มีมือถือหรอ ตนก็กลับบ้านไปโทรหาพ่อ แล้วก็ไปว่าพ่อที่ทำให้เราอาย ซึ่งตนทำแบบนี้ทุกครั้ง และก็ขู่ตลอดว่า ถ้าไม่ซื้อให้ตน ตนก็จะไม่เรียน แล้วก็ได้ผลทุกครั้ง เพราะพ่อกลัวเราจะไม่เรียนต่อเลยยอมทุกอย่าง
เมื่อจบชั้นมัธยม ตนก็ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ตอนสอบเข้าได้ พ่อภูมิใจมาก ขับรถกลับบ้านมาดูตนใส่ชุดนักศึกษา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วก็ชมว่าใส่แล้วดูดี และเมื่อตนได้เข้าเรียน สังคมก็ทำให้ตนเริ่มอยากมีอยากได้เหมือนคนอื่นเขา เพื่อน ๆ เค้ามีเครื่องสำอางแบรนด์เนม ตนก็อยากมีบ้าง เวลากินข้าวก็ไม่ได้กินที่โรงอาหารมหาวิทยาลัย แต่ต้องออกไปกินในห้างกับเพื่อน ๆ กินจนอ้วนมาก ตอนนั้นหนักเป็นร้อยกิโลกรัมเลยทีเดียว
ส่วนเงินที่ตนนำไปซื้อเครื่องสำอางและเที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ นั้น ตนได้มาจากการโกงเงินหน่วยกิต โดยที่ร้านข้าง ๆ มหาวิทยาลัยเขารับทำ เพียงแค่ตนมีใบยื่นหน่วยกิตเอาไปให้เขา เขาก็จะแก้เลขให้เป็นตัวเลขที่เราต้องการได้ ส่วนมากตนก็จะให้เขาเพิ่มเลขให้มาก เป็นเท่าตัว อย่างเช่นถ้าค่าเทอม 5,000-8,000 บาท ตนก็จะโกงเป็น 15,000 บาท โดยจ่ายค่าจ้างให้เขา 200 บาทต่อ 1 ใบ จากนั้นพี่สาวของตนก็จะเช็คดู แล้วก็โทรบอกให้พ่อโอนเงินใส่บัญชีมา ตอนนั้นตนไม่ได้คิดอะไรมาเพียง แค่อยากมีเงินมากขึ้น เพื่อที่จะไปซื้อเครื่องสำอาง ให้เพื่อน ๆ ได้เห็นว่า เรามีรสนิยม และไปเที่ยวกินเคเอฟซี พิซซ่ากับเพื่อน ๆ เท่านั้นเอง ส่วนการเรียนของตนนั้น เรียกได้ว่า ไม่มีหน่วยกิต เพราะตนขอเงินไปเรียนวัน ๆ แต่ไม่เคยเข้าเรียนเลยสักครั้ง จนโดนไล่ออกมาในที่สุด
ตอนนั้นที่ตนถูกไล่ออก ตนก็แอบไปสมัครเรียนที่ ม.รามคำแหง เอาไว้ เพราะกลัวพ่อแม่รู้ แต่ถึงจะย้ายไปเรียน ม.รามฯ ตนก็โกงค่าหน่วยกิตเหมือนเดิม แถมหน่วยกิตที่นี่ก็ถูกกว่าเกือบเท่าตัว ตนเลยมีเงินเหลือเยอะใช้มากกว่าปกติ ถ้าถามว่าตนเที่ยวกินเหล้าบ้างไหม ก็มีบ้าง แล้วก็อ้างว่าทำรายงานกลับบ้านไม่ได้ ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเห็นว่าเราโต ๆ กันแล้ว
คุณวัน กล่าวต่อว่า การขอเงิน ตนก็ขอเรื่อยมา ครั้งละ 500 บ้าง 1,000 บ้าง แต่ระยะหลังการโอนเงินของพ่อเริ่มแปลกไป จากเดิมโอนมาเป็นหลักพัน แต่ตอนนี้เหลือแค่หลักร้อย แต่ตนก็ไม่ได้สนใจอะไร พอพ่อโทรมาว่าโอนปุ๊บ ตนก็กดใช้ปั๊บ
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่พลิกชีวิตของคุณวัน เมื่อจู่ ๆ พ่อที่เป็นทุกอย่างต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ โดยคุณวันเล่าว่า วันนั้นตนโทรไปหาพ่อบอกว่าขอเงิน 2,000 บาท จะเอาไปเป็นค่ากิจกรรม ซึ่งจริง ๆ แล้วตนอยากได้เงินไปเที่ยวที่งานพัทยามิวสิคเฟสติวัล โดยได้นัดเพื่อนไว้ 5 โมงเย็น แต่พ่อก็ยังไม่โอนมาสักที ตนก็เลยโทรไปว่าพ่อ ซึ่งพ่อเหมือนกำลังจะพูดอะไรแทรก แต่ตนโมโหมาก จึงตัดสายทิ้งไป หลังจากนั้นสักประมาณบ่ายสอง ตนก็โทรไปอีก คราวนี้แม่รับสาย ตนก็ตกใจทำไมแม่ถึงมารับโทรศัพท์พ่อ แล้วแม่ก็บอกกับตนว่า "จากนี้ไปจะไม่มีคนคอยปกป้องเราอีกแล้วนะ จะไม่มีคนดูแลเราแล้ว เพราะพ่อเสียแล้ว" ...
ยาว อะ อ่านต่อในนี้หละกัน
http://hilight.kapook.com/view/66897
จากคุณ |
:
fakefairy-lovely
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ม.ค. 55 17:01:16
|
|
|
|
|