หน้าที่ 1 - คอลลาเจน ดีจริงหรือ? สรุป คือ คอลลาเจนเป็นโปรตีนในผิวหนังที่ทำให้ผิวเต่งตึง เมื่ออายุมากคอลลาเจนจะเสื่อม ดังนั้นควรบริโภคคอลลาเจนเข้าไปทดแทน ข้อมูลนี้เป็นความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น ข้อเท็จจริงประการแรกคือ การดูดซึมโปรตีนเข้าสู่ร่างกายจำเป็นต้องผ่านกระบวนการย่อยก่อน โปรตีนทุกชนิดจะถูกเอนไซม์หลายชนิดในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กย่อยสลาย จากโปรตีนที่เป็นสายยาวจะถูกเอนไซม์ตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหลือเพียงหน่วยย่อยที่เล็กที่สุด คือ กรดอะมิโน แล้วร่างกายจึงดูดซึมกรดอะมิโนเพื่อนำไปประกอบกันขึ้นใหม่เป็นโปรตีนที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ คล้ายๆ กับการประกอบตัวต่อเป็นรูปร่างต่างๆ ภายในขวด ที่เราไม่สามารถประกอบเป็นรูปร่างจากภายนอกขวดแล้วใส่เข้าไปได้ แต่จะต้องแยกตัวต่อเป็นชิ้นๆ ใส่ทางปากขวดทีละชิ้นแล้วประกอบภายในขวดเท่านั้น คอลลาเจนเองก็ต้องถูกย่อยจนกลายเป็นกรดอะมิโน ไม่เหลือสภาพความเป็นคอลลาเจน ไม่แตกต่างจากโปรตีนชนิดอื่นๆ คอลลาเจนไม่ได้ถูกดูดซึมไปทั้งเส้นแล้วตรงไปประกอบเข้าเป็นผิวหนังอย่างที่หลายคนจินตนาการจากคำโฆษณา คอลลาเจนชนิดที่ทาผิวก็ไม่สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังได้เช่นกัน ด้วยตรรกะง่ายๆ ว่า ลำไส้ที่เป็นอวัยวะสำหรับดูดซึมสารต่างๆ จากภายนอกโดยเฉพาะยังไม่สามารถดูดซึมโปรตีนเล็กๆ สักโมเลกุล คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่มีขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้น ผิวหนังย่อมไม่สามารถดูดซึมได้อย่างแน่นอน ประการที่สอง คอลลาเจนไม่ได้มีเพียงชนิดเดียวแต่ เท่าที่ค้นพบในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 29 ชนิด แต่ละชนิดก็เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อแบบต่างๆ คอลลาเจนที่อยู่ในชั้นผิวหนังคือคอลลาเจน 1 นอกจากนี้คอลลาเจนของสัตว์แต่ละชนิดล้วนแตกต่างกัน สังเกตได้ง่ายๆ จากเนื้อหมู เนื้อไก่ และเนื้อปลา จะมีลักษณะและความยืดหยุ่นแตกต่างกัน ดังนั้นความแตกต่างของคอลลาเจนในสัตว์แต่ละชนิดจึงทำให้ ไม่สามารถนำคอลลาเจนจากสัตว์อื่นๆ มาทดแทน หรือรวมเป็นองค์ประกอบในโครงสร้างผิวหนังของคน ดังนั้นเมื่อคอลลาเจนไม่สามารถรับจากภายนอกได้ ไม่สามารถรับจากสัตว์อื่นๆ ได้ หากต้องการให้ร่างกายมีคอลลาเจนอย่างเพียงพอ มีเพียงการบำรุงรักษากลไกของร่างกายที่ทำหน้าที่สร้างคอลลาจนเท่านั้น การบำรุงรักษานั้นเพียงแค่รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอเท่านั้นเอง วัตถุ ดิบที่จำเป็นในการสังเคราะห์คอลลาเจนเราได้รับอย่างเพียงพอจากอาหารอยู่แล้ว การออกกำลังกายเป็นการกระตุ้นให้กลไกทำงาน และการพักผ่อนช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายสึกหรอช้าลง
แม้จะเป็นวิธีการง่ายๆ แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ชอบเท่าใดนัก มักอ้างว่าไม่มีเวลา ไม่สะดวก และไม่อยากทำอย่างต่อเนื่อง อยากได้ทางลัด ทางสบาย หรือวิธีการสำเร็จรูป จึงเป็นจุดอ่อนให้ผู้ผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพทั้งหลายเอามาใช้
หน้าที่ 2 - ความจริงที่ถูกบิดเบือน โฆษณามักใช้คำว่า "ช่วยเสริมสร้าง" คอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งไม่ใช่การโกหกแต่อย่างใด เพราะการกินคอลลาเจนร่างกายจะได้รับกรดอะมิโนซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างโปรตีนทุกชนิด รวมทั้งคอลลาเจนด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ากรดอะมิโนที่ได้รับจะถูกนำไปสร้างเป็นคอลลาเจน ในผู้สูงอายุร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนที่ผิวหนังน้อยลง ไม่ได้เป็นเพราะขาดกรดอะมิโนที่เป็นวัตถุดิบในการสร้าง แต่เป็นเพราะกลไกต่างๆ ในการสร้างคอลลาเจนเสื่อมไปตามอายุ การกินกรดอะมิโนเพิ่มขึ้นจึง แทบจะไม่ "ช่วยเสริมสร้าง" คอลลาเจนในผิวหนังเลย คำโฆษณาของคอลลาเจนหลากหลายรูปแบบเป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่ไม่มีแก่นสาร เป็นการใช้ถ้อยคำที่ฟังเข้าใจยากมาประกอบคำโฆษณาให้ดูหรูหราเพื่อเพิ่มมูลค่าเท่านั้น หากย้อนกลับไปที่ความรู้พื้นฐานข้างต้นจะเห็นว่าคอลลาเจนจากสัตว์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา ไม่ว่าจะมาจากน้ำลึกหรือไม่ ล้วนไม่สามารถใช้แทนคอลลาเจนในร่างกายเราเอง คอลลาเจนที่ถูกอ้างว่าผ่านกระบวนการสกัดเย็นทำให้มีโปรตีน 3 สาย หรือที่เรียกว่าคอลลาเจนสดเอง ก็ไม่ได้มีคุณค่าใดมากไปกว่าคอลลาเจนจากเนื้อหมู เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะเป็นโปรตีนชนิดใด เป็นคอลลาเจนกี่สายก็ตาม ล้วนแต่ถูกย่อยจนเหลือเพียงกรดอะมิโนก่อนจะดูดซึมทั้งนั้น
คุณค่าที่ได้จากการบริโภคคอลลาเจนจึงไม่ได้มากมายเหมือนกับคำโฆษณา หากเปรียบเทียบกับคุณค่าที่ได้จากการบริโภคโปรตีนชนิดอื่นๆ คอลลาเจนอาจมีคุณค่าน้อยกว่าด้วยซ้ำ คุณค่าหรือคุณภาพของโปรตีนนั้นพิจารณาจากชนิดและปริมาณกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายที่มีอยู่ในโปรตีนนั้น
คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่เกิดจากกรดอะมิโนเพียงไม่กี่ชนิดเรียงตัวซ้ำไปซ้ำมา โครงสร้างส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอนคือ [Gly-Pro-X] หรือ [Gly-X-Hyp] ซึ่งเรียงตัวกันซ้ำๆ โดย Gly คือ ไกลซีน (glycine) Pro คือ โพรลีน (proline) Hyp คือ ไฮดรอกซีโพรลีน (hydroxyproline) และ X คือ กรดอะมิโนใดก็ได้ จะเห็นว่า 1 ใน 3 ของ กรดอะมิโนที่ประกอบเป็นคอลลาเจน คือ ไกลซีน อีก 1 ใน 3 เป็นโพรลีนและไฮดรอกซีโพรลีนรวมกัน ซึ่งกรดอะมิโนทั้งสามนี้ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรับจากภายนอกอีก ที่เหลือ (X) คือตำแหน่งที่มีโอกาสเป็นกรดอะมิโนใดๆ ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นเพียง 8 ใน 20 หรือประมาณครึ่งหนึง ดังนั้นเมื่อคำนวณออกมาจะเห็นว่าชนิดและปริมาณของกรดอะมิโนที่จำเป็นมีสัดส่วนน้อยมากในคอลลาเจน แต่กลับอุดมไปด้วกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นซึ่งเมื่อร่างกายได้รับมากขึ้นก็เพียงขับถ่ายออกไปเท่านั้น แล้วจะยอมจ่ายเงินแพงๆ เพื่อบริโภคกันไปทำไม
คำว่า "รู้สึกผิวนุ่มมากขึ้น" หมายความว่าอย่างไร? ผิวนุ่มในงานวิจัยแบบนี้ เป็นความรู้สึกส่วนตัวของกลุ่มตัวอย่างเล็กๆ ที่อาจถูกถามนำด้วยคำถามในแบบสอบถามว่า "หลังจากใช้ครีมแล้ว รู้สึกผิวนุ่มชุ่มชื้นมากขึ้นหรือไม่" แล้วมีตัวเลือกเช่น นุ่มมาก นุ่มเล็กน้อย เท่าเดิม นุ่มน้อยลง ให้เลือก การถามนำลักษณะนี้ย่อมได้คำตอบที่เอนเอียงไปในแนวทางที่ผู้วิจัยต้องการ นอกจากนี้ "ที่บอกว่านุ่มมากขึ้น" นั้น "มากขึ้น" เมื่อเทียบกับอะไร? ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นการทดลองเทียบระหว่างการทาครีมผสมคอลลาเจนกับการไม่ทาครีมใดๆ ซึ่งไม่แปลกที่สารให้ความชุ่มชื้นที่ใช้ในครีมทั่วไป รวมทั้งส่วนประกอบอีกนับ 10 ชนิด ที่อยู่ในเนื้อครีมจะทำให้ให้รู้สึกว่าผิวนุ่มมากขึ้น แต่งานวิจัยกลับสรุปเหมารวมว่าเป็นเพราะผลของคอลลาเจนล้วนๆ
http://www.vcharkarn.com/varticle/42058
Colly Collagen จะโฆษณาอะไรกันนักหนาคับ รู้ไหมคับว่าคนหนึ่งที่เคยเขียนกระทู้รีวิวเกี่ยวกับเลเซอร์ที่ติดกระทู้แนะนำ เขาก็เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับคอลลาเจนนี่เหมือนกัน
จากคุณ |
:
paq
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ก.ย. 55 21:09:24
|
|
|
|