ขอบฟ้าที่งดงาม - ธามาดา
รถบัสสีส้มวิ่งจากไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่ชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่ใต้เพิงเล็กๆข้างทาง ผู้โดยสารคนอื่นที่ลงจากรถด้วยกันต่างแยกย้ายไปกันหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พงศกรวางกระเป๋าเดินทางลงข้างตัวแล้วมองทิวทัศน์รอบข้าง สภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อนในม่านเมฆไปจนสุดสายตาภายใต้ท้องฟ้าสีจางกับไอแดดอบอุ่นที่กำลังต่อสู้กับลมหนาวปลายเดือนธันวาคมนั้นคงจะเป็นภาพที่สวยงามสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนที่ได้มาเยือน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อท่องเที่ยว ที่จริงแล้วเขาไม่รู้จักหรือไม่เคยอยากมาที่นี่มาก่อนด้วยซ้ำ ไม่อยากเชื่อว่าการทำตัวไม่เป็นที่สบอารมณ์ของเจ้านายในเมืองกรุงนั้นจะทำให้นักวิจัยการเกษตรของบริษัทผลิตอาหารเล็กๆคนหนึ่งอย่างเขาถูกสั่งย้ายมาถึงพื้นที่สุดขอบประเทศแบบนี้ และไม่อยากเชื่อเช่นกันว่าเอกสารคำสั่งย้ายเพียงใบเดียวจะสามารถพาให้เขาเดินทางไปสู่ดินแดนที่อยู่แสนไกลเหลือเกินแม้แต่ในความฝัน......แม่ฮ่องสอน
แผนที่ใบเล็กๆและจดหมายส่งตัวอีกฉบับเป็นเหมือนเข็มทิศอันเดียวที่เขาจะต้องใช้ เขาเดินทางจากเมืองสู่เมือง จากที่ราบสู่ขุนเขาสูง จากอำเภอที่ห่างไกลสู่อำเภอที่ห่างไกลยิ่งกว่า ชายหนุ่มถามหารถที่จะวิ่งต่อจากตัวเมืองไปยังปางมะผ้า ครึ่งชั่วโมงถัดมาเขาก็นั่งอยู่บนรถบัสเล็กสีส้ม ถูกเบียดแน่นซ้ายขวาด้วยชาวเขาเผ่าต่างๆและชะลอมผักผลไม้แน่นเอียด กลิ่นตัวของคนรอบข้างและเสียงพูดคุยเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจไม่ใช่ปัญหาใหญ่นักเมื่อเทียบกับความคดเคี้ยวลาดชันของถนนลอยฟ้าสายแม่ฮ่องสอน-ปางมะผ้าซึ่งทอดตัวไปตามไหล่เขาสูงแตะขอบเมฆ ยิ่งการนั่งด้านหลังสุดของรถที่โคลงเคลงทำให้พงศกรคลื่นไส้แทบจะอาเจียนจนหมดท้อง แต่ทุกครั้งที่เขาเพียงแค่ทำท่าหายใจลึกเอามือปิดปากก็จะมีมือยื่นถุงพลาสติกมาให้จากทุกสารทิศ ชายหนุ่มพยายามจะเงยหน้าเอ่ยคำขอบคุณ แต่เขาก็ทำได้เพียงแต่ก้มหน้ากับถุงพลาสติกไปตลอดทาง
รถบัสสีส้มวิ่งจากไปนานแล้วแต่เขายังมองทิวทัศน์รอบข้างอย่างฉงนฉงาย ถนนเพียงเส้นเดียวตรงหน้าที่เขาใช้เดินทางมาจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนพาดผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่ามาจากสุดสายตาด้านซ้าย เมื่อหันไปทางขวาที่รถบัสเพิ่งจากไปยังอำเภอปายก็เห็นเป็นถนนที่พาดผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่าไปจนสุดสายตาเช่นกัน บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบอย่างประหลาด หากไม่นับเสียงของลมหนาวที่กรรโชกเป็นระยะและเสียงนกร้องบนยอดไม้แล้ว ที่นี่ถือว่าเงียบเหลือเกิน เงียบจนเกือบจะได้ยินเสียงกระพือปีกของผีเสื้อเลยทีเดียว ชายหนุ่มไม่คุ้นเคยความเงียบแบบนี้ เขาเติบโตและใช้ชีวิตในกรุงเทพฯมาตลอดโดยแทบไม่เคยออกต่างจังหวัดเลย แม้จะรู้ว่าสภาพแวดล้อมในเมืองกรุงจะทำให้เขาอึดอัด แต่เขาก็คุ้นเคยกับฝุ่นควันและเสียงรถราในเมืองมากกว่าอากาศบริสุทธิ์และความเงียบที่ยิ่งกว่าเงียบของปางมะผ้านี้นัก
ยืนรออยู่เพียงครู่เดียวก็เห็นชายชราโพกผ้าขะม้าขาวแดงบนหัวคนหนึ่งขี่รถฮอนด้ารุ่นปู่วิ่งมาตามทางดินที่เชื่อมกับถนนใหญ่ เครื่องแบบของบริษัทที่แต่งอย่างไม่ค่อยใส่ใจนักทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าน่าจะเป็นคนจากสถานีทดลองพืชไร่ของบริษัทที่เขาถูกสั่งย้ายมาทำงานนั่นเอง จนกระทั่งชายชราจอดรถหน้าเพิงที่เขายืนอยู่แล้วถามสำเนียงแปร่งๆ
สูชื่อพงศกรแม่นก่อ
เขาพยักหน้า ฟังคำถามไม่ออกในทีแรก แต่ได้ยินชื่อตัวเองในคำถามทำให้รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด เขาคงมาไม่ผิดที่แล้ว ชายชรายิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอหลายซี่แล้วรีบขยับที่บนเบาะให้เขานั่งด้วย
มาแล่ๆ ยินดีนัก มาอยู่ตวยกั๋นนี่แหละ มาซ้อนแล่ บัดเดี๋ยวลุงคำจะพาไปสถานีของบริษัทเอง
สถานีทดลองเพาะปลูกพืชเมืองหนาวที่ลุงคำคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ว่าคืออาคารสองชั้นเล็กๆบนไหล่เขา แวดล้อมด้วยสวนทดลองปลูกพืชผักเมืองหนาวที่ลดหลั่นลงไปตามความสูงจนถึงลำธารใสด้านล่างไกลๆ รถฮอนด้ารุ่นกึ่งพุทธกาลพาสองชายวิ่งปุเลงมาจากถนนใหญ่ฝ่าทางดินและราวป่านานเอาเรื่องกว่าที่ทั้งสองจะได้เห็นอาคารสถานีอยู่บนเขาอีกลูกลิบๆ ในใจพงศกรตอนนั้นคิดว่าถ้าเอาเขามาปล่อยคนเดียวที่นี่เห็นทีจะหมดสิทธิ์กลับกรุงเทพฯตลอดชีวิตแน่เสียยิ่งกว่าแน่ ยิ่งใกล้ตัวสถานีเขาก็เห็นสวนเกษตรทดลองที่จัดแบ่งพื้นที่เพาะปลูกอย่างเป็นระเบียบ ผักเมืองหนาวที่เคยต้องนำเข้าจากจีนหรือแม้กระทั่งดอกไม้ที่เคยมีแต่ในยุโรปกลับเห็นบานสะพรั่งระบัดดอกและใบสวยงามไปทั่วทั้งหุบเขา คนดูแลสวนซึ่งมีทั้งชาวพื้นเมืองและชาวเขาช่วยกันลงปุ๋ยพรวนดินกระจายอยู่ทั่วไป เด็กๆวิ่งเล่นกันอยู่ใกล้ๆสถานีโดยมีสุนัขวิ่งตามไปมา สีหน้าทุกคนที่มีความสุขกลับทำให้เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงมีความสุขกันนักในพื้นที่ที่ทุรกันดารขนาดนี้ ลุงคำเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังมากมายระหว่างที่ขับขี่รถมา เขาเสียอีกที่มัวแต่ตื่นตากับภาพรอบข้างเสียจนไม่ได้ฟัง จับความได้แต่ว่ากำลังพูดถึงการใช้ชีวิตที่นี่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีรถก็จอดลงหน้าอาคารสถานีแล้ว
พงศกร เจริญวงศ์ ชายวัยกลางคนร่างผอมที่นั่งอยู่ตรงหน้าอ่านชื่อของเขาในเอกสารส่งตัวเทียบกับสำเนาคำสั่งย้าย จากนั้นก็อ่านประวัติส่วนตัวและประวัติการทำงานโดยละเอียด อ่านจนถึงบรรทัดสุดท้ายที่เขียนถึงเหตุผลในคำสั่งย้ายว่า เพื่อความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่
ที่กรุงเทพฯเขาคงไม่ชอบคุณเอามากๆเลยนะเนี่ย หัวหน้าสถานีทดลองเพาะปลูกพืชเมืองหนาวของบริษัทเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขา พงศกรไม่อยากตอบคำถามที่จี้ใจดำนี้ จึงได้แต่เพียงยิ้มตอบอย่างเศร้าๆ
เล่าให้ผมฟังได้ไหม ที่นี่คุณปลอดภัยจากอคติทั้งหมดแล้ว มือของผู้บังคับบัญชาคนใหม่ดันถ้วยกาแฟร้อนมาให้เขา ชายหนุ่มเหลือบเห็นป้ายชื่อที่โต๊ะของหัวหน้าสถานีว่าชื่อทรงเดช
ผมรักกับลูกสาวของผู้อำนวยการฝ่าย เขาตอบสั้นๆ แต่เมื่อเห็นสายตาคะยั้นคะยอของชายร่างผอมตรงหน้าแล้วขาจึงต้องเล่าต่อ ผู้อำนวยการส่งลูกสาวมาเป็นนักศึกษามาฝึกงานในหน่วยงานของผม เราเริ่มสนิทสนมและคบหากันโดยไม่มีใครรับรู้ จนวันหนึ่งเราทั้งคู่ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกให้ผู้ใหญ่ทราบ สิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดมันก็เกิด ผู้อำนวยการโกรธมากที่ลูกสาวของเขาจะมาจริงจังกับเจ้าหน้าที่ธรรมดาอย่างผม เราถูกแยกจากกัน เธอถูกผู้อำนวยการย้ายไปฝึกงานที่สาขาบริษัทในต่างประเทศ ส่วนผมก็ถูกย้ายมาที่นี่ หัวหน้าที่แผนกบอกแต่ว่าอยากให้ผมมาหาประสบการณ์ที่นี่บ้าง แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เหตุผลหรอก ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิกลับกรุงเทพฯอีกแล้วตราบใดที่ผู้อำนวยการคนนั้นยังอยู่ในบริษัท
ทรงเดชมองหน้าลูกน้องคนใหม่อย่างเห็นใจ ลมหนาววูบหนึ่งพัดเข้ามาทางหน้าต่าง โบกผ้าม่านสีขาวให้ปลิวเหมือนธงชาติบนหลังคาของสถานี ทุกอย่างในห้องเงียบงันไปพักหนึ่งก่อนที่ชายร่างผอมจะถอดแว่นวางลงบนโต๊ะ พงศกร
เรื่องความทุกข์ของคุณในอดีตผมคงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่ขอให้ทำใจให้สบายเถอะ ที่ปางมะผ้านี้คุณจะมีแต่ความสงบสุข อาจจะไม่สะดวกสบายเท่าในเมือง แต่ที่นี่จะไม่มีอะไรทำให้คุณทุกข์ใจได้อีก เชื่อผมเถอะ แล้วคุณจะรักที่นี่ เขายิ้ม
ผมก็หวังว่าอย่างนั้นครับ ชายหนุ่มลอบถอนหายใจขณะมองไปรอบสำนักงานที่แทบไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลย ช่างแตกต่างจากออฟฟิศหรูหราบนตึกระฟ้าย่านสาธรที่เคยทำงานมาหลายปีนัก แต่ผมคงต้องปรับตัวอีกมาก
ถูก.... ปรับตัวให้ได้ แล้วคุณจะไม่อยากกลับกรุงเทพฯอีกเลย
จากคุณ :
ธามาดา
- [
วันปีใหม่ 12:38:13
]