CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    + + + ขอบฟ้าที่งดงาม + + +

    ขอบฟ้าที่งดงาม - ธามาดา


    รถบัสสีส้มวิ่งจากไปแล้ว   เหลือทิ้งไว้แต่ชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่ใต้เพิงเล็กๆข้างทาง  ผู้โดยสารคนอื่นที่ลงจากรถด้วยกันต่างแยกย้ายไปกันหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  พงศกรวางกระเป๋าเดินทางลงข้างตัวแล้วมองทิวทัศน์รอบข้าง  สภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อนในม่านเมฆไปจนสุดสายตาภายใต้ท้องฟ้าสีจางกับไอแดดอบอุ่นที่กำลังต่อสู้กับลมหนาวปลายเดือนธันวาคมนั้นคงจะเป็นภาพที่สวยงามสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนที่ได้มาเยือน  แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อท่องเที่ยว  ที่จริงแล้วเขาไม่รู้จักหรือไม่เคยอยากมาที่นี่มาก่อนด้วยซ้ำ  ไม่อยากเชื่อว่าการทำตัวไม่เป็นที่สบอารมณ์ของเจ้านายในเมืองกรุงนั้นจะทำให้นักวิจัยการเกษตรของบริษัทผลิตอาหารเล็กๆคนหนึ่งอย่างเขาถูกสั่งย้ายมาถึงพื้นที่สุดขอบประเทศแบบนี้  และไม่อยากเชื่อเช่นกันว่าเอกสารคำสั่งย้ายเพียงใบเดียวจะสามารถพาให้เขาเดินทางไปสู่ดินแดนที่อยู่แสนไกลเหลือเกินแม้แต่ในความฝัน......แม่ฮ่องสอน

    แผนที่ใบเล็กๆและจดหมายส่งตัวอีกฉบับเป็นเหมือนเข็มทิศอันเดียวที่เขาจะต้องใช้  เขาเดินทางจากเมืองสู่เมือง  จากที่ราบสู่ขุนเขาสูง  จากอำเภอที่ห่างไกลสู่อำเภอที่ห่างไกลยิ่งกว่า  ชายหนุ่มถามหารถที่จะวิ่งต่อจากตัวเมืองไปยังปางมะผ้า  ครึ่งชั่วโมงถัดมาเขาก็นั่งอยู่บนรถบัสเล็กสีส้ม  ถูกเบียดแน่นซ้ายขวาด้วยชาวเขาเผ่าต่างๆและชะลอมผักผลไม้แน่นเอียด  กลิ่นตัวของคนรอบข้างและเสียงพูดคุยเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจไม่ใช่ปัญหาใหญ่นักเมื่อเทียบกับความคดเคี้ยวลาดชันของถนนลอยฟ้าสายแม่ฮ่องสอน-ปางมะผ้าซึ่งทอดตัวไปตามไหล่เขาสูงแตะขอบเมฆ  ยิ่งการนั่งด้านหลังสุดของรถที่โคลงเคลงทำให้พงศกรคลื่นไส้แทบจะอาเจียนจนหมดท้อง  แต่ทุกครั้งที่เขาเพียงแค่ทำท่าหายใจลึกเอามือปิดปากก็จะมีมือยื่นถุงพลาสติกมาให้จากทุกสารทิศ  ชายหนุ่มพยายามจะเงยหน้าเอ่ยคำขอบคุณ  แต่เขาก็ทำได้เพียงแต่ก้มหน้ากับถุงพลาสติกไปตลอดทาง  

    รถบัสสีส้มวิ่งจากไปนานแล้วแต่เขายังมองทิวทัศน์รอบข้างอย่างฉงนฉงาย  ถนนเพียงเส้นเดียวตรงหน้าที่เขาใช้เดินทางมาจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนพาดผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่ามาจากสุดสายตาด้านซ้าย  เมื่อหันไปทางขวาที่รถบัสเพิ่งจากไปยังอำเภอปายก็เห็นเป็นถนนที่พาดผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่าไปจนสุดสายตาเช่นกัน  บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบอย่างประหลาด  หากไม่นับเสียงของลมหนาวที่กรรโชกเป็นระยะและเสียงนกร้องบนยอดไม้แล้ว  ที่นี่ถือว่าเงียบเหลือเกิน  เงียบจนเกือบจะได้ยินเสียงกระพือปีกของผีเสื้อเลยทีเดียว  ชายหนุ่มไม่คุ้นเคยความเงียบแบบนี้  เขาเติบโตและใช้ชีวิตในกรุงเทพฯมาตลอดโดยแทบไม่เคยออกต่างจังหวัดเลย  แม้จะรู้ว่าสภาพแวดล้อมในเมืองกรุงจะทำให้เขาอึดอัด  แต่เขาก็คุ้นเคยกับฝุ่นควันและเสียงรถราในเมืองมากกว่าอากาศบริสุทธิ์และความเงียบที่ยิ่งกว่าเงียบของปางมะผ้านี้นัก

    ยืนรออยู่เพียงครู่เดียวก็เห็นชายชราโพกผ้าขะม้าขาวแดงบนหัวคนหนึ่งขี่รถฮอนด้ารุ่นปู่วิ่งมาตามทางดินที่เชื่อมกับถนนใหญ่  เครื่องแบบของบริษัทที่แต่งอย่างไม่ค่อยใส่ใจนักทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าน่าจะเป็นคนจากสถานีทดลองพืชไร่ของบริษัทที่เขาถูกสั่งย้ายมาทำงานนั่นเอง   จนกระทั่งชายชราจอดรถหน้าเพิงที่เขายืนอยู่แล้วถามสำเนียงแปร่งๆ

    “สูชื่อพงศกรแม่นก่อ”

    เขาพยักหน้า  ฟังคำถามไม่ออกในทีแรก  แต่ได้ยินชื่อตัวเองในคำถามทำให้รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด  เขาคงมาไม่ผิดที่แล้ว  ชายชรายิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอหลายซี่แล้วรีบขยับที่บนเบาะให้เขานั่งด้วย

    “มาแล่ๆ  ยินดีนัก  มาอยู่ตวยกั๋นนี่แหละ  มาซ้อนแล่  บัดเดี๋ยวลุงคำจะพาไปสถานีของบริษัทเอง”

    สถานีทดลองเพาะปลูกพืชเมืองหนาวที่ลุงคำคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ว่าคืออาคารสองชั้นเล็กๆบนไหล่เขา  แวดล้อมด้วยสวนทดลองปลูกพืชผักเมืองหนาวที่ลดหลั่นลงไปตามความสูงจนถึงลำธารใสด้านล่างไกลๆ  รถฮอนด้ารุ่นกึ่งพุทธกาลพาสองชายวิ่งปุเลงมาจากถนนใหญ่ฝ่าทางดินและราวป่านานเอาเรื่องกว่าที่ทั้งสองจะได้เห็นอาคารสถานีอยู่บนเขาอีกลูกลิบๆ  ในใจพงศกรตอนนั้นคิดว่าถ้าเอาเขามาปล่อยคนเดียวที่นี่เห็นทีจะหมดสิทธิ์กลับกรุงเทพฯตลอดชีวิตแน่เสียยิ่งกว่าแน่  ยิ่งใกล้ตัวสถานีเขาก็เห็นสวนเกษตรทดลองที่จัดแบ่งพื้นที่เพาะปลูกอย่างเป็นระเบียบ  ผักเมืองหนาวที่เคยต้องนำเข้าจากจีนหรือแม้กระทั่งดอกไม้ที่เคยมีแต่ในยุโรปกลับเห็นบานสะพรั่งระบัดดอกและใบสวยงามไปทั่วทั้งหุบเขา  คนดูแลสวนซึ่งมีทั้งชาวพื้นเมืองและชาวเขาช่วยกันลงปุ๋ยพรวนดินกระจายอยู่ทั่วไป  เด็กๆวิ่งเล่นกันอยู่ใกล้ๆสถานีโดยมีสุนัขวิ่งตามไปมา  สีหน้าทุกคนที่มีความสุขกลับทำให้เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงมีความสุขกันนักในพื้นที่ที่ทุรกันดารขนาดนี้  ลุงคำเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังมากมายระหว่างที่ขับขี่รถมา  เขาเสียอีกที่มัวแต่ตื่นตากับภาพรอบข้างเสียจนไม่ได้ฟัง  จับความได้แต่ว่ากำลังพูดถึงการใช้ชีวิตที่นี่  กว่าจะรู้ตัวอีกทีรถก็จอดลงหน้าอาคารสถานีแล้ว

    “พงศกร  เจริญวงศ์”  ชายวัยกลางคนร่างผอมที่นั่งอยู่ตรงหน้าอ่านชื่อของเขาในเอกสารส่งตัวเทียบกับสำเนาคำสั่งย้าย  จากนั้นก็อ่านประวัติส่วนตัวและประวัติการทำงานโดยละเอียด  อ่านจนถึงบรรทัดสุดท้ายที่เขียนถึงเหตุผลในคำสั่งย้ายว่า ‘เพื่อความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่’

    “ที่กรุงเทพฯเขาคงไม่ชอบคุณเอามากๆเลยนะเนี่ย”  หัวหน้าสถานีทดลองเพาะปลูกพืชเมืองหนาวของบริษัทเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขา  พงศกรไม่อยากตอบคำถามที่จี้ใจดำนี้  จึงได้แต่เพียงยิ้มตอบอย่างเศร้าๆ

    “เล่าให้ผมฟังได้ไหม  ที่นี่คุณปลอดภัยจากอคติทั้งหมดแล้ว”  มือของผู้บังคับบัญชาคนใหม่ดันถ้วยกาแฟร้อนมาให้เขา  ชายหนุ่มเหลือบเห็นป้ายชื่อที่โต๊ะของหัวหน้าสถานีว่าชื่อทรงเดช

    “ผมรักกับลูกสาวของผู้อำนวยการฝ่าย”  เขาตอบสั้นๆ  แต่เมื่อเห็นสายตาคะยั้นคะยอของชายร่างผอมตรงหน้าแล้วขาจึงต้องเล่าต่อ  “ผู้อำนวยการส่งลูกสาวมาเป็นนักศึกษามาฝึกงานในหน่วยงานของผม  เราเริ่มสนิทสนมและคบหากันโดยไม่มีใครรับรู้  จนวันหนึ่งเราทั้งคู่ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกให้ผู้ใหญ่ทราบ  สิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดมันก็เกิด  ผู้อำนวยการโกรธมากที่ลูกสาวของเขาจะมาจริงจังกับเจ้าหน้าที่ธรรมดาอย่างผม  เราถูกแยกจากกัน  เธอถูกผู้อำนวยการย้ายไปฝึกงานที่สาขาบริษัทในต่างประเทศ  ส่วนผมก็ถูกย้ายมาที่นี่  หัวหน้าที่แผนกบอกแต่ว่าอยากให้ผมมาหาประสบการณ์ที่นี่บ้าง  แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เหตุผลหรอก  ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิกลับกรุงเทพฯอีกแล้วตราบใดที่ผู้อำนวยการคนนั้นยังอยู่ในบริษัท”

    ทรงเดชมองหน้าลูกน้องคนใหม่อย่างเห็นใจ  ลมหนาววูบหนึ่งพัดเข้ามาทางหน้าต่าง  โบกผ้าม่านสีขาวให้ปลิวเหมือนธงชาติบนหลังคาของสถานี  ทุกอย่างในห้องเงียบงันไปพักหนึ่งก่อนที่ชายร่างผอมจะถอดแว่นวางลงบนโต๊ะ “พงศกร”

    “เรื่องความทุกข์ของคุณในอดีตผมคงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก  แต่ขอให้ทำใจให้สบายเถอะ  ที่ปางมะผ้านี้คุณจะมีแต่ความสงบสุข  อาจจะไม่สะดวกสบายเท่าในเมือง  แต่ที่นี่จะไม่มีอะไรทำให้คุณทุกข์ใจได้อีก  เชื่อผมเถอะ  แล้วคุณจะรักที่นี่”  เขายิ้ม

    “ผมก็หวังว่าอย่างนั้นครับ” ชายหนุ่มลอบถอนหายใจขณะมองไปรอบสำนักงานที่แทบไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลย  ช่างแตกต่างจากออฟฟิศหรูหราบนตึกระฟ้าย่านสาธรที่เคยทำงานมาหลายปีนัก “แต่ผมคงต้องปรับตัวอีกมาก”

    “ถูก....  ปรับตัวให้ได้  แล้วคุณจะไม่อยากกลับกรุงเทพฯอีกเลย”

    จากคุณ : ธามาดา - [ วันปีใหม่ 12:38:13 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป