เธอผู้เข้ามาทำลายกำแพงของผม
ท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ ของสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในย่านของนักท่องราตรี ในคืนนี้ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้น บางคนอาจมาเที่ยวด้วยความอยากสนุกเฮฮากับเพื่อน บางคนอาจมาเที่ยวเพื่อต้องการหาเพื่อนคุย หรือเพื่อนนอน บางคนอาจมาระบายความกลัดกลุ้มในใจกับสหายที่มีชื่อว่าสุรา
ผมเหรอ ผมมาเพราะอะไร ผมมาเพราะเพื่อนชวน มาเพราะไม่รู้จะไปไหน มาด้วยความรู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ มาดีกว่าอยู่บ้านคนเดียวเงียบๆ มันเงียบเกินไปไม่เหมาะกับผม ณ เวลานี้ซึ่งชีวิตจิตใจมันเงียบเหงามากพอแล้ว ทำไมวันนี้ผู้คนมันถึงได้มากมายนักนะ มันเป็นวันสำคัญ เป็นวันพิเศษอะไรรึปล่าววะ ผมคิดในใจ อ้อ..แล้วผมก็เห็นว่าทางร้านติดป้ายคำว่า Happy New Year 2005 ผมรู้แล้วว่าทำไมคนมันถึงได้เยอะนัก ผมไม่รู้วันรู้คืนมานานแล้ว วันคืนของผมหมดไปอย่างไม่มีคุณค่า ในแต่ละวันผมแทบไม่ได้ทำอะไร มีชีวิตหมดอาลัยตายอยากไปวันๆ นึงเท่านั้นเอง ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เธอ เธอคนนั้น คนที่ผมคิดว่าเธอคือคนที่ใช่สำหรับผม ได้เดินออกจากชีวิตผมไป ทำไม? ทิ้งไว้เพียงคำถามให้คาใจกันแค่นี้ เธอจากไปโดยไม่บอกผมซักคำ อยู่ดีๆ เธอก็หายไปจากชีวิตผมเอาดื้อๆ ไม่มีแม้แต่คำลา ไม่มีแม้แต่ประโยคใดๆ เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของเธอ อาจเพราะเธอจากไปจากชีวิตผมโดยไม่ทิ้งสาเหตุให้ผมได้รับรู้ก็เป็นได้ ผมถึงได้ยังงงๆ กับชีวิตอยู่ว่า ทำไม เพราะอะไร ทำไมเธอคนนั้นถึงได้ทำแบบนี้ ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันก็มีแต่ความสุขกันตลอดเวลานี่นา หรือว่าสำหรับเธอมันไม่ใช่ ผมคิดไปเองทั้งนั้น เอาเถอะ พูดไปก็เท่านั้นยังไงๆ เธอก็ไปแล้วนี่นา ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ความจริงในใจผมยังคงตะขิดตะขวงอยู่ ผมจึงกลายเป็นคนที่แทบจะหมดความรู้สึกไปชั่วขณะ เมื่อไหร่ไอ้อาการแบบนี้ถึงจะหายไปซักทีนะ ผมไม่ได้หัวเราะจริงๆ มานานแล้วนับจากเธอไป ที่เห็นผมหัวเราะนั่นมันก็เพราะมารยาทในวงสังคมเท่านั้นเอง เมื่อไหร่วันเวลาแห่งความสุขเหล่านั้นจะกลับมาอีกนะ
ผมนั่งคิดอยู่เป็นนาน รู้สึกตัวอีกทีเพื่อนในกลุ่มหลายคนสีหน้าเริ่มเปลี่ยนกันไปเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ในร่างกายของแต่ละคนที่มันเพิ่มขึ้น สำหรับผมคืนนี้แทบจะไม่ได้แตะมันเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะผมไม่ดื่ม แต่มันเป็นเพราะผมดื่มมันมามากเกินไปแล้วต่างหาก จากวันที่เธอไปจากผม ผมก็คุ้นเคยกับมันดีมาโดยตลอด มีระยะหลังๆ นี่ล่ะที่ผมเริ่มจะห่างๆ จากมันมาบ้างแล้ว จะทำความรู้จักกันบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อหวังที่จะให้มันทำให้ผมกลายเป็นคนที่มีชีวิตชีวาขึ้นมามากกว่าที่เป็นอยู่ แต่มันก็ช่วยผมได้แค่บางครั้งบางคราวเท่านั้น แถมบางครั้งมันกลับทำให้ผมนึกถึงอดีตที่ผมพยายามจะลืมไปแล้วอีกด้วย ผมฟูมฟายกับมันมานานแล้ว
นี่ผมจมอยู่กับตัวเองอีกแล้วหรือนี่ ไม่ ไม่ กลับไปคุยกับพวกเพื่อนมันมั่งดีกว่าน่า อ้าว..ได้เวลาที่จะเปลี่ยนปีแล้วหรือนี่ ผมคงอยู่กับตัวเองนานไปหน่อยแล้วล่ะ เอ้า..มาร่วมนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่กับเพื่อนๆ กันหน่อยดีกว่า เอ้า..5..4..3..2..1..0...เย้ ปีใหม่แล้ว หมดแก้ว....
ผมคิดอยู่ในใจว่าปีใหม่แล้ว จะมีอะไรที่ดีๆ ใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตบ้างมั้ยเนี่ย
เฮ้อ...คิดแล้วก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา และก็เหมือนกับเพื่อนมันอ่านใจผมได้ซะงั้น มันพูดขึ้นมาว่า
เป็นอะไรไปวะปีใหม่แล้วนะเว้ย เอ็งต้องมีอะไรดีๆ เข้ามาในชีวิตบ้างล่ะน่า
ดูเหอะ เพื่อนมันยังให้กำลังใจผมเลย แล้วตัวผมล่ะ ทำไมไม่รู้จักให้กำลังใจตัวเองซะบ้าง เอาวะ..จะเริ่มต้นกันใหม่เอาฤกษ์ดีตอนปีใหม่นี่ล่ะวะ เริ่มจากการเป็นคนเก็บตัวอยู่คนเดียว ไปสนุกสนานกับเพื่อนก่อนละกันวะ หลังจากล่วงเข้าสู่ปีใหม่มาไม่ถึง 15 นาที ผมก็กระดกแอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกายหลายอัตราเลยทีเดียว ซักพักคนในโต๊ะเริ่มเยอะขึ้น เอ๊ะ...ทำไมผมไม่เห็นจะคุ้นหน้าเลยแฮะ แล้วไอ้เพื่อนผมก็แนะนำเพื่อนมันให้ทุกคนในโต๊ะรู้จัก อ๋อ ที่แท้ก็เพื่อนของเพื่อนผมเอง เค้ามาเที่ยวกันก็เลยแวะมาทักทายก็แค่นั้นเอง
นี่เป็นเพื่อนกับกอล์ฟเหรอ ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเลยล่ะ มีเสียงเสียงนึงดังขึ้นมาทางผม ผมหันไปมอง อ้าว นี่เค้าคุยกับผมอยู่เหรอ
อ๋อ ครับ ก็ไม่รู้ดิ ผมตอบออกไป ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่นาว่าทำไมเค้าถึงไม่เคยเห็นหน้าผม อาจเพราะผมไม่ค่อยชอบไปไหนมาไหนด้วยล่ะ
อ้าวเหรอ แล้วเรียนที่นี่เหรอ เธอยังชวนผมคุยต่อ
อืม ใช่ แต่ตอนนี้ไม่ได้เรียนแล้วล่ะ ผมตอบออกไป ผมคิดว่าเธอต้องถามแน่เลยว่าทำไม
อ้าว ทำไมล่ะ นั่นไง เธอถามจริงๆ ด้วย เฮ้อ..
ก็มีเหตุนิดหน่อยน่ะ ผมขี้เกียจอธิบายให้กับใครก็ไม่รู้ฟัง ก็เลยตอบไปแบบนั้น
แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่ล่ะ เธอก็ยังมีความพยายามที่จะเริ่มบทสนทนากับผมต่อ
ก็อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร ผมก็ยังคงตอบไปแบบเรียบๆ เฉยๆ ตามสไตล์ของผมเช่นเดิม
อ๋อ ตอนนี้มันกำลังเขียนหนังสืออยู่ ไอ้เพื่อนผมมันดันต่อประโยคให้ผมซะแล้ว ผมว่างานนี้คงมีคำถามออกมาอีกแน่ๆ
จริงเหรอ เขียนอะไรอยู่ล่ะ เขียนมานานยัง นั่นไง เธอยิงคำถามออกมาอีกแล้วมั้ยล่ะ
ก็เขียนเรื่องทั่วๆ ไปแหละ เขียนมาได้หลายเดือนแล้ว ผมยังคงตอบเธอแบบห้วนๆ เหมือนเดิม
อ๋อ เหรอ อืม เอาไว้ขออ่านบ้างสิ
อืม ได้ ผมคิดในใจว่า ผมจะเจอเธออีกเหรอ หรือว่าเธอก็พูดไปแบบนั้นแหละ แต่ถ้าเธออยากอ่านจริงๆ ผมก็ยินดีจะให้อ่านอยู่แล้วเพราะมันก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนนี่นา
จากนั้นเธอก็ยังคงชวนผมคุยอีกหลายประโยค ส่วนผมก็ตอบเธอไปด้วยคำถามสั้นๆ ห้วนๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ และแล้วเมื่อร้านปิดเราก็ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป ส่วนพวกผมและเพื่อนๆ นั้นยังไม่เต็มที่กันเลย ก็เลยไปหาที่นั่งกินกันต่อที่ริมชายหาดเพราะร้านรวงก็ต่างพากันปิดในเวลาตี 1 ซึ่งพวกผมคิดว่ามันเร็วเกินไปนัก ดีกรีของแอลกอฮอล์ในตัวยังไม่ไปถึงไหนเลย หลังจากนั้นพวกเราก็สาดยาวไปถึงเวลาประมาณตี 4 จึงได้แยกย้ายกันไปหาที่ซุกหัวนอนกัน
ในวันรุ่งขึ้นตอนประมาณบ่ายๆ ผมตื่นมาพร้อมกับอาการมึนๆ หัวนิดหน่อย มันจะเป็นอาการแบบนี้ประจำเมื่อผมสัมผัสกับแอลกอฮอล์มา แล้วผมกับผองเพื่อนก็พากันไปหาอะไรใส่ท้องกันเป็นมื้อแรกของวัน หลังจากอิ่มท้องกันแล้วก็ต่างกลับมาพากันแยกย้ายกันไปทำกิจกรรมต่างๆ กันไป บ้างดูทีวี บ้างอ่านการ์ตูนที่เช่าตุนมาก่อนปีใหม่มาอ่าน ส่วนผมก็ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน กำลังคิดอยู่ว่าจะไปนั่งอยู่หน้าทีวีกะพวกมันเผื่อจะมีอะไรให้ดูบ้าง แล้วซักพักเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น เฮ้ย!! เบอร์ใครวะ ไม่คุ้นเลยวุ้ย
ฮัลโหล ผมพูดออกไป
ฮัลโหล ไง จำเราได้มั้ยเพื่อนกอล์ฟที่คุยกันเมื่อคืนไง เธอพูดตอบผมกลับมา แค่ได้ยินลีลาการพูดกับน้ำเสียงผมก็พอจะจำได้บ้าง เพราะตอนที่คุยกับเธอนั้นผมยังไม่ได้ดื่มไปมากเท่าไหร่ แต่ถ้าจะให้จำว่าคุยอะไรกันไปมั่งล่ะก็ เห็นจะจำไม่ได้แล้วล่ะ
จำได้ จำได้
ทำอะไรอยู่เหรอ ตื่นกันนานหรือยังเนี่ย เธอยังคงขยันยิงคำถามเหมือนเมื่อคืน
ก็ไม่ได้ทำอะไรเพิ่งไปกินข้าวกลับมา
เหรอ ไงแล้วคืนนี้มีโปรแกรมไปไหนกันอีกป่าวเนี่ย
ไม่รู้สิ
นี่ไปขอเบอร์มาจากกอล์ฟมันแหละ ก็เลยโทรมาคุยดูน่ะ
อืม
ถ้าจะโทรมาคุยด้วยอีก คงไม่ว่าอะไรนะ
ได้ๆ คุณคิดว่าผมจะเสียมารยาท ตอบไปว่า ไม่ต้องโทรมาหรอก ขี้เกียจคุย งั้นเหรอ แม้ผมจะเป็นคนไม่ค่อยจะแคร์สังคมเท่าไหร่แต่ผมก็มีมารยาทนะ
แล้วหลังจากนั้นเธอก็ชวนผมคุยอีกซักพัก แล้วก็วางสายไป
เมื่อผมกลับมาจากการฉลองปีใหม่กับเพื่อนๆ แล้ว ผมก็กลับไปอยู่บ้านไปใช้ชีวิตเรื่อยๆ เปื่อยๆ ของผมเช่นเคย ยังคงอยู่กับการสานต่องานเขียนเหมือนเดิม จากนั้นมาเธอก็โทรมาคุยกับผมแทบจะทุกวัน ถ้าวันไหนไม่โทรมาเธอก็จะส่งเป็น sms มาให้ผมมิได้ขาด เป็นแบบนี้อยู่หลายเดือน แรกๆ ผมยอมรับว่าผมรำคาญอยู่เหมือนกัน เพราะปกติชีวิตผมไม่ค่อยจะมีใครเข้ามาวุ่นวายซักเท่าไหร่ พอเป็นแบบนี้ก็เลยทำให้ชีวิตผมในทุกวันต้องมีเธอเข้ามาเป็นองค์ประกอบมากขึ้นอีกหนึ่งอย่าง ผมกับเธอติดต่อกันอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน พอเข้าเดือนที่ 5 เธอก็ขาดการติดต่อไป ผมเริ่มรู้สึกว่าชีวิตผมเหมือนกับขาดอะไรในชีวิตไปหนึ่งอย่างแล้วล่ะสิ เพราะทุกวันหลังจากวันที่ได้รู้จักกัน ผมก็จะได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเธอผ่านทางโทรศัพท์ทุกวัน หากวันไหนไม่มีเสียงเธอก็มีตัวหนังสือของเธอผ่านมาให้ผมได้อ่านทุกวัน แต่เดือนที่ 5 นี่ล่ะ เธอหายไปไหน เธอหายไปอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ คุณอาจจะคิดว่าก็ไม่เห็นนานเลยแค่ 10 กว่าวันเอง แต่คุณลองคิดดูนะว่าทุกๆ วันคุณได้คุยกับคนๆ นึง เป็นเวลาตั้งหลายเดือน แต่จู่ๆ วันหนึ่งก็ขาดการติดต่อไป ผมคิดในใจว่า เหตุการณ์เดิมๆ จะกลับมาเกิดขึ้นกับผมอีกแล้วหรือนี่ ทำไม? ผมถามตัวเองอีกครั้ง หรือว่าผมเป็นคนน่าเบื่อเกินไปกันวะ.. ใครๆ ถึงได้พากันหนีผมไปกันหมด และแล้วเมื่อเข้าสู่อาทิตย์ที่ 3 เธอก็โทรมา น้ำเสียงของเธอยังเจื้อยแจ้วเหมือนเดิม ไม่รู้สินะว่าทำไม ผมรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเสียงของเธอ
ไง เป็นยังไงบ้าง สบายดีรึปล่าว เธอส่งเสียงมาตามสาย ผมสิน่าจะเป็นคนถามคำถามนี้กับเธอมากกว่า
ก็สบายดีเรื่อยๆ เหมือนเดิม แต่ผมก็ได้แค่ตอบคำถามเธอเท่านั้น
แล้วหายไปไหนมาตั้งหลายวัน ผมเริ่มยิงคำถามใส่เธอบ้างแล้ว
แหม นึกว่าจะไม่ถามกันซะแล้ว เธอกระแนะกระแหนผมนิดหน่อย
ก็ไม่ได้ไปไหนหรอก เพียงแต่มีเรื่องยุ่งๆ นิดหน่อยน่ะ เลยไม่ได้โทรไป คิดถึงกันล่ะสิ เธอแหย่ผมเล่น
หายไปหลายวันแบบนี้ คงมีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกล่ะสิ ผมเฉไฉไม่ตอบเธอ แล้วก็หาเรื่องอื่นมาคุยกับเธอเพื่อกลบเกลื่อน
ก็มีบ้างนิดหน่อยน่ะ แล้วหลังจากประโยคนั้นเธอก็สาธยายเรื่องราวของสาเหตุการหายไปของเธอให้ผมได้ฟัง ไอ้ที่ว่านิดหน่อยของเธอก็ปาเข้าไปเกือบ 2 ชั่วโมง
หลังจากนั้นมาผมกับเธอก็ยังคงติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ โดยที่ผมยังคงเป็นผู้ฟัง (ที่ดี) ของเธออยู่ อย่างน้อยเธอก็เข้ามาทำให้ชีวิตที่เรียบๆ เงียบๆ ของผมเริ่มมีสีสันขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ
ณ ตอนนี้เราสองคนก็ได้รู้จักกันมา 1 ปีแล้วสินะ อีกไม่กี่นาที ก็จะเข้าสู่ปีใหม่ของปี 2006 เวลา 1 ปี ช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ปีใหม่ปีนี้ผมไม่ได้ไปไหน ผมเคาน์ดาวน์กับเธอผ่านทางโทรศัพท์นี่แหละ ความสัมพันธ์ของเธอกับผมก็ยังไม่คืบหน้าไปไกลเกินกว่าการคุยและติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์
เธอกำลังทำลายกำแพงที่ผมก่อขึ้นมาเพื่อกันตัวผมออกจากสังคมให้พังลง ด้วยเสียงอันเจื้อยแจ้วอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันของเธอ ผมเริ่มที่จะคุ้นเคยกับเธอมากขึ้นทุกวัน ทุกวัน จนทุกวันนี้ผมยอมรับว่าถ้าวันไหนไม่ได้ยินเสียงจากเธอแล้วไม่ได้รับ sms จากเธอล่ะก็ ผมเองก็จะเป็นฝ่ายที่โทรกลับไปบ้าง หรือส่ง sms กลับไปบ้างแล้วล่ะ ผ่านไป 1 ปี เราสองคนยังไม่ได้เจอกันอีกเลยนับตั้งแต่ครั้งนั้นที่สถานบันเทิงแห่งนั้น ผมอยากบอกว่าจริงๆ ผมจำหน้าตาเธอไม่ค่อยได้เท่าไรนัก แต่รูปร่างหน้าตาของเธอมันไม่ได้สำคัญกับผมหรอก การที่ผมจะคบกับใครซักคนหนึ่งมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะภายนอกที่มองเห็นได้เท่านั้น เพราะผมรู้ซึ้งถึงรูปลักษณ์ที่ดูดีภายนอกแต่ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยความลึกลับที่ผมไม่เข้าใจไม่สามรถเข้าถึงได้ ผมคิดว่าการที่เราจะคุยกับใครซักคนนึงทุกๆ วันผ่านทางโทรศัพท์ได้มาเป็นปีๆ มันมีคุณค่ามากกว่าการที่จะต้องนัดเจอกันมากินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง กันเหมือนพวกคู่รักคู่อื่นๆ เค้าทำกัน มันเหมือนกับประเพณีปฏิบัติที่คู่รักทั่วๆ ไปต้องทำกัน ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นหรอก คนเราจะรักกันมันไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันทุกวันก็ได้ แต่เอ...หรือผมจะลองกลับไปทำตามประเพณีปฏิบัติตามแบบคนอื่นๆ ทั่วไปบ้างนะ อืม...เดี๋ยววันนี้ลองปรึกษาเธอดูดีกว่า
เอ๊ะ...ผมยอมรับไปแล้วเหรอว่าผมกับเธอ เรากำลังเป็นคู่รักกันอยู่ หวังว่าผมคงไม่ได้คิดไปเองข้างเดียวนะเนี่ย...
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
จากคุณ :
ID Guy
- [
2 ม.ค. 49 15:26:10
A:203.172.57.64 X:
]