CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    "จุดเริ่มต้นของงานเขียนของผม...และมันกำลังดำเนินต่อไป"

    “จุดเริ่มต้นของงานเขียนของผม...และมันก็กำลังดำเนินต่อไป”

    เมื่อตอนม.5 ผมกำลังมองหาตัวเองอยู่ว่าผมจบม.ปลายไปผมจะไปเอนท์คณะอะไร ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าผมไม่ชอบเลข กับวิทย์

    ช่วงนั้นผมนึกยังไงไม่ทราบได้ ผมอยากเรียนกฎหมาย ผมเริ่มหาหนังสืออ่านบ้าง หนังสือเล่มแรกที่ผมหยิบมาอ่านจากห้องสมุดโรงเรียน หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า “คำพิพากษา” คุณพอจะรู้จักหนังสือเล่มนี้มั้ย ที่เขียนโดยคุณ ชาติ กอบจิตติ ผมว่าใครหลายคนก็คงรู้จักหนังสือเล่มนี้ แต่ตอนนั้นผมไม่รู้จัก ผมคิดว่าผมจะเริ่มหาตัวตน หาข้อมูลของการที่ผมจะไปเรียนกฎหมายต่อ ด้วยหนังสือเล่มนี้ ชื่อมันเข้าท่าดี น่าจะให้อะไรผมได้บ้าง…

    แล้วผมก็ยืมหนังสือเล่มนี้กลับไปอ่านที่บ้าน เย็นนั้นผมรีบกินข้าว ทำการบ้าน อาบน้ำ เพื่อจะได้อ่านหนังสือที่ผมยืมกลับมา

    ผมเริ่มอ่าน “คำพิพากษา” เมื่อผมอ่านไปได้ซักพัก ผมเริ่มรู้แล้วว่าหนังสือที่ผมหยิบมาเล่มนี้คงไม่ได้ทำให้ผมสมเจตนาตามที่ตั้งไว้ตั้งแต่ตอนแรก แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะวางหนังสือเล่มนั้นลงได้ ผมอ่านจนจบ ผมไม่ได้ข้อความรู้ทางกฎหมายจากหนังสือเล่มนั้น แต่ผมได้อะไรหลายๆ อย่างจากหนังสือเล่มนั้นแทน แล้วอีกอย่างผมชอบสไตล์การเขียนหนังสือของท่านผู้นี้มาก

    หลังจากนั้นผมก็เริ่มไม่สนใจที่จะสอบเอนท์เข้าไปเรียนกฎหมายอีกต่อไป ผมหันมาสนใจในการอ่านหนังสือมากขึ้น ผมเริ่มจากการอ่านงานเขียนของท่านนี้ จนครบทุกเล่ม แล้วเริ่มหางานเขียนอื่นๆ มาอ่านอีกบ้าง แต่ก็ไม่มากนักเพราะช่วงนั้นการเรียนสายวิทย์-คณิต สำหรับผมมันหนักเอาการอยู่เหมือนกัน

    ในเทอมถัดมาผมก็พบว่าการที่ผมหยิบหนังสือเล่มนั้นมาอ่านได้ยังประโยชน์มายังผมอีกประการหนึ่งนั่นก็คือ ผมจะต้องสอบอ่านหนังสือนอกเวลา ก็คือว่านักเรียนต้องเลือกอ่านหนังสือนอกเวลาที่ทางโรงเรียนกำหนดให้แล้วต้องทำข้อสอบ เพื่อเก็บคะแนน แล้วหนึ่งในนั้นก็คือ เรื่อง “คำพิพากษา” ผมคงไม่ต้องบอกว่าผมนั้นไม่ต้องใช้เวลาตอนนั้นไปอ่านหนังสือนอกเวลาอีกแล้ว เพราะผมได้อ่านมาแล้วจนทะลุปรุโปร่ง แล้วผลการสอบเก็บคะแนนการอ่านหนังสือนอกเวลาของผมก็เป็นไปตามคาดผมได้คะแนนเต็ม ในขณะที่เพื่อนๆ ผมต้องเริ่มไปหาหนังสือนอกเวลามาอ่านกัน ต้องแย่งกันยืมหนังสือที่มีอยู่ในห้องสมุดเพียงไม่กี่เล่ม ผมไม่จำเป็น ผมยังแบ่งคะแนนให้เพื่อนสนิทของผมด้วย เพราะมันเป็นคนขี้เกียจอ่านหนังสือประเภทนี้ มันจะอ่านเฉพาะหนังสือเรียนเท่านั้น แล้วมันก็แบ่งคะแนนวิชาอื่นๆ ที่ผมไม่ชอบให้ผมด้วย

    หนังสือเล่มนั้นเป็นเล่มแรกที่ผมอ่านรวดเดียวจบ ปกติผมเป็นคนไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ ผมชอบอะไรที่มันสั้นๆ ง่ายๆ อ่านแป๊บเดียวจบมากกว่า ผมมันคนสมาธิสั้น (ผมว่าผมเป็นอย่างนั้นนะ) แล้วแรงบันดาลใจของผมก็เกิดขึ้น ณ บัดนั้น

    แต่สุดท้ายผมก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในคณะที่ไม่ได้เกี่ยวกับงานเขียนเลยซักนิด ผมเอนท์ติดในคณะบริหารธุรกิจ ผมยังงงตัวเองอยู่ว่าทำไมผมถึงเลือกคณะนี้ มันน่าจะมีอิทธิพลมาจากพี่ผมกระมัง

    ระหว่างเรียนผมก็ยังคงหาหนังสืออ่านอยู่บ้าง แต่ไม่บ่อยมากนัก เพราะวิชาที่ผมเรียนมันค่อนข้างหนักสำหรับผม(อีกแล้ว) และที่สำคัญดันไปเจอกับวิชาที่มีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะนั่นก็คือ “วิชาบัญชี” นั่นเอง ผมเกลียดวิชานี้มาก และมันก็ทำให้ผมได้ F จนได้สิ...

    ผมต้องหาทางผ่อนคลายสมองจากวิชาที่ผมเกลียด ผมเลือกที่จะลงเรียนวิชาเลือกที่มันผ่อนคลายสำหรับผม ผมเลือกวิชาการทหาร เลือกเพราะวิชานี้เค้าจะพาไปเที่ยวในตอนสัปดาห์สุดท้ายของการเรียน และเรียนเพราะเค้าบอกกันว่าได้เกรดง่าย ผมต้องหาวิชาที่สามารถจะมาดึงเกรดผมขึ้นให้มันไม่อันตรายอย่างนี้ ไม่งั้นผมคงไม่จบภายใน 4 ปีแน่ๆ

    แล้วผมก็ยังลงเรียนวิชา “ถ่ายรูป” เนื่องด้วยผมเป็นคนชอบถ่ายรูป แต่ถ่ายออกมาไม่ค่อยดีนัก จึงหันไปเรียนจริงๆ จังๆ หน่อยดีกว่า เผื่ออะไรมันจะดีขึ้น ยังไงฝีมือผมมันก็เป็นเหมือนเดิมอยู่ดี เพียงแต่ได้ความรู้เรื่องแสง เรื่องเงา เรื่องทฤษฎีอะไรเพิ่มขึ้นมาด้วยเท่านั้น ฝีมือการถ่ายภาพของผมตอนนี้มันยังห่วยอยู่…

    ผมจบมาได้อย่างหืดขึ้นคอ 4 ปีที่ผ่านมาผมลืมไปแล้วว่าผมเคยตั้งใจไว้ว่าผมอยากจะเขียนหนังสือ ผมแรงบันดาลใจ ลืมความตั้งใจเมื่อ 5 ปีที่แล้วไปแล้ว

    เมื่อเรียนจบผมได้งานทำในบริษัทแห่งหนึ่ง ผมทำงานตามที่ผมได้เรียนมา ทำให้ผมได้รู้ว่าผมเรียนเพื่อนให้ได้สิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวนั่นคือใบปริญญา เพื่อนำมาเป็นใบเบิกทางให้ผมมีอาชีพมีหน้าที่การงานที่ดี มีขั้นเงินเดือนที่เยอะกว่าคนอื่น(นิดหน่อย) จากคนที่เค้าไม่มีไอ้ใบนี้กัน เพราะผมเห็นว่าถึงผมไม่ได้เรียนจบปริญญาตรีด้านนี้มาผมก็สามารถมาทำงานได้ เพราะงานทั้งหลายมันเป็นงาน Routine ซึ่งผมว่าคนที่อ่านออกเขียนได้ พูดได้ ใครๆ ก็สามารถมาทำได้ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

    ผมทำงานอยู่ประมาณไม่ถึงปี ผมไม่สามารถทนอยู่ในสภาพแบบนั้นอีกต่อไปได้ แล้วผมก็พบกับแรงบันดาลใจอีกครั้งที่ทำให้ผมกลับมานึกถึงความคิดความฝันของผมเมื่อครั้งผมเรียนอยู่ ม. 5 ได้ เมื่อผมได้คุยกับเพื่อนผมคนนึงเค้ากำลังทำงานแปลหนังสือให้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ผมเริ่มคิดอยากจะทำงานหนังสืออีกครั้ง แว่บแรก อยากแปลหนังสือดูบ้าง แต่ก็ติดตรงที่ไม่เก่งภาษานั่นแหละ เหตุผลข้อเดียวข้อนี้ก็เกินพอที่จะทำให้ผมลบความคิดที่จะแปลหนังสือออกไป ผมจึงคิดที่จะเขียนแทน...

    ผมเริ่มลงมือเขียน การที่ผมอยู่บ้านมาก อยู่กับตัวเองมากเกินไป ทำให้ผมตื้อ จินตนาการผมมันไม่เยอะมากขนาดนั้น แล้วช่วงนี้ไฟในการอ่านหนังสือของผมมันเริ่มน้อยลงทุกที เพราะความขี้เกียจในตัวมันเริ่มมากขึ้น...สนิมเริ่มเกาะตามร่างกาย แขนขา มันไม่ค่อยจะขยับไปไหน วันๆ เอาแต่นั่งๆ นอนๆ ผมเบื่อ...และก็ยังคิดที่จะเขียนอะไรไม่ออกเลย

    ผมหันพึ่งคอมพิวเตอร์ที่ผมมีอยู่แทน ผมจึงพบกับเว็ปไซต์นี้ พบที่แห่งนี้ “ถนนนักเขียน” ผมเข้ามาเตร่ๆ อยู่ไม่นาน พบก็เริ่มได้ความคิดอะไรมาบ้าง ผมเริ่มที่จะขีดๆ เขียนๆ บ้างแล้วล่ะ

    ผมเริ่มจากคนรอบๆ ตัวผมก่อน ผมหยิบเอาประเด็นบางประเด็นมาเปิดขึ้น แล้วผมก็ใช้ความคิดของผมใส่เข้าไปบ้าง บางเรื่องอาจจะมาจากเรื่องของผมเอง

    ช่วงนี้ผมเริ่มจะหยุดอ่านงานคนอื่นดูบ้าง ผมกลัวจะได้แรงบันดาลใจมากเกินไป งานของเค้าอาจจะเข้ามาอยู่ในงานเขียนของผม(ผมว่ามันเริ่มเข้ามาบ้างแล้วล่ะ ผมต้องขอโทษด้วยถ้าเผอิญมีงานของใครติดเข้ามากับผมด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมหวังว่าต่อไปมันคงจะไม่แล้วล่ะ) ผมรู้สึกว่าผมยังไม่ค่อยมีจุดยืนในงานเขียน ผมกำลังพยายามอยู่ ณ ตอนนี้ ผมยังคงขีดเขียนออกมาเรื่อยๆ ซักวันผมคงรู้ว่าแนวทางของผม จุดยืนในงานของผมมันคืออะไร หรืองานของผมมันอาจจะไม่มีจุดยืนเลย เมื่อคิดอะไรออกผมก็เขียนออกมาตามอารมณ์ของผม อารมณ์ของคนเรามันมีอยู่เยอะอยู่แล้ว แล้วแต่ว่าผมจะมีอารมณ์อย่างไร งานเขียนของผมก็คงเป็นไปในแนวทางนั้นนั่นแหละ ผมคิดอย่างนั้น(ในตอนนี้) ต่อไปผมอาจจะคิดอีกอย่างนึง ความคิดคนเรามันเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที อยู่แล้ว หรือคุณว่าไม่จริง...

    และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการเขียนของผม...

    ผมตื่นเต้นทุกครั้งก่อนที่ผมจะเปิดเข้ามาดูกระทู้ของตัวเอง ผมอยากรู้ว่าจะมีคนเข้ามาอ่านงานที่ผมเขียนเพิ่มขึ้นบ้างรึปล่าว เวลาผมอ่านความคิดเห็นของแต่ละคนที่เข้ามาโพสต์ทิ้งไว้ให้ผมอ่าน ผมรู้สึกหัวใจพองโตทุกครั้ง ผมว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ สำหรับผม แม้ในบางครั้งบางคนอาจจะงงๆ กับงานเขียนของผมอยู่บ้างก็เอาเหอะ เพราะตัวผมเองก็ยังงงๆ กับตัวเองอยู่เหมือนกันนั่นแหละ มันจึงถ่ายทอดออกมาทางตัวหนังสือให้คุณได้ร่วมงงๆ ไปด้วยกัน

    ผมหวังอยู่ในใจลึกๆ ว่าคงจะมีใครเข้ามาอ่านและชอบงานเขียนของผมบ้าง ถึงจะอ่านแล้วอาจจะไม่ชอบมันก็ตาม ก็ยังดีใจที่คุณได้หลุด หลง หลวมตัวเข้ามาอ่านไปซะแล้ว *_*

    ผมอาจจะห่อเหี่ยวใจบ้างในแว่บแรก แต่ก็ดีกว่าไม่มีคนอ่านแหละว้า...


    * * * * * * - - - - - - * * * * * *


    ขอบคุณผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาทักทายกับงานเขียนของผมทุกคนครับ จากใจจริง... {*_*}

    จากคุณ : ID Guy - [ 3 ม.ค. 49 18:08:58 A:61.7.149.85 X: TicketID:114107 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป