CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ลายสุดท้ายของเสือเฒ่า

    ลายสุดท้ายของเสือเฒ่า...เป็นเรื่องส่งประกวดกลุ่ม ร่วงตั้งแต่รอบแรก นำมารีไรท์ใหม่ให้อ่านกันครับ
    +++++++++++++++++++++++++++++        

             คืนนั้นฝนตกพรำ…

              บ้านหลังใหญ่สองชั้นอันโอ่อ่า มีรั้วรอบขอบชิดแถวชานเมือง ถูกมองผ่านเลนส์กล้องกำลังขยายสูง ที่ติดอยู่กับโครงปืนไรเฟิลซุ่มยิงระยะไกลจากฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นตึกร้างสามชั้นสร้างไม่แล้วเสร็จเพราะพิษเศรษฐกิจเมื่อหลายปีก่อน ความห่างจากตึกร้างถึงบ้านหลังนั้นเกือบร้อยเมตร มันไม่ใช่อุปสรรคของปืนประสิทธิภาพแรงสูงอย่างไรเฟิล อยู่ที่คนใช้มากกว่าว่ามีความรู้ความชำนาญและคุ้นเคยกับมันแค่ไหน

              “เขา” ในชุดกลมกลืนความมืด สวมหมวกไหมพรมคลุมหน้าอยู่บนชั้นสามของตึกร้าง ถอนสายตาจากกล้องเหนือปืนคู่ชีพ หลังตรวจตราอย่างละเอียดไม่พบเป้าสังหาร เห็นแต่แม่ลูกสองคนนั่งเล่นดูทีวีไปพลางๆเหมือนกำลังรอ”เหยื่อ”ของเขา
     
              เดิมที…เขาไม่คิดจะมาเป็นมือปืนรับจ้างเลยสักนิด ความผิดพลาดครั้งเดียวกับการพลั้งมือฆ่าคนเพียงเพื่อป้องกันตัว กลายเป็นตราบาปเมื่อพ้นโทษออกมา สังคมลงดาบซ้ำพิพากษาไม่รับเข้าทำงาน ผลักให้เขาต้องเดินบนเส้นทางนี้เพื่อปากท้องของตัวเอง ความหิวโหยมันไม่เคยปราณีใคร พอเขาเริ่มนับหนึ่งก็ต้องมีสอง สาม สี่…ไม่สิ้นสุด
           
              เงินทุจริตผิดกฎหมายเป็นเงินร้อนมักอยู่ได้ไม่นาน เขาเห็นด้วยทีเดียว เงินที่ได้จากการสังหารเหยื่อถูกใช้ไปกับการกิน เที่ยวสถานเริงรมย์ เข้าบ่อน หากเงินหมดก็รับงานต่อ เขารู้สึกว่ามันเป็นการซื้อความสุขชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงแห่งชีวิต จนเขาได้พบรักกับหญิงขายบริการนางหนึ่ง ต่างเห็นอกเห็นใจในภูมิหลังสุดแร้นแค้นต่อกัน จึงตัดสินใจดึงหล่อนออกจากวังวนโลกีย์คาวมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ได้พบความสุขอันจริงแท้ ”ครอบครัว” พ่อ แม่ ลูก

              เขาปิดบังอาชีพมือปืนไม่ให้ลูกเมียรู้ โป้ปดว่ามีอาชีพเป็นสตันแมนให้กองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างๆตามแต่จะจ้าง ต้องออกต่างจังหวัดอยู่เสมอ ยิ่งเห็นลูกโตวันโตคืนเขายิ่งคิดถึงการหันหลังให้วงการนี้มากขึ้น ขอเวลาอีกนิดกับเหยื่อรายสุดท้ายแล้วเขาจะล้างมือทันที พาครอบครัวไปอยู่ในที่ๆไม่มีใครรู้จัก

              แสงไฟจากรถยนต์สาดสว่างตัดม่านฝนเลาะเลี้ยวเข้าบ้านหลังนั้น แม่ลูกออกมารับเหยื่อถึงรถ จากการมองผ่านเลนส์กล้องอีกครั้ง ทั้งสามกลับเข้าไปในบ้าน เค้กขนาดหนึ่งปอนด์ถูกนำมาวางตรงหน้าเด็กชาย เทียนสีแท่งเล็กๆปักมาพร้อมจากมือผู้เป็นแม่ เหยื่อทำการจุดเทียนแล้วร้องเพลงคลอไปด้วยกัน คงเป็นวันเกิดของลูก แต่ทว่า…เป็นวันตายของพ่อวันเดียวกัน

              เขาไม่รีบร้อนเก็บเหยื่อถึงจะมีโอกาสเห็นๆ เพราะจุดสังหารเขาเลือกไว้แล้ว มือที่สวมถุงมือหยิบท่อเก็บเสียงอันเทอะทะ ต่อเข้ากับปลายกระบอกปืนหมุนเกลียวจนแน่น ก่อนวาดศูนย์ปืนกลับไปใหม่ เหยื่อเคลื่อนที่ออกจากห้องรับแขก หายไปชั่วครู่มาโผล่อีกทีบนห้องนอนชั้นสอง มีหน้าต่างกระจกบานใหญ่และผ้าม่านเปิดทิ้งไว้ เหยื่อกำลังเดินเข้าสู่จุดสังหาร
       
              ขีดกากบาทจากกล้อง ทาบทับหัวของเหยื่อแม้ยังเคลื่อนไหวมาหยุดตรงหน้าต่าง นิ้วสอดเข้าโกร่งไกปืนค่อยๆเหนี่ยว กลับต้องคลายออกฉับพลัน…!

              ร่างเด็กชายวิ่งเข้ามาสวมกอดเหยื่อ เขาไม่อยากทำร้ายจิตใจเด็ก หากจะต้องมาเห็นพ่อตายต่อหน้าในวันเกิดของคืนฝนตกพรำ

              เขาปล่อยเวลาให้ผ่านไป จนเด็กกลับลงมาข้างล่างหาแม่ จึงเลื่อนขีดกากบาทเข้าทับหน้าผากตรงกลางระหว่างคิ้วของเหยื่อ นิ้วชี้สัมผัสไกอีกครั้ง

            ฟุ่บ!

    ++++++++++++++++++

    เจ็ดวันก่อนคืนนั้น…

              โกดังพักของนอกเมือง ถูกกำหนดเป็นจุดนัดพบระหว่างเขากับเสี่ยเพ้ง เจ้าพ่อมาเฟียรายใหญ่ ผู้อยู่เบื้องหลังการตายของใครหลายๆคน ที่คิดจะขึ้นมาทาบรัศมีหรือเกะกะขวางทางธุรกิจทั้งถูกและผิดกฎหมาย ยังรวมถึงพวกรู้มากเกินไปเกี่ยวกับตัวเสี่ยอีกด้วย จะต้องถูกลิดรอนออกจากสารบบ กฎหมายเอาผิดเสี่ยเพ้งไม่ได้เพราะขาดพยานหลักฐานก็อ่อน โดยเฉพาะมือปืนทำงานราวกับปีศาจ ไม่ทิ้งร่องรอยให้กฎหมายสืบเสาะ เสี่ยเพ้งพอใจผลงานมือปืนรายนี้มาก จึงดึงตัวเข้าสังกัดให้สมญาว่า ‘ชาย ไรเฟิล’

              “นี่เหยื่อของลื้อพร้อมแผนที่บ้าน” เสี่ยเพ้งโยนรูปกับแผนที่วาดคร่าวๆให้ “มันแอบซื้อบ้านแถวชานเมืองไว้ให้เมียน้อยกับลูกอยู่ ลื้อไปจัดการที”

              เขาหยิบรูปเหยื่อขึ้นมาดูรู้สึกแปลกใจ “เฮียเส็ง ลูกน้องเก่าเสี่ยไม่ใช่หรือครับ?”

              “ใช่ ไอ้นี่มันชักจะกำเริบหนัก เดี๋ยวนี้ทำอะไรข้ามหัวอั๊วไปหมด ปล่อยไว้ไม่ได้มันรู้มากเกินไป”

              “เสี่ยวางใจ ไม่เกินเจ็ดวันได้รับข่าวดีแน่ เอ่อ…แต่ผมก็มีเรื่องจะขอเสี่ยสักอย่าง กรุณาผมด้วยเถอะครับ” เขาเอ่ยปากในสิ่งที่คิดตั้งใจมาพูดเช่นกัน แล้วก้มหัวคำนับเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์

              “ไหนลื้อลองว่ามาชาย อั๊วไม่ใช่คนใจแคบ”

              “อ้า…คือ…” เขาอึกอักก่อนจะรวบรวมความกล้าได้ ”ผมขอรายนี้เป็นรายสุดท้าย อยากจะล้างมือเสียที”

              เสี่ยเพ้งหันมาสบตานิ่งอ่านใจเขา ทำทีถอนใจออกมา “เฮ้อ! นี่อั๊วคงห้ามลื้อไม่ได้สิ แววตาลื้อมันมุ่งมั่นขนาดนั้น”

              “ขอเถอะครับเสี่ย อายุผมก็ใกล้เลขห้าแล้วควรจะอยู่กับลูกเมียเสียที แต่เสี่ยไม่ต้องห่วงเรื่องคนรับช่วงต่อ คมกับปานฝีมือไม่เลวผมสอนมากับมือเพื่อเป็นตัวแทน” เขาหันไปหามือปืนหน้าใหม่สองคน นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ได้ขยับชั้นมาเป็นบอดี้การ์ดเสี่ยเพ้งอย่างรวดเร็ว

              เสี่ยเพ้งพยักหน้ารับรู้ นัยน์ตาหลุกหลิกเป็นนิจ แฝงเล่ห์เหลี่ยมซับซ้อนเกินคาดเดา “เมื่อรั้งลื้อให้อยู่กับอั๊วไม่ได้ ก็ต้องสนับสนุนซีนะ” หันไปเปิดตู้เซฟ ดึงเงินออกมาปึกหนึ่ง “อั๊วให้ลื้อสามแสนเก็บไอ้เส็งเสีย แล้วลื้อไปอยู่กับลูกเมียที่ไหนก็ตามสบาย”

              “ขอบคุณครับเสี่ย” เขายกมือไหว้นึกดีใจนัก แต่ในความดีใจกลับมีคำถาม เสี่ยเพ้งใจดีเกินไปหรือเปล่า…? เขาจำเป็นต้องคิดต้องระวัง ถนนสายมือปืนสอนเขาไว้มากมาย การลงจากหลังเสือไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งจบชีวิตสวยๆในบั้นปลายนั้นหายากเหลือเกิน

    +++++++++++++++++

    เจ็ดวันหลังคืนนั้น…
         
              ข่าวการลอบสังหารเฮียเส็ง ยังคงเป็นประเด็นร้อนที่สื่อนำเสนอไม่หยุด แม้จะไม่มีความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับคดี แต่สื่อก็ขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตของผู้ถูกสังหารคนก่อนๆ เอามาเทียบเคียงเชิงวิเคราะห์เพื่อหาบทสรุป ก่อนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า น่าจะเป็นมือปืนคนเดียวกันที่ชำนาญการใช้ปืนไรเฟิลซุ่มยิงเป็นทูตมรณะ ถูกเรียกขานในวงการมือปืนว่า ‘ชาย ไรเฟิล’

              ‘กฎหมาย’อยู่เฉยไม่ได้หลังโดนวิจารณ์ว่าหย่อนยาน ถึงประกาศกร้าวขอกวาดล้างกลุ่มมือปืน และผู้มีอิทธิพลให้หมด ทำเอาสองวงการที่เชื่อมต่อระส่ำระส่าย ต่างคิดเอาตัวรอดตัดตอนกันพัลวัน

              “ชื่อเหมือนพ่อเลย” ลูกชายวัยห้าขวบพูดขึ้น เขาสะดุ้งอยู่ในอกแต่ภายนอกยังปกติดี

              “ไม่เหมือนนะครับ พ่อชื่อสมชาย ส่วนมือปืนชื่อชายเฉยๆ” เขาแก้ต่างยิ้มหัวกับลูกได้อยู่ “ถ้าพ่อเป็นมือปืนป่านนี้ติดคุกหัวโตไปแล้ว ใครจะออกทำงานหาเลี้ยงลูกล่ะครับ?”  
       
              “ทำไมพูดกับพ่ออย่างนั้นล่ะลูก” เมียเขาหันมาดุ “ไม่ดีเลยรู้ไหม พ่อเป็นคนดี…ทำงานสุจริต …งานแบบนั้นพ่อทำไม่ได้หรอกจ้ะ”

              เขาเบือนหน้าหนีด้วยนึกละอาย มองออกไปนอกบ้านพบความมืดหม่น เสียงฟ้าร้องครืนๆ ลมพัดตะบึงพาละอองฝนเปียกบ้าน จึงลุกไปปิดหน้าต่างแล้วเดินออกมาดูฟ้าฝน รู้สึกผิดสังเกตตรงต้นไม้ใหญ่ไกลตาเกิดฟ้า
    แล่บแปลบเห็นรถยนต์จอดซุ่มอยู่ชัด เสือเฒ่าสากลิ่นภัยร้ายรีบพุ่งตัวเข้าบ้าน

           ฟุ่บ!

           ฟุ่บ!

              หลบได้แค่หนึ่ง อีกหนึ่งเข้าหัวไหล่ขวาทะลุออกข้างหน้าจนเหวอะหวะ ลูกเมียร้องเสียงหลงกอดกันกลม เขากระเสือกกระสนไปนอนแผ่อยู่กลางบ้าน เลือดทะลักออกมาคาวคุ้ง นึกถึงชะตากรรมครอบครัว
     
              ชายชุดดำสองคนสวมไอ้โม่งเดินเข้ามา คนหนึ่งสะพายไรเฟิลติดกล้องสวมท่อเก็บเสียง ส่วนอีกคนมีปืนสั้นสวมท่อเก็บเสียงเช่นกัน

              “คม ปาน ทำไมทำแบบนี้” เขายังมีสติ ไอ้โม่งสองคนชะงักสบตากัน ก่อนถอดไอ้โม่งคลุมหน้าออก

              “ผมสองคนปิดครูไม่ได้จริงๆ” คม ผู้ใช้ไรเฟิลติดกล้องส่องเขาพูดคล้ายๆจะชม

              “ขอโทษครู เราทำเพื่อความอยู่รอด มันจำเป็น” ปานเอ่ยขึ้นบ้าง ปืนสั้นของมันจ่อหัวเมียเขา ซึ่งนั่งกอดลูกสั่นงันงก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น

              “ขอได้ไหม ปล่อยลูกเมียครูไปเถอะ เขาไม่รู้เรื่องอะไร?

              “ไม่ได้หรอกครู”ปานตอบ มีรอยยิ้มเหยียด “ครูสอนพวกผมมาลืมกฎแล้วหรือ ถ้าพยานเห็นหน้าอย่าไว้ชีวิต”  
       
              เขาหลับตาลงอย่างเจ็บปวด ถูกแล้วเขาบัญญัติขึ้นมาเอง พอลืมตาอีกทีก็พบเจ้าพ่อมาเฟีย

              “เสี่ย…”  
     
              “หวัดดีชายไรเฟิล หนีมาอยู่เสียไกลเชียว” เสี่ยเพ้งมองสารรูปเขา ส่ายหน้าดูแคลน ”ไม่เจอกันอาทิตย์เดียว ลื้อหมดเขี้ยวเล็บขนาดนี้เลยหรือวะ ฮ่ะๆ”

              “พี่…นี่พี่…เป็น…” เสียงเมียตะกุกตะกัก คงเห็นรูปชั่วในตัวเขาแล้ว

              “พี่…ขอ…โทษ…” น้ำเสียงขาดห้วง รู้สึกตัวชาไปซีกหนึ่งขยับตัวไม่ได้

              “อโหสิกรรมให้อั๊วเถอะวะชาย” เสี่ยเพ้งก้าวมาหยุดยืนใกล้ๆ “ลื้อเป็นจิ๊กซอว์ที่กฎหมายต้องการ อั๊วจำเป็นต้องเก็บก่อนกฎหมายจะเก็บอั๊ว ลื้อไม่ต้องกลัวจะไม่ได้อยู่กับลูกเมีย” เสี่ยเพ้งยิ้มเหี้ยม สบตากับปานให้สัญญาณแล้วเดินออกไป

              “อ…ย่…า…” เขาพยายามเปล่งเสียงสุดกำลัง เพื่อป้องกันครอบครัว

            ฟึ่ด! ฟึ่ด! เมียเขา

            ฟึ่ด! ฟึ่ด! ลูกชายเขา

              “ผมคิดกฎของมือปืนได้ข้อหนึ่ง อยากจะบอกครูให้รู้ก่อนตาย” ปานเดินมาหยุดตรงหน้าแทนที่เสี่ยเพ้ง  “ครอบครัวเป็นตัวจุดอ่อน”
         
           ฟึ่ด! ฟึ่ด!

              แว่วยินเสียงรถยนต์ลางๆหาย เขายังไม่ตายในทันที เห็นร่างโปร่งบางสองแม่ลูก ยืนยิ้มกวักมือเรียกอยู่หน้าประตู อีกไม่กี่วินาทีเขาจะตามไป แต่อีกไม่กี่วินาทีนั่นแหละ เขามีความในใจกับเสี่ยเพ้งและศิษย์ของเขา…

              กับเสี่ยเพ้ง เขาอยากบอกว่า “ถึงเสือแก่เขี้ยวเล็บผุพัง แต่ลายบนหลังยังมีอยู่”

              กับลูกศิษย์ เขาลืมบอกกฎข้อสุดท้ายให้มันได้รู้ “ลบหลู่ครูจะอยู่ไม่นาน”

              วินาทีสุดท้ายของชีวิต เขาพยายามเหลือกตามองมุมเพดานด้านหนึ่ง จนหยุดนิ่งตาค้างอยู่อย่างนั้น ร่างโปร่งบางเดินไปหาลูกเมีย จูงมือกันหายไปกับสายฝนพรำ

            ทิ้งไว้เพียงเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กในร่างไร้วิญญาณ กับกล้องวีดีโอวงจรปิดบนเพดาน ที่พรางไว้อย่างมิดชิดยังคงทำงานอยู่.    

                                        -จบ-

    ***ขอบคุณมิตรรักนักอ่านนักเขียนที่แวะเข้ามาเยี่ยมครับ
    ***พรพชร(เจนวัช)***

    แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 49 21:27:17

    จากคุณ : พรพชร - [ 3 ม.ค. 49 19:08:20 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป