ตรัง เทียนในม่านหมอก...
อันโตนิโอ
ผมได้กลิ่นรุ่งอรุณของเมืองเว้ตั้งแต่ในความฝัน ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริง แสงเงินจับขอบฟ้าสลัดผ้าห่ม รีบล้างหน้าล้างตา แม้รู้ว่าเป็นเวลาเพิ่งจะหกโมงเศษ แต่ก็รู้อีกเช่นกันว่าชาวเมืองเว้เริ่มต้นชีวิตของพวกเขากันก่อนหน้านั้นมากนัก ตลาดยามเช้า ร้านกาแฟ และเหล่านักเรียนในชุดประจำชาติที่ขับขี่จักรยานไปตามท้องถนนเป็นภาพที่ผมอยากเห็นมากที่สุด หากไม่รีบลุกไปดูตอนนี้คงพลาดโอกาส เตียงในห้องเป็นเตียงคู่แยกกัน ต่ายจึงไม่รู้สึกตัวขณะผมพลิกตัวพ้นจากที่นอน และออกจากห้องโดยไม่บอกกล่าวเพราะรู้อยู่ว่าเมื่อวานเราต่างเหนื่อยกับการตะลุยปั่นจักรยานกลางแดดมามากเหลือเกิน จึงปล่อยให้เธอพักผ่อนเต็มที่เสียจะดีกว่า
การเตรียมตัวของผมง่ายมาก สะพายกระเป๋า คล้องกล้องตัวหนึ่งไว้ที่คอ สวมหมวกที่ซื้อมาจากพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ในฮานอย ลงมาเช่าจักรยานกับผู้ดูแลห้องพัก ค่าเช่าจักรยานแค่หมื่นด็องเท่านั้น ถูกกว่าที่ร้านแมนดารินคาเฟ่อีก ผมนึกเสียดายอยู่ครามครันว่าทำไมเราไม่เช่าจากที่นี่ตั้งแต่เมื่อวาน แต่พอเห็นสภาพรถแล้วถึงได้เข้าใจ จักรยานมีราว 3-4 คันเท่านั้น แถมแต่ละคันก็เก่าคร่ำครึ เลอะคราบอะไรก็ไม่รู้ไม่น่าจับต้องเลย ผมต้องขอให้เขาหาผ้ามาเช็ดทำความสะอาดเสียก่อนถึงกล้าขี่ออกไปได้
ยามเช้าในเว้อากาศกำลังดี เย็นสบาย ออกหนาวนิด ๆ แต่ความร้อนสาหัสสากรรจ์จากเมื่อวานทำให้ผมมั่นใจได้ว่าไม่จำเป็นต้องพกเสื้อกันหนาวไปให้เกะกะเนื้อที่ในกระเป๋า จากโรงแรมผมขี่เข้าถนนเหงวียน ตรี เฟือง ผ่านที่ทำการไปรษณีย์ใหญ่โตโอ่อ่า เลี้ยวเข้าถนนเล โล่ย ซึ่งเป็นเส้นสำคัญเพราะเลียบริมแม่น้ำหอมและมีความยาวไปจนถึงสถานีรถไฟ ลมจากแม่น้ำโชยอ่อน ๆ ได้กลิ่นซมเฮืองหอมละมุน เริ่มเห็นผู้คนพลุกพล่านบนท้องถนน นักเรียนสาว ๆ สวมชุดอ๋าวหญ่ายปั่นจักรยานไปโรงเรียนเป็นกลุ่ม ๆ ยามเช้าเช่นนี้พวกเธอขับขี่ตามสบาย ไม่ปิดหน้าปิดตาด้วยผ้าผืนใหญ่เหมือนช่วงสายและบ่าย แม่ค้าสวมหมวกโนนลาใช้บริการซิโคล่ขนสินค้าในกระบุงไม้ไผ่สานหลายต่อหลายเจ้า ตามข้างทางถนนเลียบแม่น้ำเป็นโรงแรม ร้านค้าและสถานที่ราชการ ดูแล้วยังเปิดกันเนือยนายไม่มากนัก ตรงกันข้ามกับฝั่งเมืองเก่าที่เริ่มมีสีสันกันตั้งแต่เช้ามืด
ผมหักเลี้ยวซ้ายขึ้นสะพานตรังเทียน แล้วมาคิดเสียดายว่าควรจอดจักรยานไว้ที่เชิงสะพานแล้วเดินขึ้นมาแทนน่าจะดีกว่า เพราะภาพทิวทัศน์สองฝั่งฟากแม่น้ำเมื่อมองจากกลางสะพานช่างสวยน่าถ่ายรูปดีเหลือเกิน บนสะพานไม่สามารถจอดจักรยานได้ ต้องเดินขึ้นมาทางบาทวิถีซ้ายหรือขวาซึ่งมีเหล็กกั้นขวางไว้กันไม่ให้รถเข้าไปร่วมวิ่ง บนถนนจะจอดรถก็ไม่ได้เพราะการจราจรยามนี้พลุกพล่านหนาแน่น ผมจึงได้แต่เมียงมองภาพแสนสวยนั้นไปอย่างเสียดาย รวมทั้งภาพของสะพานฝู ซวน กลางหมอกอันละมุนละไมอีกด้วย และคงเป็นเช่นเดียวกันหากอยู่บนสะพานฝู ซวน แล้วมองย้อนกลับมา สะพานตรัง เทียน ก็คงอวลอบร่ำด้วยไอขาวฟุ้งเป็นภาพฝัน ผมจินตนาการภาพนี้เมื่อตอนเขียนนิยาย ฉากแม่น้ำหอมของผมเกิดจากการค้นคว้าข้อมูลจากหนังสือและภาพเท่าที่พอหาได้ บัดนี้ได้มายืนอยู่บนสถานที่จริง ภาพและกลิ่นของแม่น้ำสัมผัสได้ด้วยตาและจมูกของตนเองจึงรู้สึกซาบซึ้งเป็นพิเศษ
ในเมื่อไม่สามารถจอดได้ก็จำต้องเลยตามเลย บันทึกภาพเท่าที่พอได้ลงในหัวสมองแล้วชื่นใจกับตัวเองที่ภาพนี้ตรงกับในบทที่บรรยายไม่ขาดไม่เกิน ปั่นจักรยานต่อไปเพื่อหาประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับระยะทางชีวิตของตัวเอง
ขณะอยู่ที่นั่นก็ไม่ทันได้คิดอะไร แต่พอกลับมาจึงเริ่มเอะใจว่าเหตุไฉนจึงบนถนนจึงมีเฉพาะเด็กนักเรียนหญิง สวมชุดขาวสะอาดสะอ้านไหวพลิ้วตามลมขณะขี่จักรยาน แล้วเด็กผู้ชายล่ะ ไปไหนหมด คำตอบนี้ต่ายมาเฉลยทีหลังว่าเด็กผู้ชายน่ะมี แต่ผมคงไม่เอาใจใส่ ประเภทว่าเห็นเฉพาะสิ่งที่อยากเห็นเท่านั้นเอง ข้อนี้คงจะจริง แต่ตัวต่ายเองก็ยอมรับว่าภาพของเด็กนักเรียนหญิงสวมชุดอ๋าวหญ่ายนั้นช่างเป็นภาพที่สวยงามน่ารักจับใจจนแทบไม่ได้สนพวกเด็กนักเรียนชายเลยเหมือนกัน เป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณแล้วสำหรับเด็กนักเรียนหญิงระดับมัธยมไปจนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัยในเมืองเว้ ต้องสวมใส่ชุดอ๋าวหญ่ายไปเรียนหนังสือ ส่วนในเมืองที่มีระบบวิถีชีวิตซับซ้อนวุ่นวายกว่าอย่างฮานอยและโฮจิมินห์ซิตี้นั้นสวมใส่ชุดปรกติคือเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกง ผู้หญิงก็ต้องสวมกางเกงเหมือนผู้ชาย เด็กมัธยมต้องมีผ้าผูกคอสีแดงสด เห็นแล้วนึกถึงเยาวชนเรดการ์ดของท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม เด็กสาวมหาวิทยาลัยฮานอยคนหนึ่งบอกกับผมว่า เมื่อมีวาระสำคัญหรือโอกาสพิเศษอย่างเทศกาลต่าง ๆ พวกเธอก็จะหยิบเอาชุดประจำชาติมาสวมใส่กันอย่างภาคภูมิใจเช่นกัน ผมบอกกับเธอว่าอยากอยู่เวียดนามจนถึงวันที่ได้เห็นเธอในชุดนั้น เด็กสาวหัวเราะแล้วว่าถ้าเช่นนั้นคงอีกนานแน่ ๆ
...
จากคุณ :
อันโตนิโอ
- [
4 ม.ค. 49 22:26:49
]