CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เพราะฉันไม่ใช่นางเอก ตอนที่ 3

    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3953316/W3953316.html

    ตอนที่แล้วค่ะ

    =============  

    ตอนที่ 3

    ตะเกียงยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อ  เธอรู้สึกร้อนจนคอเสื้อและแผ่นหลังเปียกชื้น  เท้าที่ระบมเริ่มทวีความเจ็บปวดมากขึ้น  แต่ก็มิได้ปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว  พยายามเร่งฝีเท้าเดินไปให้ทันเขา

    เด็กสาวพยายามชวนเขาคุย  แต่เขายังถามคำตอบคำเหมือนเดิม  ทำให้เธอชักเริ่มหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเอง
    “ระบิล…นายพูดยาว ๆ หน่อยสิ”
    “ขอโทษครับคุณรวิวาร คุยกับผมคงไม่สนุกหรอกครับ  ผมพูดไม่เก่ง”
    “ไม่เป็นไรนี่  ฉันคุยกับนายเพราะอยากเป็นเพื่อนกับนายต่างหากล่ะ  ว่าแต่วันที่ไปรับที่สถานีรถไฟน่ะ  ทำไมนายรู้ล่ะว่าเป็นฉัน  ฉันรู้สึกว่าไม่เคยเห็นนายมาก่อนเลยนี่”
    “แต่ผมเคยเห็นคุณนะ  คุณคงไม่เคยเห็นผมหรอก  ตอนนั้นผมอยู่กับลุงสี  ไม่ได้อยู่บนเรือนใหญ่ก็เลยพอจะจำเค้าหน้าคุณรวิวารได้บ้าง”

    “นี่ไม่ต้องเรียกรวิวารก็ได้  เรียกตะเกียงเถอะ  ฉันชื่อเล่นชื่อตะเกียง  คุณตาเป็นคนตั้งให้เองล่ะ  มีความหมายว่า  ชีวิตของฉันจะมีแต่ความสว่างไสวตลอดเวลาไม่มืดมนน่ะ”  เธอจักการแปลความหมายชื่อของตัวเองเสร็จสรรพ
    “เออ..แล้วนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ”

    “ผมเป็นหลานของลุงสีน่ะครับ  พอแม่ตาย  ลุงสีก็รับผมมาอยู่ที่นี่  คุณตาคุณมีพระคุณต่อผมมาก  ท่านเมตตาผม  ส่งเสียให้ผมเรียนจนจบ  ผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะทำงานให้ท่านดีที่สุด  เท่านี้ยาวพอรึยังครับ”

    เด็กสาวหัวเราะเสียงใส
    “พอใช้ได้แล้วค่ะ  งั้นตอนนี้นายก็เป็นคนดูแลไร่สวนพวกนี้นะสิ”
    “ครับ  ข้างหน้าที่คุณเห็นนี้เป็นแปลงผักไร้สารพิษ”  เขากวาดสายตามองแปลงผักสองข้างทาง  เป็นสีสดเขียวขจี  ตามพื้นดินปูด้วยฟาง  มีคนงานกำลังก้ม ๆ เงย ๆ เก็บผลผลิตอยู่ตามแปลงผักต่าง ๆ
    “ปลูกแบบธรรมชาติ  ทำดินให้มีชีวิต  อุดมสมบูรณ์  เราไม่ใช้ปุ๋ยเคมี  และยาฆ่าแมลงเลย   ธรรมชาติมันจะจัดการกันเอง”

    ตะเกียงมองพืชผักที่ขึ้นปะปนกันอยู่ในแปลง    ตามแปลงผักต่าง ๆ  จะมีท่อแป๊บน้ำยาวต่อเรียงรายพร้อมกับสปิงเกอร์ไว้รดน้ำผัก   ด้านซ้ายเป็นแปลงผักกวางตุ้งสลับกับต้นมะเขือม่วง  ดอกสีม่วงกำลังเบ่งบาน  แซมผักกาดหอมต้นใหญ่เขียวสดท่าทางกรอบน่ารับประทาน    ต้นคะน้าสลับกับต้นพริกที่ออกลูกดกสีแดงสีเขียวเต็มต้นเลยข้าง ๆ แปลงผักทุกแปลงจะปลูกดอกไม้  มีทั้งดอกดาวกระจายสีส้มสด   ดอกดาวเรืองสีเหลืองสดใส  ต้นเทียนหยดเป็นต้น   แปลงถัดมามีร้านของถั่วฝักยาวมีลักษณะเป็นไม้วางพาดกันเป็นรู้กากะบาท  ถั่วฝักยาวอวบอ้วนห้อยระย้าน่ากิน  ถัดไปเป็นบวบ ตำลึง  เป็นต้น  

    “ผักเยอะจังเลย”  เสียงสาวน้อยชื่นชมความตะกรานตาน่าทึ่งของธรรมชาติตามแปลงผักต่าง ๆ

    “เราอยากกินอะไร  เราก็ปลูกสิ่งที่เราอยากกินครับ”

    ด้านขวาเป็นแปลงมะเขือเทศทั้งลูกเล็กลูกใหญ่  กำลังออกลูกดกเชียว  มีร้านเป็นรูปตาข่าย  เพื่อให้ต้นมะเขือเทศเลื้อยเกาะไปเหมือนกำลังปีนกำแพงตาข่าย  ปลูกสลับกับหัวไชเท้า  ผักกาดขาว   มีต้นบ็อคเคอลี่สลับกับกะหล่ำปลีหัวโต ๆ   และดอกกะหล่ำ    แตงล้านสลับกับผักทองออกดอกสีเหลืองสะพรั่ง   ตามริมรั้วจะมีต้นชะอมปลูกสลับกับกระถิ่นเป็นแถวยาว  ระหว่างแปลงสลับด้วยต้นดอกแคร์       แซมด้วยดอกทานตะวัน  เป็นต้น

    “เราจะปลูกเพื่อให้ครอบครัวทุกครัวเรือนมีผักดีดีกินอย่างเต็มที่ก่อน  ที่เหลือถึงจะส่งขายครับ”

    “นายระบิลครับ  ผักของเรางามมากครับนาย”    คนงานทักทายผู้จัดการไร่   หยุดเก็บผักเก็บผลผลิตชั่วคราว  สายตาเหลือบมองเด็กสาวหน้าใสที่เดินคู่มากับเจ้านายอย่างแปลกใจ  

    “นายพาแฟนมาเที่ยวชมแปลงผักของเราหรือครับ”  คนงานยิ้มแย้มแซวเจ้านายอย่างคุ้นเคย  คนงานสามสี่คนในระแวกนั้นพากันเดินมาดูหน้าดูตาตามเสียงเย้าแหย่นั้นอย่างอยากรู้อยากเห็น

    “พูดอะไร  ระวังหน่อย  คุณเขาจะเสียหาย”  ผู้จัดการไร่หันไปดุเสียงเข้ม

    “นี่คุณรวิวาร  หลานสาวคุณท่าน”  เขาแนะนำชื่อเสียงเรียงนามของสาวน้อยที่ยืนปั้นหน้าไม่ถูกอยู่ข้าง ๆ เมื่อถูกแซวว่าเป็นคนพิเศษของเขา

    “ขอโทษครับ  อย่าถือสาพวกผมเลยนะครับ  คุณหนู”  คนแซวหน้าเสีย  เสียวว่าจะถูกตัดเงินเดือนซะแล้วเดือนนี้แซวไม่ดูตาม้าตาเรือ

    รวิวารได้แต่ยิ้มแหย ๆ  

    “ทุกคนไปทำงานต่อได้แล้ว”  เขาสั่งเสียงดัง

    คนงานจึงรีบสลายตัวแยกย้ายไปทำงานของตัวเองทันที

    เดินต่อไปมองเห็นต้นมะละกอลำต้นไม่สูงนักแต่ออกลูกดกเต็มต้น  แต่ละลูกโต ๆ น่ากินทั้งนั้น  กล้วยหวีใหญ่  ลูกอ้วนกลม  เครืองาม ๆ  ไหนจะต้นฝรั่งขี้นกส่งกลิ่นหอมหวานชวนน้ำลายไหล  ชมพู่ลูกสีแดงจัดห้อยเป็นพวงเต็มต้น  


    “นี่ก็ไร้สารพิษหรือคะ”  เธอถามอย่างแปลกใจในความน่าทึ่งของธรรมชาติ
    “ครับ  แต่กว่าจะได้แบบนี้ก็ต้องอดทน  พยายามแล้วพยายามอีก  กว่าจะได้อย่างที่เห็นนี้นะครับ  ผมเชื่อว่าอะไรที่เป็นธรรมชาติดีที่สุด”

    “ขอชิมหน่อยนะ”  เธอขออนุญาตพลางเอื้อมมือไปเด็ดลูกฝรั่งสุกกลิ่นหอมหวานบนต้น  กิ่งที่ใกล้มือที่สุด

    ชายหนุ่มมองเธอกระโดดเหยง ๆ เพื่อจะเด็ดฝรั่งลูกนั้นอยู่นาน  แต่ก็เด็ดไม่ได้เสียทีอย่างเอ็นดู  เลยเอื้อมมือเด็ดให้เธอ  

    หลานสาวเจ้าของไร่ยิ้มแป้น  แล้วรับฝรั่งสุกมาเช็ดถูกับแขนเสื้อ  พลางกัดกินอย่างน่าเอร็ดอร่อยเชียว

    “หืม…อร่อยจังเลย    ฉันไม่เคยกินฝรั่งอร่อย ๆ แบบนี้มาก่อนเลย”

    “แน่นอนครับ  อะไรที่เป็นธรรมชาติต้องอร่อยกว่าอยู่แล้ว    ทานแล้วสบายใจ”

    ผู้จัดการไร่พาหลานสาวเจ้าของไร่เดินมาถึงที่ดินโล่ง ๆ  พื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อตะปุ่มตะป่ำ  

    “วันนี้ผมจะเตรียมดินตรงนี้ไว้ปลูกผัก”  พูดพลางเดินไปหยิบอุปกรณ์อันได้แก่จอบและเสียมออกมา

    “คุณไปนั่งพักที่แคร่ใต้ต้นไม้นั่นละกันครับ”  เขาบ้ายหน้าไปทางต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม

    เธอส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน  “ไม่ล่ะ! นายคงคิดว่า  ฉันทำไม่ได้อย่างนายล่ะสิ  ฉันก็ทำได้นะ  นายคอยดูก็แล้วกัน  อะไร ๆ ก็จะให้ฉันนั่งเฉย ๆ ลูกเดียว”  สายตาจ้องมองจอบในมือคนหนุ่ม

    “นี่!  แล้วก็ส่งจอบนั่นมา”  เธอเริ่มออกคำสั่ง

    “จะดีหรือครับ”  เขามองร่างเล็กบอบบางตรงหน้าอย่างไม่มั่นใจเลยว่าจะขุดดินไหวหรือ

    “เอาเถอะน่า”  เมื่อเขายังไม่ยอมส่งจอบมาให้  จึงแย่งเอาจากมือชายหนุ่ม

    ระบิลยิ้มอย่างรู้สึกขำเมื่อเห็นสีหน้าคนรั้นบอกอาการว่า  จอบนั่นหนักไม่ใช่เล่นเลยนะ  แต่ก็นึกชื่นชมเธออยู่ในใจที่เห็นเธอพยายามจะช่วย  พยายามจะฝึกในสิ่งที่เธอเองไม่เคยทำ  และไม่จำเป็นต้องทำเลย  ในฐานะหลานสาวเจ้าของไร่

    “งั้นคุณก็ช่วยเกลี่ยดินแถว ๆ นี้ให้เรียบเสมอกันนะครับ  เดี๋ยวจะไปเอาปุ๋ยหมักมาใส่  แล้วเราจะปลูกถั่วกันครับ”

    เด็กสาวค่อยยกจอบเกลี่ยดินให้เสมอกันตามที่เขาบอก  ท่าทางของเธอทำให้สีหน้าเรียบเฉยของเขาแต้มด้วยรอยยิ้ม

    “นี่! ขำอะไรมิทราบ”

    “เปล่าครับ  ผมนึกชื่นชมคุณต่างหาก  ว่าคุณมีความเพียรพยายามดี  แล้วทำไมต้องทำเสียงน่ากลัวยังงั้นด้วยละครับ”

    “นี่!  นาย!”  เธอรู้สึกโกรธจนพูดอะไรไม่ออกได้แต่จ้องหน้าเขาเขม็ง

    “ใจเย็น ๆ สิครับคุณ  แค่นี้ก็โมโหซะแล้ว  นิสัยขี้โมโหน่ะ  ไม่ดีหรอกนะครับ”  เขาเผลอสอนเธอเข้าให้

    “ยุ่ง!  เรื่องของฉัน”  ตะเกียงสะบัดหน้าหนี  ก้มหน้าขุดดินอย่างโมโหโทโส

    ระบิลจึงเงียบเสียงลง  ก้มหน้าก้มตาทำงาน  แล้วไม่ปริปากพูดอะไรอีกเลย  

    รวิวารยืนมองการทำงานของชายหนุ่ม  ท่าทางของผู้จัดการไร่ดูทะมัดทะแมง  คล่องแคล่ว   กระฉับกระเฉง  ทุกท่วงท่าที่จอบกระแทกดินด้วยน้ำหนักแรงที่หนักแน่นมั่นคง  ดูง่ายดายราวกับดินเหนียวเบื้องหน้านั้นร่วนซุย  ทั้ง ๆ  ที่ทั้งแห้งแล้งทั้งแข็งยังกะหิน  แถมจอบหนัก ๆ  เมื่ออยู่ในมือเขากลับเหมือนเบาหวิวอะไรอย่างนั้น  สายตาที่จับจ้องบนพื้นดินเบื้องหน้า  ด้วยความมุมานะมุ่งมั่นคู่นั้นของเขา  เป็นภาพที่น่ามอง  เธอเผลอมองอย่างอดชื่นชมเขาไม่ได้

    “เฮ้อ…นั่นสินะ  แค่เขาแหย่นิดเดียวเอง  ทำไมฉันต้องโมโหด้วยนะ  ก็ท่าทางฉันมันก็…เฮ้อ…หรือเพราะอ่านการ์ตูนมากอย่างที่แม่บอก…เฮ้อ….”  เธอรู้สึกกลุ้มใจในความขี้โมโหของตัวเองเหมือนกัน  ช่างเหมือนนางเอกในการ์ตูนเปรี๊ยบที่ชอบเอาแต่ใจ  และใช้อารมณ์แบบนี้   เธอก้มหน้าทำงานต่อไป  ทำได้สักพักใหญ่รู้สึกเจ็บมือมาก  มองมือตัวเองซึ่งแดงก่ำ  หันไปมองระบิล  ยังเห็นเขาทำงานต่อไปไม่มีท่าทีว่าจะหยุด  เม็ดเหงื่อของเขาสะท้อนแสงแดดเป็นประกายวาว  ราวกับเพชรพลอย  และเพชรพลอยตามใบหน้าคนทำไร่ ทำสวนทำนานี่เองที่สร้างอาหารให้กับประชาชนได้อิ่ม  

    “เขาทำได้!  เราก็ต้องทำได้!  ฉันไม่ยอมแพ้นายแน่  ระบิล”  พลางกระชับด้ามจอบในมือไว้แน่น  ก้มหน้าทำงานต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

    เด็กสาวเงยหน้าสีแดงจัดด้วยเลือดสูบฉีดขึ้นสู่ใบหน้าเวลาต้องทำงานหนักอย่างใช้กำลัง

    “พอแค่นี้ก่อนนะครับ  สำหรับวันนี้”  เขามองใบหน้าระเรื่อของสาวน้อย  แก้มแดงจัดที่เกิดจากการทำงานกอบกู้พื้นดินงามจนน่ามองมากกว่าใบหน้าหญิงสาวสวย ๆ  ที่แต่งเติมด้วยเครื่องสำอางค์อย่างดีเสียอีก  ภาพเธอยามทำงานอย่างมุมานะนั้นน่ามองน่าชื่นชม  ยังไม่ได้ยินเสียงอิดออดจากเธอเลย  ไม่มีเสียงบ่นจากหลานสาวเจ้าของไร่แม้แต่คำเดียว   ไม่เห็นเธอไปนั่งอู้โอ้เอ้ที่ไหน  เธอไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ อย่างที่เขาเคยคิดสบประมาทเธอไว้

    รวิวารแอบยิ้มร่า  แหม…น่าจะบอกตั้งนานแล้ว

    แสงแดดอ่อนสีทองกำลังกล่าวคำอำลากับขอบฟ้าของยามเย็นอย่างอ่อนโยน  ลมพริ้วพัดมาต้องริ้วหญ้าข้างทางและต้นไม้น้อยใหญ่ให้ไหวเอนราวกับกำลังหยอกล้อเย้าแหย่กันเล่นอย่างสนุกสนาน

    หลานสาวเจ้าของไร่มองมือตัวเองที่แดงช้ำ  เจ็บมือระบมไปหมด  บางแห่งก็แตกเป็นแผลเล็กแผลน้อย  ท้องเจ้ากรรมเริ่มส่งเสียงร้องจ๊อก ๆ อีกแล้ว  เรี่ยวแรงกำลังจะหมด   เดินตามผู้จัดการหนุ่มไปอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเต็มที   เธอรีบยืดตัวตรงอย่างรวดเร็ว  เดินให้ดูปกติที่สุด  เมื่อชายหนุ่มหันมามอง

    “เหนื่อยมากรึเปล่าครับ”

    “ก็..นิด…หน่อย…”  เด็กสาวตอบลอยหน้าลอยตาเหมือนเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย

    ชายหนุ่มยิ้มในท่าทางขี้เก๊กของคุณเธอ  อยากรู้นักว่า…จะเก๊กได้นานแค่ไหน…

    “ข้างหน้านี้มีบ้านคนงานอยู่  ผมจะพาคุณไปแวะทานข้าวที่นั่นนะครับ”  

    “จริงเหรอ!!”  เธอลืมตัวโพล่งออกมาเสียงดังอย่างหลุดฟอร์ม  ก่อนจะรู้ตัวแล้วเบาเสียงลงเก๊กต่อ

    “อืม…ก็ดีเหมือนกัน”

    ผู้จัดการหนุ่มยิ้มเล็ก ๆ อย่างเอ็นดูเธอ

    ครอบครัวเล็ก ๆ ของคนงานต้อนรับเธออย่างเป็นกันเอง  เรียบง่ายแต่อบอุ่นเอื้ออาทร  เธอทานอาหารจนอิ่มแปล้  อร่อยกว่านายระบิลทำตั้งเยอะ   เธออดหัวเราะผู้จัดการไร่ไม่ได้ที่เห็นเขาหน้าแดง  จมูกแดง  เผ็ดจนน้ำหมูกน้ำตาไหลเชียว   ซดน้ำหมดไปหลายขัน

    “นายจะพาคุณหนูเดินกลับหรือครับ  อีกตั้งไกลนะ”  พ่อบ้านคนงานเอ่ยขึ้น  

    ระบิลเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเย็นที่ใกล้มืดเต็มทีแล้ว

    “เอางี้สิครับนาย  ยืมรถจักรยานผมไปก็ได้ครับ”

    หลานสาวเจ้าของไร่มองหน้าผู้จัดการหนุ่มอย่างลุ้นเต็มที่  ขอให้เขารับความปรารถนาดีของคนงานด้วยเถิด

    “งั้นผมขอยืมก่อนนะครับ”

    เมื่อร่ำลากันเรียบร้อยแล้ว  ผู้จัดการไร่ก็เปลี่ยนเป็นโชว์เฟอร์จักรยานเสือหมอบ  เด็กสาวนั่งซ้อนท้ายชายหนุ่มไปอย่างสบายใจ    ส่งเสียงถามโน่นถามนี่เขาไปตลอดทางอย่างสนอกสนใจ   เธอรู้สึกมีความสุข   ไม่นึกว่าการซ้อนท้ายจักรยานคนอื่นจะมีความสุขขนาดนี้  เคยฝันหวานอยากนั่งซ้อนท้ายหนุ่มคนหนึ่งที่เธอเคยแอบชอบเขามานาน   แต่คงเป็นไปไม่ได้  เพราะเธอไม่ใช่นางเอกในใจเขาคนนั้น  เธอเป็นได้แค่เด็กข้างบ้านที่คอยแอบมองเขาพาสาวสวยซ้อนท้ายจักรยานผ่านไปอย่างน่าอิจฉา  

    น่าแปลกว่า…ตอนนั้นเธอคิดถึงเขาได้ทุกวี่ทุกวัน   ไม่อาจห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดถึงเขาได้เลย   แต่วันนี้…ไม่น่าเชื่อว่า  เธอกลับไม่ได้คิดถึงเขาอีกแล้ว  เขากลายเป็นเพียงความทรงจำอันงดงามเท่านั้นเอง   จิตใจคนเราเปลี่ยนแปลงได้   ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคิดว่ามันจะเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้

    ผู้จัดการไร่ปั่นจักรยานเร็วขึ้น  เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นเนินสูงที่ลาดชันพอสมควร   ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาอะไร   และคิดว่าตอนลงคงไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน  แต่เขาก็ไม่ประมาทมีสติตื่นเต็มตลอดเวลา  ขับจักรยานด้วยความระมัดระวัง

    รวิวารสะดุ้งตื่นจากฝันหวาน   เมื่อล้อจักรยานสะดุดก้อนหินจนเกือบเสียการทรงตัว    เธอยังไม่ทันเตรียมพร้อมและระมัดระวังตัว  ภาพตรงหน้ากำลังเคลื่อนที่ดิ่งลงจากเนินสูงด้วยความเร็ว  เธอตกใจร้องกรี๊ดลั่นด้วยความกลัวราวกับกำลังนั่งรถไฟเหาะตีลังกาหรือเรือไวกิ้งตามสวนสนุกอย่างนั้นแหละ  แถมร้องอย่างเดียวไม่พอ  กอดเอวคนขับไว้แน่น ซบหน้าลงกับแผ่นหลังของเขาอีกต่างหาก  

    ระบิลสะดุ้ง!!  ตกใจสุดขีด  ที่อยู่ ๆ คนซ้อนท้ายกรีดร้องลั่น  แถมยังมากอดเขาไว้แน่นอีกต่างหาก  ยิ่งตกใจเข้าไปกันใหญ่  ทำให้เขายิ่งเสียการทรงตัว  เสียสมาธิในการบังคับจักรยาน  ความเร็วของแรงเคลื่อนที่ขณะกำลังลงจากเนินสูงยิ่งทำให้บังคับยากขึ้นเป็นทวีคูณ  พื้นดินก็ขลุขระเป็นหลุมเป็นบ่ออีกต่างหาก  หัวรถจึงส่ายไปมาพาให้จักรยานเสือหมอบเลี้ยวไปเลี้ยวมาด้วยเช่นกัน   คนซ้อนท้ายก็ยิ่งกลัว  ยิ่งร้องดังหนักขึ้นอีก  และยิ่งกอดเขาแน่นขึ้นด้วยเช่นกัน  


    แก้ไขเมื่อ 06 ม.ค. 49 00:05:16

    แก้ไขเมื่อ 06 ม.ค. 49 00:01:13

    จากคุณ : ริเศรษฐ์ - [ 5 ม.ค. 49 23:55:23 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป